คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : ความสำคัญ (Rewrite)
[ว่าด้วยเรื่องการอัพใหม่ที่มีเนื้อหาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พอไรท์ลองกลับไปอ่านตอนนี้ดูก็รู้สึกถึงความทะแม่งๆ เลยมาแต่งใหม่ซะเลย เดิมทีก็ไม่อยากแต่งให้ไดอาน่าร้องไห้อยู่แล้วด้วย (ดราม่าไม่เก่ง) อย่าว่าไรท์เลยนะคะ พอดีไรท์อารมณ์แปรปรวน ฮา~]
ครั้งหนึ่งเมื่อดอกไม้ผลิบาน
| 7 |
ความสำคัญ
ภายในถ้ำที่มืดมิดมีเพียงแสงสีฟ้าจากแม่น้ำที่ส่องแสง เส้นทางถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านซ้ายคือพื้นถ้ำแบบปกติและด้านขวาคือทางน้ำที่ยาวเลียบไปกับทางเดิน หยดน้ำที่ไหลลงมาจากเพดานของถ้ำส่งเสียงดังยามเมื่อกระทบกับพื้น ตามเส้นทางมีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่กว่าปกติขึ้นอยู่
เมื่อเดินตามเส้นทางตรงตั้งแต่ทางเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณด้านในสุดจะพบกับพื้นที่โล่งกว้าง ผนังและเพดานถ้ำมีลักษณะคล้ายกับโดมขนาดใหญ่ที่ถูกธรรมชาติสร้างขึ้นราวกับตั้งใจจะปกปิดทุกอย่างที่นี่ออกจากโลกภายนอกและทางเข้า-ออกก็มีเพียงเส้นทางเดียว พื้นของถ้ำถูกตัดแบ่งเป็นทรงกลมล้อมรอบด้วยทางน้ำที่ส่องแสงสว่างไหลเวียนตามขอบและใจกลางก็ยังมีพื้นดินสีดำอีกชั้น
และนั่นคือ ‘ดินอาฟ’ ซึ่งตอนนี้บริเวณที่เคยเป็นที่อยู่ของมันกำลังถูกขุดลึกลงไปเป็นหลุมขนาดกว้างโดยที่มีทหารเรือมากกว่าร้อยนายกำลังช่วยกันขนสิ่งนั้นขึ้นรถเข็นขนาดใหญ่
‘ขนรอบนี้ก็เสร็จแล้วสินะ’
‘แบ่งคนเฝ้าเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?’
‘ครับ!’
‘ดี เอ้า! เร่งมือเข้า’
เสียงพูดคุยของทหารเรือดังคลอไปกับเสียงการทำงานระหว่างขุดและเคลื่อนย้ายดินอาฟ ไม่ห่างจากพวกเขาหลังก้อนหินขนาดใหญ่
ไดอาน่า เอสและดิวซ์ ทั้งสามคนกำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหินก้อนนั้น
“มีแผนไหม?” เอสหันมาถามพรรคพวกทั้งสองขณะสวมหมวกที่เพิ่งได้คืน
“ยังคิดไม่ออก” ดิวซ์ปั้นหน้ายากก่อนจะถอนหายใจ “คงจะรอให้พวกนั้นขนเสร็จไม่ได้ด้วย ดูท่าว่าพวกมันตั้งใจจะเอาไปให้หมดเลย”
(ถ้าอย่างนั้นการมาที่นี่มันก็จะสูญเปล่า?) ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของไดอาน่า เธอแม้มปากแน่นด้วยความกังวลก่อนจะชะงักหลังรู้สึกถึงน้ำหนักบนหัว
“เฮ้…” และสาเหตุก็เป็นเพราะเอสที่นั่งอยู่ข้างๆ วางมือลงบนนั้น “ไม่ต้องกังวล ให้ฉันจัดการเอง”
“แต่ว่า...ยังไง” น้ำเสียงปนไปด้วยความสงสัย ใบหน้าบ่งบอกถึงความกังวลและไม่สบายใจ
“เชื่อใจฉันสิ” เอสฉีกยิ้มแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
“…” ไดอาน่ามองนัยน์ตาที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความกลัวพลันความกังวลที่เพิ่งจะก่อตัวเมื่อครู่ก็สลายไปจนหมด
เพราะรอยยิ้มและสีหน้านั่นเธอถึงรู้สึก ‘อุ่นใจ’
“ห้ามทำอะไรตามใจเด็ดขาดเลยนะ!” ดิวซ์ย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง หากกัปตันของเขาได้ออกปากว่าจะจัดการเองนั่นหมายความว่าหายนะกำลังมาเยือน
“จริงด้วย! นายห้ามทำให้ตัวเองบาดเจ็บนะ” หญิงสาวหันมาพูดกับเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง
“…”
“นี่! อย่าเมินกันสิ”
“งั้นจะทำยังไง -..-”
“ขอฉันคิดแป๊บ…” ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับหลับตา ในหัวพยายามนึกหาแผนการเอาตัวรอดที่ดีที่สุดส่วนไดอาน่าก็พยายามสังเกตรอบๆ ถ้ำเพื่อหาช่องว่างสำหรับการลอบเข้าไป
จ๋อม…
เสียงน้ำจากเพดานถ้ำหยดลงสู่ด้านล่างซึ่งเป็นทางน้ำพลันเกิดระลอกคลื่นขนาดเล็กบนผิวหน้าของเหลวเรืองแสง
“…” และนั่นก็ทำให้นางระบำสาวเหลือบมองไปด้านหลังผ่านไหล่ของตัวเอง
“มีอะไรเหรอ?” เอสที่เห็นความผิดปกติของเธอเอ่ยถาม
“น้ำมันสั่นไหว”
ตู้มมม!!!!
