ลำดับตอนที่ #21
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : บทที่ 20
บทที่ 20
ผิดแผน!
ผิดแผนไปหมด!
เรฟานอสขมวดคิ้วมุ่นในขณะที่มือก็ใช้ด้ามของง้าวในการตั้งรับการโจมตีของจอมมารที่เพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นทุกที เอนเดลลิออนและทารีสร่วมมือกันหาจังหวะเข้าโจมตีในยามที่ศัตรูเผลอโดยที่เรอาก็ทำหน้าที่สร้างม่านมนตราเพื่อไม่ให้ปราสาทและทหารบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่านี้
...รวมถึงคารอสและเรนเดลที่ถูกเรอากันไว้ให้อยู่ภายนอกเขตการต่อสู้เช่นเดียวกัน...
แต่ถึงแม้ทุกคนจะร่วมมือร่วมใจกันในการหาช่องว่างและโจมตี แต่โดยส่วนมากคนที่ต้องรับการโจมตีของศัตรูทั้งหมดมีเพียงเรฟานอสเพียงคนเดียวราวกับจอมมารจงใจกำหนดให้เขาเป็นคู่ต่อสู้ทั้งที่ร่างนั้นไม่อาจหลงเหลือสติสัมปชัญญะอยู่อีกแล้ว
เคร้ง!
เสียงดาบประทะเข้ากับด้ามยาวของง้าวก้องกังวานดังกับจงใจตอกย้ำความเสียเปรียบของเทพแห่งสายลมผู้ที่บัดนี้ไม่เหลงเหลืออาวุธใด ๆ ทั้งสิ้น ได้แต่อาศัยความเร็วของลมที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดในการหลีกเลี่ยงไม่ให้ดาบของอีกฝ่ายโดนเข้าที่จุดตายเท่านั้น เรฟานอสขบกรามแน่นในขณะที่สมองกำลังคิดหาวิธีหยุดเพื่อนรักของเขาก่อนที่พลังของจอมมารจะฟื้นขึ้นมาทั้งหมด
เมื่อหลายพันปีก่อนเขาหยุดอีกฝ่ายด้วยง้าวที่เจ้าตัวให้มา แต่บัดนี้ศัตราวุธในตำนานนั้นได้หักลงไปแล้ว หักลงไปอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของนายที่แท้จริงของมัน ในเวลานี้ตัวเขามีแต่เพลิงศักดิ์เพียงเท่านั้น ถึงจะมีเพลิงที่เรียกได้ว่ามีอานุภาพร้ายแรงที่สุดแต่ก็ใช่ว่ามันจะสามารถหยุดจอมมารได้เสียหน่อย...
ฉัวะ ! !
“เรฟ ! !”
เลือด..
เลือดสีแดงฉานจากปากแผลบริเวณช่วงเอวไหลลงสู่พื้นดินทันทีเมื่อเรฟไม่สามารถหลบคมดาบของจอมมารพ้นได้ สายตานับร้อยคู่ที่อยู่ภายนอกและอีกสามคู่ที่อยู่ภายในม่านมนตราเบิกกว้างขึ้น เอนเดลลิออนพุ่งตัวเขามาบังร่างของคนเจ็บที่ทรุดตัวลงกับพื้นกุมบาดแผลด้วยใบหน้าซีดเซียวแล้วตั้งรับการโจมตีของจอมมารแทน ทารีสเมื่อเห็นว่าเอนเดลลิออนช่วยถ่วงเวลาไว้ให้จึงรีบรุดเข้ามาร่ายเวทรักษาทันที หากแต่ยังร่ายได้ไม่ถึงครึ่งบท เจ้าชายแห่งราเวนเทียก็เป็นอันต้องชะงักมือเมื่อผลที่ได้รับกลับมานั้นย่ำแย่กว่าที่คิด
ทารีสหน้าเครียดลงทันที
นัยน์ตาสีเงินละจากบาดแผล จับจ้องไปยังดาบเล่มงามของจอมมารที่กำลังโบกสะบัดฟาดฟันกับเอนเดลลิออนอย่างตื่นตระหนก
ดาบนั่น ! !
“อย่าบอกนะว่าดาบนั่นสร้างมาจากพลังมืด !”
