ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    uncanny พิสูจน์ไม่ได้(รีไรท์รอบสามแล้วโว้ย)

    ลำดับตอนที่ #3 : ลางสังหรณ์ที่II:ไอวิญญาณ(รีไรท์4)

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 54


    ลางสังหรณ์ที่II:ไอวิญญาณ(100%)

                     3 วันต่อมางานศพของพจน์ก็ถูกจัดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ชาช่า น้องๆ พ่อและแม่ก็ได้ไปร่วมงานด้วยถึงแม้พ่อของพจน์จะไม่พอใจในการมาของทั้งสามคน แต่แม่ของพจน์ก็ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ร่างผอมแห้งในชุดสีดำสนิทกำลังนั่งพับเพียบก้มหน้าอยู่หน้าโลงศพท่ามกลางเสียงวิพากย์วิจารณ์ของเหล่าวงศาคณาญาติของพจน์ที่มาร่วมงานนี้ด้วย ใบหน้าซีดเซียวก้มหน้าไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่งามถึงแม้เธอจะเสียใจเพียงไร ตอนนี้เธอรู้สึกสมเพชคนที่กำลังนินทาเธออยู่โดยที่คิดว่าเธอนั้นไม่ได้ยิน เธอเม้มริมฝีปากที่บัดนี้แทบจะไร้สีเหมือนคนตาย เธอเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพจน์ สภาพของเธอเหมือนศพเดินได้ไม่มีผิด

                    "เด็กคนนี้แหละที่เป็นสาเหตุทำให้หลานพจน์ต้องตาย"หญิงสูงวัยที่ใส่ชุดกระโปรงผ้าไหมสีดำเนี้อดี สวมเครื่องประดับนิลเม็ดโตล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็กๆเกล้ามวยทรงสูง พูดกับหญิงสูงวัยอีกคนที่สวมชุดแขนยาวสีดำมีระบายที่คอฟูฟ่องจนเกือบปิดหน้ากระโปรงสีดำมีเลื่อมสีดำติดวาววับ สวมเครื่องประดับไข่มุกสีดำ พวกหล่อนคงจะเป็นญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของพจน์ หรือไม่ก็เป็นเพื่อนของพ่อหรือแม่ของพจน์เป็นแน่ แต่มานินทาระยะเผาขนแบบนี้มันไม่ดีสักเท่าไหร่นัก

                    "ต๊ายยย...แล้วยังมีหน้ามางานศพหลานพจน์อีกหรือเนี่ย"หญิงสูงวัยที่ใส่มุกดำเอาพัดสีขาวที่มีขนนกฟูฟ่องขึ้นมากางปิดหน้าพูดเสียงแหลมสูงแบบที่คิดว่าได้ยินกันแค่สองคนแต่หลายคนในงานกลับได้ยินด้วย รวมถึงคนที่เป็นประเด็นในการนินทาในครั้งนี้ด้วย เธอกำมือร่างกายสั่นสะท้านด้วยความอดกลั้น ทุกคนในงานเริ่มมองและกระซิบกระซาบกันยกใหญ่ เธอกลายเป็นคนดังในงานศพไปเลย

                    "ใครๆก็ว่า ว่านังเนี่ยเป็นเด็กปีศาจใครอยู่ใกล้ๆก็มีแต่จะต้องตายทั้งนั้น"หญิงสูงวัยคนแรกพูด เสียงเหล่านั้นเสียดแทงเข้าสู่โสตประสาทของชาช่าแต่ทว่าเธอก็ยังทำทีเป็นไม่สนใจเสียงเหล่านั้นทั้งๆที่เจ็บเจียนตาย คำพูดพวกนี้ราวกับตอกย้ำว่าเธอเป็นผู้ผิด เธอเป็นคนฆ่าพจน์ เธอมองรูปศพของพจน์ด้วยดวงตาที่เหม่อลอยราวกับว่าวิญญาณของเธอนั้นได้หลุดออกไปจากร่างเสียแล้ว

