คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : บทส่งท้าย
บทส่งท้าย
มืด...
รอบด้านของเขามีแต่ความมืดเต็มไปหมด
เอรอนกวาดสายตาไปรอบกายหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ว่างเปล่า ความมืดที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน หรือกำลังจะเผชิญกับอะไร ความเงียบที่แสนอ้างว้างทำให้เอรอนรู้สึกถึงคำว่า โดดเดี่ยว อย่างแท้จริง
‘กลับไป’
เสียงอะไร?
‘กลับไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ของท่าน’
เขาว่าเสียงนี้มันคุ้น ๆ นะ... เสียงเหมือน..
‘ท่านเอรอน... ท่านเรฟานอส กลับไปยังที่ของท่านเสีย ที่นี่ยังไม่ใช่ที่ของท่าน’
เสียงหวานติดเศร้าดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่เกือบจะลืมฐานะตัวเองในโลกมนุษย์ยิ้มกว้างแล้วตะโกนออกไปเพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ธาเมเลีย! นั่นเจ้าใช่ไหม!”
ธาเมเลีย มหาเทพผู้กำหนดชะตาชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย การที่เธอบอกกับเขาอย่างนี้แสดงว่าเขายังไม่ตายสินะ... เรฟานอสยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเอง โดนฟันเสียขนาดนั้นจะอุตส่าห์รอดมาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะได้หมอดีก็คงต้องบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์สินะ
‘กลับไปเสีย กลับไป กลับไป..’
นางเฝ้าบอกซ้ำไปซ้ำมา แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าชายจากแดนสายลมก็ไม่สามารถมองฝ่าความมืดเข้าไปหาตัวนางได้อยู่ดี เรฟานอสถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะถามขึ้นมา
“ตกลง ข้าจะกลับไป แต่เจ้าช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าข้าจะกลับไปได้อย่างไร”
‘….’
คราวนี้เสียงหวานถึงกับเงียบลงไปทันที เป็นไปได้ว่าอาจจะกำลังอึ้งรับประทานกับเทพสายลมผู้รอบรู้แต่กลับไม่ทราบถึงวิธีกลับไปยังร่างของตนเองได้ แต่หากจะกล่าวโทษเทพหนุ่มเลยก็ใช่ที่ เพราะเขาไม่เคยตาย ไม่เคยต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งเปรียบเสมือนจุดพักวิญญาณเช่นนี้มาก่อน
‘ตั้งจิตให้นิ่ง และเรียกหาอีกเสี้ยวหนึ่งของจิตใจที่ยังคงติดอยู่ในกายเนื้อของท่าน ตั้งสมาธิให้ดี’
ตั้งสมาธิสินะ
เรฟทำตามเสียงที่คอยแนะนำอย่างไม่บิดพลิ้ว เขาพยายามนึกถึงอีกเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงเพรียกหา ก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในหลุมอวกาศอย่างแรง ! !
. . .
. . .
. . .
. . .
. . .
“...ตื่น....ที....”
“ตื่นเสียที...”
“ตื่นเสียที เจ้านอนนานเกินไปแล้วนะเรฟ”
เสียงเรียกอันแผ่วเบาก่อนที่จะดังขึ้นเรื่อย ๆ เรฟานอสค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ชายหนุ่มเห็นคือใบหน้าของเพื่อนรักที่เขาได้ปกป้องเอาไว้ด้วยชีวิต
“โครนอน...”
เรฟกระพริบตาถี่ ๆ เมื่อสายตายังไม่คุ้นชินกับแสงสว่างที่จ้าเข้ามาจนแสบไปหมด แต่เมื่อสามารถปรับสายตาให้เป็นปกติได้แล้ว เขาก็ได้เห็นใบหน้าที่พร้อมจะโวยวายแต่ก็เซื่องซึมของเอนเดลลิออน ใบหน้าที่นิ่งสงบของทารีส และใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเรอา ภาพของเพื่อนทั้งสี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเตียงของเรฟทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาอย่าห้ามไม่ได้
พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที...