หากคนนอกมาเห็นคงได้ตะลึงตาค้างเป็นแน่หากได้มาเห็นท่าทางของคนเหมือนจะน็อตหลุดของเจ้าชายผู้หยิ่งทะนง แต่จะให้เขามามัวแต่วางฟอร์มอยู่ก็คงจะไม่ได้ เมื่อพลังมืดนั่นสามารถทำให้เหล่าทวยเทพและเหล่าสายเลือดแห่งชาวสวรรค์บาดเจ็บสาหัสจนถึงขึ้นเสียชีวิตได้หากผู้นั้นโดนมันในปริมาณที่มากพอ
และเมื่อดูจากเลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดและการที่ใช้เวทเยียวยาแล้วไม่ได้ผลนั่นก็เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเรฟานอสได้รับพลังมืดเข้าไปในปริมาณที่มากมายเพียงใด...
“อย่าทำหน้าเครียดสิทารีส เดี๋ยวแก่นะ”
คนเจ็บที่ปากไม่ได้เจ็บไปด้วยกระตุกยิ้มอย่างยั่วเย้าจนคนได้รับถึงกับคิ้วกระตุกหงึก ๆ
ในเวลาแบบนี้ยังจะมัวแต่เล่นอยู่อีก!
เรฟานอสยิ้มขำแม้ใบหน้าจะซีดเซียวจากการเสียเลือดไปมาก ถึงเขาจะเป็นราชาปีศาจแต่นั่นก็เป็นเพราะเขาได้ครอบครองง้าวดาราผู้เปรียบเสมือนจักรพรรดิของทั้งสามภพ แต่ร่างกายของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยพลังของเทพอยู่เต็มเปี่ยมทำให้พลังมืดเข้าทำลายอวัยวะภายในได้เร็วมากยิ่งขึ้น
“เจ้าไปช่วยเอนด์เถอะทารีส”
เรฟหันไปบอกคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างเขาเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเพื่อนรักเขร่งขรึมลงพร้อมกับเพลิงสีแดงที่เจ้าตัวปล่อยออกมาเริ่มมีขนาดใหญ่และอนุภาคทำลายล้างมากขึ้นทุกที ทารีสพยักหน้าก่อนที่จะเข้าไปช่วยเทพอัคคีในการโจมตีอีกฝ่าย
ช่างน่าแปลก..
ถึงพลังของอัคคีและวารีนั้นจะเป็นดังขั้วบวกและขั้วลบที่ไม่สามารถโคจรมาเจอกันได้ แต่ในยามนี้ พลังของทั้งสองสายกำลังร่วมใจและเข้ากับได้ดีอย่างน่าประหลาด การโจมตีของเอนเดลลิออนนั้นรุนแรงและมีอนุภาพมาก ในขณะที่การโจมตีของทารีสรวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังมีเกราะป้องกันอันแน่นหนาของเรอาที่แม้จะไม่สามารถขยับเข้ามาช่วยได้เพราะต้องคอยร่ายม่านมนตราไว้ตลอดเวลา แต่ก็ยังใจดีร่ายเกราะป้องกันไว้กับตัวของผู้ที่กำลังสู้อยู่ทั้งสองอีกชั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเรฟอีกเป็นครั้งที่สอง
พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้วสินะ
เรฟขยับยิ้มกว้างเมื่อเห็นความสามัคคีที่ก่อตัวขึ้นกับพวกเขาทั้งสี่.. หรืออาจจะรวมไปถึงห้า.. เพราะบัดนี้เทพอีกสามองค์กำลังร่วมแรงร่วมใจกันหยุดจอมมารเพื่อให้ได้เพื่อนของเขาอีกคนกลับคืนมา เพื่อนที่พวกเขาเคยหักหลังไปแล้วครั้งหนึ่ง...