                   พ่อและแม่ของชาช่ารู้สึกสงสารลุกสาวของตนเองจับใจ คำพูดเหล่านั้นมันบาดแทงจิตใจของคนฟังอย่างที่สุดแม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นคนที่ถูกกล่าวถึงแม้แต่นิดเดียวก็รู้สึกเจ็บปวด พวกเขารู้ว่าลุกสาวของตนรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุทำให้เพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอคนหนึ่งต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับและผู้คนเหล่านี้ก็กำลังตอกย้ำซ้ำเติมความผิดของเธออยู่ ผู้เป็นแม่อยากจะตะโกนออกไปเสียจริงๆ ว่าให้หยุดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันเป็นการไม่ให้เกียรติพจน์เอาเสียเลย จึงได้แต่เงียบไว้และเคียดแค้นแทนลูกสาวของตนอยู่ในใจ จริงๆเธอห้ามชาช่าไม่ให้มา แต่ชาช่าก็ยืนยันว่าจะมาให้ได้เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้อยู่กับพจน์

                    น้องๆของเธอก็มาด้วย ทั้งคู่ได้แต่มองด้วยแววตาที่ดูไร้เดียงสา แต่ทว่าพวกเธอรับรู้ความรู้สึกของพี่สาวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และรังเกียจตัวเอง  นับตั้งแต่วันที่พจน์ตายไป ชาช่าก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอไม่ร่าเริง เอาแต่โทษตัวเอง เก็บตัวอยู่แต่ในห้องของเธอ เธอดูน่ากลัวและมีบรรยากาศดำทะมึนวนเวียนอยู่รอบๆตัวเธอ ...อยากได้พี่สาวคนเดิมกลับมา

                   ชาช่ากำหมัดแน่น เธอกำลังพยายามที่จะเมินเฉยกับคำพูดไร้สาระพวกนี้ แต่ทว่าเธอก็ไม่สามารถที่จะทำได้เสียงพวกนี้ยังคงดังอย่างต่อเนื่องและดูว่าจะไม่มีทางสิ้นสุด คนพวกนี้ไม่มีความเกรงใจพจน์เสียเลย นี่ขนาดอยู่ในวัดตรงหน้าเด็กชายที่ควรมาแสดงความเสียใจด้วยแต่กลับมาตั้งวงนินทาแบบนี้มันใช่แน่หรือ การกระทำแบบนี้มันดีกว่าเธอที่เตือนพจน์ไม่ทันตรงไหน คิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะมาตัดสินคนอื่นจากข่าวลือแบบนี้ มันใช่สมองของผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาเยอะแล้วจริงๆน่ะหรือ ชาช่าได้แต่ทำใจยอมรับฟังเสียงเหล่านั้น

                    จู่ๆเสียงนินทานั้นก็ได้หยุดลงเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หญิงสูงวัยที่เริ่มเปิดประเด็นนินทาเธอกับหญิงสูงวัยอีกคนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับแล้วกรอกเสียงลงไปตามสายด้วยท่าทางหยิ่งยโส อันที่จริงคนในงานศพก็ดูจะหมั่นไส้เธอไม่น้อย จะอะไรหนักหนา หล่อนสูงศักดิ์มาจากไหนกัน

                    "สวัสดีค่ะ"หลายๆคนในงานเริ่มที่จะหมั่นไส้กับท่าทางของเจ้าตัว เสียงในโทรศัพท์ดังออกมาอย่างไม่ได้ศัพท์แต่ก็พอที่จะรู้อย่างคร่าวๆว่าเป็นเสียงของผู้ชาย หล่อนฟังไปก็ ขมวดคิ้วก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้และพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจดังลั่นศาลาวัดปนกับเสียงสั่นเครือที่ชาช่าคิดว่ามันเป็นการเล่นละครแน่ๆ

                    "อะไรนะ...พ่อคุณตายแล้ว...ตกบันไดเส้นเลือดฝอยในสมองแตก"หล่อนตะโกนออกมาอย่างไม่เกรงใจคนในงานเลยแม้แต่นิดเดียวและไม่เกรงใจพจน์ด้วย ไร้มารยาทที่สุด ท่าทางก็ดูออกจะเป็นผู้ดี แต่งตัวหรือก็ดูมีฐานะ แต่กริยาเกรงว่าทางบ้านคงจะไม่ค่อยได้อบรมเท่าไหร่นักถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ หรือไม่ก็เอาอย่างคนที่บ้านมาเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นแบบนี้