ผนังของถ้ำที่อยู่ด้านหลังของพวกเอสถูกทำลายจนละเอียด บางสิ่งพุ่งออกมาจากช่องว่างและกระโดดขึ้นไปด้านบนด้วยความรวดเร็ว ปรากฏร่างของมนุษย์ผู้สมบูรณ์อ้วนท้วนในชุดทหารเรือ
“คิกคิกคิกคิก พบตัวผู้บุกรุกแล้ว!” เสียงหัวเราะประหลาดๆ ดังขึ้น ร่างมีน้ำหนักที่ลอยอยู่กลางอากาศจ้องมองโจรสลัดหนุ่มสาวด้วยความนึกสนุก “เตรียมตัวรับโทษที่แอบเข้ามาซะ!!!”
ฟืดดดดด
ทหาเรือปริศนาตรงหน้าสูดเอาอากาศเข้าทางปาก พองแก้มขึ้นด้วยสีหน้าอึดอัดก่อนที่จะกางแขนออกไปด้านข้าง
ปุ๋ง!
พลันลำตัวก็พองขึ้นเหมือนลูกโป่งที่โดนอัดแก๊สเข้าไปทว่าแขนขาและส่วนหัวไม่ได้เพิ่มขนาดไปด้วยทำให้ลำตัวที่ขยายใหญ่บดบังจนแทบมองไม่เห็น รูปร่างของบุคคลตรงหน้าตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งเลยแม้แต่น้อย
“คิกคิกคิกคิก ตกใจในความสามารถของผลปีศาจฉันล่ะสิ!”
“…”
“เหมือนเสียงตดเลยแฮะ” เอสพูดสิ่งที่คิด
“นี่ อันนั้นเขาเรียกว่าผลปีศาจสายไหนเหรอ?” นางระบำสาวกระพริบตาปริบๆ จะว่าน่ากลัวก็ไม่เชิงแต่จะบอกว่าน่ารักก็ไม่ใช่เกิดมาเพิ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้ แทนที่จะตกใจกลัวก็เลยกลับกลายมาเป็นสนอกสนใจแทน
“ไม่รู้สิ ผลปลาปักเป้ามั้ง?” เอสหันไปคลี่คลายความสงสัย(ตามความรู้สึก)ให้ไดอาน่า
“มันมีผลปีศาจที่ทำให้กลายเป็นสัตว์ทะเลด้วยเรอะ” ดิวซ์แย้ง
“ไม่ใช่ปลาปักเป้าแต่เป็นลูกโป่งว้อย!!!”
แปะ!
“อย่างงี้นี่เอง! ไม่ใช่ปลาปักเป้าแต่เป็นลูกโป่ง” หญิงสาวปรบมือเสียงดังด้วยสีหน้าร่าเริงพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักเหมือนคนที่เพิ่งบรรลุบางอย่าง
“อย่ามาล้อเลียนกันนะเฟ้ย! ยัยผู้หญิงยอมให้ฉันจับซะดีๆ”
“…?”
“คิกคิกคิกคิก เธอนั่นแหละ มานี่!!!”
“กำแพงบุปผา”
ตู้มมม!!!
ทหารเรือลูกโป่งพุ่งเข้าโจมตีพวกเอสด้วยการใช้ลำตัวกลมๆ เข้ากระแทก ทว่าไม่ทันที่จะถึงตัวพวกเขาก็ต้องปะทะเข้ากับกำแพงกลีบดอกไม้ซะก่อน
“คงจะให้จับไม่ได้หรอกนะ”
“คิดว่าแค่นี้จะหยุดฉันนี้ได้เหรอ!?”
“ไม่เคยคิดอยู่แล้วล่ะ :) ”
“หมัดเพลิง!”
