ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reyphanos ผู้พิทักษ์แห่งเซซินเนียร์

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 58


     

    บทที่ 5

                    “เฮ้! เรฟ! ทางนี้

                    ทันทีที่ก้าวพ้นจากประตูสีทอง เรฟก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศของโรงเรียนเตรียมอัศวินคาเรเนียสอีกครั้ง เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีเสียงเรียกที่ดังไม่น้อยเป็นการยืนยันว่าเขาไม่ได้มาโผล่มาผิดที่เสียด้วย

                    เบาเสียงลงหน่อยก็ได้น่า.. เอนด์ เรฟยิ้มขำแล้วเดินไปหาเจ้าชายผมแดงที่โยกมือหย๊องแหย๊งเรียกเขาอยู่

                    ก็ข้ากลัวเจ้าไม่ได้ยินเอนเดลลิออนลอยหน้าลอยตาตอบ เจ้าเดินออกมาจากประตูสีทองแสดงว่าสอบผ่านใช่ไหม แล้วเจ้าอยู่หออะไรล่ะ

                    เรฟทำหน้างงแล้วเอ่ยถาม

    มันมีประตูอื่นด้วยหรอ?   

                    เจ้าชายจากแดนอัคคีทำหน้าเบื่อโลกทันทีที่ได้ยินคำถามของคนที่ฉลาดไปเสียทุกเรื่อง แต่กลับมาสงสัยกับเรื่องโง่ๆที่แม้แต่เด็กก็น่าจะเดาได้

                    หันกลับไปดูนู่น เอนเดลลิออนชี้ไปทางด้านที่เรฟานอสเพิ่งเดินจากมา

    ประตูที่เจ้าเพิ่งเดินออกมาเรียกว่า โกลเดิลดอล ใครที่ออกมาจากประตูนี้แสดงว่าสอบผ่าน ส่วนประตูที่ทำจากหินก้อนใหญ่ข้างๆนั่นเรียก โบลเดอร์ดอล ประตูของผู้สอบตกยังไงล่ะ

    อ่อ.. มีประตูอยู่ข้างๆด้วยวุ้ย ตอนออกมาไอเราก็ไม่ได้ดูสิ่งรอบข้างเลย.. เรฟานอสพยักหน้าอย่างเข้าใจ

    งั้นก็แสดงว่าข้าสอบผ่านสินะ แล้วเจ้าสอบผ่านรึเปล่า

    หึ เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน คนถูกถามยืดอกเต็มที่ ข้าน่ะเจ้าชายรัชทายาทแห่งไฟร์ออนาซเชียวนะ ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ใช่ข้าแล้ว

    หรืออักนัยหนึ่งก็คือ ถ้าไม่ผ่านเจ้าคงจะโดนท่านอาฉีกอกเป็นชิ้นๆสินะ เรฟอดไม่ได้ที่จะเหน็บกลับไปอย่างหมันไส้

    อย่ามารู้ดี

    ก็รู้ดีน่ะสิ เรฟยักไหล่อย่างตั้งใจจะกวนประสาทเต็มที่ ตกลงเจ้าอยู่หอไหนล่ะ

    หอพิเศษเอนเดลลิออนตอบด้วยน้ำเสียงที่เก็บความภาคภูมิใจไว้ไม่อยู่

    หื้อออ เจ้าเนี่ยนะ เรฟมองอย่างไม่อยากเชื่อ

    ก็ข้าเนี่ยแหละ แล้วเจ้าเป็นยังไง ได้อยู่หอไหน

    เมื่อได้ยินคำถามเรฟก็หยิบสร้อยที่เขาเก็บไว้ในอกเสื้อออกมา สร้อยที่เคยเป็นเงินธรรมดากลายเป็นทองคำขาวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่สิ่งที่ดึงดูดเขาได้กลับเป็นจี้ที่เคยเป็นรูปหยดน้ำสีเงินสวยกลับกลายเป็นสัญลักษณ์โล่ปราการลายกุหลาบสีทองพิสุทธิ์ส่องประกายท้าแสงสุริยันยามเย็นดูงดงามยิ่งนัก

