คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3
บทที่ 3
“ข้าทารีส ราเวนีเซีย เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรราเวนเทียร์ อาณาจักรแห่งสายน้ำ ดินแดนแห่งภูตรา”
เกิดความโกลาหนขึ้นทีที่สิ้นเสียงของเจ้าชายจากดินแดนแห่งสายน้ำ ชาวบ้านต่างพากันซุบซิบแล้วชี้มือชี้ไม้ไปทางเจ้าชายจากราเวนเทียร์และเจ้าชายจากไฟร์ออนาซกันเสียยกใหญ่ การที่เจ้าชายทั้งสองปรากฏตัวขึ้นก่อนการสอบเช่นนี้เป็นการยืนยันข่าวลือที่บอกว่าเหล่าเจ้าชายจะมาสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอัศวินครบทั้งสี่พระองค์ได้เป็นอย่างดี
“ฮ้า งั้นก็แสดงว่าข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดในหมู่ชาวบ้านก็เป็นจริงน่ะสิ” เรฟพูดยิ้มๆ ทำหน้าปลาบปลื้มใจเสียเต็มประดา “นอกจากเจ้าชายจากไฟร์ออนาซ ข้ายังมีโอกาสได้พบกับเจ้าชายจาก ราเวนเทียร์ เวนเดลล่า เดนิตาร์ อีกด้วยนะนี่”
“ข่าวลืออะไรกัน” ทารีสเอ่ยถาม
“นี่พระองค์ยังไม่รู้หรือ” เรฟทำหน้าแปลกใจ “ข่าวลือที่ว่าเจ้าชายทั้งสี่อาณาจักรจะเข้าร่วมการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอัศวินคาเรเนียสน่ะสิพะยะค่ะ”
เจ้าชายแห่งราเวนเทียร์ยังคงมีใบหน้าที่นิ่งสนิทอยู่เช่นเดิม แต่ดวงตาสีเงินคู่สวยนั้นกลับฉายแววเคลือบแคลงอย่างปิดไม่มิด ทำให้เรฟานอสขยับยิ้มอย่างพึงพอใจในปฎิกิริยาที่ได้รับก่อนจะแอบกระทุ้งซอกไปที่เอนเดลลิออนเบาๆเป็นเชิงเตือน
“อ่ะ..เอ่อ จากนี้พวกเรายังมีธุระที่ต้องไปจัดการอีก หากท่านไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัว”
เอนเดลลิออนก้มหัวเป็นเชิงลาในขณะที่เรฟานอสโค้งให้ตามมารยาทตามที่เคยถูกอบรมมาอย่างดี พวกเขาหันกลับไปเรียกทหารของตนที่กระจายตรวจตราอยู่รอบๆให้ไปประจำการรอที่รถม้าทิ้งไว้เพียงเจ้าชายตาสีเงินไว้อยู่เบื้องหลัง
“แวนตัส”
“พะยะค่ะฝ่าบาท”
“ก่อนที่ม้าจะเตลิด เจ้ารับรู้ถึงสิ่งผิดปกติหรือไม่” ทารีสเอ่ยเบาๆให้ได้ยินเพียงสองคน
“แม้จะเบาบาง แต่หม่อมฉันรู้สึกถึงพลังจากเพลิงอัคคี หรือว่าจะเป็นของเจ้าชายเอนเดลลิออนพะยะค่ะ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ของเจ้าชายเอนเดนลิออนแน่ พลังของตระกูลโรซาแลนซ์มีความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่ของเขาแน่”
“นี่พระองค์หมายถึง..!!?”
“พลังนี้กระจายอยู่รอบตัวของหลานแม่ทัพคนนั้น และข้าคิดว่าการที่อยู่ๆม้าของเราก็เกิดคลั่งและเตลิดออกนอกเส้นทางนี้ไม่ใช่เพียงเหตุบังเอิญ”
นัยน์ตาสีเงินประกายกล้า กล่าวคำสันนิฐานของตนอย่างมั่นใจ
“และการพบกันของเราครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของใครบางคน”
. . . .