เอสสะบัดหมัดปล่อยเปลวเพลิงไปด้านหน้า กำแพงดอกไม้เปิดช่องว่างให้เพลิงสีส้มทะลุผ่านไปถึงร่างของมนุษย์ที่อยู่ด้านหลัง
“ระ ระ ร้อน!!!!!!!!!” เสียงโหยหวนดังขึ้นเมื่อเปลวเพลิงสัมผัสกับผิวพลันร่างไหม้เกรียมของทหารเรือลูกโป่งก็ร่วงหล่นสู่พื้นดินตรงหน้า
(รุนแรงจัง…)
นางระบำสาวมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเวทนาก่อนจะหันมาเหล่มองคนข้างๆ
“ไม่ตายหรอกน่า”
นั่นเป็นเสียงตอบรับของเอสที่มาพร้อมกับรอยยิ้มซื่อๆ
“…”
“หยุดตรงนั้นแหละ กลุ่มโจรสลัดสเปด!!!” ทหารเรือที่รับรู้ถึงสถานการณ์พร้อมใจกันล้อมพวกเขาโดยที่มีอาวุธครบมือทว่ากลับไม่ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกกลัวเลยสักนิด
เป็นเพราะเห็นจนชินแล้วหรือเปล่านะ?
“มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องพึ่งแผนแล้วสินะ” ดิวซ์เหยียดยิ้มก่อนจะถอนหายใจราวกับช่วยไม่ได้
“อ่า! เดี๋ยวฉันกับไดอาน่าจะถ่วงเวลาให้นายไปเอาดินนั่นให้ทีนะ”
“เข้าใจแล้ว”
“ส่วนไดอาน่าอยู่ข้างหลังฉันไว้”
“อื้ม!”
“ยิง!”
กระสุนรัวเข้าหาโจรสลัดหนุ่มสาว เอสเปลี่ยนร่างเป็นเพลิงและวิ่งเข้าปะทะกับทหารเรือ ส่วนไดอาน่าก็สร้างกำแพงจากความสามารถของผลปีศาจ ‘มาเอะ มาเอะ’ ป้องกันตัวเองไปพร้อมๆ กับซัพพอร์ตดิวซ์
และแล้วการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นแม้ว่าทหารเรือจะมีจำนวนอยู่มากมายทว่าฝ่ายได้เปรียบกับเป็นพวกเอสซะมากกว่า
“อะ อะไรเนี่ย ปีศาจเหรอ!?”
“นะ นี่ เราจับผู้หญิงคนนั้นดีกว่า” ชายคนนึงผู้ขึ้นหลังสังเกตเห็นว่าไดอาน่าไม่ได้มีท่าทีต่อต้านหรือพุ่งเข้าทำร้ายใครแบบหมัดอัคคี
“ดูไม่สู้คนนะ”
“นั่นใช่ผู้หญิงที่พบเรือตรีบอกจะไปตามหาไหม”
“…?”
ดวงตาอัญมณีคู่สวยเหลือบมองต้นเหตุของเสียงกระซิบก่อนจะหันไปให้ความสนใจ
“ฮะ เฮ้ย! ไอ้หมอนั่น---"
“ย้ากก!!!” ชายฉกรรจ์ในคราบทหารเรือคนนึงเล็งปืนไปทางหญิงสาวด้วยท่าทีฮึกเฮิมฉับพลันกระสุนถูกรัวเข้าใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง
ปังๆๆๆๆ
กระสุนปืนถูกสะกัดด้วยกลีบดอกไม้ ไดอาน่าถอนหายใจ เหยียดแขนตรงไปด้านหน้าพลันกลีบดอกไม้ที่เคยเป็นโล่กำบังก็พุ่งไปหาทหารเรือ
“นะ นี่มันอะไรเนี่ย!”
“ขยับไม่ได้!”
เกิดเสียงตื่นตระหนกของทหาเรือที่โดนกลีบบุปผาห่อหุ้มร่างกายจนเหลือแค่ส่วนหัวและลำคอ ใครจะไปคิดว่ากลีบดอกไม้นิ่มๆ จะสามารถแข็งตัวและล็อคพวกเขาไว้กับที่ได้
“อย่าเข้าใจผิดสิ ถึงฉันไม่คิดอยากจะสู้แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้เล่นงานกันง่ายๆ” เธอยิ้มตาหยีให้เหล่าทหารเรือก่อนจะหมุนข้อมือเพื่อผลิกฝ่ามือขึ้นพลันกลีบดอกไม้ก็พาร่างที่ห่อหุ้มลอยขึ้น
ถึงเมื่อก่อนจะเป็นแค่นางระบำแต่เพราะตอนนี้เป็นโจรสลัดแถมยังมีค่าหัว ถ้าแค่ป้องกันตัวจากทหารเรือสักคนไม่ได้…เส้นทางสำหรับการผจญภัยก็คงเป็นได้แค่ฝัน
เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงของพวกเอสถึงได้พยายามจนทำได้ขนาดนี้…
นางระบำสาวหลับตาลงไปพร้อมๆ กับหมุนตัว กลีบดอกไม้และร่างของทหารเรือเริ่มลอยขยับตามเป็นวงกลมจากช้าๆ กลายเป็นเร็วขึ้น เร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีก!