‘สมใจเจ้าแล้วใช่ไหมเด็กน้อย’
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของเรฟ น้ำเสียงนิ่งเรียบนั้นทำให้คนที่ได้ยินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรู้สึกคุ้นว่าอีกฝ่ายเคยทักขึ้นมาเพื่อมอบง้าวดาราให้เขาเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่จะตอบกลับอย่างสบายอารมณ์
‘ไม่ถือว่าทั้งหมด แต่ก็อยู่ในขั้นที่ใช้ได้’
‘แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป เอสตาร์ก็พังไปเสียแล้ว’ เสียงนิ่งนั้นตอบกลับมาอีก
‘....’ เรฟนิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าว่าจะตอบเสีงยคนที่ดังอยู่ภายในสมองว่าอย่างไรดี เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะใช้วิธีไหนในการหยุดจอมมารที่กำลังคลั่งอยู่ในตอนนี้ได้
‘เจ้าไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปใช่ไหม’
‘ข้า...’ เรฟอ้ำอึ้ง ‘ข้า...’
‘แต่ข้ารู้วิธี’ เสียงนั้นพูดขึ้นทำเอาเรฟหลุดยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างพอใจ
‘ท่านรู้หรือ !’
‘ใช่ ข้ารู้....’ เสียงนั้นตอบรับ
‘ เจ้าต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้า เด็กน้อย ถึงเจ้าจะมีจิตวิญญาณแห่งเทพ แต่ยังไงร่างของเจ้าก็ยังคงเป็นมนุษย์ ไม่สามารถเอาชนะโครนอนในร่างของจอมมารได้หรอก’
เมื่อได้ยินดังนั้นเรฟานอสก็ถอนหายใจเฮือก เขาคิดเอาไว้แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้เข้าสักวัน การที่เขาผนึกพลังเทพมากกว่าครึ่งของตนเองไว้ไม่ใช่เรื่องดี และในเวลานี้จิตวิญาณของเทพอีกครึ่งหนึ่งก็ได้เรียกหาเขาอีกครั้งแล้ว เรฟไม่เคยคิดที่จะใช้พลังเหล่านี้เพราะคิดว่าหากจบเรื่องโครนอนไปเขาก็อยากที่จะเป็นเพียงรัชทายาทแห่งเวนเดลล่าธรรมดา ๆ เพียงเท่านั้น ไม่ได้อยากเป็นมหาเทพวาโยผู้ยิ่งใหญ่ อยากที่จะปลดเปลื้องภาระทั้งหลายและปล่อยจิตวิญญาณให้เคลื่อนไปตามชะตากรรม
แต่ดูเหมือนชะตากรรมจะกำหนดให้เขากลับไปเป็นในสิ่งที่ควรเป็นสินะ..
‘ว่าอย่างไรเจ้าชาย’
เสียงนั้นกระเซ้าถามขึ้น เรฟขมวดคิ้วเหม่อมองภาพของเพื่อนทั้งสามที่กำลังต่อสู้และปกป้องเขาโดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้ทำให้เรฟรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นตัวถ่วง อาการบาดเจ็บที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ชายหนุ่มตาพร่าแต่ก็ยังคงกัดฟันครองสติเอาไว้ไม่ให้ดับไป
เรฟเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงก่อนที่จะคลายออกพร้อมกับริมฝีปากที่เปล่งเสียงออกมาอย่างก้องกังวานจนทำให้คนอื่น ๆ หยุดชะงักและเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง
“ข้าคือผู้พิทักษ์สายลม เทพสายลมแห่งสรวงสวรรค์ ขอปลดผนึกพลังทั้งแปดส่วนของข้า รวมจิตวิญญาณทั้งสองของข้าให้เป็นหนึ่ง เพื่อพิทักษ์และปกปักษ์มาตุภูมิแผ่นดินเกิดและสหายของข้าอีกครั้ง ! !”
----------------------------------------------------------- 50 %---------------------------------------------------------------------------------------------------
พรึบ ! !