“ทำไมชอบหาเรื่องเจ็บตัวหะไอ้เจ้าบ้า ! ถ้าเกิดเจ้าตายไปจริงๆจะทำยังไง ! !”
เอนเดลลิออนโวยวายขึ้นเมื่อเห็นว่าเรฟสามารถรับฟังเสียงก่นด่าของพวกเขาได้โดยไม่มีส่วนไหนของร่างกายผิดปกติ เรฟยิ้มแหยอย่างยอมรับผิดเมื่อเห็นแล้วว่าเรื่องราวในคราวนี้เขาทำผิดจริง ๆ อีกทั้งยังไม่มีพวกคอยสนับสนุนเช่นเคย เมื่อทั้งทารีสและเรอาที่มักจะเข้าข้างและคอยห้ามปรามเอนเดลลิออนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ก็เกิดอาการนึกอย่างแปรพัก แล้วหันมาส่งสายตาตำหนิติเตียนมาให้เขาอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้องมามองหน้าข้าอย่างนั้น เรื่องนี้เจ้าไม่ยอมปรึกษาข้าก่อน จะโดนตำหนิก็ถูกแล้ว”
โครนอนยกมือห้ามเมื่อเรฟานอสหันไปสบตาอย่างขอความช่วยเหลือ
“แต่ผลที่ออกมาก็สำเร็จไม่ใช่หรือ จอมมารก็สลายไปแล้วด้วย”
เรฟานอสบ่นอุบอิบ และสิ่งที่ได้รับคือการถลึงตาของเอนเดลลิออนที่เกิดหูดีได้ยินทุกคำพูดของเพื่อนสมัยเด็กอย่างแจ่มชัด ทำให้เรฟต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับอาการช่างเป็นห่วงของเพื่อนหัวแดง จริงอยู่ที่แผนการครั้งนี้เขาเก็บเงียบและไม่ได้บอกใคร แต่ผลที่ออกมาก็ใช่ว่าจะแย่เสียเมื่อไหร่
เรฟคิดเอาไว้ว่าเมื่อเรียกให้ทารีส เรอา และเอนเดลลิออน มาช่วยดึงความสนใจของจอมมาร เขาจะสร้างพายุเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะได้พูดคุยกับจอมมารเพียงลำพัง และเพราะเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เพลิงที่สามารถเผาผลาญได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้พลังของเพื่อนอีกสามคนที่ตั้งใจจะฝ่าเข้ามาหาเขาในตอนนั้นถูกเพลิงเผาทำลายเสียหมดสิ้น เมื่อได้จังหวะที่ได้อยู่ด้วยกันเพียงสองคน เรฟก็ได้ทำการพูดเกลี้ยกล่อม ทำยังไงก็ได้ให้จอมมารออกมาจากร่างของโครนอน แล้วจากนั้นก็ดึงความสนใจทั้งหมดมาที่ตัวเขา เพราะหากจอมมารมีจิตที่จะสังหารใครสักคน เรฟเชื่อว่าเจ้านั่นจะไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบข้าง ยิ่งเมื่อเป็นโครนอนที่กำลังสลบไสลไม่ได้สติ เจ้านั่นก็จะยิ่งมองข้ามมากขึ้นไปอีก...
คนเราจะเปิดช่องว่างมากที่สุดก็ในตอนที่เราคิดว่าเราคือผู้ชนะ...