“อุก!”
“เวียนหัว!”
“อ๊าก!”
“เย็นไว้ทุกคน ปัญหาแค่นี้ต้องผ่านไปได้---แหวะ!”
“…”
เอสหันกลับมาเช็คความปลอดภัยเพราะกังวลว่าคนด้านหลังจะเป็นอันตราย ทว่าหลังเห็นทอร์นาโดกลีบดอกไม้ที่หมุนอย่างรุนแรงตอนนี้ก็ได้แต่หลุดเสียงหัวเราะออกมา
หากเธอตัดสินใจจะปลิดชีวิตของพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่ควบคุมกลีบดอกไม้ให้คมเป็นใบมีดทุกอย่างก็จะจบ แต่ทว่าพายุกลีบดอกไม้ในครั้งนี้จึงมีจุดประสงค์เพียงแค่ทำให้ทหารเรือหมดสติและลุกขึ้นมาสู้ไม่ได้เท่านั้น
เรื่องที่ไดอาน่ายังไม่พร้อมจะลงมือฆ่าใครสักคนในชีวิต ทั้งเอสและพรรคพวกเองก็รู้ดีมันถึงทำให้ทุกครั้งที่พวกเขาต้องสู้ ไดอาน่าจะถูกห่วงเป็นพิเศษ
“หัวเราะอะไร -_-+++”
“ก็เปล่านี่ แค่เป็นห่วงน่ะ”
“…”
“ว่าแต่ตั้งชื่อท่ารึยัง”
“จำเป็นต้องตั้งด้วยเหรอ”
“ต้องตั้งสิ! เท่ออกนะ โอ๊ะ---” เอสเหวี่ยงตัวหลบก่อนจะถีบทหารเรือที่ลอบโจมตีด้านหลัง
“ว่ามาสิ…”
ว่ากันตามจริง ไดอาน่าไม่เคยแม้แต่จะคิดชื่อท่าเลยด้วยซ้ำเพราะคิดว่ามันไม่สำคัญเท่าไหร่ ว่าก็ว่าเถอะ ท่า ‘กำแพงบุปผา’ ที่ใช้ไปเมื่อครู่เดิมทีมันก็ไม่มีชื่อแต่ทว่าเมื่อไม่นานมานี้เธอกลับโดนเอสคะยั้นคะยอจนสุดท้ายก็ต้องยอมตั้ง ไม่สิ ต้องเรียกว่าให้เขาตั้งให้ซะมากกว่า
“พายุบุปผา!”
แค่ตั้งตามที่รู้สึกสินะ
“เอาแบบนั้นก็ได้”
เธอพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยล้าก่อนจะหลุดรอยยิ้มจางๆ ออกมา
“เฮ้! ฉันได้ดินแล้วนะ”
เมื่อมองตามต้นเสียงจะพบกับดิวซ์ที่ยืนโบกมืออยู่ บนไหล่ของเขามีถุงสีน้ำตาลขนาดกลางพาดอยู่และนั่นก็คงจะเป็นถุงที่บรรจุดินอาฟ
“เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ” เอสหันไปบอกไดอาน่าพร้อมกับออกตัววิ่งนำ
“อื้ม---!!!?”
โครม!!!
ขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มโจรสลัดชะงักแล้วหยุดวิ่ง ศีรษะค่อยๆ หันกลับไปมองด้านหลังที่เกิดเสียงดังเมื่อครู่
…
ร่างของไดอาน่านอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้นซึ่งนั่นเป็นเพราะทหารเรือลูกโป่งที่น่าจะหมดสติไปแล้วกดเธอเอาไว้กับพื้น ใช้เข่าข้างนึงทับหลังของร่างบาง ใช้มือซ้ายยึดแขนฝั่งเดียวกันของหญิงสาว ส่วนมืออีกข้างก็กดหัวของร่างบางเพื่อป้องกันไม่ให้เธอสามารถลุกขึ้นมาได้
“คิกคิกคิกคิก จับได้แล้ว!!!”
“…”
“ถ้าเอาแม่นี่ไปให้พลเรือตรีเลิฟแล้วล่ะก็ฉันต้องได้รับคำชื่นชมแน่ๆ เลย เอ้า! พวกแกเอาหินไคโรมา---"
พลั่ก!!!
หมัดที่มีเปลวเพลิงห่อหุ้มถูกประเคนเข้ากลางหน้าของทหารเรือคนนั้นส่งผลทำให้ร่างอ้วนกระเด็นถอยห่างจากไปไกล
“จะ เจ็บ...”
