ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    uncanny พิสูจน์ไม่ได้(รีไรท์รอบสามแล้วโว้ย)

    ลำดับตอนที่ #2 : ลางสังหรณ์ที่I:ความตาย(รีไรท์4)

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 54


    ลางสังหรณ์ที่I:ความตาย(รีไรท์)

                    หญิงสาวร่างบางส่วนสูงไม่เกิน155 cmเรือนผมสีดำสนิทดุจรัตติกาลไร้แสงดาวตัดทรงนักเรียนหญิงมัธยมต้นถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว นัยน์ตาสีดำเช่นกัน ใบหน้านั้นมองซ้ายขวาจนผมสะบัดตามแรงราวกับมองหาใครบางคนหน้าโรงเรียน คนๆนั้นอาจจะมองไม่เห็นเนื่องด้วย ตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ แต่มันจะยืนตรงไหนก็ไม่ต่างกันนักหรอกส่วนสูง เธอเตี้ย ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย คนเดินผ่านอาจจะสะดุดเธอได้ด้วยซ้ำ บางคนที่ไม่เคยมองเท้าตัวเองเวลาเดิน และชุดนักเรียนที่เธอสวมใส่ปะปนกับนักเรียนที่เดินขวักไขว่รอผู้ปกครองและซื้อของกินเล่นอย่างวุ่นวาย...มหาศาลจริงๆมาจากไหนกันเนี่ย

                     "ไง...รอนานมั้ย"เสียงทักจากด้านหลังทำเอาเธอสะดุ้ง พอหันไปเจอเจ้าของเสียงก็ทำหน้ามุ่ย อยากตีแขนเขาสักครั้งสองครั้งเป็นการลงโทษที่เขานั้นปล่อยให้เธอรอเขานานเสียเหลือเกิน ร่างของคนตัวสูงกว่าหัวเราะเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศเจ๊าะแจ๊ะจอแจ คนตัวเล็กกว่าเบะปากอย่างไม่พอใจความรู้สึกที่ผุดวาบขึ้นมาในใจของเธอตอนนี้ งอน...มาช้าไม่พอแกล้งให้ตกใจอีกต่างหาก แบบนี้มันน่านักนะ เธอทำสีหน้าโกรธๆ

                     ชายร่างสูงใบหน้าคมคายเป็นที่นิยมของหญิงสาวทั่วโรงเรียน เรือนผมสีน้ำตาลเข้มตัดทรงรากไทร  ดวงตาสีดำสนิทเช่นกันกับเธอดูอบอุ่นเมื่อมองไปยังใครต่อใครยืนยิ้มบางๆให้เธออยู่พลางเอามือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงนักเรียน อีกมือหนึ่งนั้นถือกระเป๋านักเรียนหนังที่บรรจุหนังสือเรียนเอาไว้จนพองหมดสง่าความเป็นกระเป๋านักเรียนหนังไปเลย เขาคนนี้หาใช่แฟนของเธอแต่กลับเป็นเพื่อนสนิท...มากๆด้วย

                     "ไม่นานธรรมดา...ไปหลีสาวสิท่า"เธอพูดงอนๆ พลางค้อนเข้าให้วงโต เขาเป็นเด็กที่ได้รับความนิยมของพวกนักเรียนหญิงทั่วโรงเรียนจึงมักมาหาเธอช้าเพราะกว่าจะฝ่าวงล้อมของนักเรียนหญิงทั้งหลายมาได้ และมีหลายครั้งอยู่เหมือนกันที่เธอกับเขาจะต้องวิ่งหนีเหล่านักเรียนหญิงผู้คลั่งไคล้ในความหล่อเหลาของเขา ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเจื่อนๆเมื่อเธอพูดเช่นนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าเขา ไม่เคยชอบผู้หญิงพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ชื่อก็ไม่เคยรู้จัก เขาส่ายหน้าเบา...ไม่หึงใช่มั้ยนั่น

                    เขาอดขำชาช่าในใจไม่ได้ เด็กหญิงตรงหน้าเป็นคนมีเพื่อนน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพื่อนที่มีก็เกิดจากเพื่อนคนนั้นเดินเข้ามาทัก...2 คน เท่านั้นหากไม่นับเขา ถึงแม้ชาช่าจะเป็นคนร่าเริง แต่ก็เฉพาะกับเพื่อนสนิท หากไม่สนิทก็แค่ยิ้มรับเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไร แต่มันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะเขากับเพื่อนอีกสองคนนั้นจะเป็นคนยืนอยู่เคียงข้างเธอเองหากว่าเธอมีอะไรเกิดขึ้น เขามอบรอยยิ้มอบอุ่นให้เธอ ไม่เคยมีใครได้ไปนอกจากเธอเท่านั้น รอยยิ้มนี้มีให้ชาช่ามอง...คนเดียว