เรฟเชื่อคำคำนี้มาตลอด และมันก็เป็นจริง เมื่อจอมมารคิดที่จะสังหารเขา ทำให้จอมมารเปิดช่องว่างมากมายราวกับกำลังจะเชิญชวนเขาว่า ‘ฆ่าข้าสิ! ข้าเปิดให้ขนาดนี้แล้วนะ ข้าฆ่าสิ!’ แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ภายในใจกลางพายุนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ซึ่งเหมาะสมในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย ทำให้คนที่ถนัดในการบัญชากองทัพมากว่าต่อสู้ด้วยตัวเองอย่างเขาพลาดท่าได้อย่างง่ายดาย
เขาพยายามต่อเวลาแล้ว ต่อเวลาเล่า รอให้โครนอนฟื้นขึ้นมาเพื่อจัดการอีกฝ่ายเสียที แต่เทพแห่งท้องนภาก็ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของเขาเลยแม้แต่น้อย จนเมื่อถึงดาบสุดท้ายที่จอมมารกำลังจะลงดาบใส่เขานั้นเขาก็ไม่ตอบโต้ จริงอยู่ที่ร่างกายเขาไม่สามารถขยับได้อีกแล้ว แต่ในส่วนลึกในใจของเขากำลังเชื่อมั่น เชื่อมันว่าโครนอนจะตื่นขึ้นมาแล้วทำการสังหารจอมมารตนนั้นลงไปเสียที
เขาเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ไว้ด้วยชีวิต หากโครนอนตื่นขึ้นมาทัน เขาก็รอด แต่ถ้าหากไม่ทัน..
เขาก็แค่ตาย.. ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
แต่เพื่อนรักคนนี้ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เมื่อเจ้านั่นเกิดฟื้นและเข้ามาสังหารจอมมารได้ทันเวลา แม้จะเป็นวินาทีเดียวกับที่จอมมารลงดาบใส่เขาก็เถอะ ยังไงก็ถือว่าแผนสำเร็จไปด้วยดีล่ะนะ
“จอมมารสลาย แต่ชีวิตของเจ้าก็จะสลายไปด้วย ! ” เอนเดลลิออนตะโกนจนเรฟเบ้หน้า
“เบา ๆ สิเอนด์ ข้าเจ็บอยู่นะ”
“ร่างกายเจ็บ หูไม่ได้เจ็บ อย่าสำอายไปหน่อยเลย” ว่าพร้อมยิ้มเยาะ
อา... นี่คือเอสตาร์ปลอมตัวมาใช่ไหม บอกข้ามานะ...
แต่แล้วความคิดก็เป็นอันต้องหยุดชะงักกึกอย่างนึกขึ้นได้ นัยน์ตาสีแดงประกายทองของเรฟหันไปสบเข้ากับดวงตาสีทองพิสุทธิ์ของโครนอนอย่างตื่นตระหนก
“โครนอน! เอสตาร์ เอสตาร์เขา..”
‘ข้า? ข้าทำไมหรือขอรับนายเหนือแห่งข้า’
เห?
เรฟานอสเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มติดจะกวนประสาทอยู่ดังขึ้นโดยที่เขายังไม่ทันจะได้พูดจบ เรฟหันซ้ายแลขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับง้าวเล่มงามที่อยู่ในมือของเรอา ทำให้เรฟยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“เอสตาร์.. เจ้าอาวุธปากเสีย เจ้ายังไม่ตายใช่ไหม”
‘ใครกันแน่ที่ปากเสียครับ’ เขาได้ยินเสียฮึดฮัดอย่างไม่พอใจจากง้าวเล่มนั้นด้วย... ‘ท่านอย่าลืมว่าข้าเป็นเพียงดวงจิตที่อาศัยอยู่ในง้าวเล่มนั้น แค่ง้าวหัก ก็เหมือนกับบ้านข้าหักนั่นแหละ แค่ท่านสร้างให้ใหม่ข้าก็กลับไปอยู่เหมือนเดิมแล้ว’
ดวงจิตกับวิญญาณในศาลพระภูมิก็คงไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่สินะ.. เรฟคิดในใจอย่างขบขันก่อนที่จะหันไปถามเรอาที่กำลังยื่นง้าวในมือมาให้เขา
“เจ้าซ่อมมันให้ข้าอย่างนั้นหรือ” ว่าพร้อมรับง้าวมาวางไว้ข้างตัว
“ครับ ข้าเห็นว่าคุณเรฟคงต้องการง้าวเล่มนี้มากกว่าง้าวที่สร้างจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของคุณ” เรอาตอบพลางแย้มรอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับส่งผลให้เรฟอดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“ขอบคุณนะ”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แอ๊ด...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นดึงความสนใจจากคนในห้องได้เป็นอย่างดี เมื่อประตูเปิดออกมา เผยให้เห็นบุรุษร่างสูงโปร่งผู้ครอบครองเรือนผมสีเงินและดวงตาสีแดงประกายทองไม่ต่างจากเรฟานอสเลยสักนิด แต่ใบหน้านั้นคมคายยิ่งกว่า และดูเหมือนจะเอนไปทางคนคนหนึ่งที่ซึ่งอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย
ใบหน้าของเซฟิรอสช่างคล้ายกับโครนอนเสียจนน่าแปลกใจ..