“นี่ เป็นอะไรไหม!?” ดิวซ์ที่วิ่งตามมาสมทบถามไดอาน่าที่เพิ่งยันตัวลุกนั่งด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“อืม คิดว่าไม่---เอ๊ะ?” มือเรียวยกขึ้นกุมหน้าผากด้วยอาการมึนงงทว่าความรู้สึกต่อมาคือความเจ็บ เสียงหอบหายใจถี่ขึ้น เธอลดมือของตัวเองลงพร้อมกับค่อยๆ แบมันออก ฉับพลันนัยน์ตาคู่สวยไหววูบด้วยความตกใจหลังพบว่าบนฝ่ามือของตัวเองมีโลหิตสีแดงเปื้อนอยู่
“นี่เธอ…เลือดนั่น?” เสียงพึมพำด้วยอาหารตกใจของดิวซ์ดังขึ้นเบาๆ
เธอจ้องมองเลือดในมือด้วยสายตาเหม่อลอยสักพักก่อนจะเงยหน้ามองเอส
‘ไดอาน่า!’
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มพร่ามัวจนกระทั่งมืดสนิทไป
…
..
.
หลังจากที่ไดอาน่าสลบไป ดิวซ์ที่เคยเป็นนักเรียนแพทย์รีบลงมือปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันที ในขณะเดียวกันหางตาของดิวซ์เหลือบไปเห็นเอสที่เอาแต่ก้มหน้าและกำหมัดแน่นนั่นคงเป็นเพราะความโกรธที่เห็นพวกพ้องบาดเจ็บ เด็กหนุ่มถึงคิดที่จะหันกลับไปเล่นงานทหารเรือลูกโป่งอีกครั้งโดยที่ไม่สนใจเสียงตะโกนห้ามของดิวซ์
เอสระบายความโกรธกับกองทัพเรือจนเกือบจะเผาทุกอย่างที่นั่น จนกระทั่ง…
ผู้ชายคนนั้น คนที่พวกเขาเจอที่ร้านอาหารในเมืองเดินเข้ามา สิ่งที่น่าตกใจเกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนนั้นสั่งให้ทหารเรือทุกคนลดอาวุธแล้วกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ หนำซ้ำยังบอกให้พวกเอสรีบออกไปจากที่นี่ เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นให้สักครั้ง
แน่นอนว่าเอสในตอนนั้นไม่คิดแม้แต่จะฟังแถมยังพาลพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มผมน้ำตาล ดิวซ์มารู้ทีหลังว่าชายคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นพลเรือตรี เขาถึงสามารถสู้กับเอสในสภาพที่บาดเจ็บนิดหน่อยจากการอาละวาดก่อนหน้านี้ได้สูสี ไม่สิ จากอาการบาดเจ็บและอารมณ์ที่เดือดพล่านไม่คิดหน้าคิดหลังของเอสทำให้ดูเหมือนพลเรือตรีคนนั้นจะได้เปรียบ
(ไม่มีเวลาแล้ว!)
นั่นคือสิ่งที่ดิวซ์คิด
ทหารเรือรู้แล้วว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ อีกไม่นานก็คงจะออกไล่จับนั่นหมายถึงพรรคพวกที่รออยู่ที่เรือกำลังจะเดือดร้อน พวกเขาถึงต้องรีบออกจากที่นั่น พอคิดได้แบบนั้นความอดทนของดิวซ์ก็สิ้นสุดลง
‘เลิกบ้าได้แล้ว เอส ไดอาน่าไม่ได้อยากให้นายเจ็บตัวแบบนี้นะ!!!’
