ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC ONE PIECE | ACE X OC | ครั้งหนึ่งเมื่อดอกไม้ผลิบาน [ปิดตอนรีไรท์]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : หญิงสาวกับน้ำตา

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 65


     

    ครั้งหนึ่งเมื่อดอกไม้ผลิบาน

    | 1 |

    หญิงสาวกับน้ำตา


     

    ใจกลางของเกาะร่ายรำ สถานที่แห่งนี้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ซึ่งผู้คนบนเกาะจะนำสินค้ามาซื้อขายและแลกเปลี่ยนกัน หากเป็นช่วงเวลาปกติผู้คนบนเกาะคงไม่ได้มีจำนวนมากนักเมื่อเทียบกับช่วงนี้ซึ่งใกล้วันเทศกาลขอบคุณ

    มันจึงไม่แปลกหากในตลาดหรือทั่วทุกมุมของเกาะจะครึกครื้นและเสียงดังกว่าทุกครั้ง เพราะนอกจากคนบนเกาะแล้วก็ยังมีผู้คนจากภายนอกที่เริ่มเข้ามาเพื่อรอเฉลิมฉลองในวันงานเทศกาล

    ผู้คนบนเกาะเองก็เริ่มวุ่นวายกับการเตรียมงานเทศกาล ทั้งการจัดซุ้มเพื่อขายสินค้า ของประดับสถานที่ เวทีการแสดง ขบวนพาเหรด ฯลฯ ในตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทางเป็นส่วนใหญ่และใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย

    .

    .

    .

    ภายในร้านตัดชุดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง

    “ชุดไม่คับหรือหลวมไปใช่ไหม”

    “…”

    “ไดอาน่า…”

    “…”

    “ไดอาน่า!”

    “อ๊ะ!? มาดาม!” ร่างบางสะดุ้ง ดวงตาอัญมณีสีแดงอมชมพูเบิกโต ก่อนจะเลื่อนสายตาจากนิ้วมือของตัวไปยังคนที่ยืนเท้าเอวอยู่ด้านหน้า “มะ มีอะไรเหรอคะ?”

    “เธอไม่ได้ฟังที่ฉันถามเลยสินะ” เอลลี่ถอนหายใจกับพฤติกรรมเหม่อลอยของลูกศิษย์ “ฉันถามว่าชุดที่ลองเมื่อกี้ไม่คับหรือหลวมใช่ไหม”

    “เอ่อ ไม่ค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะชะงักเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “แต่ว่าช่วงอกของตัวที่สองมันคับไปนิดหน่อย คิดว่าไซส์ของตัวแรกกำลังพอดีเลย”

    “งั้นเหรอ? แปลว่าหน้าอกเธอใหญ่ขึ้นอีกแล้วสินะ” เอลลี่พึมพำราวกับไม่ได้ใส่ใจผิดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งตอนนี้กำลังหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ “แต่ฉันคิดว่าตัวที่สองเย็บออกมาได้ประณีตมากกว่า…แล้วก็ยังวาบหวิวน้อยกว่าตัวแรกด้วย เธอคิดว่าไง”

    “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ“

    “งั้นก็ดี เดี๋ยวจะบอกร้านแก้ขนาดตัวที่สองให้แล้วกัน เธอไปรอหน้าร้านก่อน”

    “เข้าใจแล้วค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะทำตามคำสั่ง

    กริ๊ง!

    เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อเธอผลักประตูออกไป ไดอาน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่ทนอึดอัดอยูในร้านมานานหลายชั่วโมง หากเป็นเวลาปกติเธอคงรู้สึกสนุกกับการลองชุดแท้ๆ แต่เพราะความรู้สึกสลดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้เจ้าตัวไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรต่ออีกแล้ว

    ตั้งแต่เมื่อวานที่เธอรู้ว่าตัวเองจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีก 5 ปี จิตใจของเธอก็ไม่ค่อยอยู่กับตัวสักเท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่าการที่เธอเป็นแบบนี้มันส่งผลกระทบต่อการซ้อมของเธอ และไม่วายโดนเอลลี่ดุยกใหญ่เลยด้วย

    “อีก 5 ปีงั้นเหรอ?” ร่างบางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยกสองมือขึ้นตบข้างแก้มสองที “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรน่า!” ไดอาน่าแสร้งกล่าวให้กำลังใจกับตัวเองด้วยน้ำเสียงร่าเริง

    เรื่องให้กำลังใจตัวเองเธอทำมากี่ครั้งแล้ว? ครั้งนี้ก็ต้องได้ผลสิ ใช่ไหม

    เพียงแค่เธอรออีก 5 ปี...