ปีกนกสีขาวขนาดใหญ่ถูกกางขึ้นดังกับกำลังตอบสนองต่อคำร้องขอของเทพผู้พิทักษ์สายลม แสงนวลสว่างอาบไล้ไปทั่วทั้งพระราชวังปีศาจโดยมีจุดกำเนิดอยู่ที่ราชาผู้ครอบครองพลังแห่งเทพ การต่อสู้ทุกอย่างหยุดชะงักลงเมื่อจอมมารถูกแสงแห่งเทพกกัดกินจนทรุดลงไปทุรนทุรานกับพื้น ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่เหล่าทหารปีศาจที่อยู่ภายใต้การปกครองของเรฟานอสกลับมิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนว่าแสงสว่างนี้กำลังปลอบโลมพวกเขาอยู่เสียด้วยซ้ำ
ปีกสีขาวพาร่างของเรฟานอสลอยขึ้นเหนือจากพื้นไม่มากนัก ก่อนที่มันจะหุบปีกเข้ามาประสานกันไว้ด้านหน้าเพื่อห่อหุ้มร่างของผู้เป็นนายราวกับต้องการที่จะปกป้องบุรุษผู้นี้ แสงนวลที่เคยส่องสว่างเปล่งประกายวาบยิ่งขึ้นจนเหล่าคนมองทั้งหลายต้องหยีตาลงเพราะไม่สามารถทนความสว่างไสวของแสงนั้นได้ จนเมื่อแสงนั้นค่อย ๆ จางลงและเลือนหายไป ปีกสีขาวที่เคยห่อหุ้มร่างของเทพวาโยก็ถูกกางออกอย่างช้า ๆ ขนนกสีขาวล่องลอยไปตามแรงลมยิ่งทำให้ร่างของคนที่ลอยอยู่บนอากาศด้วยพลังของปีกคู่ใหญ่แลดูเหมือนเทพในตำนานขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
หรือบางทีอาจจะกลายเป็นเทพโดยสมบูรณ์ดังเช่นแต่ก่อนแล้วก็เป็นได้
ร่างของเรฟานอสในยามนี้ ถึงจะคล้ายคลึงกับร่างมนุษย์ที่เป็นเพียงเด็กอายุสิบเจ็ดปี แต่พลังอำนาจประกายตาช่างแตกต่างกันจนเห็นได้ชัด
เรือนผมยาวสีเงินพิสุทธิ์ปลิวไสว ไม่ใช่เพราะอนุภาพของลมที่อยู่โดยรอบ แต่มันปลิวไสวไปตามแรงของพลังอำนาจที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเจ้าของ ความสูงที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมมากบ่งบอกว่าบุรุษผู้นี้หาได้เป็นเพียงเด็กน้อยอีกต่อไป ใบหน้าคมคายเรียวและคมเข้มขึ้นอย่างที่ชายหนุ่มพึงจะเป็น นัยน์ตาสีแดงประกายทองนิ่งสงบดุจสายลมในฤดูหนาวไร้ซึ่งประกายแห่งชีวิตดังเช่นแต่ก่อน ชุดคลุมยาวกรุยกรายสีขาวปักลายเมฆสีทองตามชายผ้าถูกคาดด้วยผ้าสีทองเฉกเช่นเข็มขัดทำให้ร่างของบุรุษผู้นี้ช่างดูสูงศักดิ์และบริสุทธิ์ลมกับเป็นเทพในตำนานผู้ยิ่งใหญ่
และนั่นก็ทำให้เหล่าเทพในร่างของมนุษย์ทั้งสามชะงักค้างกับกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากชายหนุ่มผู้นี้
กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
กลิ่นอายที่บ่งบอกว่า...
มหาเทพวาโย เอรอน ได้กลับมาโดยสมบูรณ์แล้ว
และบัดนี้... จักไม่มี ‘เจ้าชายเรฟานอส เวดีเอล่า’ อีกต่อไป...
“อืม... ข้าไม่ได้สัมผัสพลังที่มากมายขนาดนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ”
เรฟานอส... ไม่สิ... เทพเอรอนยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างพึงพอใจ มือข้างซ้ายของเขาปรากฏเพลิงสีน้ำเงิน ในขณะที่มือข้างขวาปรากฏพายุสีเงินขนาดเล็กขึ้นมา เขาคิดว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นจากหลายพันปีก่อนมาก ไม่ใช่เพียงแค่พลังสายลม แต่ยังมีพลังของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังหมุนวนอยู่ภายในกายของเขา ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อนเขาคงจะไม่ทราบว่าเพลิงที่อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นภายในกายของเขาตั้งแต่จุติลงมายังโลกมนุษย์มีไว้เพื่อกาลใด แต่บัดนี้ ความสงสัยเหล่านั้นได้กระจ่างลงแล้ว กระจ่างลงด้วยคำที่ว่า
เขาต้องใช้ในการฟาดฟันเพื่อนของตัวเอง
เอรอนเบนสายตาไปทางเพื่อนทั้งสามก่อนที่จะไปหยุดลงที่โครนอน ดวงตาคู่นั้นไร้ซึ่งความเจ็บปวดยามที่คิดว่าจะต้องฟาดฟันกับคนที่เป็นดังเพื่อนสนิท ดวงตาที่นิ่งสนิทเสียจนทารีส เรอา เรนเดล และคารอสต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่อาจทนต่ออำนาจที่เปล่งออกมาดวงตาคู่นั้นได้ เช่นเดียวกันกับเอนเดลลิออนที่เผลอครางเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลืมตัว
“เอรอน...”
