ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC ONE PIECE | ACE X OC | ครั้งหนึ่งเมื่อดอกไม้ผลิบาน [ปิดตอนรีไรท์]

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : ความสำคัญ (Rewrite)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.49K
      193
      23 ต.ค. 64

    [ว่าด้วยเรื่องการอัพใหม่ที่มีเนื้อหาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พอไรท์ลองกลับไปอ่านตอนนี้ดูก็รู้สึกถึงความทะแม่งๆ เลยมาแต่งใหม่ซะเลย เดิมทีก็ไม่อยากแต่งให้ไดอาน่าร้องไห้อยู่แล้วด้วย (ดราม่าไม่เก่ง) อย่าว่าไรท์เลยนะคะ พอดีไรท์อารมณ์แปรปรวน ฮา~]
     

     

    ครั้งหนึ่งเมื่อดอกไม้ผลิบาน

    | 7 |

    ความสำคัญ


     

    ภายในถ้ำที่มืดมิดมีเพียงแสงสีฟ้าจากแม่น้ำที่ส่องแสง เส้นทางถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านซ้ายคือพื้นถ้ำแบบปกติและด้านขวาคือทางน้ำที่ยาวเลียบไปกับทางเดิน หยดน้ำที่ไหลลงมาจากเพดานของถ้ำส่งเสียงดังยามเมื่อกระทบกับพื้น ตามเส้นทางมีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่กว่าปกติขึ้นอยู่

    เมื่อเดินตามเส้นทางตรงตั้งแต่ทางเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณด้านในสุดจะพบกับพื้นที่โล่งกว้าง ผนังและเพดานถ้ำมีลักษณะคล้ายกับโดมขนาดใหญ่ที่ถูกธรรมชาติสร้างขึ้นราวกับตั้งใจจะปกปิดทุกอย่างที่นี่ออกจากโลกภายนอกและทางเข้า-ออกก็มีเพียงเส้นทางเดียว พื้นของถ้ำถูกตัดแบ่งเป็นทรงกลมล้อมรอบด้วยทางน้ำที่ส่องแสงสว่างไหลเวียนตามขอบและใจกลางก็ยังมีพื้นดินสีดำอีกชั้น

    และนั่นคือ ‘ดินอาฟ’ ซึ่งตอนนี้บริเวณที่เคยเป็นที่อยู่ของมันกำลังถูกขุดลึกลงไปเป็นหลุมขนาดกว้างโดยที่มีทหารเรือมากกว่าร้อยนายกำลังช่วยกันขนสิ่งนั้นขึ้นรถเข็นขนาดใหญ่


     

    ‘ขนรอบนี้ก็เสร็จแล้วสินะ’

    ‘แบ่งคนเฝ้าเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?’

    ‘ครับ!’

    ‘ดี เอ้า! เร่งมือเข้า’


     

    เสียงพูดคุยของทหารเรือดังคลอไปกับเสียงการทำงานระหว่างขุดและเคลื่อนย้ายดินอาฟ ไม่ห่างจากพวกเขาหลังก้อนหินขนาดใหญ่

    ไดอาน่า เอสและดิวซ์ ทั้งสามคนกำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหินก้อนนั้น

    “มีแผนไหม?” เอสหันมาถามพรรคพวกทั้งสองขณะสวมหมวกที่เพิ่งได้คืน

    “ยังคิดไม่ออก” ดิวซ์ปั้นหน้ายากก่อนจะถอนหายใจ “คงจะรอให้พวกนั้นขนเสร็จไม่ได้ด้วย ดูท่าว่าพวกมันตั้งใจจะเอาไปให้หมดเลย”

    (ถ้าอย่างนั้นการมาที่นี่มันก็จะสูญเปล่า?) ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของไดอาน่า เธอแม้มปากแน่นด้วยความกังวลก่อนจะชะงักหลังรู้สึกถึงน้ำหนักบนหัว

    “เฮ้…” และสาเหตุก็เป็นเพราะเอสที่นั่งอยู่ข้างๆ วางมือลงบนนั้น “ไม่ต้องกังวล ให้ฉันจัดการเอง”

    “แต่ว่า...ยังไง” น้ำเสียงปนไปด้วยความสงสัย ใบหน้าบ่งบอกถึงความกังวลและไม่สบายใจ

    “เชื่อใจฉันสิ” เอสฉีกยิ้มแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    “…” ไดอาน่ามองนัยน์ตาที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความกลัวพลันความกังวลที่เพิ่งจะก่อตัวเมื่อครู่ก็สลายไปจนหมด

    เพราะรอยยิ้มและสีหน้านั่นเธอถึงรู้สึก ‘อุ่นใจ’

    “ห้ามทำอะไรตามใจเด็ดขาดเลยนะ!” ดิวซ์ย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง หากกัปตันของเขาได้ออกปากว่าจะจัดการเองนั่นหมายความว่าหายนะกำลังมาเยือน