                    'คุณ'ของหล่อนคงจะเป็นสามีของหล่อนอย่างไม่ต้องสงสัย หญิงสูงวัยที่นั่งอยู่ข้างๆก็ตกใจเช่นกัน คนแทบทั้งงานหน้าซีดเผือด มองไปยังด้านหน้าพร้อมๆกัน โดยมิได้นัดหมาย ชาช่านั้นไม่มีความรู้สึกใดๆแสดงออกมาทางสีหน้า น้องๆของชาช่ามองพี่สาวของตนด้วยความเป็นกังวล แววตาไร้เดียงสา แต่ทว่าเจือความเป็นห่วงฉายไปทางพี่สาวของตน

                    "นัง...นังเด็กปีศาจ!!!...นังเด็กเลือดเย็น...แก...แกทำให้พ่อของสามีฉันตาย"ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นมาแล้วปรี่เข้าไปตบใบหน้าเล็กๆของเด็กหญิงฉาดใหญ่ ก่อนจะถูกหญิงสูงวัยคนนั้นชี้หน้าด่าทอด้วยคำหยาบอีกมากมาย ไม่มีใครลุกไปห้ามได้ทัน ทั้งหมดอยู่ในความตกใจ

                    /หยุดเดี๋ยวนี้!!...ห้ามทำอะไรชาช่าเด็ดขาดเลยนะ!!!/น้ำเสียงคุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้น เด็กหญิงจำได้ทันทีว่ามันเป็นเสียงของพจน์แต่ทว่าน้ำเสียงเกรี้ยวกราวดแบบนี้เธอเองก็เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ดวงตาสีดำสนิทมองไปด้านหลังอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งใดทำให้เธอรู้สึกผิดหวัง แต่บรรดาคนในงานต่างกรีดร้องเสียงดังเพราะแต่ละคนก็จำได้ว่าเป็นเสียงของพจน์

                    "นังเด็กผี!!...แกเรียกผีได้...แกจะเอาวิญญาณพจน์ไปเป็นบริวารใช่มั้ย!!"ยายคนหนึ่งลุกขึ้นมาชี้หน้าเธอด้วยความเกรี้ยวกราด ทำเอาพ่อกับแม่ของเธอตกตะลึง แค่เสียงของพจน์ก็ทำเอาคนเริ่มมีอายุช็อคแล้วยิ่งมาเจอว่าลูกตัวเองโดนป้ายสีว่าเป็นหมอผีอีกคนเป็นแม่อยากจะเป็นลมขึ้นมาดื้อๆ

                     "อย่ามากล่าวหาลูกฉันนะ"แม่ของชาช่าโพล่งขึ้นมาด้วยความเหลืออด คนทั้งงานเงียบกริบและหันมามองแม่ของชาช่าด้วยความฉงน ก่อนจะมองมาทางชาช่าหล่อนนั่งลงพลางทำท่าหงุดหงิดเสียเต็มประดา

                     พระสงฆ์เดินเรียงกันเข้ามาแล้วเดินไปนั่งที่อาสนะที่จัดไว้แล้วเริ่มสวดศพทันที โดยไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นอีก ชาช่าเงียบไปตลอดพิธี ที่จริง เธอเงียบมาตั้งแต่พจน์ตายไปต่อหน้าต่อตาเธอ เธอไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไปแล้วเพราะพอเธอบอกให้พจน์ระวังตัวเขาเลยต้องตายไปตามที่เธอบอกจริงๆ


                      --3ปีต่อมา--

                      ณ โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง

                      ตอนนี้ชาช่าได้ไว้ผมยาวแล้ว เธอแทบไม่ได้พูดอะไรอีกเลยหลังจากที่พจน์ได้เสียชีวิตไปแล้ว เธอมุ่งมั่นอ่านหนังสือจนสามารถสอบเข้าที่โรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งได้เพราะพจน์เคยหวังไว้ว่าจะเข้าโรงเรียนแห่งนี้...แต่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว เธอจึงทำชดเชยในส่วนที่เขาควรจะได้ทำ ทว่าเธอกลับไม่มีเพื่อนใหม่เลยเมื่อมาอยู่โรงเรียนนี้ เพื่อนเก่าก็ไม่ได้ตามมาด้วย