เขาตะโกนออกไปแบบนั้น โดยที่ไม่คิดว่ามันจะได้ผล เอสชะงักและหยุดการกระทำทุกอย่างก่อนจะตัดสินใจผละออกจากพลเรือตรีตรงหน้าแล้วเดินมาหาดิวซ์ที่รออยู่
…
หลังกลับมา เรือ ‘พีซ ออฟ สปาดิล’ ก็แล่นออกจากเกาะอาฟโธโน่และมุ่งสู่เกาะต่อไป บรรยากาศไม่ครึกครื้นแบบทุกครั้ง ลูกเรือกลุ่มโจรสลัดสเปดตกใจไม่น้อยที่เห็นกัปตันมีบาดแผลกลับมา
ภายในห้องนอนเล็กๆ ดิวซ์กับเอสอาสาจะเฝ้าไดอาน่า เวลาล่วงเลยไปราวๆ สองชั่วโมงกว่า เธอฟื้นขึ้นมาด้วยอาการมึนงงคล้ายคนยังไม่ตื่นดี อาการปวดหัวแล่นพล่านและดูเหมือนว่าจะเริ่มมีไข้อ่อนๆ ไม่ทันที่จะได้พักผ่อนหรือซักถามเกี่ยวกับแผลของเอส เด็กหนุ่มหมัดอัคคีก็รีบคาดคั้นถึงสาเหตุที่เธอไม่วิ่งตามเขาไป และคำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้ทั้งสองคนตกใจไม่น้อย
ก่อนที่ตัวเธอจะถูกทหารเรือคนนั้นทำร้าย ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเล็กๆ ไดอาน่าเห็นภาพของทหารเรือลูกโป่งพุ่งเข้าใส่ตัวเองเหมือนอย่างที่เกิดขึ้น ทว่ามันกลับแตกต่างกันตรงที่ในตอนนั้นเธอตัดสินใจวิ่งตามเอสไปและคนที่บาดเจ็บก็ไม่ได้เป็นหญิงสาวหากแต่เป็น ‘เอส’ ที่เอาตัวมารับแรงกระแทกแทน
‘ถึงจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยแต่ฉันก็เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นนะ’
เธอบอกแบบนั้น
นางระบำสาวไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคืออะไร รู้เพียงแค่ว่าตอนนั้นตัวเองกำลังสับสนแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะเลือกผลลัพธ์แบบนี้
“อาจจะเป็นฮาคิสังเกตก็ได้นะ?” ดิวซ์ออกความเห็น
“คะ คงไม่ใช่หรอกมั้ง”
“ก็ไม่แน่นี่ รอดูต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน”
“นั่นสินะ ว่าแต่เอส…เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” เธอหันไปถามเด็กหนุ่มหลังเห็นว่าตอนนี้มีจังหวะที่สามารถถามคำถามได้
“…”
“ทำไมถึงเงียบแบบนั้นล่ะ?”
“…”
“ดิวซ์!” เมื่อเห็นว่าถามเจ้าตัวไปก็ไม่มีประโยชน์เธอถึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่อีกคนแทน
“อะ อ่า คะ คือ…” ชายสวมหน้ากากถอนหายใจก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง
หลังฟังเรื่องราวคร่าวๆ เธอหันมาหาเด็กหนุ่มอีกครั้งและพบกับใบหน้าตกกระที่เหมือนกับทรมานเพราะกำลังอดกลั้นบางอย่างเอาไว้
“ทำไม…”
“…?”
“ทำไมถึง...ไดอาน่า ยัยบ้า! ใครอนุญาตให้เธอทำแบบนั้นกัน” เอสที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น จ้องมองไปยังคนเจ็บด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“นายด่าใครยัยบ้าน่ะ? ฉันช่วยนายนะ ควรจะขอบใจไม่ใช่รึไง”
“ฉันไม่สน เธอ…ก่อนที่จะนึกถึงคนอื่นทำไมไม่นึกถึงตัวเอง หน้าที่ของกัปตันคือปกป้องลูกเรือแบบเธอนะ!”
“…”
“ฮะ เฮ้ เอส---"
“จะบอกว่าตอนนั้นคนที่สมควรโดนเล่นงานคือตัวนายงั้นเหรอ” ไดอาน่าหันไปจ้องเอสนิ่งๆ นัยน์ตาแข็งกร้าวเมื่อได้เห็นสายตาของอีกฝ่ายเป็นคำตอบ “อย่ามางี่เง่านะ ทำไมพูดเหมือนกับความเจ็บเป็นเรื่องที่สามารถรับแทนกันได้ล่ะ ถ้าจะพูดให้ถูกคนคนนั้นตั้งใจจะเล่นงานฉันต่างหาก นั่นก็เท่ากับว่าที่ฉันเจ็บแบบนี้น่ะถูกแล้ว!”
“แต่นั่นมันอันตราย!”
“แล้วทีนายล่ะ อาละวาดเหมือนกับคนบ้า ไม่รู้รึไงว่าชีวิตของคนเรามีค่ามากแค่ไหน!”
“ฉันมั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้เพราะฉันไม่มีทางแพ้แล้วจบอยู่แค่ที่นั่น! แต่กับเธอที่เป็นผู้หญิงร่างกายอ่อนแอถ้าเกิดว่ามันไม่ได้จบแค่ที่หัวแตกจะทำยังไง”
“ความมั่นใจนั่นนายไปเอามาจากที่ไหนกัน อย่าทำเหมือนรู้อนาคตได้มั้ย แล้วอีกอย่างถึงแบบนั้นฉันก็ไม่คิดที่จะมานั่งเสียใจทีหลัง ฉันทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปอีกร้อยครั้งหรือพันครั้ง ฉันก็จะทำแบบเดิม!”