    แค่...?

    “…”

    นั่นสิ มันไม่แปลกเลยถ้าหากเธอจะทำตัวร่าเริงเหมือนทุกครั้งไม่ได้ มันเหมือนถูกแย่งชิงความฝันไป สิ่งที่เธอเฝ้ารอมาตลอดตั้งแต่วัยเด็กถูกหยุดชะงักลง

    เหมือนกับโซ่เส้นใหม่ที่อยู่ๆ ก็เข้ามาล่ามเธอไว้ทั้งที่โซ่เส้นเก่าของเธอกำลังจะพังและหลุดออก เธอเกือบจะเป็นอิสระอยู่แล้ว

    หนีไปเลยดีไหม?

    เสียงของเอลลี่แวบเข้ามาในหัว

    หนี...หนีงั้นเหรอ?

    อย่าคิดบ้าๆ ได้ไหม ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าเป็นการหักหน้าตระกูลฟาลันนี่นา พวกเขาคงไม่อยู่เฉย การที่จะออกจากที่นี่ไปโดยที่ไม่ถูกไล่จับกลับมามันคงเป็นไปไม่ได้ แล้วลำพังแค่ตัวฉันจะหนีพ้นได้ยังไงกัน?

    ใช่ว่าเธอไม่เคยคิดอยากจะหนีแต่เพราะเธอมั่นใจว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ต่างหาก

    ตระกูลฟาลันถึงจะอยู่ในเกาะเล็กๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีอำนาจอะไร ปัจจุบันตระกูลฟาลันเองก็มีเส้นสายกับรัฐบาลและคนใหญ่คนโตของโลกอย่างเผ่ามังกรฟ้าด้วยวิธีบางอย่าง

    ผู้คนบนเกาะลือกันว่าผู้นำตระกูลติดสินบนจำนวนมากเอาไว้ ดังนั้นหากมีใครทำอะไรให้ตระกูลฟาลันขัดใจก็คงไม่แปลก...ถ้าจะมีทหารเรือไปยืนล้อมหน้าบ้านในตอนเช้าตรู่

    หากมีคนใดคนหนึ่งที่เคยมีประโยชน์คิดหนีออกจากเกาะ มันคงเป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งความสนใจหากมองในมุมของตระกูลฟาลัน แต่มันไม่ใช่สำหรับคนที่อยู่ในตำแหน่งนางระบำที่งดงามที่สุด เพราะในงานเทศกาลทุกปี การแสดงระบำคือสิ่งสำคัญที่สุดดังนั้นตระกูลฟาลันจึงให้ความสำคัญกับเหล่านางระบำมากๆ

    การที่งานเทศกาลออกมาสมบูรณ์แบบก็เท่ากับว่าชื่อเสียงของตระกูลฟาลันก็จะยังคงสมบูรณ์แบบในฐานะผู้รับผิดชอบการจัดงาน นั่นคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบทลงโทษของนางระบำที่คิดจะหนีออกจากเกาะถึงได้หนักหนาสาหัสซะยิ่งกว่าการที่มีคนมาลักลอบวางเพลิงคฤหาสน์ของตระกูลฟาลันซะอีก

    “คงต้องรอจริงๆ…”

    “โจรสลัด!!!!”

    “...?”

    “ช่วยด้วยจ้า! โจรสลัดคนนั้นเป็นพวกกินแล้วชิ่งจ้า!!!”

    “โจรสลัด?” ในตอนที่ไดอาน่ากำลังจมอยู่กับความหม่นหมองของชีวิต เสียงตะโกนของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเธอ

    ซึ่งเสียงนั้นก็ไม่เพียงแค่เรียกความสนใจจากไดอาน่าแต่ยังเรียกความสนใจของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นให้รวมไปที่ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางนี้

    หมวกคาวบอยสีส้มเด่นสะดุดตาทำให้ไดอาน่าเผลอจ้องร่างนั้นตรงๆ ถึงจะน่าตกใจที่มีคนกินแล้วชิ่งวิ่งอยู่ในตลาดแต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็นสักหน่อย ในตอนนี้สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจจริงๆ ก็คือความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาต่างหาก

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เด็กเวร!”

    “อย่าตามมาสิลุง ฉันก็แค่ลืมเอากระเป๋าตังค์มาเองเดี๋ยวกลับมาจ่ายด้วยสมบัติ!” เด็กหนุ่มตะโกนตอบชายวัยกลางคนที่วิ่งตามตัวเองมาติดๆ

    “เอาเงินมาจ่ายฉันเดี๋ยวนี้ ฉันถึงจะเลิกตาม!!!”