                     เหมือนมีไอสีดำวนเวียนรอบๆร่างกายของเธอ เธอพูดน้อยเสียจนนับคำได้หรือบางวันอาจไม่พูดสักคำเดียวพฤติกรรมของเธอเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอแปลกแยกออกไปจากคนอื่นๆ เพราะเพื่อนแต่ละคนก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้เธอ และเธอเองก็ไม่คิดจะเข้าไปใกล้ๆ คนพวกนั้นเหมือนกัน เพราะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่น่ารังเกียจที่แผ่ออกมาจากคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

                     สัมผัสของเธอขยายตัวตั้งแต่วันนั้น...วันที่พจน์ได้จากไปตลอดกาล เธอสามารถรู้ได้ว่าคนๆนี้ อีกไม่นานก็จะลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือคนๆนี้คิดอะไรที่มันน่ารังเกียจเหลือเกิน ความคิดต่ำช้าที่คอยว่าร้ายผู้อื่นโดยไม่ดูตัวเองนี่แหละที่เธอนึกรังเกียจคนพวกนี้หนักหนา แต่เธอก็ไม่เคยเหงาเลยสักครั้งเพราะเธอสามารถมองเห็นและพูดคุยกับวิญญาณได้!! มันเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เธอไปงานศพ


                    สัมผั
    สของของเธอขยายอีกขึ้นเมื่อเธอไปงานศพของพจน์เมื่อ 3 ปีก่อน เธอได้ยินเสียงพจน์และไม่นานต่อมาเธอก็มองเห็นวิญญาณได้ การที่เธอได้ไปแบบนั้นอาจจะเป็นการกระตุ้นบางสิ่งที่อยู่ในตัวของเธอให้มันตื่นขึ้นก็เป็นได้

                     "ชาช่า...อาจารย์เรียกเธอ"คนที่นั่งข้างๆเรียกเธอด้วยการเคาะที่โต๊ะ ทำสีหน้ารังเกียจเธอ พลางนึกว่าตัวเองโชคร้ายเหลือเกินที่ต้องมานั่งข้างๆตัวประหลาดอย่างเธอ และไม่อยากจะแตะตัวเธอเท่าไรนัก

                     เธอลุกขึ้นเดินไปหาอาจารย์ที่ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง อาจารย์ยื่นไมโครโฟนให้เธอ เธอรับมันเอาไว้ก่อนมองหน้าอาจารย์ที่ยื่นมันมาให้ก่อนเอียงคอมองงงๆ แล้วหันไปมองไมโครโฟนในมือ

                    "ไหน...ได้ข่าวว่าเธอไม่ค่อยพูดเลยและไม่มีเพื่อนด้วย...เธอลองแนะนำตัวเองหน่อยซิ...หรือไม่ก็พูดอะไรก็ได้ที่อยากพูดน่ะ"อาจารย์พูดด้วยรอยยิ้มแห่งความเมตตา เธอยังคงนิ่ง...เธอไม่ได้อยากพูดแบบอาจารย์นี่

                   "มันคงไม่อยากฟังหนูพูดหรอก"เธอตอบอาจารย์ใจใน กวาดตามองไปรอบห้อง ไม่มีใครกล้าสบตา หรือมองหน้าเธอเลยแม้แต่คนเดียว...รังเกียจกันขนาดนั้นเลยหรือ ชาช่าก้มหน้าลง

                   "หากเธอยังไม่พูดแนะนำตัว...หรือว่าพูดอะไรออกมา...ครูไม่ปล่อยพวกเธอไปกินข้าวนะ"อาจารย์พูดขู่เธอพลางกอดอก เพื่อนหลายคนเริ่มตะโกนให้เธอพูดไวๆเพราะมันใกล้จะออดเต็มทีแล้ว ทุกคนคงหิวแล้วอยากออกไปจองที่นั่งและกินข้าวกันเต็มทน ร่างบางกลอกตาอย่างเซ็งๆ ในเมื่อครูงัดไม้นี้ออกมาใช้เธอก็ต้องพูดล่ะนะ