                     "โธ่แค่อายุ 12 เองยังไม่คิดเรื่องแบบนั้นหรอก...ฉันทำเวรต่างหาก"คนตัวสูงกว่าพูดแก้ตัวราวกับกลัวว่าเธอจะโกรธเมื่อเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น "กลับบ้านกัน"เขาดึงแขนเธอให้ออกจากหน้าโรงเรียนมือข้างที่ล้วงกระเป๋านั้นหลังจากดึงเธอออกมาแล้วก็ถือกระเป๋าของเธอซึ่งมีสภาพไม่แตกต่างไปจากของเขาเท่าไรนักมาถือไว้ มีอยู่ไม่กี่คนที่รู้จักบ้านของเขา หนึ่งในนั้นก็คือเธอ และมีเพื่อนของเธออีกสองคนที่ไม่บ้าผู้ชายตามผู้หญิงพวกนั้นไปด้วย ทั้งคู่จะเดินกลับบ้านไปด้วยก้น เพราะว่าบ้านของเพื่อนอีกสองคนนั้นอยู่กันคนละทางกับเธอ
     
                       เดินไปตามทางเท้าอย่างเงียบๆ เลียบกับถนนใหญ่ รถบนถนนค่อนข้างวิ่งมาด้วยความเร็ว ถนนโล่ง ร่างเล็กรู้สึกใจหวิวๆอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อหันมองไปที่ถนน ชายหนุ่มมองเธอ วันนี้เธอดูแปลกๆ จะว่าไปมันก็แปลกทุกครั้งที่เธอรู้สึกถึงบางอย่าง บางอย่างที่คนทั่วไปไม่รู้สึก...ความตายที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา เด็กชายชักขนลุก เธอจะรู้สึกอะไรอีกหรือเปล่ากันนะ

                     "พจน์...วันนี้นายระวังตัวด้วยนะ ฉันรู้สึกใจไม่ดีเลย"เธอหันไปมองเพื่อนหนุ่มพลางจับแขนของเขาเบาๆ  พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ดวงตาคู่งามกลอกมองไปมารอบตัวราวกับจะระแวงทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้ แรงจากมือน้อยๆทำให้เขารู้ว่าเธอกลัว เขามองหน้าเธอแบบไม่ตกใจ เขารู้อยู่แล้วและเธอจะเตือนเขาไม่ค่อยบ่อยนักเพราะว่าความรู้สึกแบบนี้ นานๆจะเกิดขึ้นกับเธอ...แสดงว่าครั้งนี้คงจะร้ายแรงกว่าที่ผ่านมา ชาช่าถึงได้มีอาการวิตกกังวลขนาดนี้

                     "ฉันจะระวังตัวละกันนะ...ชาช่า"ชายหนุ่มหันมาพูดกับเธอเบาๆ เอามือวางไว้บนหัวของเธอ  พลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
    มืออีกข้างถือกระเป๋าหนักๆสองใบปวดชาไปทั้งแขน แต่เขาก็เต็มใจที่จะทำเพื่อเพื่อนคนนี้ เขารู้ว่าสัญชาตญาณของเพื่อนสาวนั้นแม่นเสมอพูดอะไรมักจะเป็นจริงไปตามนั้น เกือบๆจะร้อยเปอร์เซ้นต์เพราะเหตุใดไม่อาจทราบได้แต่จริงๆแล้วนั่นก็เพราะเธอนั้น...มีพลังหยั่งรู้ถึงความตายได้

                     ชาช่าเป็นเด็กที่ลางสังหรณ์แม่นมาตั้งแต่เด็กมันคือความสามารถที่มีมาตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ เธอเป็นคนคอยเตือนคนรอบข้างให้ระวังเหตุการณ์ที่อันตรายเสมอๆ ทั้งเรื่องอุบัติเหตุ หรือเรื่องร้ายๆที่เสี่ยงกับชีวิตก็แล้วแต่ เมื่อก่อนเขาก็ไม่เชื่อ แต่เพราะทุกครั้งที่เธอพูด เธอพูดตรงทุกๆครั้งเพราะฉะนั้น พจน์จึงเชื่อคำเตือนของเธออย่างสนิทใจ และระวังตนเองทุกครั้งที่เธอเตือน
                     
                      บรื๊น!!!!!!