การปรากฏตัวของเพื่อนอีกคนทำให้เหล่าเจ้าชายทั้งสามต่างมองหน้ากันอย่างไม่ไว้ใจ ในขณะที่โครนอนทำเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างสงสัยเพียงเท่านั้น อาจเป็นเพราะไม่เคยเจอกันทำให้เทพแห่งท้องนภาไม่รู้จักก็เป็นได้ แต่ถึงจะมีบรรยากาศที่แสดงออกถึงความกดดันอย่างเห็นได้ชัด แต่เซฟิรอสก็ไม่ได้หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย เขาก้าวเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงของผู้บาดเจ็บโดยที่ใบหน้าถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นทุกครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยทักทายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไง ใกล้ตายรึยัง”
“ปากหรอนั่น” เรฟานอสแยกเขี้ยวใส่เพื่อนอย่างหงุดหงิด “แล้วก่อนจะมาที่นี่เจ้าได้ทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนให้ข้ารึยัง”
“เรียบร้อย ก็เจ้าเล่นย้ำซะขนาดนี้จะให้ลืมได้ยังไง” เซฟิรอสชูเอกสารในมือแล้วยื่นให้เรฟที่ยื่นมือออมารับไว้ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ หันไปหาโครนอนที่ยืนส่งยิ้มให้เซฟิรอสอยู่ด้านข้าง
“โครนอน ๆ ” เรฟสะกิด
“ว่าไง”
“ทำความรู้จักกันไว้สิ” ว่าพร้อมพยักพเยิดไปทางเซฟิรอสที่มองตรงไปทางโครนอนด้วยดวงตาเปล่งประกายราวกับเด็กได้ของเล่น
“นั่นน่ะ หลาน.. ไม่สิ... เหลน.. ไม่ ๆ ๆ ๆ ๆ โค ตะ ระ เหลนของนายไงล่ะ”
“หะ / ว่าไงนะ!!”
ไม่ใช่เพียงแค่หน้าเอ๋อ ๆ ของโครนอนที่ทำให้เรฟหลุดหัวเราะได้เพียงอย่างเดียว แต่เสียงประสานอีกสามเสียงก็ทำให้เรฟถึงกับหัวเราะก๊ากอย่างอดไม่อยู่
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ เอาล่ะ ๆ แนะนำตัวหน่อยสิเซฟิรอส”
คนถูกเรียกส่งสายตารู้ทันไปให้เรฟ ก่อนที่จะกล่าวแนะนำตัวออกมา “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ข้าชื่อ เซฟิรอส คาเรนิตาร์ จากคาเรเนียสครับ”
อึ้ง ทึ่ง อ้าปากค้างกันเลยทีเดียว...