“พูดแบบนั้นไม่เป็นห่วงตัวเองเลยรึไงกันห๊ะ!” เอสแยกเขี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราด
“แล้วนายมีสิทธิ์มาว่าคนอื่นได้ด้วยเหรอ!” และอีกคนก็ไม่ยอมแพ้ สีหน้าของหญิงสาวตอนนี้พร้อมจะเขมือบหัวเอสได้ทุกเวลา
“อย่ามาต่อปากต่อคำ ฉันเป็นกัปตันเธอนะ ต้องทำตามที่ฉันบอกสิ!”
“แต่ฉันแก่กว่านาย 4 ปี นายควรเคารพแล้วเชื่อฟังฉันที่เป็นผู้ใหญ่ต่างหากล่ะ!”
“นะ นี่พวกนาย…”
“คนที่เอาแต่บ่นเป็นป้าแบบเธอฉันไม่นับเป็นผู้ใหญ่หรอก”
“ถ้าเป็นป้าก็ต้องเป็นผู้ใหญ่สิ แต่เดี๋ยว! นายว่าใครเป็นป้ากันยะ!”
แง่งงง
ต่างฝ่ายต่างแยกเขี้ยวใส่กันด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวราวกับสุนัข(?)ที่กำลังจะกัดกัน การถกเถียงดำเนินต่อไปอย่างน่าอึดอัดและดุเดือด(?) ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยอมรับผิดและคิดว่าตัวเองสมควรเป็นคนบาดเจ็บทั้งคู่
“ดิวซ์! นายเองก็คิดเหมือนฉันใช่ไหม” เอสหันไปขอความเห็นของเพื่อนทว่าจากสายตาที่เขาใช้ดูท่าจะเป็นการบังคับมากกว่า
“นี่! อย่าขี้โกง” ร่างบางประท้วงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันไปขอกำลังเสริม
“เลิกทะเลาะกันเถอะน่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาทะเลาะกันสักหน่อย ฟังนะ ไดอาน่า ฉันเองก็เห็นด้วยกับเอสนะที่จะให้มันเจ็บแทนเธอ อย่างที่บอกเธอเป็นผู้หญิงถ้าเกิดเป็นอะไรมากกว่านั้นมันคงไม่ดีแน่ ส่วนหมอนี่แค่โดนแรงกระแทกไม่เป็นไรแน่นอน เพราะนอกจากเอสจะหัวทึบแล้วก็ยังเป็นพวกบ้าพลังแถมยังสติไม่ดี ก็นะเป็นพวกประเภทเจ็บไม่รู้จักจำนี่”
“อะฮ่า!” เอสร่าเริงทันทีที่เพื่อนสนับสนุนก่อนจะหันมายิ้มแฉ่งให้ร่างบาง
(นี่ เขาหลอกด่านายอยู่นะ)
“ส่วนแกเอส…” ดิวซ์หันไปหาเด็กหนุ่มผู้เป็นกัปตันเรือ “ฉันเห็นด้วยกับไดอาน่าเหมือนกันที่แกไม่ควรวิ่งเข้าหาอันตรายแบบนั้น เข้าใจว่าแกเก่งและแกรักพวกพ้องแต่การทำแบบนั้นมันเป็นการมองข้ามความรู้สึกเป็นห่วงของคนที่อยู่ด้านหลังนะ”
อื้ม อื้ม…
ไดอาน่าหลับตากอดอกพร้อมกับพยักหน้าให้กับคำพูดของดิวซ์ ถึงจะไม่พอใจที่ดิวซ์เข้าข้างเอสอยู่บ้างแต่มันก็ถูก ถือว่ายุติธรรมทั้งสองฝ่ายดี (ซะที่ไหน)
“…”
หญิงสาวลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเงียบที่ก่อตัวขึ้นชั่วขณะ เอสไม่ยอมพูดอะไร ไม่สบตาไดอาน่าหรือดิวซ์ ทำเพียงแค่ก้มมองพื้นด้วยดวงตาที่หม่นหมองเหมือนกับก้นทะเลลึก
พฤติกรรมนั้นอยู่ในสายตาของหญิงสาว เธอจ้องมองเด็กหนุ่มสักพักก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่าง
“ฉันไม่รู้นะ ว่านายมีเหตุผลอะไรอยู่ถึงได้ใช้ชีวิตแบบนั้น นายบอกจะไปให้ถึงจุดสูงสุดและนายไม่เคยวิ่งหนีอะไรแถมยังเอาแต่พุ่งเข้าใส่ จนบางทีก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ”
หลายครั้งที่รู้สึกเหมือนเขาใช้ชีวิตแบบรีบตาย ไม่เสียดายชีวิต
อยากจะแบ่งเบาความรู้สึกถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่เพราะเธอไม่เคยรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เอาสกำลังแบกรับ ไม่เคยรู้ความจริงเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของเขาเพราะแบบนั้นก็เลยเหมือนมีเส้นบางๆ ขีดกั้นไว้อยู่ และเธอเองก็เข้าใจดีว่าทุกคนมีเรื่องที่ไม่อยากเล่าให้ใครฟังอยู่เสมอ
“…”
“นายอาจจะไม่รู้ว่าการมีชีวิตอยู่ของนายในตอนนี้มันสำคัญกับฉันมากแค่ไหน”
“…?”