    เรฟยิ้มกว้างอย่างถูกใจแล้วหันไปสบตาเพื่อนที่อยู่ด้านข้างที่กำลังยิ้มให้เขาเช่นเดียวกัน

    ดูท่า... เจ้าคงต้องทนข้ากวนประสาทไปอีกสี่ปีแล้วล่ะ

     

     

    กึก

    จากที่ส่งยิ้มสวีทหวาน(?)ให้กันอยู่ทั้งสองก็เป็นอันชะงักกึก พวกเขาสบตากันอย่างรู้ความหมาย ทั้งคู่รับรู้ได้ถึงพลังจากพสุธาที่อัดแน่นมากกว่าปกติฟุ้งกระจายอยู่โดยรอบ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าสอบหรือรุ่นพี่ที่มาดูแลการสอบต่างชักอาวุธของตนออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่

    เรฟานอสสวมสร้อยทองคำขาวแล้วหลับตาลง แผ่พลังสัมผัสออกไปทั่วทุกพื้นที่สำรวจหาจุดที่มีพลังนี้เข้มข้นมาที่สุด เมื่อพบแล้วเขาก็ลืมตาพรึบแล้วกระชากแขนคนข้างๆให้วิ่งตามมาทันที

    แล้วนี้เจ้าจะพาข้าไปไหนนะเรฟ!”

    เอลเดลลิออนท้วงขึ้นขณะที่ยังถูกลากให้วิ่งตามไปไม่หยุด

    จุดกำเนิดพลังอยู่ทางทิศใต้

    ทิศใต้? ทิศใต้นั่น.. มันก็เป็นหอปฐพีน่ะสิ

    ก็ใช่น่ะสิ! หยุดโวยวายแล้วรีบวิ่งตามมาเถอะน่า!”        

     

     . . . .

    . . . .


     

    ทันทีที่ทั้งสองมาถึงก็เป็นอันต้องชะงักค้างอีกรอบเมื่อสภาพของปราสาทปฐพีที่ควรจะสวยงามไม่ต่างจากหออื่นๆกลับมีสภาพไม่ต่างจากสมรภูมิรบก็ไม่ปาน บริเวณพื้นโดยรอบเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดใหญ่กระจายไปทั่ว ต้นไม้หักโค่น บางต้นก็มีรอยไหม้ซึ่งเป็นผลมาจากการต่อสู้ของเหล่านักศึกษาและว่าที่นักศึกษาที่กำลังพร้อมใจกันหันคมดาบเข้าต่อสู้กับมนุษย์ดินที่ก่อตัวโดยไร้ที่มาขึ้นเรื่อยๆ

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

    เอนเดลลิออนอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะหันไปเห็นชายหนุ่มผมน้ำเงินอันแสนคุ้นตากำลังวิ่งเข้ามาพอดีจนต้องหันไปสะกิดเรฟานอสที่กำลังเรียกดาบของตัวเองยิกๆ

    เรฟๆ ดูนั่นสิ

    เจ้าจะสะกิดข้าอะไรนักหนา.. เรฟหันไปมองตามสายตาของเอนด์ อ้าว เจ้าชายทารีส

    ทารีสปรายตามามองคนเรียกอย่างชั่งใจแล้วเดินเข้ามาสมทบ

    ท่านก็ตามจุดกำเนิดพลังมาเช่นกันสินะ เรฟยิ้ม ขณะพยักพเยิดให้เจ้าชายจากแดนสายน้ำเรียกอาวุธของตัวเองออกมาเรียกอาวุธของท่านออกมาเถอะ ก่อนที่ท่านจะถูกมนุษย์ดินพวกนั้นทำให้เสื้อผ้าของท่านแปดเปื้อน

    ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ทารีสเอ่ยอย่างเย็นชาแต่ก็ยอมเรียกดาบสีฟ้าใสดังแก้วชั้นดีของตนออกมา

    เมื่อเห็นดังนั้นเรฟก็หัวเราะน้อยๆกับการกระทำที่ช่างสวนทางกับคำพูดของเจ้าชายตรงหน้าพลางหันไปชวนเอนเดลลิออนที่อยู่ในสภาพพร้อมรบอยู่แล้วให้ไปพร้อมกัน