. . . .
. . . .
“องค์ชายจากราเวนเทียร์ ช่างเป็นเจ้าชายที่ทะนงในศักดิ์ศรีจนน่าหมันไส้จริงๆ”
เรฟานอสบ่นกับคนข้างกายเบาๆขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนเข้าสู่ประตูใหญ่ที่เต็มไปด้วยมนต์คลังของโรงเรียนเตรียมอัศวินคาเรเนียส เผยให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ของสิ่งที่ควรจะเรียกว่า พระราชวัง มากกว่าโรงเรียน
เรฟหันไปมองเอนเดลลิออนที่ยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับตั้งใจจะตัดขาดจากโลกภายนอกทำให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะชวนอีกฝ่ายเสวนาด้วยตามปกติ
หลังจากที่แยกกับเจ้าชายแห่งราเวนเทียร์ เอนเดลลิออนก็เอาแต่นิ่งเงียบจนผิดวิสัยช่างเจรจาของตัวเองสร้างความเป็นห่วงให้แก่เหล่าทหารที่ตามเสด็จมา จนพวกนั้นถึงกับมาขอร้องแกมบังคับให้เรฟทำยังไงก็ได้ให้เจ้านายตนกลับมาช่างพูดอีกครั้ง ดูท่าว่าถ้าเจ้าชายนี่ไม่ยอมเปิดปากพูดออกมาสักทีหลานชายแม่ทัพอย่างเขาคงโดนทหารของตัวเองรุมสกรัมก็วันนี้แหละ
“แล้วนี่เจ้าจะเงียบอีกนานไหมเอนด์”
เรฟานอสถอนหายใจ
“ข้ารู้นะว่าเจ้าอาจจะรู้สึกเจ็บใจที่เจ้าชายทารีสมีรัศมีความเป็นเจ้าชายมากกว่าเจ้า แต่เจ้าก็ไม่เห็นจะต้องเก็บมาคิดมากขนาดนี้เลยนี่นา”
“ข้าไม่ได้คิดเรื่องนั้นสักหน่อย!”
เรฟานอสยิ้มร่า แผนยั่วอารมณ์คนเงียบได้ผล!!
“แล้วเจ้ากำลังคิดเรื่องอะไร”
“ข้ากำลังคิดเรื่องข่าวลือของชาวบ้าน” เอนเดลลิออนตอบเสียงเครียดจนเรฟต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ชาวบ้านเหล่านั้นรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าชายทั้งสี่จะเข้าร่วมการสอบในปีนี้ ทุกคนมั่นใจแม้ว่าคนที่อยู่ในข่าวลือนั้นจะมีเจ้าชายจากเวนเดลล่าและเจ้าชายจากราเวนเทียร์ บุคคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเปิดเผยชื่อหรือก้าวย่างออกจากวังอยู่ด้วย”
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เอะใจเรื่องนี้ซะแล้ว” เรฟยิ้ม “แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อการปรากฏตัวของเจ้าชายทารีสนั้นก็เป็นสัญญาณบอกแล้วว่าข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง เจ้าจะไปคิดถึงมันอีกทำไม”
“ประเด็นมันอยู่ที่ว่าชาวบ้านรู้เรื่องนี้ได้ยังไงต่างหาก”
“ลูกใครหลานใครอาจจะเป็นอัศวินที่ควบคุมการสอบก็ได้นี่ อาจจะรู้จากรายชื่อที่ส่งไปรึเปล่า”