    “ขอติดไว้ก่อนไม่ได้หรือไง!”

    (ได้ก็บ้าแล้วล่ะ) เสียงในใจของทุกคนที่อยู่รอบๆ ดังขึ้นพร้อมกัน

    ถ้าพวกทหารเรือมาเจอเข้าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่

    ไดอาน่าคิดพลางมองเด็กหนุ่มด้วยความคิดแบบนั้น

    “ยังเด็กอยู่เลย อายุเท่าไหร่กันนะ...”

    พอเด็กหนุ่มโจรสลัดเห็นว่าชายชรายังคงไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตามจึงหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีอีกครั้ง

    กริ๊ง!

    เสียงกระดิ่งของร้านดังขึ้นพร้อมกับร่างของหญิงอายุมากเดินออกมา ไดอาน่าผละความสนใจกลับไปมองมาดามเอลลี่ที่เพิ่งจะเดินออกจากร้านมาด้วยสีหน้าสงสัย

    “เอะอะอะไรกันไดอาน่า?” เอลลี่หันไปมองต้นเหตุของความวุ่นวาย

    “เห็นว่าจะมีโจรสลัดกินแล้วหนีน่ะค่ะ”

    “โจรสลัด?” เอลลี่เลิกคิ้ว

    “…!?”

    ตึก!

    เพราะเสียงฝีเท้าที่กระทบพื้นตรงหน้าทำให้หญิงสาวละสายตาจากเอลลี่มามองทางต้นเสียง

    ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน รู้สึกเหมือนกับทุกอย่างมันเคลื่อนที่ช้าลง ในจังหวะที่เด็กหนุ่มโจรสลัดกำลังจะวิ่งผ่านเธอไป ดวงตาของทั้งคู่ก็สบกันโดยบังเอิญ

    คงเพราะนั่นมันเป็นการพบกันครั้งแรกของเธอและเขา

    มันถึงเป็นภาพที่เธอจดจำได้ดี…


     

    ‘ผมหยักศกสีดำสวมทับด้วยหมวกคาวบอยสีส้ม ใบหน้าตกกระฉีกยิ้มกว้างโดยไม่เกรงกลัวกับสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ และดวงตาสีนิลที่กำลังจ้องมองมาที่เธอ’


     

    หน้าตอนวิ่งตลกจัง

    นั่นเป็นความประทับใจแปลกๆ ที่เธอมีให้เขา

     

     

    “ทำได้ดีเหมือนเคยเลยนะคะ คุณไดอาน่า” เสียงเข้มงวดของหญิงที่มีบรรดาศักดิ์สูงสุดในเกาะเอ่ยขึ้นหลังชมการซ้อมระบำเมื่อครู่

    ฟาลัน รีฟ ผู้นำตระกูลฟาลันคนปัจจุบันและเป็นประธานในการจัดงานเทศกาลของเกาะร่ายรำปีนี้

    “พยายามฝึกซ้อมให้คุณไดอาน่าทำได้แบบนี้จนถึงวันงานซะนะ มาดามเอลลี่”

    “เข้าใจแล้วค่ะ คุณผู้หญิง” เจ้าของชื่อโค้งตัวน้อมรับ

    “แล้วก็ก่อนไปฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณไดอาน่าค่ะ” ไดอาน่าและเอลลี่ชะงักพร้อมกันทันทีที่ได้รีฟกล่าว

    มีเรื่องจะคุยงั้นเหรอ? แปลก…

    “เรื่อง…อะไรเหรอคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ เพราะแววตาที่จ้องมองมากำลังแสดงถึงความไม่พอใจ

    “เป็นเรื่องส่วนตัวน่ะค่ะ มาดามเอลลี่ช่วยออกไปก่อนได้ไหมคะ”

    “อะ เอ่อ…” ใบหน้าของเอลลี่เริ่มฉายแววกังวล

    จริงอยู่ที่เมื่อใกล้วันงานทุกครั้ง รีฟจะมาดูการซ้อมของไดอาน่าก่อนประมาณ 2 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ทำผิดพลาดและงานจะออกมาสมบูรณ์แบบ แต่แน่นอนว่ามันไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รีฟจะขอคุยกับเธเป็นการส่วนตัว

    นั่นจึงทำให้เอลลี่เริ่มใจไม่ดี…

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มาดาม” หญิงสาวส่งยิ้มให้เป็นนัยว่า ‘ไม่ต้องเป็นห่วง’

    “แต่…”

