ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reyphanos ผู้พิทักษ์แห่งเซซินเนียร์

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 58


    บทที่ 9


                 ตอนนี้เรฟกำลังจะบ้า...       

    โลกของพวกเรานี้ชื่อว่าเซซินเนียร์  โดยที่แบ่งออกเป็นสี่อาณาจักรได้แก่ เวนเดลล่า ดินแดนแห่งสายลม ไฟร์ออนาซ ดินแดนแห่งเปลวเพลิง เดนิตาร์ ดินแดงแห่งพสุธา และราเวนเทียร์ ดินแดนแห่งสายน้ำ


                ใครก็ได้...

                ช่วยเขาที...


    ตั่งแต่สมัยบรรพกาล ก่อนที่อาณาจักรทั้งสี่จะถูกสถาปนาขึ้น ได้มีเทพทั้งห้าองค์ลงมายังผืนดินอันไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตแห่งนี้ เทพเอรอน ผู้ให้กำเนิดเวนเดลล่า เทพเซนอน ผู้ให้กำเนิดไฟร์ออนาซ เทพไอออน ผู้ให้กำเนิดเดนิตาร์ เทพโรฟอน ผู้ให้กำเนิดราเวนเทียร์ และเทพโครนอน ผู้ให้กำเนิดคาเรเนียส

                   
                   ง่วง...

                   จริง...

                    โว้ยยยยยยยยยยยยยยย
    !!!


                    และเมื่อเทพทั้งห้าได้สถาปนาอาณาจักรจนรุ่งเรืองแล้ว พวกท่านก็ได้ให้สัตว์เทพที่เป็นดังคู่หูของพวกท่านปกครองเมืองทั้งห้านี้ต่อ ซึ่งได้แก่...

                    ปึก!!

                    โอย...

                    เสียงศรีษะกระทบกับโต๊ะไม้เนื้อดีดังไปทั้งห้องเรียกความสนใจจากเพื่อนในชั้นและอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้องได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ตัวต้นเหตุลูบหน้าผากปาดน้ำตาป้อยๆไม่ได้สนใจสายตาดุๆของชายชราหน้าห้องเลยสักนิด

                    ดูท่าคุณจะเชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์เสียจนกล้าหลับในห้องของผมสินะครับ คุณเรฟานอส โรซาเรียส หัวหน้าชั้นปีหนึ่งหน่วยพิเศษ

                    เอาล่ะ... เรียกซะเต็มยศขนาดนี้ วิชานี้ดันเรียนรวมทั้งห้าหอด้วย ดังไปทั้งโรงเรียนเลยสิครับท่าน

                    เรฟานอสส่งยิ้มบางราวกับสุขุมเสียเต็มประดาในขณะที่ในใจกำลังเต้นตุ๊มๆต่อมๆว่าตนจะโดนอะไรตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเรียนหรือไม่

                    ไหนลองบอกว่าสิ ว่าสัตว์เทพทั้งห้าตนนั้นเป็นสัตว์อะไร ปกครองอาณาจักรไหนบ้าง

                    โดนจนได้.. เรฟลุกขึ้นยืนด้วยทวงท่าสง่างามแล้วเอ่ยตอบอาจารย์อย่างไม่ติดขัด

                    จิ้งจอกหิมะ ปกครองอาณาจักรเวนเดลล่า ฟีนิกซ์ ปกครองอาณาจักรไฟร์ออนาซ สิงโตเผือก ปกครองอาณาจักรเดนิตาร์ ภูตน้ำ ปกครองอาณาจักรราเวนเทียร์ และมังกรทอง ปกครองคาเรเนียส ซึ่งสัตว์ทั้งห้านี้ได้ปกครองและสืบสายเลือดต่อไปจนกลายเป็นราชวงศ์ทั้งห้าแห่งเซซินเนียร์ครับ

                    เรฟตอบเสียงฉะฉานอย่างมั่นใจ จากนั้นจึงโค้งตัวทำความเคารพแล้วนั่งลงตามเดิมด้วยทวงท่าสง่างาม ...ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบวิชาประวัติศาสตร์ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องพื้นฐานพวกนี้หรอกนะ