    “จริงด้วย! นายห้ามทำให้ตัวเองบาดเจ็บนะ” หญิงสาวหันมาพูดกับเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง

    “…”

    “นี่! อย่าเมินกันสิ”

    “งั้นจะทำยังไง -..-”

    “ขอฉันคิดแป๊บ…” ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับหลับตา ในหัวพยายามนึกหาแผนการเอาตัวรอดที่ดีที่สุดส่วนไดอาน่าก็พยายามสังเกตรอบๆ ถ้ำเพื่อหาช่องว่างสำหรับการลอบเข้าไป

    จ๋อม…

    เสียงน้ำจากเพดานถ้ำหยดลงสู่ด้านล่างซึ่งเป็นทางน้ำพลันเกิดระลอกคลื่นขนาดเล็กบนผิวหน้าของเหลวเรืองแสง

    “…” และนั่นก็ทำให้นางระบำสาวเหลือบมองไปด้านหลังผ่านไหล่ของตัวเอง

    “มีอะไรเหรอ?” เอสที่เห็นความผิดปกติของเธอเอ่ยถาม

    “น้ำมันสั่นไหว”

    ตู้มมม!!!!

    ผนังของถ้ำที่อยู่ด้านหลังของพวกเอสถูกทำลายจนละเอียด บางสิ่งพุ่งออกมาจากช่องว่างและกระโดดขึ้นไปด้านบนด้วยความรวดเร็ว ปรากฏร่างของมนุษย์ผู้สมบูรณ์อ้วนท้วนในชุดทหารเรือ

    “คิกคิกคิกคิก พบตัวผู้บุกรุกแล้ว!” เสียงหัวเราะประหลาดๆ ดังขึ้น ร่างมีน้ำหนักที่ลอยอยู่กลางอากาศจ้องมองโจรสลัดหนุ่มสาวด้วยความนึกสนุก “เตรียมตัวรับโทษที่แอบเข้ามาซะ!!!”

    ฟืดดดดด

    ทหาเรือปริศนาตรงหน้าสูดเอาอากาศเข้าทางปาก พองแก้มขึ้นด้วยสีหน้าอึดอัดก่อนที่จะกางแขนออกไปด้านข้าง

    ปุ๋ง!

    พลันลำตัวก็พองขึ้นเหมือนลูกโป่งที่โดนอัดแก๊สเข้าไปทว่าแขนขาและส่วนหัวไม่ได้เพิ่มขนาดไปด้วยทำให้ลำตัวที่ขยายใหญ่บดบังจนแทบมองไม่เห็น รูปร่างของบุคคลตรงหน้าตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งเลยแม้แต่น้อย

    “คิกคิกคิกคิก ตกใจในความสามารถของผลปีศาจฉันล่ะสิ!”

    “…”

    “เหมือนเสียงตดเลยแฮะ” เอสพูดสิ่งที่คิด

    “นี่ อันนั้นเขาเรียกว่าผลปีศาจสายไหนเหรอ?” นางระบำสาวกระพริบตาปริบๆ จะว่าน่ากลัวก็ไม่เชิงแต่จะบอกว่าน่ารักก็ไม่ใช่เกิดมาเพิ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้ แทนที่จะตกใจกลัวก็เลยกลับกลายมาเป็นสนอกสนใจแทน

    “ไม่รู้สิ ผลปลาปักเป้ามั้ง?” เอสหันไปคลี่คลายความสงสัย(ตามความรู้สึก)ให้ไดอาน่า

    “มันมีผลปีศาจที่ทำให้กลายเป็นสัตว์ทะเลด้วยเรอะ” ดิวซ์แย้ง

    “ไม่ใช่ปลาปักเป้าแต่เป็นลูกโป่งว้อย!!!”

    แปะ!

    “อย่างงี้นี่เอง! ไม่ใช่ปลาปักเป้าแต่เป็นลูกโป่ง” หญิงสาวปรบมือเสียงดังด้วยสีหน้าร่าเริงพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักเหมือนคนที่เพิ่งบรรลุบางอย่าง

    “อย่ามาล้อเลียนกันนะเฟ้ย! ยัยผู้หญิงยอมให้ฉันจับซะดีๆ”

    “…?”

    “คิกคิกคิกคิก เธอนั่นแหละ มานี่!!!”

    “กำแพงบุปผา”

    ตู้มมม!!!

    ทหารเรือลูกโป่งพุ่งเข้าโจมตีพวกเอสด้วยการใช้ลำตัวกลมๆ เข้ากระแทก ทว่าไม่ทันที่จะถึงตัวพวกเขาก็ต้องปะทะเข้ากับกำแพงกลีบดอกไม้ซะก่อน

    “คงจะให้จับไม่ได้หรอกนะ”

    “คิดว่าแค่นี้จะหยุดฉันนี้ได้เหรอ!?”

    “ไม่เคยคิดอยู่แล้วล่ะ :) ”

    “หมัดเพลิง!”