    งั้นเราก็ไปช่วยเขากันเถอะเอนด์ เรฟทำท่าจะวิ่งเข้าไปร่วมวงด้วยแต่ก็ไปไหนไม่ได้เมื่อถูกคว้าเข้าที่ข้อมือเสียก่อน

    อย่าเพิ่งสิเรฟ แล้วเจ้าชายทารีสล่ะ

    เรฟเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางเจ้าชายทารีสที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แล้วก็พลันไปเห็นสร้อยที่เจ้าชายหนุ่มสวมอยู่ทำให้นัยน์ตาสีน้ำเงินใสแปล่งประกายวาบขึ้นก่อนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม

    ท่านก็มาด้วยกันสิเจ้าชาย ยังไงเราก็เป็นเพื่อนร่วมหอกันแล้วนี่เนอะ

    เรฟานอสยิ้มกว้างจนตาหยีก่อนจะวิ่งนำเข้าไปในสถานที่ที่เปรียบสมรภูมิขนาดหย่อมแล้วใช้ดาบที่ลุกท่วมไปด้วยเพลิงสีน้ำเงินฟาดฟันกับศัตรูอย่างไม่เกรงกลัว

    เอนเดลลิออนหันมาสบเข้ากับนัยน์ตาสีเงินของเจ้าชายทารีสอย่างเงียบๆ สองขาก้าวเข้ามาหาคนที่เพิ่งโดนสถาปณาเป็น เพื่อน หมาดๆ แล้วตบบ่าอีกฝ่ายปุปุก่อนจะเดินเข้าไปร่วมวงกับเจ้าเพื่อนผมเงินเช่นเดียวกันทำให้อีกฝ่ายทำได้เพียงถอนหายใจและเดินตามเข้าไปร่วมด้วยเท่านั้น

     

     

    ฉัวะ! พรึบ พรึบ พรึบ

    ไอ้เจ้าพวกนี้มันตัวอะไรกันแน่เนี่ย! เผาไปเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที!!”

    เรฟานอสบ่นขณะที่สองมือก็ตวัดดาบเพลิงไปทางมนุษย์ดินตัวนู้นทีตัวนี้ทีจนมันแห้งกรอบและแตกกลายเป็นเศษดินทีละตัวสองตัวโดยไม่ได้รู้เลยว่ากำลังทำชาวบ้านเขาแตกตื่นกันไปทั่วเพราะพลังของตัวเอง

    ตู้ม ตู้ม ตู้ม!!

    เจ้าก็เลิกบ่นสักที รู้ไหมมันทำให้คนอื่นเสียสมาธิ

    เอนเดลลิออนที่กำลังจัดการมนุษย์ดินอยู่ใกล้ๆแขวะเพื่อนอย่างหงุดหงิดเมื่อมนุษย์ดินพวกนี้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เขาก็ยังไม่หยุดที่จะอัดลูกเพลิงสีแดงสดที่ดูเหมือนจะเพิ่มขนาดขึ้นตามความหงุดหงิดของเจ้าตัวใส่ศัตรูโดยไร้ซึ่งความปราณี

    ฉัวะ ฉึก!!

    พวกเจ้าหยุดเถียงกันได้แล้ว

    เสียงนิ่งเย็นของอีกคนที่อยู่ไม่ไกลแต่ไม่นึกว่าจะเข้าร่วมบทสนทนานี้ด้วยทำให้ทั้งสองที่กำลังเถียงกันอยู่หุบปากฉับตั้งหน้าตั้งตาเผาเจ้าก้อนดินตรงหน้าอย่างมุ่งมั่งทันที

    บทสนทนาท่าทางสนิสสนมของทั้งสามผู้มีพลังร้ายกาจเสียจนคนอื่นหยุดมองตาค้างเกิดพร้อมใจกันถอยร่นออกมาจากรัศมีทำลายล้างของกลุ่มนั้นโดยมิได้นัดหมาย ทั้งหมดรู้สึกถึงความอ่อนด้อยของตนเองขึ้นมาทันทีที่เห็นเพลิงสีน้ำเงิน ลูกไฟขนาดใหญ่ และท่าทางฟาดฟันศัตรูที่งดงามไม่ต่างจากการร่ายรำของทั้งสาม

    เพลิงศักดิ์สิทธิ์มากมายขนาดนั้น... พลังอะไรกันนี่

    ลูกไฟสีแดงน่ากลัวนั่น ของเจ้าชายจากไฟร์ออกนาซใช่ไหม

    เพลงดาบก็ช่างงดงามอะไรขนาดนี้

    นั่น! ดูที่สร้อยของพวกเขาสิ!!”

