คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 10
บทที่ 10
ข้า เอสตาร์ ยินดีที่ได้กลับมารับใช้ท่านอีกครั้งขอรับ นายเหนือแห่งข้า”
เรฟานอสกวาดสายตามองไปรอบๆ สายตาที่แสดงถึงความสงสัยทำให้เรฟตัดสินใจร่ายเวทขึ้นมาทันที เพลิงสีน้ำเงินลุกขึ้นแผดเผาร่างของทั้งผู้ร่าย ทั้งอาวุธในตำนาน และเหล่าสหายทั้งสี่ของตนก่อนที่ร่างทั้งหกจะหายวับไปจากคลองสายตาของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งทั้งห้าหน่วยที่ยังคงอึ้งตะลึงตาค้างไม่หาย
....
....
....
เงียบ..
บังเกิดความเงียบขึ้นทันทีหรืออาจจะเกิดขึ้นมาสักพักแล้วตั้งแต่ ง้าวดารา ศัตราวุธในตำนานปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกับบันดาลจนเกิดสภาพที่คล้ายกับมนุษย์เสียจนแยกไม่ออก
ไม่ว่าจะเหล่าสหายทั้งสี่ที่กำลังยืนเงียบอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงได้มาโผล่ในห้องนั่งเล่นเล็กที่ไม่ค่อยได้ใช้งานของปราสาทหน่วยพิเศษได้ หรือคนร่ายและอาวุธในร่างมนุษย์ต่างก็เงียบเพราไม่รู้จะเริ่มต้นสนทนาขึ้นมาอย่างไรดี
ว่ากันว่าง้าวดารานั้นเคยเป็นศัตราวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดในบรรดาศัตราวุธแห่งเทวา เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าผู้ใดที่ครอบครองนั้นจักได้เป็นองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ครอบครองทั้งภพมนุษย์ เทพยดา และปีศาจ เป็นผู้ปกครองภพทั้งสาม
แต่ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดค้นภพสิ่งที่สูงค่าเช่นนี้จนมันแทบจะกลายเป็นตำนานและความเชื่อปรัมปรา
แต่ใครจะคิดล่ะว่ามันจะปรากฏกายออกมาง่ายๆเช่นนี้...
ยิ่งคนที่เรียกดันเป็นแค่เด็กมนุษย์ธรรมดา ถึงจะมีศักดิ์เป็นแม่ทัพในอนาคตก็เถอะ...
แต่มันจะง่ายไปหน่อยไหม!!
“ยินดีทีได้รู้จัก ท่านอาวุธในตำนานเอสตาร์”
เรฟานอสแย้มยิ้มสดใสทำเอาอาวุธในตำนานตาพร่า ใบหน้าคมคายมองนายเหนือของตนอย่างนึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะยิ้มอย่างจริงใจเป็นอย่างชาวบ้านเขา เอสตาร์อดที่จะรู้สึกปลื้มปริ่มในหัวใจอย่างอดไม่ได้
นายเหนือของข้า... ไม่มีรอยยิ้มตอแหลแบบแต่ก่อนอีกแล้ว สงสัยการจุติเป็นมนุษย์ของท่านจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นมากมายสินะ...
“ยินที่ได้รู้จักขอรับ ต่อแต่นี้เป็นต้นไปท่านสามารถเรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ”
เรฟานอสรู้สึกคิ้วกระตุก คันมือคันเท้าอยากจะสมนาคุณอาวุธตัวเองขึ้นมาตงิดๆ ถึงจะโล่งใจที่เจ้านั่นยอมตามน้ำทำเป็นเพิ่งเจอกันครั้งแรกก็เถอะ...
แต่ไอ้ท่าทางปลื้มอกปลื้มใจราวกับซาบซึ้งเสียเต็มประดานั่นคืออะไรกัน!
เรฟกระแอมไอ ปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งเรียบ เชิดคางขึ้นเล็กน้อยอย่างคนเหนือกว่าพลางแสยะยิ้มเหี้ยมออกมา
“ร.. เรฟ...”