“แล้วที่เจ้าบอกว่าเป็นคนของวินด์เคอเรีย?” ทารีสถามขึ้น
“อ๋อ เรื่องนั้น...” คนถูกถามหัวเราะ “ข้าคิดว่าถ้าข้าเข้าไปในโรงเรียนด้วยนามสกุลนั้นคงจะไม่เหมาะ เลยใช้นามสกุลของแม่แทนน่ะครับ”
“แล้วพี่คารอสที่เป็นคนของวินด์เคอเรีย ทำไมถึงใช้นามสกุลอื่นล่ะ” คราวนี้เอนเดลลิออนหันมาไล่บี้กับเรฟบ้าง เรฟยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“แค่ไม่อยากดังล่ะมั้ง เจ้าก็น่าจะรู้ว่าตระกูลวินด์เคอเรียเป็นที่รู้จักไม่น้อย คงจะถูกจับตามองเสียจนน่าอึกอัดเชียวล่ะ แล้วยิ่งนิสัยของเจ้านั่นยิ่งแล้วใหญ่ คงจะหาทางหลีกเลี่ยงจนได้นั่นแหละ”
“แล้วที่เจ้าบอกใครต่อใครว่าเป็นหลานของท่านแม่ทัพล่ะจะว่ายังไง ข้าไม่ยักจะรู้ว่าแม่ทัพใหญ่แห่งไฟร์ออนาซไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของเวนเดลล่าตั้งแต่เมื่อไหร่”
เอนเดลลิออนยังคงไล่บี้ไม่เลิก ซึ่งคนอื่นก็นั่งเงียบไม่คิดจะช่วยเรฟเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้เพียงแค่ยอมตอบไปเพียงเท่านั้น
“เขาเป็นญาติห่าง ๆ ของท่านแม่ของข้า ข้าไปบังเอิญรู้มาตอนที่ท่านลุงมาส่งสาส์นของพ่อเจ้าให้พ่อข้านั่นแหละ”
เจ้าชายทั้งสามนิ่งไปกับเหตุบังเอิญที่ไม่น่าจะใช่ความบังเอิญนี้ คนของคาเรนิตาร์มีสายเลือดครึ่งหนึ่งมาจากวินด์เคอเรียที่เป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ของราชวงศ์เวดีเอล่า อีกทั้งยังมีแม่ทัพใหญ่แห่งไฟร์ออนาซที่บังเอิญไปเป็นญาติห่างๆของราชินีแห่งเวนเดลล่าอีก ทุกสิ่งทุกอย่างช่างเป็นความบังเอิญ บังเอิญที่ทุกอย่างมันเข้าไปตามแผนของเรฟานอสเมื่อสิบปีก่อนอย่างพอดิบพอดีจนน่ากลัว
“เอาล่ะ คำถามสุดท้าย”
คำพูดของเพื่อนผมแดงทำให้เรฟานอาตวัดสายตาไปมองอย่างไปพอใจ
“มีอะไรอีก”
“ในเวลานี้เจ้าเป็นใครกันแน่ มหาเทพเอรอน หรือ เรฟานอส”
บังเกิดความเงียบขึ้นทันทีที่เอนเดลลิออนพูดจบ เรฟานอสเม้มปากแน่นจนแทบจะกลายเป็นเส้นตรง ชายหนุ่มยกมือของตัวเองขึ้นมามองอย่างเหม่อลอย มือคู่นี้กลายเป็นมือของเด็กอายุสิบเจ็ดปีอีกครั้งแล้ว ไม่ใช่ร่างของเทพตนนั้นอีกต่อไปแล้ว..
.
“ข้าคือ...”
“...”
“เรฟานอส เวดีเอล่า เจ้าชายรัชทายาทแห่งเวนเดลล่า”
. . .
. . .
. . .
. . .
. . .
หลังจากที่พักรักษาตัวที่วังปีศาจอยู่เจ็ดคืนเต็ม ๆ เพื่อนทั้งหลายถึงได้ปล่อยตัวเขาให้กลับบ้านแบบที่แทบจะถีบหัวส่ง เรฟานอสเดินผ่านประตูวังเวดีเอล่า เข้าไปยังทางเชื่อมและมุ่งไปในตัวปราสาท ตลอดทางมีอัศวินและเหล่านางกำนัลเดินผ่านไปมาไม่ขาด พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันมองมาที่เขาอย่างสนอกสนใจ เรฟเชื่อว่าคนเกือบทั้งหมดในที่นี้ไม่รู้จักเขา เพราะเขาออกจากวังมาตั้งแต่เจ็ดขวบ ซึ่งเวลาก็ได้ล่วงเลยมานับสิบปีแล้ว..