               สีทอง!! พวกหน่วยพิเศษหรอ!!”

               “ทั้งกลุ่มเลยด้วย ไม่แปลกใจเลย พลังขนาดนี้ถ้าไปอยู่หน่วยอื่นสิแปลก

     

                    เสียงสนทนาที่ไม่เบาทำให้เรฟหลุดหัวเราะออกมาไม่ต่างกับเอนเดลลิออนที่กำลังเบ้หน้าและทารีสที่ตีหน้านิ่งสนิท เวลาแบบนี้แทนที่จะมาช่วยกันกำจัดศัตรูกลับเอาเวลามายืนตะลึงกันอยู่ได้ มันน่าจับมาโยนให้เป็นอาหารพวกมนุษย์ดินนี่ซะให้หมด

                    ดูเหมือนพวกเราจะดังแล้วนะ เรฟพูดขึ้นลอยๆ เอนเดลลิออนตวัดสายตามามองอย่างไม่พอใจนัก

                    ก็เพราะเจ้านั่นแหละที่ใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์มั่วซั่วแบบนี้

                    เจ้าโทษข้าคนเดียวไม่ได้นะ เจ้าก็ผิดที่สร้างเพลิงเสียใหญ่โต แล้วเจ้าชายทารีสก็เล่นฟันศัตรูฉับดับในดาบเดียวนี่ต่างหาก 
                    คนไม่สำนึกยังคงเถียงเพื่อนต่อไปจนเป็นการเปิดช่องว่างทำให้มนุษย์ดินฟันดาบลงมาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทันที
    !


                    เฮ้ย!

                    เรฟานอสมองกำแพงดินที่ผุดขึ้นมากั้นระหว่างตนกับคู่ต่อสู้อย่างทันท่วงทีอย่างงงๆ สมองลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อนที่จะหันไปมองผู้มาใหม่ที่ใจดีสร้างกำแพงมาช่วยเขาไว้ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก

                    เจ้าชายเรอา เดโรนีการ์ ?

                    เป็นอะไรรึเปล่าครับ เจ้าชายเรอาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

                    เอ่อ... ข้าไม่เป็นไร ขอบใจท่านมากที่ช่วยข้า

                    “ดีจัง เจ้าชายเรอายิ้มกว้างอย่างสดใส ท่านช่วยถ่วงเวลาให้ข้าหน่อยได้ไหม ข้าจะใช้พลังพสุธาให้มนุษย์ดินพวกนั้นสงบลง

                    แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่เรฟานอสก็พยักหน้ารับปากไปแบบมึนๆกับความแปลกประหลาดของเจ้าชายจากแดนแห่งพสุธา เอนเดลลิออนและทารีสที่ยังสู้ติดพันอยู่เมื่อเห็นว่าเรฟานอสมีคนมาช่วยไว้ทันเวลาก็พร้อมใจกันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วหันไปสนใจกับการต่อสู้ตรงหน้าเช่นเดิม

                    เรฟใช้ดาบเพลิงฟันศัตรูตรงหน้า ในขณะเดียวกันก็คอยระวังความปลอดภัยให้เจ้าชายผู้มาใหม่ที่กำลังคุกเข่าข้างหนึ่งในท่าอัศวิน มือขวาทาบลงไปกับผืนดินโดยไม่สนใจว่ามือจะเปื้อนแค่ไหน ปากก็ท่องเวทอันยาวเหยียดจนเรฟอดที่จะเหนื่อยแทนไม่ได้

                    ไม่นานนัก แผ่นดินก็เกิดการสั่นสะเทือน แม้จะไม่มากแต่ก็ทำให้ผู้คนโดยรอบล้มระเนระนาดด้วยความไม่ตั้งตัว เรฟานอสปักดาบลงกับพื้นเพื่อเป็นตัวช่วยในการพยุงร่างกายไม่ให้ล้มลงเช่นเดียวกับเอนเดลลิออนและทารีสที่หาหลักยึดเช่นเดียวกัน