“หือ?” เรฟหันไปมองเอนเดลลิออนที่เรียกเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างแปลกใจ
“นั่น... ง้าวดาราจริงๆใช่ไหมครับ” คราวนี้เป็นเสียงของเรอา ใบหน้างามนั้นทำท่าจะร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น
“อ่า..คงใช่แหละมั๊ง”
เรฟานอสยีผมสีเงินของตัวเองจนยุ่ง ก่อนจะหันไปทางเอสตาร์และถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “เจ้าใช่ง้าวดาราที่เรอาว่ารึเปล่า”
“ใช่ขอรับ ข้าคือง้าวดารา”
คำตอบของเอสตาร์ทำให้เรฟพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเพื่อนทั้งหมดจึงอดที่จะถามออกมาไม่ได้ “มีอะไร ทำไมพวกนายทำหน้าแบบนั้น”
เซฟิรอสที่ดูเหมือนจะตั้งสติได้เร็วกว่าเพื่อนกระแอมเล็กน้อยพลางมองไปทางอาวุธในตำนานในร่างมนุษย์อย่างเกรงๆ
“ว่ากันว่า ผู้ที่ครอบครองง้าวดาราเมื่อกาลก่อนคือเทพโครนอน แต่เมื่อเทพโครนอนเปลี่ยนเป็นจอมมาร ง้าวดาราก็กลายมาเป็นสมบัติที่สาบสูญ และผู้ที่จะครอบครองมันได้นั้นมีเพียงสายเลือดของมังกรสีทอง สายเลือดของราชวงศ์ผู้สาบสูญเท่านั้น”
อ้อหรอ...
ความเชื่องมงายอีกแล้ว...
“พวกนายคิดมากไปรึเปล่า ฉันเป็นหลานแม่ทัพจากไฟร์ออนาซ จะกลายเป็นลูกหลานราชวงศ์ที่หายสาบสูญไปได้ยังไง” เรฟยิ้ม
“นี่ๆ ฉันขอดูง้าวอีกรอบได้ไหม ครั้งที่แล้วยังดูไม่ทันชัดท่านง้าวก็กลายเป็นมนุษย์ไปซะแล้ว” เอนเดลลิออนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น หันไปมองเอสตาร์ความหวัง
“ฉันชื่อเอสตาร์ ไม่ได้ชื่อท่านง้าว เจ้าปลาทอง!” เอสตาร์แยกเขี้ยวอย่างหงุดหงิด
“ฮ่าๆๆ อย่าไปถือสาเลยเลยเอส เจ้าก็เปลี่ยนเป็นง้าวให้เพื่อนข้าดูหน่อยสิ”
เรฟานอสหัวเราะเบาๆแล้วพยักพเยิดให้อีกฝ่ายทำตามความต้องการของเพื่อน เอสตาร์ฮึดฮัดเล็กน้อยแต่ก็ยอมเปลี่ยนร่างเป็นอาวุธด้ามงามตามความต้องการของนายตน
ง้าวด้ามงามลอยอยู่ตรงหน้าเรฟารอส เรฟจับจ้องไปยังง้าวเล่มนั้นและหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอย่างสนใจก่อนที่จะยื่นให้เอนเดลลิออนที่มีท่าทางตื่นเต้นจนออกนอกหน้า
เมื่อเห็นดังนั้น เจ้าชายหนุ่มผมแดงจึงยื่นมือไปรับจากเพื่อนของตน ก่อนที่ใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทั้งที่สัมผัสกับง้าวด้ามนั้นไม่ถึงนาที
เคร้ง
อึก!
“เอนด์! / คุณเอนด์!”
ร่างที่อยู่ๆก็ทำท่าจะทรุดฮวบลงไปกับพื้นสร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคน ทารีสที่ยืนนิ่งจับจ้องทุกการกระทำของเจ้าชายหนุ่มผมแดงทุกกิริยาอยู่แล้วพุ่งตัวเข้ามาประคองคนที่ทรุดลงไปทันทีก่อนที่ร่างนั้นจะสัมผัสกับพื้น
ร่างหนาของเอนเดลลิออนหายใจหอบถี่ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ปฏิกิริยาที่ไม่ต่างจากในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์แต่รุนแรงกว่ามากทำให้ทุกคนทำหน้าเครียด จับจ้องไปยังอาวุธในตำนานอย่างหาคำตอบ
“เอนด์ ไหวรึเปล่า เป็นอะไรไป” เรฟานอสถามอย่างเป็นห่วง
“อีกแล้ว เห็นอีกแล้ว..”
“เห็นอะไรครับ คุณเห็นอะไร” เรอาลนลานถามอย่างร้อนรน
“สงคราม เลือด และ...คนตาย ศากศพที่ทับถมกันจนสูง เลือดสีแดงไหลอาบไปทั่วทุกที เสียงกู่ร้องของคนนับพัน เสียงโหยหวนของเหล่าวิญญาณผู้เคียดแค้น ธงรบตรามังกรสีทอง ร่างของฉันที่เต็มไปด้วยบาดแผลกำลังจะล้มลง และ...”
เมื่อถึงประโยคสุดท้ายคนพูดก็ชะงัก มองไปยังเพื่อนสมัยเด็กเพียงคนเดียวของตนด้วยสายตาเคลือบแคลง
จะให้เขาพูดได้อย่างไร
ในเมื่อเขาเห็น...