                    แต่ถึงกระนั้น แม้คำตอบที่เรฟกล่าวออกไปจะเป็นเพียงคำตอบง่ายๆที่ไม่ว่าใครก็ทราบกันดี แต่เพราะคำตอบที่สั้นกระชับและบทเสริมอีกเล็กน้อยเพื่อความสมบูรณ์เรียกสายตาชื่นชมจากทั้งอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นปีจากทั้งในหน่วยและนอกหน่วยได้เป็นอย่างดี

                    “ดีมาก สมแล้วกับที่ได้ที่หนึ่งของโรงเรียน

                    น้ำเสียงที่ปิดความชื่นชมเอาไว้ไม่มิดเรียกรอยยิ้มบางแต่ไม่ได้ถือตัวของคนถูกชมได้อีกครั้ง เรฟค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณแล้วตั้งใจฟังอาจารย์ตรงหน้าสอนต่อโดยพยายามไม่ให้ตัวเองเผลอหลับศรีษะแนบสนิทชิดเชื้อกับโต๊ะอีกเป็นครั้งที่สอง

                    แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าเทพเจ้าทั้งห้าได้เกิดข้อขัดแย้งกันขึ้น ทำให้ทั้งหมดลงมายังเซซินเนียร์ที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นอีกครั้งและทำสงครามกันไม่รู้จบ จนเมื่อค้นพบว่าเหล่าประชาชนของตนได้ล้มหายตายจากไปกับสงครามนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้ทั้งเทพทั้งห้าองค์รู้สึกสะท้อนใจและสงครามก็ได้ยุติลงนับตั้งแต่บัดนั้น

                    แต่ผลพวงจากสงครามครั้งนั้น ทำให้มีเทพองค์หนึ่งเปลี่ยนไป พวกคุณรู้ไหมว่าใคร

                    ทารีสยกมือขึ้น เมื่อได้รับอนุญาตก็ลุกขึ้นตอบเสียงเรียบนิ่ง

                    เทพโครนอน ผู้ให้กำเนิดคาเรเนียสครับ

                    ถูกต้อง ชายชราพยักหน้า ทารีสนั่งลงแล้วจดเลกเชอร์ตามเดิม

          “ผลพวงจากสงครามครั้งนั้น ทำให้เทพโครนอนมีความเกลียดชังต่อเทพยดาทุกชั้นฟ้า ด้วยความเกลียดชังอันนับประมาณมิได้นั้นเอง ทำให้กายของท่านเริ่มดูดซึมความมืดมิดมากมายมหาศาล จนก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยาวนานเป็นอมตะ สิ่งนั้นคือ..จอมมาร

    และเมื่อจอมมารบังเกิดขึ้นมา เทพทั้งสี่องค์ก็ได้ร่วมมือกันผนึกจอมมารเอาไว้ ณ ก้นบึ้งของความว่างเปล่า ราชวงศ์แห่งคาเรเนียสที่เป็นดังศูนย์รวมของทุกเผ่าพันธุ์ของเซซินเนียน์ก็ได้สิ้นสลายลง แต่ก็ยังมีความเชื่อต่อๆกันมาว่า เหล่าสายเลือดแห่งราชวงศ์นี้ยังคงไม่จางหายไปไหน ยังคงได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเช่นเดียวกับอีกสี่ราชวงศ์ที่เหลือ ยังเร้นกายอยู่ในความมืดเพื่อรอวันที่จะปลุกจอมมารขึ้นมาอีกครั้ง

    น้ำเสียงเนิบนาบของอาจารย์ไม่ทำให้เรฟานอสหลับลงอีกเป็นครั้งที่สอง แต่กลับสร้างรอยยิ้มพึงพอใจกับอะไรบางอย่างหลังจากที่ได้ฟังประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้สืบกันมาจากชายชรา

    เรฟานอสเหลือบไปมองเพื่อนซี้หัวแดงยุ่งๆที่กำลังกุมขมับ ขมวดคิ้วมุ่นราวกับกำลังปวดหัวอย่างหนัก ไม่ต่างกับทารีส เรอา และเซฟิรอสที่มีท่าทีไม่ต่างกัน เรฟขยับยิ้มอย่างพอจะเดาเรื่องทั้งหมดได้

    เป็นอะไรรึเปล่าเอนด์ เรฟกระซิบถามเสียงเบา

    ปวด...หัว... เอนเดลลิออนตอบกลับเสียงพร่า เห็นภาพอะไรก็ไม่รู้ วิ่ง...วนอยู่ในหัวไม่หยุด

    เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวที่เจ้าตัวพยายามก้มหน้าซ่อนเอาไว้ของเอนเดลลิออน ทำให้เรฟานอสที่กำลังร่ายเวทหยุดชะงักราวกับไม่มั่นใจ

    หายรึยัง บอกอาจารย์ไหม เรฟถามอย่างเป็นห่วง

    ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ดีขึ้น

                    เรฟไม่ซักไซ้อะไรต่อ ปล่อยให้เพื่อนที่ดูเหมือนจะดีขึ้นแต่ยังคงจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเองแล้วหันมาให้ความสนใจกับบทเรียนตรงหน้าอีกครั้งถึงแม้ว่ามันจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็ตามที

                    จนเมื่อวิชาทรหดของเหล่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งผ่านพ้นไป นักเรียนบางคนเริ่มเก็บสัมภาระของตัวเองและทยอยออกจากห้องเพื่อไปทานอาหารกลางวัน และยังมีอีกหลายคนที่เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะด้วยท่าทางง่วงงุนหลังจากไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เสียนาน

                    เรฟที่เก็บสัมภาระเสร็จแล้วหันไปถามเพื่อนที่ยังคงจมอยู่ในโลกส่วนตัวอย่างอ่อนใจ 

                    นี่... พวกนายจะไม่ไปกินข้าวกันใช่ไหม

                    ข้าว? เอนเดลลิออนสะดุ้งโหยงแล้วทำหน้างง ถึงเวลาทานข้าวแล้วหรอ

                    เรฟานอสถึงกับตบหน้าผากดังแปะอย่างเหนื่อยใจ เอากับมันสิ ท่าทางอย่างนั้นจะไหวถึงวิชาต่อสู้ภาคบ่ายไหมนั่น

                    เออ เก็บของแล้วไปกินข้าวได้แล้ว ฉันยังไม่อยากอดข้าวไปเรียนภาคบ่ายหรอกนะ ว่าแล้วหันไปมองเพื่อนอีกสามคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ ทารีส เรอา เซฟิรอส พวกนายจะไม่กินใช่ไหม

                    จะรีบเก็บของเดี๋ยวนี้ล่ะครับ

    เรอายิ้มแหยก่อนที่จะเก็บอุปกรณ์การเรียนอย่างรวดเร็ว เมื่อเรฟานอสเห็นว่าเพื่อนทั้งหมดเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเดินนำไปยังห้องอาหารที่แลดูแคบลงไปทันทีเมื่อมีนักเรียนทั้งสี่ชั้นปีมารวมตัวกัน

    การปรากฏตัวของเรฟและผองเพื่อนทำให้ห้องอาหารที่เคยส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันสนุกเงียบลงทันทีราวกับมีใครมากดปิดสวิตซ์ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเจ้าชาย ผู้ใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ คนที่ถล่มปราสาทปฐพี หรือแม้แต่หัวหน้าชั้นปีและผู้ที่อยู่หน่วยพิเศษอันหาได้ยากต่างก็ทำให้คนกลุ่มนี้เป็นจุดเด่นได้ไม่ยากนัก

    เรฟชะงักเท้าที่กำลังก้าวเข้าห้องอาหารพลางยิ้มเจื่อน

    อ่า... เราไปซื้ออาหารง่ายๆแล้วไปกินที่อื่นกันดีกว่าไหม

    เรฟเสนอ ซึ่งทั้งหมดก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเข้าใจกัน

    ...การโดนจับจ้องโดยคนเกือบทั้งโรงเรียนคงไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่หรอกมั๊ง...

     



                  ....

                  ....

                  ....