    “มาดามเอลลี่ ดิฉันก็แค่คุยเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแหละค่ะ” รีฟกล่าวด้วยรอยยิ้มแต่น้ำเสียงกลับตรงกันข้าม

    “เข้าใจแล้วค่ะ” เธอลอบถอนหายใจและยอมเดินออกไปจากห้องเงียบๆ

    ไดอาน่ายิ้มส่งอาจารย์ที่เดินออกจากห้องไป ก่อนจะค่อยๆ หุบรอยยิ้มจนกลายเป็นสีหน้านิ่งเรียบ

    “ฉันทราบมาว่าคุณไดอาน่าต้องการออกไปจากเกาะนี้ใช่ไหมคะ”

    “…!?” เป็นไปอย่างที่เธอคิด รีฟตั้งใจจะพูดเรื่องนี้จริงๆ

    ไปรู้มาจากไหนกันนะ

    “ดูจากปฏิกิริยานั้นแล้ว คงจริงสินะ” หญิงวัยกลางคนจ้องมองเธอนิ่งก่อนจะสาวเท้าเข้ามายืนตรงหน้าใกล้ๆ อีกฝ่าย

    “ที่อยากจะบอกก็คือตัดใจซะเถอะนะคะ”

    “...”

    “คุณคงรู้อยู่แล้วล่ะค่ะ ว่าการที่นางระบำคนสำคัญแบบคุณหนีออกจากเกาะจะต้องเจอกับอะไรบ้าง”

    ใช่ เธอรู้…

    “ถ้าหากรู้แล้วแต่คุณยังคิดจะหนีก็คงต้องขอให้ถอดใจอยู่ดีค่ะ เพราะในวันงานเทศกาลดิฉันได้สั่งให้คนของกองทัพเรือมาเฝ้าทั่วทุกมุมเกาะเรียบร้อยแล้ว พูดถึงตรงนี้แล้วคนฉลาดแบบคงพอจะเข้าใจนะคะ”

    (งั้นเหรอ? ต้องทำขนาดนี้เลยสินะ)

    “ฉัน...เข้าใจดีค่ะ” หญิงสาวแสร้งยิ้ม

    “งั้นเหรอคะ? ดีใจนะคะ ที่คิดได้แบบนั้นเพราะถ้าหากคุณหนีไปจริงๆ ดิฉันคงแย่แน่ๆ” รีฟยกยิ้มมุมปากก่อนจะหลับตาเดินผ่านร่างของไดอาน่าไป “เรื่องที่จะคุยจบแล้วล่ะค่ะ ฉันหวังว่าคุณจะทำให้การร่ายรำออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่เคยทำมาตลอดนะคะ คุณไดอาน่า”

    “...”

    .

    .

    .

    “ไดอาน่า!” เสียงของเอลลี่ดังขึ้นแทบจะทันทีหลังที่รีฟเดินออกไป “คุณผู้หญิงเขาพูดอะไรกับเธอเหรอ?”

    “…” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันกลับมาส่งรอยยิ้มเหมือนทุกครั้งให้อาจารย์ “คุยเรื่องฝึกซ้อมเพิ่มเติมน่ะค่ะ เพราะฉันเผลอทำพลาดนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรแล้วค่ะ คุณรีฟเค้าให้อภัยแล้วก็แนะนำเพิ่มเติมเฉยๆ”

    “ไม่จริง…”

    เธอยิ้มตอบเอลลี่คล้ายกำลังจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

    “ตอนนี้ดึกมากแล้วแถมฉันก็เหนื่อยมากเลยด้วย ถ้ายังไงฉันขอกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนนะคะ” เธอกล่าวพลางเดินไปหยิบกระเป๋าที่มุมห้อง ไม่แม้แต่จะหันมามองเอลลี่

    “ดีแล้วเหรอ?” เอลลี่พึมพำ “อยู่ที่นี่ต่อ…ดีแล้วเหรอ?”

    มือเรียวกำกระเป๋าแน่น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ภาพตรงหน้าเริ่มถูกบดบังด้วยหยาดน้ำใสที่รื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

    “ไปก่อนนะคะ...” เธอหลับตาวิ่งออกจากห้องพร้อมกอดกระเป๋าแน่นทิ้งให้หญิงอาวุโสยืนอยู่ในห้องคนเดียว

    “จริงๆ แล้วเธอไม่มีความสุขใช่ไหมล่ะ”

    ไดอาน่า

     

     

    แสงไฟสว่างสไวถูกประดับไว้ทั่วตัวเมือง ผู้คนยังคงเดินขวักไขว่กันตลอดถนนแม้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลาเที่ยงคืน บรรยากาศยังคงครึกครื้นไม่ต่างจากช่วงกลางวัน สีหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกถึงความรู้สึกสนุกสนาน