“รู้แม้กระทั่งชื่อของเจ้าชายจากเวนเดลล่าน่ะหรือ” เอนเดลลิออนย้อน “ก็รู้ๆกันอยู่ว่าไม่มีใครทราบถึงชื่อจริงของเจ้าชายจากแดนสายลมผู้นั้น แล้วคนปล่อยข่าวรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนชื่อของเจ้าชาย จะบอกว่ารู้เพราะนามสกุลก็ไม่น่าใช่เพราะเจ้าชายที่ปิดบังตนเองเสียขนาดนั้นคงไม่ยอมเปิดเผยตัวมาเรียนหรอก คงจะปลอมตัวแล้วรอวันประกาศตนวันจบการศึกษาเสียมากกว่า”
“โห นี่เจ้าคิดอะไรซับซ้อนขนาดนี้เป็นด้วยหรือ”
“เรื่องนี้ข้าจริงจังนะเรฟ” คนมีความคิดซับซ้อนแยกเขี้ยวใส่เพื่อน “เรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแน่ แล้วเขาต้องการอะไรถึงได้ปล่อยข่าวนั้นออกมา”
“เจ้าจะไปสนใจมันทำไมล่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด สนใจการสอบที่กำลังจะถึงนี้ก่อนดีกว่าไหม” เรฟานอสตบหลังเจ้าชายจอมคิดมากดังพลัก แล้วแสร้งหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับต้นไม้ใบหญ้านอกหน้าต่างพร้อมๆกับรถม้าที่เริ่มชะลอความเร็วลงและนิ่งสนิท
ร่างสูงของชายผมเงินเปิดประตูแล้วชิ่งออกจากรถทันทีโดยไม่รอให้คนขับเดินมาเปิดจนคนที่เตรียมจะยกเท้าขึ้นมาถีบเพื่อนงามๆต้องกระฟัดกระเฟียดอย่างหัวเสียกับความไวของคนกระล่อน
. . . .
. . . .
. . . .
“เขารายงานตัวกันทีไหนนะ”
เรฟานอสยีผมสีเงินยุ่งๆของตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำเงินใสกวาดตามองไปรอบๆเพื่อหาจุดที่มีคนอยู่เยอะที่สุดแล้วเดินไปต่อแถวอันยาวเหยียดอย่างไม่รีบร้อน ระยะทางอันยาวนานระหว่างรอทำให้เขาได้มีโอกาสมองสำรวจโรงเรียนเตรียมอัศวินอันดับหนึ่งของอาณาจักรไปด้วย
จุดที่เขายืนอยู่เป็นปราสาทขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันปราณีตบ่งบอกถึงฝีมือของคนทำว่ามีความสามารถมากขนาดไหน ปลายยอดของปราสาทประดับด้วยธงสีดำสนิท ตรงกลางถูกปักเป็นรูปโล่ปราการลายดอกกุหลาบ ทางด้านข้างโล่ทั้งสองด้านมีสิงห์สองตัวที่ยกขาหน้าเกาะโล่ไว้ด้วยด้ายสีทองบริสุทธิ์ทำให้แลดูมีมนต์ขลัง รอบๆมีปราสาทขนาดกลางอีกสี่หลังตั้งอยู่ทั้งสี่ทิศ ยอดปราสาททางทิศเหนือเป็นธงสีดำเช่นเดียวกันแต่ถูกปักเป็นรูปจิ้งจอกด้วยด้ายสีเงิน ทางทิศตะวันออกปักเป็นรูปฟีนิกซ์ด้วยด้ายสีแดงสด ทิศใต้ปักเป็นรูปสิงโตด้วยด้ายสีน้ำตาลอ่อน และทางทิศตะวันตกถูกปักเป็นรูปภูติที่มีควมงดงามด้วยด้ายสีฟ้าใส