                   "อาจารย์!!...ต่อให้เอาอะไรมาง้างปาก ยัยนี่ก็ไม่พูดอะไรออกมาหรอก...มันกลัวดอกพิกุลร่วงน่ะ...ฮ่าๆๆๆๆๆ"เด็กชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาพูดแล้วชี้หน้าเธออย่างเสียมารยาทที่สุด ทุกคนหันมามองที่เด็กชายคนนั้นเป็นตาเดียว

                   "มีบุหรี่ในกระเป๋านาย"ประโยคสั้นๆประโยคแรกของการพูดวันนี้ พอพูดออกไมค์ให้ได้ยินทั่วถึงกัน เด็กคนนั้นหน้าซีดทรุดลงไปนั่งใหม่ ไม่น่าเลย...เขาแทบหมดแรงเลยทีเดียว

                   "เธอ...รู้...ได้...ไงกัน"เขาพูดกุกกัก เหงื่อแตกพลั่กๆเพราะอาจารย์อยู่ด้วย อาจารย์มองมาทางเขา ด้วยสายตาที่ทุกคนเรียกว่า 'สายตาพิฆาต' และอีกไม่นานเขาต้องโดนเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครองเป็นแน่ อาจารย์ไม่น่าให้เธอออกไปเลย เขาถึงได้โชคร้ายเช่นนี้ เธอเป็นตัวซวยชัดๆสำหรับเขา

                   "คนนู้นบอก"เธอชี้ไปข้างๆกับที่เด็กผู้ชายคนนั้น แล้วก็มีเงารางๆของ'คนนู้น'ปรากฏให้เห็นกันโดยท่วนหน้าแถมโบกมือให้อย่างเป็นมิตรอีกต่างหาก สิงที่ทุกคนทำในยามที่ 'คนนู้น' ปรากฎตัวนั่นก็คือ...

                   ...ช็อกค้างกันทั้งห้อง...

                   "อ๊ากกกกกกกกกกก/กรี๊ดดดดดดดดดดด"เสียงนี้ดังพร้อมกันทั้งห้อง ทั้งนักเรียนทั้งอาจารย์ต่างวิ่งออกจากห้องกันจ้าละหวั่น ไม่สนแล้วว่าเกิดอะไร ไม่ถามแล้ว ไม่เยอะเย้ยแล้ว ไม่สนว่าเวลาเรียนหมดหรือยัง หนีก่อน ผีตัวเป็นๆปรากฎตรงหน้าแล้ว ไม่คิดว่าจะมาใครมาขอลายเซ็นเลยหรืออย่างไรนะ

                   กริ๊ง!!

                  "ครูไปซะแล้ว"เธอหันไปพูดกับเงารางๆนั่น "คุณน่ากลัวตรงไหนกัน"เธอมองร่างของเงารางๆนั่่นงงๆ จริงๆวิญญาณก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับหนังผีที่เธอดู เป็นเพียงร่างโปร่งแสงเท่านั้นไม่เห็นจะต้องวิ่งหนีตรงไหน...คงมีเพียงเธอคนเดียวที่มองวิญญาณพวกนี้แล้วบอกว่าไม่น่ากลัว

                  /นั่นสินะ...แต่ท่านก็เก่งนะที่จับไอวิญญาณของข้าได้/ คนนู้นเอียงคอมองร่างบางอย่างสนใจ ดวงตาของวิญญาณตนนั้นเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เธอขนลุกนิดหน่อย ไม่ค่อยได้รับสายตาแบบนี้จากใครเท่าไหร่นัก

                  "มันคืออะไรน่ะ"เธอถามอย่างสงสัยปนสนใจ เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย และไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรด้วย แต่ในวันนี้เธอชักจะสนใจแล้ว หากมันมีประโยชน์กับเธอ

                  /ไอวิญญาณของวิญญาณ...คือสิ่งที่บ่งบอกว่าวิญญาณนั้นสามารถทำให้ผู้อื่นเห็นได้/วิญญาณผู้รอบรู้เริ่มอธิบายมาดเหมือนศาสดาจารย์แก่ๆสวมแว่น วิญญาณตนนั้นกระแอมเล็กน้อยก่อนจะทำท่าเหมือนขยับแว่นแล้วเริ่มอธิบาย