     

     
     

                    การเรียนภาคบ่ายเป็นดังสวรรค์ของคนรักการต่อสู้ เมื่อนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ ณ ลานฝึกอาวุธกลางแจ้งที่มีอาณาเขตกว้างไกลเสียจนกะไม่ถูกว่ามีพื้นที่เท่าไหร่ ทั้งลานฝึกยิงธนู ลานฝึกอาวุธซัด ลานประลองเวท หรือแม้แต่ลานฝึกดาบที่ยิ่งใหญ่และถูกแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างดีสมกับเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งที่ขัดเกลาเหล่าอนาคตผู้นำอาณาจักรทั้งหลายมานักต่อนัก

                    โห ใหญ่พอๆกับลานฝึกดาบในวังของฉันเลยนะเนี่ย เอนเดลลิออนถึงกับอุทานอย่างอดไม่ได้

                    เรฟานอสมองภาพตรงหน้าอย่างทึ่งจัดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา พยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้างและฟังอาจารย์ที่มีรูปร่างล่ำสันเยี่ยงนักรบที่ผ่านศึกมาอย่างยาวนานอธิบายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

                    วันนี้ผมจะยังไม่ให้พวกคุณสู้กันหรอกนะ แต่ผมจะให้พวกคุณเลือกและทำความคุ้นเคยกับอาวุธของตัวเองเสียก่อน โดยที่ผมจะให้พวกคุณถอดสร้อยประจำตัวของพวกคุณออกมา จากนั้นก็กุมมันให้แน่น ตั้งสมาธิให้นิ่งส่งพลังไปในสร้อยช้าๆ แล้วรูปร่างจี้นั้นจะเปลี่ยนเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับพวกคุณ

                    เอาล่ะ เริ่มได้

                    เมื่อได้ยินคำอนุญาต นักเรียนหลายคนก็หยิบสร้อยของตัวเองออกมาแล้วทำตามคำแนะนำของอาจารย์อย่างตั้งใจ ไม่ต่างกับเรฟานอส ที่กำลังพิจารณาจี้สีทองของตัวและคิดไม่ตกว่าเจ้าจี้นี่มันเปลี่ยนร่างได้ยังไง

                    นี่เอนด์ นายคิดว่าจี้นี่มันเปลี่ยนร่างได้ยังไงหรอ

                    ลงมนตราชั้นสูงไว้ล่ะมั๊ง ไม่รู้สิ  เจ้าของชื่อตอบอย่างไม่ใส่ใจและหันกลับไปตั้งสมาธิของตัวเองต่อ

                    เรฟานอสถอนหายใจเฮือกใหญ่หยุดความคิดที่จะหาคำตอบต่อสร้อยปริศนานี้แล้วกำไว้แน่น ตั้งสมาธิและส่งพลังไปในจี้ตามคำแนะนำของอาจารย์อย่างตั้งใจ

                    สิ่งใดที่เจ้าคิดว่าเหมาะสมกับข้า สิ่งใดที่ผูกพันต่อชะตาชีวิตของข้า เจ้าก็จงส่งศัตราวุธนั้นมาให้ข้าเถิด

                    เมื่อเห็นว่าจี้ในมือยังไม่มีปฏิกิริยาเสียที เรฟานอสจึงตั้งสมาธิและปณิธานอันแรงกล้าในขณะที่พลังอันมหาศาลก็ถูกถ่ายเทเข้าไปสร้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนรอบข้างรับรู้ถึงพลังในปริมาณมหาศาลและพากันหยุดชะงักสิ่งที่ตนทำอยู่แล้วหันมามองไปยังจุดเริ่มต้นของพลังเป็นตาเดียว

                    ถึงจะกลายเป็นจุดสนใจ แต่เรฟานอสก็ไม่รับรู้สิ่งรอบตัวเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มยังคงภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น

                    พลังของเจ้ากำลังจะปลุกข้าขึ้นมา เจ้ารู้หรือไม่

                    เรฟได้ยินเสียงของตัวเอง แต่น้ำเสียงนั้นกลับเรียบนิ่งราวกับไร้ชีวิตและความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

                    อย่าเพิ่ง เจ้าจะตื่นขึ้นมาตอนนี้ไม่ได้ สิ่งข้าต้องการไม่ใช่เจ้า  เรฟตอบกลับไป

                    แล้วเจ้าต้องการอะไร บุตรแห่งข้าเอย’  เสียงนั้นยังคงดังขึ้นอีกครั้ง

                    ข้าต้องการศัตราวุธที่เหมาะสมกับข้า สิ่งที่ชักนำข้าไปสู่ชัยชนะในอนาคต

                    หึ ช่างโลภมากเสียจริง สมกับเป็นเจ้า เสียงนั้นหัวเราะในลำคอ แต่เพราะเป็นเจ้า บุคคลที่เกิดมาพร้อมกับชัยชนะ ข้าจึงสามารถให้เจ้าได้

                    ให้ได้ใช่ไหม เจ้าให้ข้าได้ใช่ไหม

                    เอาล่ะ เรียกชื่อของมันสิ ชื่อที่เจ้ามอบให้มันเมื่อหลายพันปีก่อน

                    ชื่อ... เมื่อหลายพันปีก่อน..