แม้แต่คำเรียกยังเป็นชื่อเดิมของเทพ เป็นการยืนยันว่าบัดนี้เทพองค์นี้ไม่มีเค้าลางของเด็กชายที่ชื่อเรฟานอสอีกต่อไปแล้ว เอรอนปรายตาไปมองคนเรียกชั่วครู่ จากนั้นจึงหันไปให้ความสนใจแก่จอมมารที่กำลังลุกขึ้นจากพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยว เอรอนสะบัดมือไปที่อีกฝ่าย ก่อให้เกิดเพลิงสีน้ำเงินลุกท่วมร่างของจอมมาร ส่งผลให้ร่างนั้นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและอาฆาตแค้นแต่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนอะไรได้
“ไอออน” เอ่ยเรียกเสียงนิ่งเสียจนเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง
“ม..มีอะไรหรือเอรอน”
เรอาเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น เทพเอรอนก็ไม่มีเวลามาใส่ใจจึงเลือกที่จะออกคำสั่งโดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะยอมทำตามแต่โดยดีหรือไม่
“กันทุกคนออกไปจากเขตการต่อสู้ซะ แล้วกางม่านมนตราขั้นสูงสุด ถ้ามีใครบาดเจ็บเพิ่มอีกสักคนข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า”
เป็นคำขู่ที่น่ากลัวไม่น้อยเมื่อคนพูดมีพลังอันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากร่าง แต่ถึงจะกลัว เรอาก็ยังคงใจกล้าเอ่ยสิ่งที่ค้างคาใจออกมา
“ที่เจ้าบอกว่าทุกคน คงไม่ได้หมายถึง..”
“ข้าคิดว่าข้าพูดชัดเจนแล้วนะ” ว่าเสียงนิ่งพร้อมกับปรายตาไปทางทารีส เอนเดลลิออน จวบจนกระทั่งมาหยุดที่คนถาม เพื่อเป็นการเจาะจงว่าใครกันที่เขาพูดถึง ซึ่งนั่นก็ทำให้เอนเดลลิออนเกิดอาการควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนตวาดเสียงกร้าว
“เจ้าจะสู้คนเดียวอีกรึไง ! !”
นัยน์ตาสีทองประสานเข้ากับดวงหน้านิ่งสนิทของเอรอนอย่างไม่กลัวเกรง
“ทำไมเจ้าชอบหาเรื่องให้ตัวเองบาดเจ็บอยู่เรื่อย ถ้าคิดจะสู้คนเดียวแล้วจะฟื้นความทรงจำให้พวกข้าทำไม พวกข้าอยู่ตรงนี้แล้ว พวกข้าที่เป็นเพื่อนของเจ้า! ! พึ่งพาพวกข้าสิ! ! เจ้าไม่เห็นพวกข้าที่ยืนอยู่ตรงนี้หรืออย่างไร ! !”
เอนเดลลิออนพูดไปก็หอบไปจนตัวโยน ร่างสูงทำท่าจะพุ่งเข้าหาคนที่ยืนหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ทารีสและเรอาต้องลำบากช่วยกันล็อคแขนไว้คนละข้างเพื่อไม่ให้เจ้าชายจากแดนอัคคีทำอะไรที่เป็นการเรียกว่าไร้สติ แต่ถึงทั้งสองจะทำเป็นเหมือนพยายามห้ามปราม แต่แววตาที่ส่งมาถึงเอรอนนั้นไม่ต่างจากคนที่พวกเขาทั้งสองจับเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
แววตาที่บ่งบอกว่าเสียใจแค่ไหนกับการตัดสินใจของเทพแห่งสายลม
ซึ่งนั่นก็ทำให้เอรอนรู้สึกวูบลงเหมือนกำลังตกหน้าผา และยิ่งเป็นหนักขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของเพื่อนรักที่ยังคงตวาดใส่เขาไม่เลิก
“หรือเพราะพวกข้าอ่อนด้อยไร้ความสามารถ ไม่มีอะไรที่สามารถเทียบเท่าเทพสายลมผู้หยั่งรู้ทุกสิ่งอย่างนั้นหรือ พวกข้าอ่อนแอเสียจนเจ้าต้องมาปกป้องหรือย่างไรกัน ! !”