    เอสสะบัดหมัดปล่อยเปลวเพลิงไปด้านหน้า กำแพงดอกไม้เปิดช่องว่างให้เพลิงสีส้มทะลุผ่านไปถึงร่างของมนุษย์ที่อยู่ด้านหลัง

    “ระ ระ ร้อน!!!!!!!!!” เสียงโหยหวนดังขึ้นเมื่อเปลวเพลิงสัมผัสกับผิวพลันร่างไหม้เกรียมของทหารเรือลูกโป่งก็ร่วงหล่นสู่พื้นดินตรงหน้า

    (รุนแรงจัง…)

    นางระบำสาวมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเวทนาก่อนจะหันมาเหล่มองคนข้างๆ

    “ไม่ตายหรอกน่า”

    นั่นเป็นเสียงตอบรับของเอสที่มาพร้อมกับรอยยิ้มซื่อๆ

    “…”

    “หยุดตรงนั้นแหละ กลุ่มโจรสลัดสเปด!!!” ทหารเรือที่รับรู้ถึงสถานการณ์พร้อมใจกันล้อมพวกเขาโดยที่มีอาวุธครบมือทว่ากลับไม่ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกกลัวเลยสักนิด

    เป็นเพราะเห็นจนชินแล้วหรือเปล่านะ?

    “มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องพึ่งแผนแล้วสินะ” ดิวซ์เหยียดยิ้มก่อนจะถอนหายใจราวกับช่วยไม่ได้

    “อ่า! เดี๋ยวฉันกับไดอาน่าจะถ่วงเวลาให้นายไปเอาดินนั่นให้ทีนะ”

    “เข้าใจแล้ว”

    “ส่วนไดอาน่าอยู่ข้างหลังฉันไว้”

    “อื้ม!”

    “ยิง!”

    กระสุนรัวเข้าหาโจรสลัดหนุ่มสาว เอสเปลี่ยนร่างเป็นเพลิงและวิ่งเข้าปะทะกับทหารเรือ ส่วนไดอาน่าก็สร้างกำแพงจากความสามารถของผลปีศาจ ‘มาเอะ มาเอะ’ ป้องกันตัวเองไปพร้อมๆ กับซัพพอร์ตดิวซ์

    และแล้วการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นแม้ว่าทหารเรือจะมีจำนวนอยู่มากมายทว่าฝ่ายได้เปรียบกับเป็นพวกเอสซะมากกว่า

    “อะ อะไรเนี่ย ปีศาจเหรอ!?”

    “นะ นี่ เราจับผู้หญิงคนนั้นดีกว่า” ชายคนนึงผู้ขึ้นหลังสังเกตเห็นว่าไดอาน่าไม่ได้มีท่าทีต่อต้านหรือพุ่งเข้าทำร้ายใครแบบหมัดอัคคี

    “ดูไม่สู้คนนะ”

    “นั่นใช่ผู้หญิงที่พบเรือตรีบอกจะไปตามหาไหม”

    “…?”

    ดวงตาอัญมณีคู่สวยเหลือบมองต้นเหตุของเสียงกระซิบก่อนจะหันไปให้ความสนใจ

    “ฮะ เฮ้ย! ไอ้หมอนั่น---"

    “ย้ากก!!!” ชายฉกรรจ์ในคราบทหารเรือคนนึงเล็งปืนไปทางหญิงสาวด้วยท่าทีฮึกเฮิมฉับพลันกระสุนถูกรัวเข้าใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง

    ปังๆๆๆๆ

    กระสุนปืนถูกสะกัดด้วยกลีบดอกไม้ ไดอาน่าถอนหายใจ เหยียดแขนตรงไปด้านหน้าพลันกลีบดอกไม้ที่เคยเป็นโล่กำบังก็พุ่งไปหาทหารเรือ

    “นะ นี่มันอะไรเนี่ย!”

    “ขยับไม่ได้!”

    เกิดเสียงตื่นตระหนกของทหาเรือที่โดนกลีบบุปผาห่อหุ้มร่างกายจนเหลือแค่ส่วนหัวและลำคอ ใครจะไปคิดว่ากลีบดอกไม้นิ่มๆ จะสามารถแข็งตัวและล็อคพวกเขาไว้กับที่ได้

    “อย่าเข้าใจผิดสิ ถึงฉันไม่คิดอยากจะสู้แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้เล่นงานกันง่ายๆ” เธอยิ้มตาหยีให้เหล่าทหารเรือก่อนจะหมุนข้อมือเพื่อผลิกฝ่ามือขึ้นพลันกลีบดอกไม้ก็พาร่างที่ห่อหุ้มลอยขึ้น

    ถึงเมื่อก่อนจะเป็นแค่นางระบำแต่เพราะตอนนี้เป็นโจรสลัดแถมยังมีค่าหัว ถ้าแค่ป้องกันตัวจากทหารเรือสักคนไม่ได้…เส้นทางสำหรับการผจญภัยก็คงเป็นได้แค่ฝัน

    เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงของพวกเอสถึงได้พยายามจนทำได้ขนาดนี้…

    นางระบำสาวหลับตาลงไปพร้อมๆ กับหมุนตัว กลีบดอกไม้และร่างของทหารเรือเริ่มลอยขยับตามเป็นวงกลมจากช้าๆ กลายเป็นเร็วขึ้น เร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีก!