                      สิ่งที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นแทบจะทันทีที่บทสนทนาของทั้งคู่นั้นได้จบลง รถจักรยานยนต์คันหนึ่งวิ่งมาบนทางเท้า ชายหนุ่มเห็นว่าใกล้ทั้งคู่มากเกินกว่าที่จะหลบพ้นทั้งคู่ เพราะด้านหนึ่งเป็นถนนคือฝั่งของเขา และอีกฝั่งเป็นพงหญ้าเตี้ยๆซึ่งคือฝั้่งของชาช่า เขาจึงผลักเธอออกจากรัสมีของรถจักรยานยนต์ เธอล้มลงไปอีกทางที่มีพงหญ้าทำให้แขนของเธอถลอกเล็กน้อยส่วนตัวเองโดนชนเข้าเต็มๆ!!

                      ร่างของพจน์ลอยคว้างขึ้นไปบนอากาศเนื่องจากแรงกระแทกของการชนอย่างรุนแรงและรวดเร็วเมื่อครู่ ใบหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยว เหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงกระแทกกับพื้นถนนที่ร้อนระอุอย่างรุนแรง ชาช่ารีบวิ่งไปประคองเขา ไม่ได้เกรงกลัวเลยว่าจะมีรถสักคันวิ่งมาพุ่งชนเธอ ร่างบางไม่หันไปมองรถจักรยานยนต์คันนั้น เขาไม่รับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด ซ้ำแล้วยังเร่งเครื่องบิดหนีพวกเธอไปอย่างไม่ไยดี...ไร้หัวใจเหลือเกินทนรับได้

                       เหมือนเลือดในร่างกายของเธอหยุดนิ่งไม่ยอมไหล ร่างบอบบางรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเย็นเฉียบ ไม่สามารถขยับไปได้ชั่วขณะหนึ่ง มือของเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาเบิกโพล่งด้วยความตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ภาพที่ชายหนุ่มล้มลงตัวกระแทกลงไปบนพื้นถนน ในหัวมีแต่ภาพนั่นฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่ากลัว เหมือนกับวีดีโอที่ถูกกรอซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ที่เดิม

                     ครั้งนี้เธอเตือนเขาช้าเกินไป...

                      เอื๊ยดดดดดดดดดดด

                      การจราจรติดขัดแทบจะทันที โชคดีที่รถคันนี้นั้นเขับมาด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก จึงทำให้หยุดรถได้ทันก่อนที่จะพุ่งเข้าชนซ้ำกับทั้งสองอีกรอบ เสียงหยุดรถดังตามมากันติดๆอย่างหนวกหู ครู่ต่อมาก็มีเสียงผู้คนมากมาย คงจะเป็นพวกไทยมุงเวลาเกิดอุบัติเหตุ ในยามนี้ทั้งคู่มีเหล่าผู้คนรายล้อมมากมาย แต่ไม่มีใครคิดที่จะช่วยเหลือพวกเธอเลย...แม้แต่คนเดียว

                      "พจน์!!"เธอร้องออกมาดังลั่น เรียกชื่อคนโดนชนด้วยหัวใจที่จะแทบสลายอย่างตกใจและหวาดกลัว ไม่เอานะ เขาจะต้องไม่ตายอย่างเด็ดขาด "พจน์...นายต้องไม่อะไรนะ!!"เธอเขย่าตัวเขาแรงๆอย่างลืมตัว น้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตา กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปจริงๆ มือบางขาวๆเปื้อนไปด้วยเลือดของผู้เป็นเพื่อนสนิท ร่างสูงกว่าหันมาหาเธอและมอบรอยยิ้มให้กับเธอเหมือนทุกครั้ง

                      "คง...ไม่...ไหว...แล้ว...ล่ะมั้ง"น้ำเสียงของเขาขาดเป็นห้วงๆ ยิ่งพูดเลือดก็ยิ่งไหลออกจากปากมากยิ่งขึ้น "เธอ...ไม่...เป็น...อะไร...ใช่มั้ย" ร่างบอบบางรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยเขาเอาไว้ได้ เธอเอามือปาดน้ำตา เลือดสีคล้ำเปื้อนใบหน้าของเธอ แต่ในยามนี้เธอไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาจะต้องรอด เขาจะต้องไม่เป็นอะไร พจน์จะต้องรอดกลับไปให้ได้ หรือไม่ก็อยากให้สิ่งนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เช้าวันพรุ่งนี้เขาก็ต้องมารับเธอไปโรงเรียน มอบรอยยิ้มอบอุ่นให้เธออีกครั้ง