เอนเดลลิออนจับจ้องไปยังคนที่ยืนเงียบอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอึ้งค้างเมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย
“แล้วเจ้าคิดว่าพลังของเจ้าสามารถทำอะไรเขาได้อย่างนั้นหรือ” เอรอนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ “คำตอบคือไม่ได้ พลังของเจ้าทำอะไรเขาไม่ได้เลยแม้แต่ปลายก้อย เจ้าเองก็น่ารู้ตัวดีจากที่ต่อสู้เมื่อครู่”
ไม่ใช่.. นี่ไม่ใช่เรฟานอส หรือเอรอนที่พวกเขารู้จัก
เอนเดลลิออนมองคนตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ถึงเอรอนจะไม่ค่อยยิ้ม จะยิ้มแต่ละทีก็เป็นแค่หน้าที่ ถึงจะนิ่งแต่บางครั้งก็เจ้าเล่ห์และกวนประสาท แต่ยังไงก็ตาม เอรอนไม่เคยเป็นแบบนี้
เขาพูดทำร้ายจิตใจคนอื่นโดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยได้อย่างไรกัน...
ถึงแม้จะพูดถูก เรื่องที่พวกเขาไร้พลังจริงๆก็ตามทีเถอะ...
นี่ไม่ใช่เอรอนคนเดิม
“ออกไปจากเขตการต่อสู้ซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
เอรอนทำท่าจะกระพือปีกพุ่งตัวเข้าไปหาโครนอนที่กำลังลุกขึ้นยืนทั้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะที่เกิดจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อถูกเอนเดลลิออนเรียกไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยว ! เอรอน !”
“อะไร” คนถูกขัดจังหวะการต่อสู้ตวัดสายตาไปทางคนเรียกอย่างหงุดหงิด
“ถ้าตึงมือเกินไป สัญญาได้ไหมว่าจะเรียกพวกข้า”
เอรอนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังและความเป็นห่วงของเพื่อนทั้งสามก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกและรับคำเพื่อตัดรำคาญ “ข้าสัญญา”
เอรอนพุ่งตัวเข้าไปหาจอมมารก่อนที่จะอัดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ใส่อีกฝ่าย แต่ร่างนั้นก็สามารถหลบได้อย่างหวุดหวิดทำให้เพลิงนั้นพุ่งเข้ากระทบกับม่านมนตราด้านหลังแทน จอมมารตวัดกงเล็บใส่เอรอนแต่เขาก็สามารถใช้ความรวดเร็วของพลังสมที่มีอยู่หลบได้อย่างสบาย ๆ และสร้างง้าวที่เป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งด้ามขึ้นมาตวัดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เป็นอีกครั้งที่จอมมารสามารถทำลายเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย แต่กระนั้น เอรอนก็สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไร อีกทั้งยังอาศัยพลังของลมในการหลบหลีกทำให้ร่างของเอรอนนั้นปราศจากบาดแผลอย่างสิ้นเชิง แม้แต่แผลเก่าที่ถูกฟันบริเวณเอวก็หายไปเพราะพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นมา ผิดกับจอมมารที่บัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ แต่เอรอนก็เข้าใจดีว่ายังไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้
“โครนอน เจ้าได้ยินข้าไหม”
เอรอนพยายามเรียกสติอีกฝ่ายในขณะที่มือก็อัดเพลิงสีน้ำเงินใส่ไปพร้อมกันด้วย
“โครอน กลับมาเป็นอย่างเดิมเถอะ อย่าให้จอมมารครอบงำเจ้า”