    “อุก!”

    “เวียนหัว!”

    “อ๊าก!”

    “เย็นไว้ทุกคน ปัญหาแค่นี้ต้องผ่านไปได้---แหวะ!”

    “…”

    เอสหันกลับมาเช็คความปลอดภัยเพราะกังวลว่าคนด้านหลังจะเป็นอันตราย ทว่าหลังเห็นทอร์นาโดกลีบดอกไม้ที่หมุนอย่างรุนแรงตอนนี้ก็ได้แต่หลุดเสียงหัวเราะออกมา

    หากเธอตัดสินใจจะปลิดชีวิตของพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่ควบคุมกลีบดอกไม้ให้คมเป็นใบมีดทุกอย่างก็จะจบ แต่ทว่าพายุกลีบดอกไม้ในครั้งนี้จึงมีจุดประสงค์เพียงแค่ทำให้ทหารเรือหมดสติและลุกขึ้นมาสู้ไม่ได้เท่านั้น

    เรื่องที่ไดอาน่ายังไม่พร้อมจะลงมือฆ่าใครสักคนในชีวิต ทั้งเอสและพรรคพวกเองก็รู้ดีมันถึงทำให้ทุกครั้งที่พวกเขาต้องสู้ ไดอาน่าจะถูกห่วงเป็นพิเศษ

    “หัวเราะอะไร -_-+++”

    “ก็เปล่านี่ แค่เป็นห่วงน่ะ”

    “…”

    “ว่าแต่ตั้งชื่อท่ารึยัง”

    “จำเป็นต้องตั้งด้วยเหรอ”

    “ต้องตั้งสิ! เท่ออกนะ โอ๊ะ---” เอสเหวี่ยงตัวหลบก่อนจะถีบทหารเรือที่ลอบโจมตีด้านหลัง

    “ว่ามาสิ…”

    ว่ากันตามจริง ไดอาน่าไม่เคยแม้แต่จะคิดชื่อท่าเลยด้วยซ้ำเพราะคิดว่ามันไม่สำคัญเท่าไหร่ ว่าก็ว่าเถอะ ท่า ‘กำแพงบุปผา’ ที่ใช้ไปเมื่อครู่เดิมทีมันก็ไม่มีชื่อแต่ทว่าเมื่อไม่นานมานี้เธอกลับโดนเอสคะยั้นคะยอจนสุดท้ายก็ต้องยอมตั้ง ไม่สิ ต้องเรียกว่าให้เขาตั้งให้ซะมากกว่า

    “พายุบุปผา!”

    แค่ตั้งตามที่รู้สึกสินะ

    “เอาแบบนั้นก็ได้”

    เธอพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยล้าก่อนจะหลุดรอยยิ้มจางๆ ออกมา

    “เฮ้! ฉันได้ดินแล้วนะ”

    เมื่อมองตามต้นเสียงจะพบกับดิวซ์ที่ยืนโบกมืออยู่ บนไหล่ของเขามีถุงสีน้ำตาลขนาดกลางพาดอยู่และนั่นก็คงจะเป็นถุงที่บรรจุดินอาฟ

    “เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ” เอสหันไปบอกไดอาน่าพร้อมกับออกตัววิ่งนำ

    “อื้ม---!!!?”

    โครม!!!

    ขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มโจรสลัดชะงักแล้วหยุดวิ่ง ศีรษะค่อยๆ หันกลับไปมองด้านหลังที่เกิดเสียงดังเมื่อครู่

    ร่างของไดอาน่านอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้นซึ่งนั่นเป็นเพราะทหารเรือลูกโป่งที่น่าจะหมดสติไปแล้วกดเธอเอาไว้กับพื้น ใช้เข่าข้างนึงทับหลังของร่างบาง ใช้มือซ้ายยึดแขนฝั่งเดียวกันของหญิงสาว ส่วนมืออีกข้างก็กดหัวของร่างบางเพื่อป้องกันไม่ให้เธอสามารถลุกขึ้นมาได้

    “คิกคิกคิกคิก จับได้แล้ว!!!”

    “…”

    “ถ้าเอาแม่นี่ไปให้พลเรือตรีเลิฟแล้วล่ะก็ฉันต้องได้รับคำชื่นชมแน่ๆ เลย เอ้า! พวกแกเอาหินไคโรมา---"

    พลั่ก!!!

    หมัดที่มีเปลวเพลิงห่อหุ้มถูกประเคนเข้ากลางหน้าของทหารเรือคนนั้นส่งผลทำให้ร่างอ้วนกระเด็นถอยห่างจากไปไกล

    “จะ เจ็บ...”