                     มือเปื้อนเลือดของเขาเอื้อมขึ้นมาลูบใบหน้าของเธอเบาๆ สัมผัสคุ้นเคยทำให้เธอตื่นจากภวังค์...มันไม่ใช่ความฝัน เพียงเท่านั้นเธอก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต สองมือของเธอจับมือใหญ่ๆของเขาแน่น ไม่อยากให้ความอบอุ่นนี้หายไปเลย ใครก็ได้บอกทีว่านี่เป็นความฝัน

                    "ไม่เอาน่า...ชา...ช่า...อย่าร้อง"เสียงกระท่อนกระแท่นของชายหนุ่มตอกย้ำความเป็นจริงอันโหดร้ายเกินกว่าที่เด็กวัย 12ปีควรจะได้รับรู้ "อย่าร้อง...อย่าร้องเพราะฉัน"เขาพูดเสียงเบา พร้อมๆกับการกระอักเลือดออกมากองโต ชาช่าเพิ่งจะได้สติว่าเขาควรจะทำอะไร เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาเบอร์โรงพยาบาลที่ใกล้และรู้จักมากที่สุด ก่อนจะหันมาเขาอีก

                     เธอส่ายหน้าแรงๆ "ทำไม...นายไม่หลบ"เธอสะอื้น...

                     ...เธอเกลียดความตาย...

                     ถึงแม้เธอจะรู้ว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้นกับทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ แถมเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอเองเสียด้วย เธอเลยยังทำใจไม่ได้

                     เสียงไซเรนดังก้อง รถตำรวจมาก่อนเป็นอันดับแรกทั้งๆที่เธอไม่ได้โทร.แจ้งเลย สักพักรถพยาบาลก็มาจอดอยู่ข้างสถานที่เกิดเหตุ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันกั้นเหล่าไทยมุงให้ออกห่างจากทั้งสองคนเพื่อพาเขาและเธอไปส่งที่รถพยาบาล บุรุษพยาบาลสองนายยกเปลหามร่างของพจน์ขึ้นไปบนรถพยาบาล ทันใดนั้นเองดวงตาสีดำของเธอก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งโดยบังเอิญ มีบางสิ่งกำลังปรากฏขึ้นลางๆข้างหลังบุรุษพยาบาลคนหนึ่ง ทำเอาเธอเบิกตากว้างอย่างตกใจและแทบจะกรีดร้องออกมาเดี๋ยวนี้แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว...

                     ...มันคือยมทูตที่คลุมกายด้วยผ้าสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ถือเคียวด้ามยาว คมเคียวคมกริบสะท้องแสงสีเงิน ดวยตาสีแดงก่ำตวัดหันมามองเธอ ราวกับรู้ว่า เธอรู้ถึงการมีตัวตนของมัน... 

                     "ได้โปรด...อย่าเอาเขาไป"น้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตาคู่งามอีกครั้งโดยที่เธอไม่รู้ตัว ก่อนเธอจะหมดสติไป ท่ามกลางเสียงไซเรนรถพยาบาลที่ดังลั่นหนวกหู ซึ่งเธอไม่ชอบมันเลย และเสียงหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจของเหล่าไทยมุงที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่แถวนั้น

                                       O[]O[]O[]O[]O[]O[]OO[]O[]O[]O[]O[]O 

                     เปลือกตาบางปรือขึ้น แสงสีขาวสว่างจ้าจากเพดาน ร่างบางพยายามนึกเหตุการณ์แต่ก็นึกไม่ออก กลื่นแอลกอฮอร์ฉุนกึกโชยมาแตะจมูกกระตุ้นความทรงจำของเธอ ว่าเธอตกใจกับภาพยมทูตจนสลบไป ตามมาด้วยยาฆ่าเชื้อที่เธอแสนเกลียดเป็นหนักหนาเนื่องด้วยความแสบของมันเมื่อมันสัมผัสกับบาดแผลของเธอ ที่แขนและขาของเธอถูกพันด้วยผ้าพันแผลมีเลือดซึมออกมาเป็นด่างดวงอยู่บนผ้าพันแผลนั้น เธอสำรวจมองไปรอบๆแล้วลุกขึ้นใส่รองเท้านักเรียนที่ถูกถอดอยู่ข้างๆกับเตียงก่อนจะเดินกระโผลกกระเผลกไปหานางพยาบาลคนที่ใกล้ที่สุดซึ่งกำลังจัดเตรียมอุปรณ์สำหรับปฐมพยาบาลอยู่
    อย่างยากลำบาก