ว่าพร้อมหลบดาบของอีกฝ่ายที่ฟาดฟันลงมา จากนั้นจึงพลิกตัวกลับแล้วใช้ด้ามของง้าวตั้งรับการโจมตีของจอมมาร
“โครนอน เจ้าทำร้ายได้แม้กระทั่งเพื่อนอย่างข้าเชียวหรือ”
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกล เอรอนพยายามพูดกล่อมอีกฝ่ายในขณะที่เขาก็ฟาดฟันใส่กันอย่างดุเดือดเสียจนนึกว่าแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน เขาใช้ปีกบินฉวัดเฉวียนเพื่อหลอกล่อให้อีกฝ่ายสับสนและคอยหาช่องว่างในการโจมตีแต่ก็ถูกสกัดกั้นได้ทุกครั้งเสียจนน่าหงุดหงิด
ไม่ใช่แค่เอรอนที่มีพลังเพิ่มมากขึ้น แต่โครนอนเองก็ไม่ต่างกัน นั่นเป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อยถ้าต้องจัดการหยุดอีกฝ่ายให้อยู่นิ่ง ๆ และนั่งฟังเขาโดยที่โครนอนไม่ลุกขึ้นมาฟันเขาฉับดับภายในดาบเดียว การที่จะให้จอมมารหายไปตลอดกาลนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ทำยังไงก็ได้ให้จอมมารคิดได้และยอมออกจากหัวใจของโครนอนเพื่อให้พวกเขากำจัดอย่างเต็มใจก็สามารถทำลายได้แล้ว.. เพียงแต่ในสถานการณ์จริงมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
และมันไม่สามารถทำได้ด้วยพลังของคนเพียงคนเดียว
เอรอนขมวดคิ้ว แม้จะไม่พอใจที่จะต้องให้เพื่อนอีกสามคนเข้ามาทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย แต่มันก็เหมือนจะเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ
“เอนเดลลิออน ทารีส เรอา”
เสียงเรียกของเอรอนทำให้สามคนที่ถูกเรียกยิ้มกว้างและเดินเข้ามายังเขตการต่อสู้พร้อมด้วยอาวุธครบมือ โดยมีเสียงของเจ้าคนหัวแดงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีต่างจากที่ตวาดใส่เขาไม่ครู่ลิบลับ
“ข้ากำลังรออยู่เลย เพื่อน”
พรึบ ! !
ปีกนกสีขาวขนาดใหญ่ถูกกางขึ้นดังกับกำลังตอบสนองต่อคำร้องขอของเทพผู้พิทักษ์สายลม แสงนวลสว่างอาบไล้ไปทั่วทั้งพระราชวังปีศาจโดยมีจุดกำเนิดอยู่ที่ราชาผู้ครอบครองพลังแห่งเทพ การต่อสู้ทุกอย่างหยุดชะงักลงเมื่อจอมมารถูกแสงแห่งเทพกกัดกินจนทรุดลงไปทุรนทุรานกับพื้น ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่เหล่าทหารปีศาจที่อยู่ภายใต้การปกครองของเรฟานอสกลับมิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนว่าแสงสว่างนี้กำลังปลอบโลมพวกเขาอยู่เสียด้วยซ้ำ
ปีกสีขาวพาร่างของเรฟานอสลอยขึ้นเหนือจากพื้นไม่มากนัก ก่อนที่มันจะหุบปีกเข้ามาประสานกันไว้ด้านหน้าเพื่อห่อหุ้มร่างของผู้เป็นนายราวกับต้องการที่จะปกป้องบุรุษผู้นี้ แสงนวลที่เคยส่องสว่างเปล่งประกายวาบยิ่งขึ้นจนเหล่าคนมองทั้งหลายต้องหยีตาลงเพราะไม่สามารถทนความสว่างไสวของแสงนั้นได้ จนเมื่อแสงนั้นค่อย ๆ จางลงและเลือนหายไป ปีกสีขาวที่เคยห่อหุ้มร่างของเทพวาโยก็ถูกกางออกอย่างช้า ๆ ขนนกสีขาวล่องลอยไปตามแรงลมยิ่งทำให้ร่างของคนที่ลอยอยู่บนอากาศด้วยพลังของปีกคู่ใหญ่แลดูเหมือนเทพในตำนานขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
หรือบางทีอาจจะกลายเป็นเทพโดยสมบูรณ์ดังเช่นแต่ก่อนแล้วก็เป็นได้