    “นี่ เป็นอะไรไหม!?” ดิวซ์ที่วิ่งตามมาสมทบถามไดอาน่าที่เพิ่งยันตัวลุกนั่งด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

    “อืม คิดว่าไม่---เอ๊ะ?” มือเรียวยกขึ้นกุมหน้าผากด้วยอาการมึนงงทว่าความรู้สึกต่อมาคือความเจ็บ เสียงหอบหายใจถี่ขึ้น เธอลดมือของตัวเองลงพร้อมกับค่อยๆ แบมันออก ฉับพลันนัยน์ตาคู่สวยไหววูบด้วยความตกใจหลังพบว่าบนฝ่ามือของตัวเองมีโลหิตสีแดงเปื้อนอยู่

    “นี่เธอ…เลือดนั่น?” เสียงพึมพำด้วยอาหารตกใจของดิวซ์ดังขึ้นเบาๆ

    เธอจ้องมองเลือดในมือด้วยสายตาเหม่อลอยสักพักก่อนจะเงยหน้ามองเอส

    ‘ไดอาน่า!’

    นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มพร่ามัวจนกระทั่งมืดสนิทไป

    ..

    .

     

     

    หลังจากที่ไดอาน่าสลบไป ดิวซ์ที่เคยเป็นนักเรียนแพทย์รีบลงมือปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันที ในขณะเดียวกันหางตาของดิวซ์เหลือบไปเห็นเอสที่เอาแต่ก้มหน้าและกำหมัดแน่นนั่นคงเป็นเพราะความโกรธที่เห็นพวกพ้องบาดเจ็บ เด็กหนุ่มถึงคิดที่จะหันกลับไปเล่นงานทหารเรือลูกโป่งอีกครั้งโดยที่ไม่สนใจเสียงตะโกนห้ามของดิวซ์

    เอสระบายความโกรธกับกองทัพเรือจนเกือบจะเผาทุกอย่างที่นั่น จนกระทั่ง…

    ผู้ชายคนนั้น คนที่พวกเขาเจอที่ร้านอาหารในเมืองเดินเข้ามา สิ่งที่น่าตกใจเกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนนั้นสั่งให้ทหารเรือทุกคนลดอาวุธแล้วกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ หนำซ้ำยังบอกให้พวกเอสรีบออกไปจากที่นี่ เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นให้สักครั้ง

    แน่นอนว่าเอสในตอนนั้นไม่คิดแม้แต่จะฟังแถมยังพาลพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มผมน้ำตาล ดิวซ์มารู้ทีหลังว่าชายคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นพลเรือตรี เขาถึงสามารถสู้กับเอสในสภาพที่บาดเจ็บนิดหน่อยจากการอาละวาดก่อนหน้านี้ได้สูสี ไม่สิ จากอาการบาดเจ็บและอารมณ์ที่เดือดพล่านไม่คิดหน้าคิดหลังของเอสทำให้ดูเหมือนพลเรือตรีคนนั้นจะได้เปรียบ

    (ไม่มีเวลาแล้ว!)

    นั่นคือสิ่งที่ดิวซ์คิด

    ทหารเรือรู้แล้วว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ อีกไม่นานก็คงจะออกไล่จับนั่นหมายถึงพรรคพวกที่รออยู่ที่เรือกำลังจะเดือดร้อน พวกเขาถึงต้องรีบออกจากที่นั่น พอคิดได้แบบนั้นความอดทนของดิวซ์ก็สิ้นสุดลง


     

    ‘เลิกบ้าได้แล้ว เอส ไดอาน่าไม่ได้อยากให้นายเจ็บตัวแบบนี้นะ!!!’


     

    เขาตะโกนออกไปแบบนั้น โดยที่ไม่คิดว่ามันจะได้ผล เอสชะงักและหยุดการกระทำทุกอย่างก่อนจะตัดสินใจผละออกจากพลเรือตรีตรงหน้าแล้วเดินมาหาดิวซ์ที่รออยู่


     

    หลังกลับมา เรือ ‘พีซ ออฟ สปาดิล’ ก็แล่นออกจากเกาะอาฟโธโน่และมุ่งสู่เกาะต่อไป บรรยากาศไม่ครึกครื้นแบบทุกครั้ง ลูกเรือกลุ่มโจรสลัดสเปดตกใจไม่น้อยที่เห็นกัปตันมีบาดแผลกลับมา

    ภายในห้องนอนเล็กๆ ดิวซ์กับเอสอาสาจะเฝ้าไดอาน่า เวลาล่วงเลยไปราวๆ สองชั่วโมงกว่า เธอฟื้นขึ้นมาด้วยอาการมึนงงคล้ายคนยังไม่ตื่นดี อาการปวดหัวแล่นพล่านและดูเหมือนว่าจะเริ่มมีไข้อ่อนๆ ไม่ทันที่จะได้พักผ่อนหรือซักถามเกี่ยวกับแผลของเอส เด็กหนุ่มหมัดอัคคีก็รีบคาดคั้นถึงสาเหตุที่เธอไม่วิ่งตามเขาไป และคำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้ทั้งสองคนตกใจไม่น้อย