ไดอาน่ามองเอสสักพักก่อนจะเลื่อนสายตามาที่พื้นห้อง เธอคิดอะไรกับตัวเองสักพักก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วตัดสินใจเอื้อมไปหยิบหมอนใบใหญ่ที่อยู่บนเตียง
“นี่แน่ะ!” ก่อนจะปามันใส่หน้าของเอสอย่างแรงจนเด็กหนุ่มที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเกือบหงายหลัง โชคดีที่ยังพอมีไหวพริบและความสามารถยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ‘ทำบ้าอะไรของเธอห๊ะ!’ เอสตะโกนตอบมาแบบนั้น
“โปโตกัส ดี เอส!” เธอเรียกชื่อเต็มของเด็กหนุ่มเล่นเอาคนถูกเรียกชะงัก “ฉันจะไม่คุยกับนายจนกว่านายจะเข้าใจว่าชีวิตของตัวเองสำคัญมากแค่ไหน” พอพูดจบ ร่างบางก็รีบจับผ้าห่มบนเตียงคลุมปิดตัวเองชนิดที่เรียกว่ามิดชิดไม่เห็นแม้แต่เส้นผมและแน่นอนว่าพฤติกรรมเมื่อครู่ก็สร้างความงุนงงให้เอสกับดิวซ์
“หะ หา?” เอสตาโต ตอนนี้เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากๆ “หมายความว่ายังไง?”
“…”
“นี่ ไดอาน่า---”
“อย่ามาหลอกถาม เพราะตอนนี้ฉันโกรธอยู่และจะไม่คุยกับนาย” น้ำเสียงเหมือนคนที่กำลังงอนดังเล็ดลอดออกมาจากผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างบาง “ไม่คุยด้วยจริงๆ นะ”
เธอย้ำ
ดิวซ์หัวเราะอย่างอดไม่ได้กับพฤติกรรมเหมือนเด็กของไดอาน่า ชายสวมหน้ากากเดินมาหากัปตันที่กำลังทำหน้าเหวอ “ตอนนี้ให้เธอพักผ่อนไปก่อนแล้วกัน”
“ดะ เดี๋ยวสิ เฮ้…” หนุ่มหมัดอัคคีถูกเพื่อนรักลากคอออกจากห้องแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจอะไรเลย และทันทีที่ประตูห้องปิดลง ไดอาน่าก็ดึงผ้าห่มออกจากร่างของตัวเอง เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นภายในห้องเล็กๆ หญิงสาวพลิกตัวนอนตะแคงแล้วมองไปที่ประตูห้อง
‘งี่เง่าจังเลยเรา’
_____________________________
เพิ่งมารู้สึกถึงอาการสล็อตก็เมื่อไม่นานมานี้เองแหละค่ะ ฮ่าๆ ซึ่งนั่นทำให้เราเห็นอนาคตเรียบร้อยแล้ว เราคงไม่สามารถทำให้มันจบได้ก่อนเปิดเรียนจริงๆ ทำได้แค่แต่งให้ได้มากที่สุด แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีค่ะ ในเมื่อยังไงก็ไม่จบเร็วๆ นี้ เราก็เลยจะเขียนมันต่อเรื่อยๆ ไม่รีบและจะพยายามใส่ใจรายละเอียดมากขึ้นค่ะ (ขอเวลาไปย้อนดูวันพีชเพื่อเข้าใจไทม์ไลน์มากขึ้นด้วยนะคะ ฮ่าๆ)
~ ♡ ~
> > > > > เกี่ยวกับตอนนี้ < < < < <
- อย่างแรกเลย 'เลิฟ' ไม่ได้มีบทแค่นี้นะคะ (เผื่อมีคนงงว่าจะเอาเขามาทำไมกันถ้าจะมาแค่นี้ ฮะๆ)
- ทั้งตอนนี้และตอนก่อนหน้า ภาษากับสำนวนอาจจะซ้ำหรือมีคำผิดเยอะเพราะรีบแต่งค่ะ แต่จะมา Rewrite แน่ๆ แค่ไม่ใช่เร็วๆ นี้ (?) ไรท์อยากแต่งไปก่อน~
สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณทุกคนที่ยังเข้ามาอ่านนะคะ ><
เครดิต : ภาพไดอาน่าจิบิเป็นคอมมิชันที่เราสั่งมาจากคุณคนนี้นะคะ (จิ้ม)
เครดิต : โลโก้นามปากกาเราเป็นคอมมิชชันที่เราสั่งมาจากคุณคนนี้นะคะ (จิ้ม)
ความคิดเห็น