เพื่อนของเขา...
เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดที่ไม่ใช่ของตัวเอง...
กำลังยืนนิ่งมองความพังพินาศ... อยู่ในนั้น...
“ความพังพินาศของทุกอาณาจักร”
เอนเดลลิออนเลือกที่จะพูดเลี่ยงออกไป ทารีสมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนหมดสภาพราวกับกำลังจะค้นหาความจริงที่อีกฝ่ายต้องการปกปิด แต่นั่นก็ไม่เป็นผลเมื่อดวงตาสีทองของเอนเดลลิออนนิ่งสงบเสียจนเดาไม่ออก
“พวกนายเห็นใช่ไหม ภาพที่ตัดไปตัดมาอยู่ในหัวอย่างไม่ปะติดปะต่อในวิชาประวัติศาสตร์เมื่อเช้า” ทารีสกล่าวขึ้นลอยๆ
ทุกคนยกเว้นเรฟานอสพยักหน้า เรื่องนี้พวกเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในตอนนั้นมีทั้งภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะอย่างสุขสันต์ เสียงทะเลาะ เสียงร้องไห้ และเสียงตะโกนอย่างเคียดแค้นไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ และโศกนาฏกรรมกันเศร้า และทำไมพวกเขาถึงเห็นภาพพวกนั้น..
“บางที ถ้าเราไปจับเจ้านั่น” ว่าพร้อมหันไปทางง้าวดาราที่แน่นิ่งอยู่กับพื้น “เราอาจจะรู้ก็ได้ว่าเราเห็นอะไร”
เซฟิรอสเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปหาง้าวที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น แต่ก่อนที่มือแกร่งจะสัมผัสเข้ากับตัวด้ามก็มีแรงกระชากจากข้างหลังทำเอาเด็กหนุ่มจากเวนเดลล่าเซไปข้างหลังเสียหลายก้าว
“อย่าแตะต้องง้าวเล่มนั้น!!!”
เอลเดลลิออนตวาดเสียงกร้าว กวาดสายตาไปทางเซฟิรอส ทารีส และเรอาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
“อย่าแตะต้องง้าวเล่มนั้น ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“นาย... เป็นอะไรไป” ทารีสมองคนตวาดใส่พวกเขาอย่างไม่เข้าใจยิ่งขึ้น
“ใจเย็นก่อนเอนด์” เรฟานอสเดินมาตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ จากนั้นจึงหันไปยิ้มกว้างให้กับเพื่อนอีกสามคนเพื่อให้พวกเขาสบายใจ
“เอนด์กำลังกลัวว่าถ้าพวกนายแตะง้าวเล่มนั้นแล้วอาจจะเกิดผลข้างเคียงที่แรงกว่าที่หมอนั่นเจอก็ได้ จำไม่ได้หรอว่าตอนที่พวกนายเห็นภาพครั้งแรกพวกนายมีท่าทีปวดหัวอย่างเห็นได้ชัดเลยนี่ ถ้าเห็นอีกจะไม่ช็อคไปเลยรึไง”
เรฟพูดพร้อมกลั้วหัวเราะ
“ถึงฉันจะไม่เห็นในสิ่งที่พวกนายเห็น แต่ฉันว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องที่น่าดูสักเท่าไหร่หรอกนะ”
“ใช่ ถ้าพวกนายอาการหนักกว่าฉันจะเป็นยังไง” เอนเดลลิออนเออออไปกับเพื่อนรักและให้เหตุผลที่ฟังยังไงก็ไม่ขึ้นเอาเสียเลย “ฉันกลัวร่างกายพวกนายจะรับไม่ไหว”
“พวกฉันไม่ได้อ่อนแอจนนายต้องเป็นห่วงหรอกนะเอนด์” ทารีสหรี่ตาลงมองเพื่อนผมแดงอย่างจับผิด “นายกำลังปิดบังอะไรพวกเรารึเปล่า”
“เอาน่าๆ อย่าเพิ่งมาทะเลาะกันเองสิ เรื่องแค่นี้เอง” เรฟไกล่เกลี่ย “เชื่อใจกันหน่อยสิ ฉันยังไม่อยากเห็นพวกเราแตกคอกันเองเพราะเรื่องเล็กน้อยนี่หรอกนะ นายก็คงจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นหรอกใช่ไหมทารีส”
ถึงปากจะพูดถึงทารีส แต่สายตาก็ยังเผื่อแผ่ไปถึงเซฟิรอสและเรอาที่ยืนอยู่เงียบๆเพื่อเป็นการเตือนอีกด้วย เมื่อทารีสได้ฟังอย่างนั้นจึงสบตาเขากับดวงตาสีน้ำเงินใสของอีกฝ่ายนิ่งราวกับวัดใจ ก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆแล้วหันหลังเดินจากไปทันที