                     "พี่พยาบาลคะ...เด็กชายนิพจน์อยู่ไหนคะ"เธอถาม ด้วยเสียงเบาๆมีอาการหวั่นเกรงเล็กน้อย มือบางกำเสื้อของตัวเองแน่นเพื่อคลายความตื่นเต้น หัวใจของเธอเต้นโครมคราม ภาวนาให้เขานอนรอเธออยู่ในห้องผู้ป่วย ภาวนาให้พ้นขีดอันตราย เธอกลัวกลัวว่าพยาบาลจะดุที่เธอไม่ยอมนอนอยู่ที่เตียงเฉยๆ แต่ลุกขึ้นเดินไปเดินมาให้แผลมันเจ็บเล่นแบบนี้

                     "ห้องนี้ค่ะ"พี่พยาบาลทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะพาเธอไปยังห้องที่มีป้ายอักษรสีแดงเขียนว่า 'ห้องฉุกเฉิน' แล้วถอนหายใจพลางตีสีหน้าเศร้าสร้อย แตะบ่าเธอเบาๆอย่างเห็นใจ "ยังไม่ออกมาเลยค่ะ"พอพูดจบเธอก็เดินออกไป

                    
    เธอทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ...เขาอยู่ในนั้นมานานสักเท่าไหร่กันแล้วนะมือบางประนมขึ้นพลางสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอเคยรู้จักทั้งหมดขอให้พวกท่านเมตตาปราณีคนที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน หวังว่าสิ่งที่เธอเห็นมันคงเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่หมอดูบอกกับเธอและผู้เป็นมารดาว่าไม่อาจใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาแบบ'มนุษย์'นั้นคืออะไร

                     "ชาช่าลูกแม่!"แม่ของเธอวิ่งเข้ามากอดเธอแน่นตามด้วยพ่อของเธอที่วิ่งตามมา และพ่อ-แม่ของพจน์ที่วิ่งตามมาติดๆอย่างเป็นห่วงในบุตรชายของตนเอง "เป็นไงบ้างลูก...แล้วพจน์ล่ะ"แม่ยิงคำถามรัวออกมาพลางลูบใบหน้าของเธอ 

                     "เป็นแผลที่หน้าเลย"พ่อของเธอ ลูบใบหน้าของเธอเบาๆตรงนั้นมีปาสเตอร์แปะอยู่แต่เธอไม่ได้รู้สึกอะไร มือบางยกขึ้นแตะแก้ม โดนอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่กันไม่เห็นจะรู้ตัวเลยสักนิดเดียว

                     "ยังไม่ออกมา...เลยค่ะแม่"เธอพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ เธอเองก็เพิ่งมาได้ไม่นาน และตอนนี้เธอก็ไม่มีแรงจะอธิบายอะไรได้อีกเพราะเธอกำลังเห็นบางสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจเห็น อยู่ตรงหน้าห้องฉุกเฉิน เธอเขย่าแขนของแม่แรงๆ ด้วยคววามตกใจใบหน้าของเธอซีดลงไปถนัดตา

                    "มีอะไรลูก"แม่ของเธอถามอย่างสงสัยว่าเหตุใด ลูกสาวของเธอถึงได้มีสีหน้าหวาดกลัวเช่นนั้น เธอมองไปทางที่ลูกสาวของเธอมอง ชาช่าชี้นิ้วอันสั่นระริกไปที่หน้าห้องนั้น เธอเห็นมันอีกแล้ว มันปรากฏให้เธอเห็นอีกแล้ว

                    "ยะ...ยมทูต...ยมทูตชุดดำ"เธอพูดเสียงสั่น "อย่านะ...อย่าเอาพจน์ไป"เธอพูดราวกับละเมอเพ้อเจ้อ

                   "ลูกเธอพูดอะไรเป็นลางอย่างนั้นน่ะ...หา"พ่อของพจน์พูดเสียงแข็งกร้าวและดังมากๆเหมือนกับลืมไปว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลอย่างไม่พอใจ นี่มันเป็นการแช่งลูกชายของเขาชัดๆแม่ของพจน์นั้นพูดไม่ออก