ถ้าให้เดา เรฟานอสมั่นใจว่าปราสาททั้งสี่ทิศนี้คงเป็นทั้งหอพักและอาคารเรียนของนักเรียนที่มีพลังตามแต่ละอาณาจักรที่ตนจากมา การแยกเด็กแต่ละสายพลังเช่นนี้จะเป็นการง่ายในการสอนและดูแลความประพฤติของนักเรียนแต่ละคนมากกว่าเอามารวมกันทั้งหมด ซึ่งมันคงจะไม่เหมาะนักถ้าจะให้เด็กที่ใช้ธาตุไฟและธาตุน้ำมาอยู่ด้วยกัน ถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นจริงๆละก็ ไม่อยากจะนึกเลยว่าปราสาทแต่ละหลังจะถูกถล่มจากการทะเลาะวิวาทวันละกี่เวลา
“เจ้าจะยืนนิ่งอยู่อย่างนี้อีกนานไหม”
เสียงเรียกทำให้เรฟานอสที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ได้สติและรู้ว่าเขาได้มาอยู่หน้าอัศวินผู้ที่มีหน้าที่รับการรายงานตัวเรียบร้อยแล้ว
“ขอโทษครับ”
เรฟก้มศรีษะเล็กน้อยแล้วหยิบพลอยสีเงินบริสุทธิ์ออกมาจากอกเสื้อยื่นให้อัศวินตรงหน้า เมื่อพลอยนั้นถึงมือคนรับ มันก็เปลี่ยนสร้อยที่มีจี้เป็นรูปหยดน้ำสีเงิน อัศวินที่รับรายงานตัวพินิจสร้อยนี้ชั่วครู่ก่อนจะส่งคืนให้เรฟที่ยื่นมือมารับ
“เก็บสร้อยเส้นนี้เอาไว้ให้ดี ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบจี้ของเจ้าจะเปลี่ยนเป็นรูปที่อยู่บนธงด้านบน” ว่าพลางชี้ไปทางธงที่ปักเป็นรูปโล่ที่อยู่ยอดปราสาท “นั่นเป็นตราโรงเรียน และสีของมันจะเปลี่ยนเป็นสีตามแต่สายพลังของเจ้า”
“สีตามแต่สายพลัง?”
“สีเงินคือลม อยู่หน่วยที่หนึ่ง หออยู่ทางทิศเหนือ สีแดงคือไฟ อยู่หน่วยที่สอง หออยู่ทิศตะวันออก สีน้ำตาลคือปฐพี อยู่หน่วยที่สาม หออยู่ทิศใต้ และสีฟ้าคือน้ำ อยู่หน่วยที่สี่ หออยู่ทิศตะวันตก”
อัศวินผู้นั้นกระแอมอีกนิดแล้วพูดต่อ “แต่ถ้าจี้ของเจ้าเปลี่ยนเป็นสีทอง แปลว่าเจ้าได้อยู่ที่ปราสาทหลังนี้ หอของผู้ที่มีพลังธาตุพิเศษ หน่วยพิเศษแห่งคาเรนียส”
‘แสดงว่าพวกที่อยู่หอนี้คงเป็นพวกที่มีพลังมากมายเหมือนปีศาจทั้งนั้นสินะ’
เรฟานอสกระตุกยิ้มอย่างนึกสนุก เขาเอ่ยขอตัวกับอัศวินที่ใจดีอธิบายเรื่องต่างๆให้เขาฟังแล้วเดินตรงไปยังอีกสถานหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนามสอบโดนสิ้นเชิงเพื่อทำธุระบางอย่างให้เสร็จก่อนที่การสอบจะเริ่มต้นขึ้น
“เรฟ! เจ้าหายไปไหนมา การสอบจะเริ่มแล้วนะ”
เอนเดลลิออนเดินตรงเข้าไปหาเพื่อนผมเงินอย่ารีบร้อน ตั้งแต่แยกกันเจ้าเพื่อนคนนี้ก็หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอจนต้องมารอที่สนามสอบเผื่อเวลาเรฟกลับมาจะได้ไม่คลาดกัน แถมกว่าเจ้านี่จะมาก็ปาไปห้านาทีก่อนสอบ นิสัยจะมาก็มาจะไปก็ไปมันได้มาจากไหนกันเนี่ย!