    ก่อนที่ตัวเธอจะถูกทหารเรือคนนั้นทำร้าย ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเล็กๆ ไดอาน่าเห็นภาพของทหารเรือลูกโป่งพุ่งเข้าใส่ตัวเองเหมือนอย่างที่เกิดขึ้น ทว่ามันกลับแตกต่างกันตรงที่ในตอนนั้นเธอตัดสินใจวิ่งตามเอสไปและคนที่บาดเจ็บก็ไม่ได้เป็นหญิงสาวหากแต่เป็น ‘เอส’ ที่เอาตัวมารับแรงกระแทกแทน


     

    ‘ถึงจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยแต่ฉันก็เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นนะ’


     

    เธอบอกแบบนั้น

    นางระบำสาวไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคืออะไร รู้เพียงแค่ว่าตอนนั้นตัวเองกำลังสับสนแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะเลือกผลลัพธ์แบบนี้

    “อาจจะเป็นฮาคิสังเกตก็ได้นะ?” ดิวซ์ออกความเห็น

    “คะ คงไม่ใช่หรอกมั้ง”

    “ก็ไม่แน่นี่ รอดูต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน”

    “นั่นสินะ ว่าแต่เอส…เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” เธอหันไปถามเด็กหนุ่มหลังเห็นว่าตอนนี้มีจังหวะที่สามารถถามคำถามได้

    “…”

    “ทำไมถึงเงียบแบบนั้นล่ะ?”

    “…”

    “ดิวซ์!” เมื่อเห็นว่าถามเจ้าตัวไปก็ไม่มีประโยชน์เธอถึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่อีกคนแทน

    “อะ อ่า คะ คือ…” ชายสวมหน้ากากถอนหายใจก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง

    หลังฟังเรื่องราวคร่าวๆ เธอหันมาหาเด็กหนุ่มอีกครั้งและพบกับใบหน้าตกกระที่เหมือนกับทรมานเพราะกำลังอดกลั้นบางอย่างเอาไว้

    “ทำไม…”

    “…?”

    “ทำไมถึง...ไดอาน่า ยัยบ้า! ใครอนุญาตให้เธอทำแบบนั้นกัน” เอสที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น จ้องมองไปยังคนเจ็บด้วยสายตาไม่เข้าใจ

    “นายด่าใครยัยบ้าน่ะ? ฉันช่วยนายนะ ควรจะขอบใจไม่ใช่รึไง”

    “ฉันไม่สน เธอ…ก่อนที่จะนึกถึงคนอื่นทำไมไม่นึกถึงตัวเอง หน้าที่ของกัปตันคือปกป้องลูกเรือแบบเธอนะ!”

    “…”

    “ฮะ เฮ้ เอส---"

    “จะบอกว่าตอนนั้นคนที่สมควรโดนเล่นงานคือตัวนายงั้นเหรอ” ไดอาน่าหันไปจ้องเอสนิ่งๆ นัยน์ตาแข็งกร้าวเมื่อได้เห็นสายตาของอีกฝ่ายเป็นคำตอบ “อย่ามางี่เง่านะ ทำไมพูดเหมือนกับความเจ็บเป็นเรื่องที่สามารถรับแทนกันได้ล่ะ ถ้าจะพูดให้ถูกคนคนนั้นตั้งใจจะเล่นงานฉันต่างหาก นั่นก็เท่ากับว่าที่ฉันเจ็บแบบนี้น่ะถูกแล้ว!”

    “แต่นั่นมันอันตราย!”

    “แล้วทีนายล่ะ อาละวาดเหมือนกับคนบ้า ไม่รู้รึไงว่าชีวิตของคนเรามีค่ามากแค่ไหน!”

    “ฉันมั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้เพราะฉันไม่มีทางแพ้แล้วจบอยู่แค่ที่นั่น! แต่กับเธอที่เป็นผู้หญิงร่างกายอ่อนแอถ้าเกิดว่ามันไม่ได้จบแค่ที่หัวแตกจะทำยังไง”

    “ความมั่นใจนั่นนายไปเอามาจากที่ไหนกัน อย่าทำเหมือนรู้อนาคตได้มั้ย แล้วอีกอย่างถึงแบบนั้นฉันก็ไม่คิดที่จะมานั่งเสียใจทีหลัง ฉันทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปอีกร้อยครั้งหรือพันครั้ง ฉันก็จะทำแบบเดิม!”