                   "ใจเย็นๆก่อนค่ะ...เธออาจจะช็อกก็ได้...เลยเห็นภาพหลอน"แม่ของชาช่าหันมาพูดเพื่อให้พ่อของพจน์ใจเย็นๆ ก่อนจะหันไปลูบหัวของลูกสาวเหมือนปลอบประโลมด้วยมืออันสั่นระริก คำพูดของเหล่าคนทรงลอยเด่นชัดเข้ามาในความทรงจำ ความกลัวเข้าครอบคลุมจิตใจของผู้เป็นแม่ กลัวว่าสิ่งที่หมอดูทักจะเป็นจริง

                  ยมทูตค่อยๆปรากฏตัวให้เห็นรางๆก่อนจะชัดเจนให้ทุกคนเห็น พ่อและแม่ของทั้งคู่เบิกตากว้างกอดกันแน่น เกือบจะส่งเสียงร้องออกมาเพราะตกใจกลัว แต่ก็เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาปิดปากทั้งหมดไว้ ยกเว้นชาช่าที่เหมือนครองสติได้มากกว่าใคร เธอก้าวออกมาเผชิญหน้ากับยมทูตราวกับไม่เกรงกลัว

                  ~มีอะไรจะบอกวิญญาณตนนั้นก่อนจะไปมั้ย~เสียงก้องๆพูดออกมาจากที่ไหนไม่รู้ แต่เธอคาดเดาเอาไว้ว่าน่าจะเป็นเสียงของยมทูตชุดดำตรงหน้าของเธอนี่เอง ร่างบางสูดลมหายใจเข้า จะต้องไม่กลัว

                  "คงจะ...ให้อยู่นานกว่านี้อีกไม่ได้ใช่มั้ยคะ"เธอถามใบหน้าเศร้าสลดลงอย่างน่าเห็นใจ ยมทูตพยักหน้า ถึงเวลาสำหรับเขาแล้ว

                  "งั้นหนูขอ...ให้เขาไปเกิดในสถานที่ดีๆและจำพวกหนูได้...ขอให้หน้าตาเหมือนเดิมด้วยค่ะ"เธอพูด แต่พวกผู้ใหญ่ด้านหลังของเธอน่ะ พูดไม่ออกกันแล้วเมื่อเห็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติตรงหน้าเกิดขึ้นจริงๆ ชาช่าไม่ได้เพ้อเจ้อ และพวกเขาก็ไม่ได้ฝันไป เพราะคงไม่มีใครฝันพร้อมๆกันและเหมือนๆกันแบบนี้

                   ~ข้าจะลองให้จ้าวนรกพิจารณาให้~ ยมทูตค้อมหัวเป็นเชิงขอตัว แล้วก็เดินทะลุผนังห้องฉุกเฉินเข้าไป 

                     สักพักหมอก็เดินออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

                    "ขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้ป่วยด้วยนะครับ"หมอค้อมหัวให้แล้วเดินจากไปแต่ทั้งหมด ช็อกนิ่งสนิทไม่สามารถแสดงความเสียใจออกมาได้อีกแล้วและทันใดนั้นเองสติของชาช่าก็ได้ดับวูบลงตรงนั้น!!






                     เปลือกตาบางปรือขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะต้องปิดตาลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากแสงสีขาวสว่างจ้า มือบางกระชับผ้าห่มแน่นพบว่าตนเองนั้นมีเข็มน้ำเกลือเจาะอยู่ที่แขนเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนที่เธอจะลุกขึ้นนั้นก็มีเสียงเปิดประตูและมีเสียงพูดเบาๆเล็ดลอดออกมา ยากที่จะจับใจความได้แต่เธอก็นิ่งเงียบและฟัง เปลือกตานั้นยังไม่เปิดขึ้นแกล้งว่าทำเป็นว่ายังไม่ฟื้น

                   ปึก!!

                    "คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ...ลูกสาวฉันไม่ใช่คนโรคจิตนะ!!"เสียงแม่ของเธอเกือบจะตะโกนออกมาอยู่แล้วแต่คงเกรงว่าเธอจะตื่นจึงได้ลดระดับเสียงลงมาในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าพวกผู้ใหญ่กำลังพูดถึงอะไร ประเด็นก็ไม่พ้นเธอ แม่ของพจน์นั่งลงบนโซฟาที่สำหรับคนเฝ้าผู้ป่วย พ่อของพจน์ยืนพิงกำแพง พ่อและแม่ของชาช่ามายืนใกล้ๆเตียงที่ลูกสาวแกล้งหลับอยู่

                    "เหอะ...เมื่อกี้ลูกของเธอเพิ่งจะแช่งลูกผมไปหยกๆ...แล้วเป็นไงตายสมใจลูกคุณแล้วสิ"พ่อของพจน์กล่าวด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่านเดินมาชี้หน้าของพ่อเธอ เขากำหมัดแน่นทุบลงไปบนราวเหล็กกั้นเตียงคนป่วยจนสะเทือน ร่างบางบนเตียงแอบสะดุ้งเฮือกแต่ก็ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น ลูกชายคนเดียวของเขาได้ตายไปแล้ว โดยมีร่างที่กำลังนอนบนเตียงเป็นตัวต้นเหตุ!!