                    เรฟานอสขยับยิ้ม ริมฝีปากได้รูปเอ่ยชื่ออาวุธของตนเบาๆราวกับคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีทั้งๆที่นี่เป็นเพียงครั้งแรกเท่านั้นที่เขาได้สัมผัสมันในชีวิตตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา

                    ใช่... ไม่ได้จับมาตลอดชีวิตในการเป็นมนุษย์..

                    ข้ากลับมาแล้ว เจ้าเองก็ตื่นได้แล้วล่ะ  เอสตาร์ (เอส-ตาร์)

                    วูบ

                    ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีน้ำเงินสว่างวาบ แต่ถึงแม้จะสว่างเพียงใดก็ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อสายตาเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับแลดูอ่อนโยนและรู้สึกปลอดภัยเสียจนคนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่โดยรอบมีสีหน้าอ่อนลง หรือแม้กระทั่งทารีสที่มีใบหน้านิ่งสงงบตลอดเวลาก็ฉายแววอ่อนโยนลงเช่นเดียวกัน

                    เมื่อแสงสีน้ำเงินนั้นค่อยๆจางลงจนกระทั่งหายไป สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือสร้อยทองคำขาวที่ถูกร้อยด้วยจี้สีทองอันพิสุทธิ์ลอยอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มผมเงินจากไฟร์ออนาซ

         จากนั้น สร้อยเส้นนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งที่คล้ายกับกระบองแท่งยาว ส่วนปลายของกระบองเป็นใบมีดขนาดใหญ่ที่ถูกตีออกมาจนเป็นรูปโค้งมนแต่คมกริบ ปลายด้านหนึ่งของมีดถูกประดับไปด้วยพู่ลงมนตราอย่างดี บริเวณข้อต่อระหว่างใบมีดและด้ามจับถูกแกะสลักไว้อย่างปราณีตด้วยรูปมังกรที่เกี่ยวพันไปตามด้ามอย่างสวยงาม ส่วนปลายอีกด้านของด้ามจับมีลักษณะเป็นปลายแหลมซึ่งดูแล้วว่าถ้าหากโดนเข้าไปคงจบชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย

    อาวุธในตำนานที่หายสาบสูญไปตั้งแต่บรรพกาล

    ง้าวดารา..

    ฉับพลัน! ศัตราวุธในตำนานนั้นก็ส่องแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง และแล้ว สถาณที่ที่เคยเป็นง้าวด้ามงามเล่มนั้นก็กลายเป็นร่างของบุรุษผู้มีเรือนผมสีทองประกายดุจเส้นไหมกำลังนั่งคุกเข่าขวาลงลงพื้น ขาซ้ายตั้งฉากขึ้นรองรับแขนซ้ายที่ทาบทับลงมา  มือขวาจรดลงที่หน้าอกบริเวณหัวใจ นัยน์ตาสีเงินที่แลดูนิ่งสงบสบเข้ากับนัยน์สีน้ำเงินของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าด้วยความยินดีอย่างปิดไม่ปิด











      “ข้า เอสตาร์ ยินดีที่ได้กลับมารับใช้ท่านอีกครั้งขอรับ นายเหนือแห่งข้า
















    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    มาแล้ววว อ่านคอมเม้นไปยิ้มไป
    บางคนถึงกับจะให้ตาเรฟของเรากลายเป็นนางเป็นนุ่งสวยขึ้นซะงั้น
    ใจเย็นนะคะรีดใจเย็น แค่ไรต์จินตนาการตอนวาดเรฟก็แทบจะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว 555555

    นี่คือภาพง้าวแอสตาร์นะคะ ไรต์ปลื้มมาก 5555



     

     

    อย่าลืมเม้นนะจุ้บๆ ไรต์จะได้หาเรื่องแซวต่อบทหน้าได้  5555
    เจอกันตอนหน้าจ้าาาา 









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×