    “พูดแบบนั้นไม่เป็นห่วงตัวเองเลยรึไงกันห๊ะ!” เอสแยกเขี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราด

    “แล้วนายมีสิทธิ์มาว่าคนอื่นได้ด้วยเหรอ!” และอีกคนก็ไม่ยอมแพ้ สีหน้าของหญิงสาวตอนนี้พร้อมจะเขมือบหัวเอสได้ทุกเวลา

    “อย่ามาต่อปากต่อคำ ฉันเป็นกัปตันเธอนะ ต้องทำตามที่ฉันบอกสิ!”

    “แต่ฉันแก่กว่านาย 4 ปี นายควรเคารพแล้วเชื่อฟังฉันที่เป็นผู้ใหญ่ต่างหากล่ะ!”

    “นะ นี่พวกนาย…”

    “คนที่เอาแต่บ่นเป็นป้าแบบเธอฉันไม่นับเป็นผู้ใหญ่หรอก”

    “ถ้าเป็นป้าก็ต้องเป็นผู้ใหญ่สิ แต่เดี๋ยว! นายว่าใครเป็นป้ากันยะ!”

    แง่งงง

    ต่างฝ่ายต่างแยกเขี้ยวใส่กันด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวราวกับสุนัข(?)ที่กำลังจะกัดกัน การถกเถียงดำเนินต่อไปอย่างน่าอึดอัดและดุเดือด(?) ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยอมรับผิดและคิดว่าตัวเองสมควรเป็นคนบาดเจ็บทั้งคู่

    “ดิวซ์! นายเองก็คิดเหมือนฉันใช่ไหม” เอสหันไปขอความเห็นของเพื่อนทว่าจากสายตาที่เขาใช้ดูท่าจะเป็นการบังคับมากกว่า

    “นี่! อย่าขี้โกง” ร่างบางประท้วงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันไปขอกำลังเสริม

    “เลิกทะเลาะกันเถอะน่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาทะเลาะกันสักหน่อย ฟังนะ ไดอาน่า ฉันเองก็เห็นด้วยกับเอสนะที่จะให้มันเจ็บแทนเธอ อย่างที่บอกเธอเป็นผู้หญิงถ้าเกิดเป็นอะไรมากกว่านั้นมันคงไม่ดีแน่ ส่วนหมอนี่แค่โดนแรงกระแทกไม่เป็นไรแน่นอน เพราะนอกจากเอสจะหัวทึบแล้วก็ยังเป็นพวกบ้าพลังแถมยังสติไม่ดี ก็นะเป็นพวกประเภทเจ็บไม่รู้จักจำนี่”

    “อะฮ่า!” เอสร่าเริงทันทีที่เพื่อนสนับสนุนก่อนจะหันมายิ้มแฉ่งให้ร่างบาง

    (นี่ เขาหลอกด่านายอยู่นะ)

    “ส่วนแกเอส…” ดิวซ์หันไปหาเด็กหนุ่มผู้เป็นกัปตันเรือ “ฉันเห็นด้วยกับไดอาน่าเหมือนกันที่แกไม่ควรวิ่งเข้าหาอันตรายแบบนั้น เข้าใจว่าแกเก่งและแกรักพวกพ้องแต่การทำแบบนั้นมันเป็นการมองข้ามความรู้สึกเป็นห่วงของคนที่อยู่ด้านหลังนะ”

    อื้ม อื้ม…

    ไดอาน่าหลับตากอดอกพร้อมกับพยักหน้าให้กับคำพูดของดิวซ์ ถึงจะไม่พอใจที่ดิวซ์เข้าข้างเอสอยู่บ้างแต่มันก็ถูก ถือว่ายุติธรรมทั้งสองฝ่ายดี (ซะที่ไหน)

    “…”

    หญิงสาวลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเงียบที่ก่อตัวขึ้นชั่วขณะ เอสไม่ยอมพูดอะไร ไม่สบตาไดอาน่าหรือดิวซ์ ทำเพียงแค่ก้มมองพื้นด้วยดวงตาที่หม่นหมองเหมือนกับก้นทะเลลึก

    พฤติกรรมนั้นอยู่ในสายตาของหญิงสาว เธอจ้องมองเด็กหนุ่มสักพักก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่าง

    “ฉันไม่รู้นะ ว่านายมีเหตุผลอะไรอยู่ถึงได้ใช้ชีวิตแบบนั้น นายบอกจะไปให้ถึงจุดสูงสุดและนายไม่เคยวิ่งหนีอะไรแถมยังเอาแต่พุ่งเข้าใส่ จนบางทีก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ”

    หลายครั้งที่รู้สึกเหมือนเขาใช้ชีวิตแบบรีบตาย ไม่เสียดายชีวิต

    อยากจะแบ่งเบาความรู้สึกถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่เพราะเธอไม่เคยรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เอาสกำลังแบกรับ ไม่เคยรู้ความจริงเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของเขาเพราะแบบนั้นก็เลยเหมือนมีเส้นบางๆ ขีดกั้นไว้อยู่ และเธอเองก็เข้าใจดีว่าทุกคนมีเรื่องที่ไม่อยากเล่าให้ใครฟังอยู่เสมอ

    “…”

    “นายอาจจะไม่รู้ว่าการมีชีวิตอยู่ของนายในตอนนี้มันสำคัญกับฉันมากแค่ไหน”

    “…?”