“ข้าไปเดินเก็บข้อมูลรอบๆมาน่ะ”
“เก็บข้อมูล? แล้วเจ้าได้อะไรมาบ้าง”
“ก็ได้มาว่า...” เรฟกวักมืกเรียกเจ้าชายหนุ่มให้เอียงหูมาใกล้ๆ “โรงเรียนนี้มันใหญ่เป็นบ้าเลยน่ะสิ!! เดินจนเมื่อยหมดแล้วเนี่ย!”
“ไอ้!!”
แต่ก่อนที่เอนด์จะได้ทำการสมนาคุณหลายชายแม่ทัพใหญ่ให้หายอยาก เสียงกระดิ่งลมก็ดังขึ้นไปทั่วทำให้ทั้งสองร่างที่กำลังหยอกล้อ(?)กันอยู่เกิดชะงักพร้อมใจกันมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงทันที ไม่ต่างกับผู้สมัครสอบอีกหลายคนที่มองไปรอบๆอย่างระแวดระวังเช่นเดียวกัน
“สวัสดีเหล่าผู้เข้าร่วมการสอบทุกท่าน”
เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายผู้มีเรือนผมและดวงตาสีรัตติกาลขึ้นที่กลางสนามสอบ ผ้าคลุมสีดำสนิทปลิวไสวไปตามแรงลมเผยให้เห็นสีทองที่เปล่งประกายออกมาจากผ้าคลุมด้านในทำให้ทุกคนรู้ว่าชายผู้นี้คงเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพลังมากมายราวกับปีศาจ สมาชิกของหน่วยพิเศษแห่งคาเรเนียส
“ข้าชื่อคารอส เฟรดริก รองหัวหน้าหน่วยพิเศษ จากนี้ไปเราจะเริ่มการสอบ โดยการที่พวกเจ้าจะต้องเข้าไปในประตูนี้ทีละคน” คนพูดผายมือไปทางประตูสีทองที่มาตั้งอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ “ทันทีที่เจ้าเหยียบเข้าไปอีกฝากของประตู การทดสอบจะเริ่มต้นขึ้นทันที ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเจ้าจะต้องออกมาให้ได้ เพราะแม้ว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นกับพวกเจ้า ข้าก็เข้าไปช่วยพวกเจ้าไม่ได้”
นัยน์ตาสีรัตติกาลกวาดมองไปทางผู้เข้าสอบที่เริ่มหน้าซีดกันเป็นแถวพลางแสยะยิ้ม
“เพราะฉะนั้นจำไว้ให้ดี ถ้าพวกเจ้ายังไม่อยากจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ก็อย่าได้ประมาทการสอบครั้งนี้เป็นอันขาด”
นี่พี่แกคิดจะฆ่าจะแกงกันเลยใช่ไหม!!
ยังไม่ทันที่ผู้สมัครสอบทั้งหลายจะได้สวดมนต์ภาวนาพวกเขาก็ได้ยินเสียงเรียกขานที่ทำเอาคนถูกเรียกหน้าซีดเป็นไก่ต้มยิ่งกว่าเมื่อครู่
“เฟรัส แวนเดล จากเดนิตาร์” เจ้าของชื่อก้าวมาข้างหน้า คารอสผายมือไปทางประตูโดยไม่ได้สนใจใบหน้าหมดอะไรตายอยากของอีกคนเลยแม้แต่น้อย “ขอให้โชคดี”
ชื่อเหล่าผู้โชคร้ายยังคงถูกเรียกขานอย่างต่อเนื่องอย่างกับท่านรองหัวหน้าหน่วยพิเศษขี้เกียจจะรอเสียเต็มประดา เรฟานอสยังคงยืนหาวแล้วหาวอีกไม่ต่างกับเอนเดลลิออนที่สัปหงกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อยังไม่ถึงคิวของพวกเขาเสียที แต่ก็มีชื่อหนึ่งที่ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในหมู่ผู้เข้าสอบไม่ต่างกับเรฟที่ตื่นขึ้นแล้วหันไปมองผู้ถูกเรียกให้เต็มตา
“เรอา เดโรนิการ์ จากเดนิตาร์”