สิบปี.. ที่เขาไม่เคยกลับมาเหยียบที่นี่เลยแม้สักครั้งเดียว
พระราชวังอันยิ่งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย แต่ความทรงจำของเขาในช่วงที่อยู่ที่นี่นั้นช่างเลือนราง ถ้าจะนับตามความจริง เรฟคุ้นเคยกับพระราชวังไฟร์ออนาซมากกว่าพระราชวังเวดีเอล่าผู้เป็นบ้านเกิดของตัวเองเสียด้วยซ้ำไป แต่ถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็ขึ้นชื่อว่าบ้าน บ้านที่มีคนสำคัญรอเขาอยู่
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
เสียงที่ตามมาพร้อมกับร่างหนาอันคุ้นเคยของคารอสที่ตรงเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าเรฟานอสด้วยความเคารพสูงสุดท่ามกลางความตื่นตระหนกของเหล่าอัศวินและนางกำนัลที่อยู่โดยรอบไม่น้อย คนที่ประจำการออยู่ในพระราชวังชั้นนอกมีเพียงแค่อัศวินชั้นกลางและนางกำนัลคนใหม่เท่านั้น ทำให้ไม่มีใครทราบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตนนั้นคือองค์รัชทายาทที่หายสาบสูญไปกว่าสิบปี คนทั้งหมดนิ่งค้างไปชั่วครู่ก่อนที่จะทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมกับเอ่ยประสานเสียงกันขึ้น
ถวายบังคมเพคะ / พะยะค่ะองค์รัชทายาท!!
เรฟกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จากนั้นจึงแย้มยิ้มออกมา
“ลุกขึ้นเถอะ ตามสบายเถอะนะทุกคน” ว่าพลางหันไปมองคารอสที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ “เจ้าก็ด้วยนะคารอส ลุกขึ้นเถอะ”
“พะยะค่ะ”
คารอสลุกขึ้นยืนเหยียดตัวเต็มความสูง แต่กระนั้นก็ไม่ได้ขยับไปไหน ชายหนุ่มยืนอยู่นิ่งๆอย่างนั้นจนเรฟานอสถึงกับส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย เรฟเดินเข้าไปตบบ่าองครักษ์คู่ใจเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“อย่าโทษตัวเอง ที่ข้าบาดเจ็บไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
“ข้า...”
“ถ้าเจ้ายังโทษตัวเองอยู่อย่างนี้ก็เลิกคุยกันเลย” เรฟแสร้งตีหน้านิ่งเสียจนคนโทษตัวเองเผยสีหน้าอึดอัดใจออกมา
“ข้าจะ..พยายามไม่โทษตัวเอง”
“ดีมาก” เรฟยกยิ้มอย่างถูกใจ “เอาล่ะ ไปหาท่านแม่กันเถอะ”
เรฟานอสเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่บานหนึ่ง เขามองบานประตูอันแสนคุ้นเคยนี้อย่างโหยหา นานเหลือเกินที่ไม่ได้ย่างกรายเข้ามายังที่แห่งนี้ นานเหลือเกินที่ไม่ได้พบหน้าเจ้าของห้องที่อยู่หลังประตูบานนี้ นานเหลือเกิน...
“เข้ามาสิจ๊ะ”
เสียงหวานดังขึ้นอนุญาต เรฟานอสเปิดประตูเข้าไปด้านในและปิดลงอย่างแผ่วเบา ภายในห้องบรรทมนี้ถูกประดับด้วยของที่เป็นสีขาวเกือบทั้งหมด ทำให้ห้องทั้งห้องแลดูสบายตาและน่าอยู่ เรฟมองตรงไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่อีกมุมของห้อง เขาเห็นร่างบางของสตรีวัยกลางคนกำลังยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังตัดขาดจากโลกภายนอก ใบหน้างามมีร่องรอยแห่ความเหี่ยวย่นยิ่งกว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็น
สิบปีที่ผ่านมา แม่ของเขาดูชรายิ่งกว่าครั้งล่าสุดที่เขาเห็นเสียอีก
“เรยานอสหรือจ๊ะ วันนี้มีอะไรรึเปล่า ไหนว่าจะไปหารือกับท่านเสนาคาอิล..ไง..”