    ไดอาน่ามองเอสสักพักก่อนจะเลื่อนสายตามาที่พื้นห้อง เธอคิดอะไรกับตัวเองสักพักก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วตัดสินใจเอื้อมไปหยิบหมอนใบใหญ่ที่อยู่บนเตียง

    “นี่แน่ะ!” ก่อนจะปามันใส่หน้าของเอสอย่างแรงจนเด็กหนุ่มที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเกือบหงายหลัง โชคดีที่ยังพอมีไหวพริบและความสามารถยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ‘ทำบ้าอะไรของเธอห๊ะ!’ เอสตะโกนตอบมาแบบนั้น

    “โปโตกัส ดี เอส!” เธอเรียกชื่อเต็มของเด็กหนุ่มเล่นเอาคนถูกเรียกชะงัก “ฉันจะไม่คุยกับนายจนกว่านายจะเข้าใจว่าชีวิตของตัวเองสำคัญมากแค่ไหน” พอพูดจบ ร่างบางก็รีบจับผ้าห่มบนเตียงคลุมปิดตัวเองชนิดที่เรียกว่ามิดชิดไม่เห็นแม้แต่เส้นผมและแน่นอนว่าพฤติกรรมเมื่อครู่ก็สร้างความงุนงงให้เอสกับดิวซ์

    “หะ หา?” เอสตาโต ตอนนี้เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากๆ “หมายความว่ายังไง?”

    “…”

    “นี่ ไดอาน่า---”

    “อย่ามาหลอกถาม เพราะตอนนี้ฉันโกรธอยู่และจะไม่คุยกับนาย” น้ำเสียงเหมือนคนที่กำลังงอนดังเล็ดลอดออกมาจากผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างบาง “ไม่คุยด้วยจริงๆ นะ”

    เธอย้ำ

    ดิวซ์หัวเราะอย่างอดไม่ได้กับพฤติกรรมเหมือนเด็กของไดอาน่า ชายสวมหน้ากากเดินมาหากัปตันที่กำลังทำหน้าเหวอ “ตอนนี้ให้เธอพักผ่อนไปก่อนแล้วกัน”

    “ดะ เดี๋ยวสิ เฮ้…” หนุ่มหมัดอัคคีถูกเพื่อนรักลากคอออกจากห้องแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจอะไรเลย และทันทีที่ประตูห้องปิดลง ไดอาน่าก็ดึงผ้าห่มออกจากร่างของตัวเอง เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นภายในห้องเล็กๆ หญิงสาวพลิกตัวนอนตะแคงแล้วมองไปที่ประตูห้อง


     

    ‘งี่เง่าจังเลยเรา’


     


     


     


     


     


     


     


     


     

    _____________________________


     

    เพิ่งมารู้สึกถึงอาการสล็อตก็เมื่อไม่นานมานี้เองแหละค่ะ ฮ่าๆ ซึ่งนั่นทำให้เราเห็นอนาคตเรียบร้อยแล้ว เราคงไม่สามารถทำให้มันจบได้ก่อนเปิดเรียนจริงๆ ทำได้แค่แต่งให้ได้มากที่สุด แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีค่ะ ในเมื่อยังไงก็ไม่จบเร็วๆ นี้ เราก็เลยจะเขียนมันต่อเรื่อยๆ ไม่รีบและจะพยายามใส่ใจรายละเอียดมากขึ้นค่ะ (ขอเวลาไปย้อนดูวันพีชเพื่อเข้าใจไทม์ไลน์มากขึ้นด้วยนะคะ ฮ่าๆ)


     

    ~ ♡ ~

     

    > > > > > เกี่ยวกับตอนนี้ < < < < <

    - อย่างแรกเลย 'เลิฟ' ไม่ได้มีบทแค่นี้นะคะ (เผื่อมีคนงงว่าจะเอาเขามาทำไมกันถ้าจะมาแค่นี้ ฮะๆ)

    - ทั้งตอนนี้และตอนก่อนหน้า ภาษากับสำนวนอาจจะซ้ำหรือมีคำผิดเยอะเพราะรีบแต่งค่ะ แต่จะมา Rewrite แน่ๆ แค่ไม่ใช่เร็วๆ นี้ (?) ไรท์อยากแต่งไปก่อน~

    สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณทุกคนที่ยังเข้ามาอ่านนะคะ ><


     

    เครดิต : ภาพไดอาน่าจิบิเป็นคอมมิชันที่เราสั่งมาจากคุณคนนี้นะคะ (จิ้ม)

    เครดิต : โลโก้นามปากกาเราเป็นคอมมิชชันที่เราสั่งมาจากคุณคนนี้นะคะ (จิ้ม)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×