เจ้าของชื่อก้าวมาข้างหน้าอย่างนิ่งสงบโดยไร้ซึ่งความตื่นเต้นหรือตื่นกลัวอย่างผู้เข้าสอบอีกหลายคนที่ผ่านมา แต่ดวงตาสีเขียวใสกลับเต็มไปด้วยประกายของคนที่กำลังเจอเรื่องน่าสนุกอย่างปิดไม่มิด ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกตัดซอยรากไทรระปกเสื้อที่ตัดด้วยผ้าชั้นดีสมกับสายเลือดแห่งขัตติยะ
เรอา เดโรนิการ์ เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรเดนิตาร์ นครแห่งภูผา ผู้ได้รับความรักจากผืนปฐพี
“ขอให้ผืนปฐพีคุ้มครอง” คารอสเอ่ยสั้นๆกับเจ้าชายแห่งเดนิตาร์ หลังจากที่มองจนแน่ใจว่าเรอาได้เดินหายเข้าไปในประตูแล้วจึงเรียกรายชื่อถัดมาที่ทำให้เสียงวิภาควิจารยิ่งกระหึ่มขึ้นจนดังไปทั่วสนาม
“ทารีส ราเวนีเซีย จากราเวนเทียร์”
สิ้นเสียง เจ้าชายผมน้ำเงินที่พวกเรฟเพิ่งจะได้มีโอกาสพบปะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ก้าวออกมาแล้วเดินตรงไปที่ประตูอย่างเงียบๆโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่กระนั้น แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่เหล่าผู้เข้าสอบแต่ละคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกและรัศมีความเป็นเจ้าชายเต็มพิกัดที่แผ่ออกมาจากร่างของเจ้าชายแห่งสายน้ำ
“เอนเดลลิออน โรซาแลนซ์ จากไฟร์ออนาซ”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก เอนด์ก็เลิกหาวแล้วเดินตรงไปที่ประตูอย่างเบื่อๆอย่ารวดเร็วเช่นเดียวกับคนเมื่อครู่โดยไม่ปล่อยโอกาสให้ใครหลายคนได้ส่งเสียงฮือฮาเหมือนสองคนก่อนหน้า
“เซฟิรอส วินด์เคอเรีย จากเวนเดลล่า”
ชายผู้มีเรือนผมสีเงินยาวสลวยก้าวออกมาข้างหน้า ดวงตาสีแดงประกายทองวาววับ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยบ่งบอกถึงนิสัยที่มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าตัวเป็นอย่างดี แต่ซาเฟียร์ก็ไม่ได้อยู่ให้เรฟวินิจพิเคราะห์มากนักเมื่อเขาก้าวฉับๆไปทางประตูแล้วหายไปเฉยๆไม่ต่างจากสามคนแรก
“เรฟานอส โรซาเรียส จากไฟร์ออนาซ”
เรฟบิดร่างกายไล่ความเมื่อยขบเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน สองเท้าก้าวไปที่ประตูอย่างสบายๆ แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะเดินผ่านคารอสเพื่อนเข้าไปในประตูนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบที่แผ่วเบาจากท่านรองหัวหน้าหน่วยพิเศษ เสียงกระซิบที่ราวกับต้องการเพียงแค่จะกล่าวเรื่องลมฟ้าอากาศทั้งๆที่เนื้อความนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
‘ข้าไม่ปล่อยให้ท่านทำอะไรตามใจเพียงตัวคนเดียวแน่’
เรฟานอสขยับยิ้มบางไร้ซึ่งความหมายพลางตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินหายเข้าไปทางอีกฝากของประตูบานงาม
‘ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ลองดู’
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 3 ตามมาแบบรวดเร็ว 55555 ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าจ้าา
ความคิดเห็น