ท้ายประโยคนางหันมาหาเขาก่อนที่จะชะงักคำพูดไป ใบหน้าเปื้อนยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง ดวงตาคู่งามเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนที่เรฟจะเห็นเหมือนน้ำสีใสเอ่อคลออยู่ในดวงตาที่ไหวระริกนั้น
“เรฟ... เรฟหรือลูก..”
องค์ราชินีเอ่ยเรียกชื่อเรฟด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ นางเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาและมองมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“เรฟใช่ไหม นี่คือ..เรฟ ลูกชายของแม่ใช่ไหม”
ไม่มีคำราชาศัพท์ ไม่มีฐานะเข้ามากั้น มีเพียงสายสัมพันธ์ของแม่ลูกที่ต่อให้นานเพียงใดก็ยังเฝ้ารอการพบกันอีกครั้ง นางยกมืออันสั่นเทาขึ้นมาลูบไปยังใบหน้าของเรฟานอสอย่างทะนุถนอม เสียงหวานติดจะสั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปิติยินดี
“โตขึ้นแล้วสินะ ช่างหล่อเหลาไม่ต่างจากเรยานอสพี่ของเจ้าเลย เรฟ..ลูกกลับมาหาแม่แล้ว กลับมาหาแม่แล้ว”
เรฟคลี่ยิ้มบางให้มารดาของตน เขายกมือขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาให้สตรีอันเป็นที่รักยิ่งตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะเข้าไปกอดร่างบางของมารดาแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่แพ้กัน
“ข้ากลับมาแล้วครับ ท่านแม่”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อำลากันด้วยบทส่งท้ายนะคะ ^^
สอง-สามเดือนที่ผ่านมา ไรต์ขอขอบคุณรีดทุกคนที่ยังไม่ทิ้งไรต์ไปไหน
แม้ว่าไร้ต์จะเป็นเพียงนักเขียนฝึกหัดที่เพิ่งจะหัดแต่ง ฉากต่อสู้ก็เขียนไม่เป็นจนกลายเป็นว่า
ตัวพระเอกต่อสู้ไม่ได้เรื่องซะอย่างนั้น
ถึงจะเป็นอย่างนั้น รีดก็ยังไม่เคยหายไปไหน คอยให้กำลังไรต์อยู่ตลอดเวลา
คอยเม้นให้กำลังใจ คอยตามอ่าน จนทำให้เรื่องนี้สามารถปิดตัวลงได้
ไรต์บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยค่ะว่าเรื่องนี้จบลงได้เพราะรีดทุกคน
สำหรับรีกบางคน ไรต์เห็นมาตั้งแต่เปิดเรื่องแรกๆ ยังมีแฟนคลับอยู่สิบยี่สิบกว่าคน
ตนถึงตอนนี้ก็ยังคอยให้กำลังใจไรต์อยู่ไม่เคยไปไหน
หรือบางคน อาจจะเพิ่งเข้ามาอ่าน แต่ก็ยังคอยให้กำลังใจและตามไปอ่านเรื่องใหม่ที่ไรต์เพิ่งเปิด
ไรต์ขอขอบคุณจริงๆค่ะ
เรื่องเรฟานอสนี้ เป็นทั้งเพื่อน ทั้งครูของไรต์ ไรต์สัญญาว่าจะเอาข้อบกพร่อง
ที่เจอในเรื่องนี้ ไปปรับปรุงแก้ในในเรื่องต่อๆไปให้ดีมากยิ่งขึ้นค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกคนจริงๆค่ะ ^^
แล้วพบกันในเรื่อง
King Pasel เปิดตำนานกษัตริย์แห่งฟาเรเซียร์
ปล. สำหรับคนที่อยากเห็นเวลาเรฟอยู่กับเพื่อนในรร. ถ้าไรต์ไม่ขี้เกียจจะแต่งตอนพิเศษให้นะคะ จุ้บๆ
ความคิดเห็น