                   "ชาช่าไม่ได้แช่งใคร เมื่อครู่เราก็เห็นกันหมดแล้วว่ามียมทูติมารับวิญญาณของลูกคุณไป!!"พ่อของชาช่าแย้งขึ้นมาบ้างอย่างรู้สึกเริ่มโมโห เขาทำกริยาแบบนั้นได้อย่างไรแถมเป็นบนเตียงของลูกสาวด้วยแล้ว ผู้เป็นพ่อย่อมไม่พอใจ ถึงแม้ว่าเขาจะแอบหวั่นเกรงว่าสักวันลูกสาวเขาอาจจะพูดว่า'อีกไม่นานพ่อจะตาย'

                   "นั่นอาจจะเป็นภาพหลอนเพราะเราต่างกังวลกันมากเกินไป"พ่อของพจน์เป็นนักวิทยาศาสตร์คงจะไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติง่ายๆเป็นแน่แท้ เหตุผลนั่นทำให้พ่อของเด็กสาวไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่มีหลักฐานใดนอกจากสายตาของตัวเอง ความเป็นจริงแล้วไม่มีใครหรอกที่เห็นภาพหลอนและมีความกลัวพร้อมๆกัน

                    "แต่ว่าที่ชาช่าเตือนลุกเราทุกๆครั้งมันก็ถูกนะพี่...เด็กคนนี้อาจจะมีอะไรที่คาดเดาไม่ได้ก็ได้"แม่ของพจน์เอ่ยหลังจากที่เงียบไปนานพอสมควร เธอเดินแตะบ่าของสามีตัวเองเบาๆเป็นเชิงบอกว่าให้อารมณ์ของเขาเย็นลง พ่อของพจน์หันมาด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างแรงที่ภรรยาไปพูดเข้าข้างอีกฝ่าย 

                    "คุณเข้าใจไหมว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ!!...เตือน 10 ครั้งถูกทุกครั้งไปก็ไม่ใช่คนแล้ว!!"พ่อของพจน์พูดออกมาอย่างประชดประชัน ทุกคนในห้องนิ่งเงียบพ่อและแม่ของชาช่าต่างก็เอือมระอาที่จะพูดแก้ต่างให้กับลูกสาวของตนเองพร้อมทั้งอธิบายว่าสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นจริงๆแล้วก็รายล้อมอยู่รอบตัวเรา

                    "เตือน 100 ครั้งก็ถูก 100 ครั้งพี่จำได้ไหมที่ชาช่าเตือนไม่ให้ลูกเราเดินทางทางน้ำ ในทริปการท่องเที่ยวนั้นครอบครัวเราเลยอดไปล่องเรือชมแม่น้ำแซนในฝรั่งเศษไง...จากนั้นเรือก็เกือบล่ม ดีที่ทางทัวร์อพยพคนออกมาได้ก่อน"แม่ของพจน์พูด ทั้งห้องเงืยบไปครู่หนึ่งก่อนจะมีเสียงถอนหายใจแรงๆออกจากพ่อของพจน์

                    "นั่นก็แค่เกือบ"พ่อของพจน์เถียงไม่เลิกพลางปัดมือของผู้เป็นภรรยาของตัวเองจากไหล่ นั่นทำให้พ่อของชาช่าทำกำลังจะอ้าปากเถียงหุบปากฉับลงในทันที เขาเบื่อที่จะต้องมานั่งเถียงกับคนหัวดื้อหัวรั้นแบบนี้เต็มทนและอีกอย่างมันก็เป็นเรื่องในครอบครัวที่จะต้องจัดการพูดให้รู้เรื่องกันเอง

                    "พี่!!"แม่ของพจน์เริ่มจะไม่ยอมบ้างแล้ว "ทำไมคิดแบบนั้น ชาช่ามีบุญคุณกับครอบครัวเรามากเลยนะ...หลายครั้งที่พจน์เกือบตายแต่ว่าก่อนที่พจน์จะเป็นอะไรชาช่าเธอได้เตือนก่อนที่พจน์จะต้องไปเจอจริงๆ"แม่ของพจน์เองเริ่มมีอารมณ์และความเห็นไม่ลงรอยกับสามีเสียแล้ว จึงเกิดการทะเลาะกันเกิดขึ้น