“เพราะเป็นเจ้า เรฟ... เพราะเป็นเจ้า ข้าถึงเชื่อ”
เรฟานอสชะงักขาที่กำลังจะก้าวไปเก็บง้าวที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นสร้อยตามเดิมแล้วยืนนิ่ง ดวงตาที่เคยสงบนิ่งยามสบเข้ากับดวงตาของทารีสวูบไหวราวกับแสงเทียนที่ต้องลมก่อนที่จะกลับมาเปล่งประกายเช่นเดิม
เรฟานอสมองไปทางเรอาและเซฟิรอสที่เพิ่งเดินพ้นกรอบประตูออกไปแล้วจึงเดินไปก้มเก็บสร้อยประจำตัวที่วางนิ่งอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ไว้ตามเดิม จากนั้นจึงหันมายิ้มสบายๆให้เอนเดลลิออนที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วเดินออกไปเช่นเดียวกับทุกคน
เอนเดลลิออนเดินออกมาจากห้องและจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้างของเพื่อนสมัยเด็กที่หายลับไปจากทางเดิน นัยน์ตาสีทองประกายฉายแววอ่อนล้าและสับสนอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นคืออะไร มันคืออดีตที่ผ่านมาหรืออนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น
เขาไม่รู้ว่าเรฟานอสเป็นใครหรือกำลังคิดอะไรอยู่ เอนเดลลิออนรู้เพียงแค่ว่าเรฟานอสเป็นหลานแม่ทัพที่เขาไว้ใจ ไม่มีอะไรที่เขารู้เกี่ยวกับตัวเพื่อนคนนี้มากกว่านั้น
รอยยิ้มที่เรฟานอสยิ้มเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนอื่นสบายใจได้ก็จริง แต่ก็ใช่ว่าคนยิ้มจะรู้สึกตามนั้นไปเสียหมด หลายครั้งที่เรฟานอสหายตัวไปจากวัง แต่ก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง แม้แต่เข้ามาในคาเรเนียส เรฟก็ชอบหายตัวไป แต่ก็กลับมาก่อนที่เขาจะเริ่มตามหาเสียทุกครั้ง
กลับมาพร้อมกับร้อยยิ้ม...
จนบางครั้งเอนเดลลิออนก็อดคิดไม่ได้ว่าจะมีสักครั้งไหมที่เพื่อนคนนี้จะไม่มีรอยยิ้มสว่างไสวประดับอยู่บนใบหน้างดงามนั้น แต่เพราะภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่ทำให้เขาไม่อยากเห็นเอาเสียเลย
ใบหน้านิ่งสงบที่ราวกับไม่รู้สึกรู้สากับความเป็นตายนั่น..เขาไม่ต้องการเห็นมันเลยแม้แต่น้อย....
เอลเดลลิออนมองไปตามทางเดินที่เพื่อนรักของเขาเพิ่งหายลับไป นัยน์ตาทองเปล่งประกายชัดถึงความแน่วแน่ ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดราวกับต้องการจะส่งสารนี้ไปตามสายลม
“จำเอาไว้ เจ้าไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียว เจ้ายังมีข้า สหายที่พร้อมที่จะต่อสู้ไปพร้อมกับเจ้า”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบไปอีกตอนแย้วววว จากนี้ไปเรื่องจะเข้มข้นขึ้นอีกนิดนึง...มั๊ง 5555555
เอสตาร์ กับ แอนตาร์ นั่นก็คนเดียวกันแหละค่ะ ไรต์พิมพ์ผิด คึคึ
เห็นรีดบอกถ้าเรฟเป็นหญิงก็ดีเหมือนกันนี่ทำเอาสะพรึง
อย่าเลยนะเบบี๋ แต่ถ้าให้จิ้นวายน่ะไรต์โอเค -..- 555555
สำหรับคำถมที่ว่าไรต์อัพทุกวันรึเปล่า
ความจริงก็อยากอยู่นะ
แต่บางทีไรต์ก็อาจจะแต่งไม่ทันมีตื้อบ้าง มีขี้เกียจบ้างไปตามประสา
แต่จะพยายามอัพถี่ๆไม่ให้เกินสองสามวันนั่นแหละจ้า
วันนี้มีรูปของเอลเดลลิออนมาฝากด้วย
โปรดอภัยให้กับความกากของไรต์ด้วยนะคะ T^T
ขอบคุณทุกคอมเม้นที่เม้นให้กันนะคะ
ไรต์นี่แทบจะกราบบบ กำลังใจขึ้นแบบมหาศาลมาก 5555
แล้วเจอกันตอนหน้าจ้าา
ความคิดเห็น