                  "แล้วของมนุษย์ล่ะ"เธอถามต่ออย่างสนใจ ด้วยความที่ว่าเป็นคนชอบฟังความรู้และชอบอ่าน และที่สำคัญเธออยากลองด้วย

                  /ดูวันถึงฆาต...แต่ไอวิญญาณของท่าน...น่ากลัวจัง...แล้วก็ทะลักออกมาเยอะมากนะเนี่ย/วิญญาณตนนั้นทำท่าเหมือนขยับแว่น ดวงตากวาดมองรอบตัวเธอราวกับจะสำรวจบางสิ่งบางอย่าง ดวงตานั้นไล้ขึ้นตั้งแต่หัวจรดเท้าของหญิงสาว

                  "นี่ละมั้งที่ทำให้ฉันไม่มีคนคบ"เธอไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เดินไปปิดไฟ ปิดพัดลมเพราะเนื่องจากไม่มีใครได้ปิดเลยแล้วเดินออกไปจากห้องเรียนด้วยท่าทางเซื่องซึมแบบที่ไม่มีใครเคยสังเกตแต่ทว่าวิญญาณตนนั้นกลับสังเกตเห็นด้วยความที่ว่าอยู่บนโลกใบนี้มานานถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในร่างเป็นมนุษย์แล้วก็ตามที

                  /ข้าจะสอนให้ท่านควบคุมไอวิญญาณเอามั้ยล่ะ/วิญญาณตนนั้นพูดออกมาลอยๆ เหมือนไม่ได้จงใจพูดกับร่างบาง แต่ในห้องนี้มีคนเดียวก็คือชาช่า วิญญาณจะไปหมายถึงใครที่ไหนได้กัน

                  "เอาสิ"เธอหันขวับมา นี่อาจจะเป็นทางหนึ่งที่ทำให้ช่องว่างระหว่างความเป็นมนุษย์กับตัวประหลาดของเธอมันน้อยลงไปก็ได้ "เริ่มเลยมั้ยล่ะ"เธอพูดอย่างกระตือรือร้น เผยรอยยิ้มเหมือนเด็กเจอของถูกใจ

                  /ท่านไปกินอาหารก่อนเถอะ...เดี๋ยวไปเจอกันที่หลังโรงเรียน/วิญญาณตนนั้นยิ้มแหยๆ เมื่ออาการของเธอเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า อาการของเด็กผู้หญิงนี่คาดเดาได้ยากจริงๆ

                  "ขอบคุณ...ฉันไปกินข้าวแป๊บหนึ่งนะ...เดี๋ยวเจอกัน"เธอพูดแล้วรีบวิ่งฉิวไปทันที เพราะหนึ่งนาทีก็มีค่ามากมายสำหรับเธอมากในขณะนี้ เธอจะได้ตักตวงสิ่งใหม่ๆสักที และนี่อาจเป็นหนทางที่จะทำให้เธอกลับไปเป็นเหมือนเดิม พ่อแม่ที่ห่างเหิน เพื่อนที่ห่างหาย เธอจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่หารู้ไม่ว่า...

                    ...มันไม่สามารถกลับเป็นอย่างเดิมได้อีกต่อไป...

                                           O[]O[]O[]O[]O[]OO[]O[]O[]O[]O

                  --10นาทีต่อมา--

                  ร่างบางยืนหอบตัวโยน มือจับเข่าทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปาดเหงื่อที่ไหลหยดไปถึงคาง  เมื่อไปถึงหลังโรงเรียนที่ตอนนี้ไร้ผู้คน พลางมองหาบางอย่างแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้าราวกับจะจับบางสิ่งบางอย่าง ก่อนจะกระชากออกมาเบาๆ ก็มีเสียงร้องของบางสิ่งดังขึ้น

                 /มาแล้วๆ...ท่านนี่ไวจริงๆ/วิญญาณตนนั้นฉีกยิ้มร่าเริงพร้อมกับการปรากฏตัว  เป็นวิญญาณนี่ช่างสะดวกสบายเสียจริงๆไม่ต้องแบกร่างเนื้อให้เป็นภาระ