                   "หนูเตือนพจน์แล้วค่ะ!!...แต่ว่ามันไม่ทันมอร์เตอร์ไซค์มันเข้ามาใกล้เกินไป"ชาช่ารีบลุกแล้วโพล่งขึ้นมาอย่างรีบร้อนจนพ่อกับแม่ของเธอตกใจและมีสีหน้าตกตะลึงกันทั้งคู่ พ่อและแม่ของพจน์หันมา

                    "ฟังอยู่ตลอดเลยอย่างนั้นสินะ...หึๆๆ"พ่อของพจน์หัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับทำสีหน้าเหยียดหยามเธอเสียเต็มประดา ยอมรับว่าตกใจที่เธอแอบฟังบทสนทนา แต่ในเมื่อได้ยินไปแล้วมันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ คำพูดที่ออกไปแล้วไม่สามารถกลับมาแก้ไขอะไรได้อีกตอนนี้คือต้องมาเผชิญหน้ากับเด็กสาว

                   "ถึงคุณลุงจะเกลียดหนูแต่หนูก็จะไม่อกตัญญูทำร้ายพ่อแม่'เพื่อนรัก'ของหนูหรอกนะคะ"ชาช่าพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย เป็นเชิงขู่ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างน่าหวาดหวั่นพลางกำผ้าห่มเอาไว้แน่น เหมือนกับจะสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเอาไว้  อาการแบบนี้พ่อและแม่ของทั้งคู่ไม่เลยได้เห็นมาก่อน ทั้งหมดอยู่ในอาการตกตะลึงอย่างยิ่ง จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะของพ่อพจน์ดังขึ้น มันเป็นเสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจซึ่งเธอไม่เคยได้ยินจากเขามาก่อน

                   "หึๆๆ...เธอจะทำอะไรฉันได้"พ่อของพจน์พูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน เขาพ่นลมออกทางจมูกแรงๆ พลางกอดอก

                   "..."พ่อกับแม่ของชาช่าไม่กล้าแทรกอะไรออกไปทั้งสิ้น เพราะกลัวอะไรบางอย่าง คลื่นแห่งความกดดันแผ่ขยายออกมาจากร่างกายของชาช่า ความดำมืดที่มนุษย์ไม่เคยได้สัมผัสขยายไปทั่วบริเวณ อีกด้านของชาช่าที่แม้แต่พ่อและแม่ของเธอไม่เคยสัมผัสได้แผ่ขยายออกมาในห้องนี้เป็นครั้งแรก

                   "หนูเป็นคน ไม่ใช่ตัวอะไรที่ไหนที่จะฆ่าจะแกงใครได้...เพราะหากหนูทำอะไรลุง จะต้องมีคนฟ้องและเดือดร้อนไปทั้งพ่อและแม่หนูแน่ๆ"ชาช่าพูดต่อ ดวงตาของเธอบ่งบอกว่าเธอสามารถพุ่งไปบีบคอพ่อของพจน์ได้เดี๋ยวนี้ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ทำมัน เพราะรู้ว่ามันผิด

                   "ต่อไปนี้...เราไม่รู้จักกัน!!...เธอไม่ต้องเรียกชื่อลูกของฉัน!!"พ่อของพจน์ชี้หน้าฉัน ประกาศกร้าวก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าออกไปจากห้อง แม่ของพจน์จับกระแสแห่งความหวาดกลัวที่ออกมาได้จากสามีของตนแต่ก็ไม่พูดอะไรเพื่อที่จะรักษาหน้าสามีของตนไว้ โค้งให้กับพ่อและแม่ของชาช่าก่อนเดินออกตามสามีของตนออกไป

                  ชาช่ากำผ้าห่มแน่น กัดริมฝีปากของตัวเองจนเลือดซึม คำพูดของพ่อพจน์ยังก้องอยู่ในหัวของเธอ ไม่รู้จัก เป็นเพื่อนกันมาเป็นสิบๆปี มาตัดขาดกันได้ในวันเดียว ความผิดที่เธอไม่ได้กระทำ ความผิดที่เธอไม่ได้เกี่ยวข้องจะเป็นตราบาปติดตัวของเธอ

                 ...ตลอดกาล...

    ___________________________________

    สักวันฉันจะดีพอ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×