                    เมื่อผืนดินค่อยๆสงบลง เหล่ามนุษย์ดินก็หายไปเหมือนไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ในขณะที่คนร่ายเวทยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม แต่ร่างนั้นกลับกระเพิ่มขึ้นลงอย่างคนที่เพิ่งใช้พลังไปอย่างหนัก ทารีสที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบตรงเข้ามาทาบมือไปที่หน้าอกอีกฝ่ายเพื่อร่ายเวทรักษาทันที

                    แสงสีขาวนวลสว่างวาบขึ้นแล้วค่อยๆจางหายไปพร้อมกับท่าทางเหนื่อยอ่อนของเจ้าชายจากอาณาจักรเดนิตาร์ ลมหายใจที่เริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้งทำให้ทารีสยอมละมือที่กำลังรักษาออกมาแล้วพยุงอีกฝ่ายขึ้น พอดีกับเรฟและเอนด์ที่เดินสมทบเข้ามาพอดี

                    ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เรฟานอสเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

                    ข้าไม่เป็นอะไรหรอกครับ คนถูกถามยิ้มบางๆขณะหันไปขอบคุณคนที่พยุงตนไว้ ขอบคุณท่านทารีสมากที่ช่วยรักษาข้า

                    ท่านต่างหากที่ช่วยทุกคนไว้ เจ้าชายทารีสยังคงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นเดิมแต่ก็อ่อนลงมากกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย

                    ท่านทำได้ยังไงนะเมื่อครู่เอนเดลลิออนถามโพล่งขึ้นมา เรอาหันไปยิ้มให้คนพูดก่อนจะตอบ

                    เป็นเวทย์เฉพาะของตระกูลข้าน่ะครับ

                    ทุกคนยกเว้นทารีสร้องอ้ออย่างเข้าใจ เวทย์สายเฉพาะของราชวงศ์ จะแปลกประหลาดและยิ่งใหญ่กว่าชาวบ้านก็ไม่เห็นจะแปลก

                    จริงสิ ข้าลืมไปเลย เรฟานอสเอ่ยแทรกขึ้น นัยน์ตาสีน้ำเงินหันไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวมรกตของเจ้าชายจากแดนพสุธาพลางกล่าวคำขอบคุณจากใจจริง
                    “ข้าขอขอบคุณท่านมาก หากท่านมาช่วยข้าไว้ไม่ทันข้าคงแย่

                    อ่า... ความจริงข้าควรจะเข้ามาช่วยพวกท่านตั้งนานแล้ว แต่พอข้าเห็นพลังของพวกท่านก็มัวแต่อึ้งจนลืมเข้ามาช่วย
                    คนพูดยีผมสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองแก้เก้อในขณะที่คนฟังทั้งสามรู้สึกคิ้วกระตุกขึ้นมาหงึกๆ


                    อย่าบอกนะว่าไอ้เจ้าชายนี่ก็ยืนรวมอยู่กับเจ้าพวกขี้นินพวกนั้นด้วย!!?

                    “ต..แต่ข้าก็เข้ามาช่วยพวกท่านได้ทันนะ!!” เรอาร้องขึ้น ถึงจะช้าไปหน่อยก็เถอะ แต่.. แต่พวกท่านก็ไม่ได้เป็นอะไรกันมาก อีกอย่างข้าก็อยู่หน่วยเดียวกับพวกท่านด้วย

                    เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้ ทั้งสามก็รับรู้ได้ถึงลางของความวุ่นวายขึ้นมาตงิดๆ

                    เรามาสนิทกันไว้เถอะนะ!”

                    อืม... ดูท่าพวกเขาจะได้เพื่อนที่มีพลังปีศาจเพิ่มขึ้นมาอีกคนซะแล้วล่ะ









    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    สวัสดีค่าาาา บทที่ 5 มาแล้ววว มีคนรอเรื่องนี้อยู่บ้างไหม 5555
    ขอบคุณทุกคอมเม้นมากๆเลยนะคะ 1 คอมเม้น 1 กำลังน๊า
    เจอกันตอนหน้าจ้า





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×