                "สอนไวๆสิ...ฉันไม่เวลาทั้งวันนะ"หากอยู่กับวิญญาณเธอพูดเป็นต่อยหอยเลยทีเดียวเชียว ชาช่าปาดเหงื่อที่ไหลย้อยมาตามใบหน้า เธอไม่น่ารีบวิ่งมาเลย ตอนนี้เธอชักจะรู้สึกจุกแล้วล่ะสิ

                /ได้...เริ่มแรก...ท่านต้องลดไอวิญญาณรอบๆตัวท่าน เพราะหากเหล่าสัมภเวสีได้กลิ่น...มันจะกินไอวิญญาณแล้วท่านก็จะหายไปเหลือแต่สิ่งที่เรียกว่าร่างกาย...ไม่มีวิญญาณ หลุดออกจากวัฏจักรไปเลย/เจ้าวิญญาณเริ่มอธิบายคำพูดอันแสนยากยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเธอจะไม่เข้าใจมัน

               "วัฏจักร?"เธอทำหน้างงๆ เข้าใจว่าวัฏจักรมันจะต้องเวียนหมุนไปเป็นวงกลมแต่วัฏจักรที่วิญญาณพูดถึงคืออะไรกันน่ะ คงไม่ใช่ว่าจะเปรียบชีวิตของเราเหมือนกับกบ หรือพวกแมลงอย่างนั้นหรอกนะ เธอทำหน้าแหยงๆเล็กน้อย

               /อา~...การเกิดแก่เจ็บตายอย่างไรล่ะท่าน/ วิญญาณอธิบาย ปกติไม่ค่อยมีใครใช้คำว่าวัฏจักรเท่าไรนักมีแต่จะใช้การเกิดแก่เจ็บตายไปเลย ถึงแม้มันจะยาวกว่าคำว่าวัฏจักร แต่เข้าใจได้ง่ายกว่า

               "ก็ดีสิ...จะได้ไม่ต้องมีทุกข์"เริ่มเข้าทางพระพุทธศาสนาเสียแล้วล่ะ ร่างบางพูดด้วยสีหน้าค่อนข้างเอาจริง วิญญาณหัวเราะเบาๆ เพราะความคิดของเธอ เธอคงยังไม่รู้ถึงความจริงบางข้อสินะ

               /ก็ใช่นะ...แต่มันจะทรมานเสียยิ่งกว่าความตายอีกนะตอนโดนกินเนี่ย/พอวิญญาณพูดจบ เธอก็ทำหน้าแหยงๆอีกครั้ง ทรมานกว่าความตายถึงแม้มันจะไม่นาน แต่เธอขอเลือกที่จะตายแบบเดิมดีกว่า

              "ขอทุกข์แบบเดิมดีกว่า"เธอพูดพลางกลืนน้ำลาย

              /นั่นสิ...เอ้า!...ว่าไปแล้วมาเริ่มกันดีกว่า/วิญญาณตนนั้นยิ้ม /ท่านคิดเสียว่ารอบๆตัวท่านมีบางอย่าล้อมรอบ...แล้วคิดว่ามันลดลงจากเดิม/

             "แค่เนี้ยะ?"เธอเลิกคิ้ว ทำไมมันง่ายจัง ไม่เห็นต้องสอนนึกเอาเองก็ได้นะแบบนี้น่ะ ชาช่าคิดว่าจะมันจะไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ เธออุตส่าห์ตื่นเต้นแท้ๆ สุดท้ายเธอก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม...เบื่อ

             /ยากนะท่าน...นามธรรมคิดให้เป็นรูปธรรม...และยังต้องใช้สมาธิมากๆด้วยนะ/วิญญาณทำหน้าหนักใจ เหมือนว่ามันยากเป็นหนักหนา ร่างบางพ่นลมหายใจ ทำไมหนอถึงต้องทำให้ยากด้วยนะ

             "ฉันขอลองก่อนนะ"เธอหลับตาลง จินตนาการถึงไอพลังสีดำรอบๆตัวเธอที่แผ่ออกมาปรากฏชัดในห้วงคำนึง ก่อนจะลดลงจนบางเบาเสียแทบสัมผัสไม่ได้ วิญญาณตนนั้นมองอย่างอึ้งๆ เพราะปกติเธอเป็นคนชอบนั่งสมาธิอยู่แล้วเธอจึงค่อนข้างรวบรวมสมาธิได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ

              /ท่าน...ทำได้ไง/วิญญาณอ้าปากค้าง เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น มันยังต้องฝึกตั้งนานกว่ามันจะควบคุมได้ ยามตายใหม่ๆ เขาก็เกือบจะโดนสัมภเวสีรับประทานเป็นอาหารไปหลายรอบอยู่

              "ได้ครูดีกระมัง"เธอพูดยิ้มๆ "สอนต่อสิ...จะรู้ได้ไงว่าคนๆนั้นถึงฆาตยังไง" เธอถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

             /ใจร้อนจริงนะท่าน/วิญญาณตนนั้นพูดเหมือนถ่วงเธอ เธอเริ่มแผ่จิตสังหาร /ล้อเล่นน่า...เอ้าๆ มองไปที่คนๆนั้น...หากไอวิญญาณรอบๆตัวคนๆนั้นหม่นลงจากสีเดิมแสดงว่าคนๆนั้นกำลังจะมีเคราะห์/

            "อ้อ"เธอพยักหน้า เข้าใจแล้ว

            /แต่หากมันเป็นสีเทา...คนๆนั้นจะถึงฆาต/

            "อ๋อ"

            /แต่ถ้าสัมผัสได้แต่ไอวิญญาณไม่เห็นร่างแสดงว่าสิ่นนั้นคือวิญญาณ/วิญญาณตนนั้นบอกพลางมองหาบางสิ่ง /เอ๊ะ...ท่านลองมองไอวิญญาณของยามคนนั้นดูสิ/ วิญญาณชี้ไปที่ลุงยามซึ่งเดินผ่านมาพอดี

            "สีม่วง?"เธอทำหน้าแหยงๆกับไอวิญญาณรอบๆยามคนนั้น

            /ไม่ใช่ท่าน...สีของไอวิญญาณไม่เกี่ยวกับเพศ/วิญญาณตนนั้นรีบแก้ทันที

           "อ้าวแล้วมันเกี่ยวกับอะไรล่ะ?"

           /อายุ...สียิ่งอ่อนอายุยิ่งน้อย...แต่ถ้าสีขาวคือไอวิญญาณบริสุทธิ์/

            "แล้วถ้าสีดำล่ะ"เธอถามต่อย่างไม่รีรอ

            /เช่นเดียวกับสีขาว...แต่คนนั้นจะเคยมีอำนาจในนรกนะ/

            "อ๋อ"เธอพยักหน้า "แล้วทำไมทุกคนเห็นคุณล่ะ..ฉันเเคยได้ยินแต่ว่าต้องเป็นผู้มีสัมผัสที่6เท่านั้นนี่"เธอถามต่ออย่างไม่รีรอ

             /อืมมมม...อาจจะเป็นเพราะไอวิญญาณของท่านมันไปกระตุ้นบางสิ่งน่ะ...อันนี้เองข้าก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเหมือนกัน/วิญญาณตอบอย่างไม่ค่อยจะชัดเจนเสียเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยมันก็ได้เป็นข้อสันนิษฐานที่อาจจะเป็นจริงได้ตราบใดที่เธอยังได้คำตอบไม่ชัดเจน

               "แล้ว..."

            กริ๊ง!

            "ตายล่ะ...ฉันต้องรีบไปเรียนแล้ว...ขอบคุณมากนะคะ"ยังไม่ทันที่เธอจะถามอะไรต่อ เสียงกริ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน เธอตกใจกับเสียงกริ่งที่ดังขัดจังหวะก่อนวิ่งกลับไปที่ห้องเรียน หากเธอไปสายจะต้องมีคนแกล้งย้ายที่เอาของๆเธอไปซ่อนอีกแน่ๆ คราวที่แล้่วก็เอาไปซ่อนในถังขยะทำให้เธอไม่มีกระเป๋าต้องเอาไปซักแล้วต้องเอาใบอื่นมาใช้ก่อน

            /โชคดีนะท่าน/วิญญาณตนนั้นพูดเบาๆก่อนจะจากไปพร้อมสายลมที่พัดผ่านไป

    ______________________________

    ให้ตายเถอะโรบิน

    ต้นฉบับเล่ม3หายไป!!

    ต้องหาก่อนนะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×