    “แม่ฮะ! พ่อฮะ! ผมอยากกินอันนั้น”

    “นี่! ร้านนั้นชุดสวยมากไปดูกันไหม”

    “ที่รักอันนี้อร่อยยมาก ลองชิมดูสิ”

    “ทางนี้จ้า ผลไม้สดๆ อยู่ทางนี้จ้า”

    “ไฟในเมืองสวยมากเลยล่ะ”

    “คิดถูกแล้วที่มา”

    “รอถึงวันงานจริงๆ ไม่ไหวแล้วล่ะ”

    เสียงพูดคุยยังคงดังไม่ขาดสายตลอดทางที่เด็กหนุ่มเดินผ่าน

    “ดูครึกคื้นจังนะ” เอสพึมพำก่อนมองรอบๆ ด้วยความสนอกสนใจ

    “เฮ้! เอสแกฟังที่ฉันพูดอยู่ไหม” ดิวซ์ที่เดินข้างๆ แยกเขี้ยว เมื่อเห็นว่าคนที่เดินมาด้วยกันเมินคำพูดของตัวเอง

    “รู้แล้วน่า…”

    “รู้อะไร!?”

    “ก็รู้ว่านายไม่อยากไปล้างจานอีกไง”

    “ไม่ใช่โว้ย! ฉันบอกนายว่าอย่าไปไหนคนเดียวโดยไม่เอากระเป๋าตังค์ติดตัวอีกต่างหาก” ดิวซ์ถอนหายใจก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน

    เพราะกัปตันของเขาอยู่ๆ ก็หายตัวไปจากเรือโดยไม่เอากระเป๋าตังค์ติดตัวไป แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้นมันก็เลยเป็นไปตามคาด ‘เอสกินแล้วหนี’ ทำให้คนทั้งเมืองช่วยกันจับและเกือบจะโยนเขาลงแม่น้ำ โชคดีที่ตอนนั้นดิวซ์ตามหาเอสเจอพอดีแต่ชายหนุ่มก็แทบจะเข่าทรุดเพราะกัปตันของเขาเล่นฟาดอาหารเกินจำนวนเงินในกระเป๋า สุดท้ายก็จบด้วยการที่ทั้งสองคนต้องไปล้างจานเพื่อชดใช้ค่าอาหาร

    ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาและได้เดินเที่ยวจริงๆ จังๆ สักที

    “ฟังนะเอส! นายน่ะ…”

    ตึกๆๆๆ

    “หืม?” เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เอสผละความสนใจจากร้านอาหารที่เล็งเอาไว้

    แสงของไฟในเมืองตกกระทบกับหยดน้ำที่ปลิวไปตามสายลม

    ...น้ำตา…

    เด็กหนุ่มโจรสลัดเผลอมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวที่วิ่งผ่านเขาไปเมื่อครู่

    ตุ้บ!

    เสียงของวัตถุบางอย่างตกกระทบกับรองเท้าของเขา

    “เฮ้ย! เอสฟังฉันก่อน---เอ๋? อะไรน่ะ” ดิวซ์ชะงักเมื่อเห็นว่าเอสก้มมองพื้น

    “สมุด?” เอสพึมพำก่อนก้มลงหยิบสมุดพกเล่มเล็กขึ้นมา

    “ของใครน่ะ”

    “เฮ้ ดิวซ์ฉันมีเรื่องที่ต้องทำนายกลับเรือไปก่อนนะ!” เอสกล่าวก่อนจะออกตัววิ่งไปตามเส้นทางที่แผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้นหายไป

    “อะ อ้าว เฮ้ย เอส!” ดิวซ์ถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเขาห้ามกัปตันของตัวเองเอาไว้ไม่ทัน เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ กัปตันของเขาลืมเอากระเป๋าตังค์อีกแล้ว


     


     


     


     


     


     


     

    ____________________________


     

    พยายามจะอัพถี่ๆ แล้วค่ะ แต่คือลังเลมากว่าจะให้เอสกับไดอาน่าเจอกันแบบไหนดี คิดไว้หลายแบบแต่ก็จบลงด้วยแบบนี้แหละค่ะ (?)

    ตอนหน้าพวกเขาจะได้พูดคุยกันจริงๆ แล้วล่ะค่ะ ยังไงก็ฝากติชมหรือแนะนำด้วยนะค้า ♥

    เครดิต : ภาพไดอาน่าจิบิเป็นคอมมิชันที่เราสั่งมาจากคุณคนนี้นะคะ (จิ้ม)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×