ร่างของเรฟานอสในยามนี้ ถึงจะคล้ายคลึงกับร่างมนุษย์ที่เป็นเพียงเด็กอายุสิบเจ็ดปี แต่พลังอำนาจประกายตาช่างแตกต่างกันจนเห็นได้ชัด
เรือนผมยาวสีเงินพิสุทธิ์ปลิวไสว ไม่ใช่เพราะอนุภาพของลมที่อยู่โดยรอบ แต่มันปลิวไสวไปตามแรงของพลังอำนาจที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเจ้าของ ความสูงที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมมากบ่งบอกว่าบุรุษผู้นี้หาได้เป็นเพียงเด็กน้อยอีกต่อไป ใบหน้าคมคายเรียวและคมเข้มขึ้นอย่างที่ชายหนุ่มพึงจะเป็น นัยน์ตาสีแดงประกายทองนิ่งสงบดุจสายลมในฤดูหนาวไร้ซึ่งประกายแห่งชีวิตดังเช่นแต่ก่อน ชุดคลุมยาวกรุยกรายสีขาวปักลายเมฆสีทองตามชายผ้าถูกคาดด้วยผ้าสีทองเฉกเช่นเข็มขัดทำให้ร่างของบุรุษผู้นี้ช่างดูสูงศักดิ์และบริสุทธิ์ลมกับเป็นเทพในตำนานผู้ยิ่งใหญ่
และนั่นก็ทำให้เหล่าเทพในร่างของมนุษย์ทั้งสามชะงักค้างกับกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากชายหนุ่มผู้นี้
กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
กลิ่นอายที่บ่งบอกว่า...
มหาเทพวาโย เอรอน ได้กลับมาโดยสมบูรณ์แล้ว
และบัดนี้... จักไม่มี ‘เจ้าชายเรฟานอส เวดีเอล่า’ อีกต่อไป...
“อืม... ข้าไม่ได้สัมผัสพลังที่มากมายขนาดนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ”
เรฟานอส... ไม่สิ... เทพเอรอนยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างพึงพอใจ มือข้างซ้ายของเขาปรากฏเพลิงสีน้ำเงิน ในขณะที่มือข้างขวาปรากฏพายุสีเงินขนาดเล็กขึ้นมา เขาคิดว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นจากหลายพันปีก่อนมาก ไม่ใช่เพียงแค่พลังสายลม แต่ยังมีพลังของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังหมุนวนอยู่ภายในกายของเขา ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อนเขาคงจะไม่ทราบว่าเพลิงที่อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นภายในกายของเขาตั้งแต่จุติลงมายังโลกมนุษย์มีไว้เพื่อกาลใด แต่บัดนี้ ความสงสัยเหล่านั้นได้กระจ่างลงแล้ว กระจ่างลงด้วยคำที่ว่า
เขาต้องใช้ในการฟาดฟันเพื่อนของตัวเอง
เอรอนเบนสายตาไปทางเพื่อนทั้งสามก่อนที่จะไปหยุดลงที่โครนอน ดวงตาคู่นั้นไร้ซึ่งความเจ็บปวดยามที่คิดว่าจะต้องฟาดฟันกับคนที่เป็นดังเพื่อนสนิท ดวงตาที่นิ่งสนิทเสียจนทารีส เรอา เรนเดล และคารอสต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่อาจทนต่ออำนาจที่เปล่งออกมาดวงตาคู่นั้นได้ เช่นเดียวกันกับเอนเดลลิออนที่เผลอครางเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลืมตัว
“เอรอน...”
แม้แต่คำเรียกยังเป็นชื่อเดิมของเทพ เป็นการยืนยันว่าบัดนี้เทพองค์นี้ไม่มีเค้าลางของเด็กชายที่ชื่อเรฟานอสอีกต่อไปแล้ว เอรอนปรายตาไปมองคนเรียกชั่วครู่ จากนั้นจึงหันไปให้ความสนใจแก่จอมมารที่กำลังลุกขึ้นจากพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยว เอรอนสะบัดมือไปที่อีกฝ่าย ก่อให้เกิดเพลิงสีน้ำเงินลุกท่วมร่างของจอมมาร ส่งผลให้ร่างนั้นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและอาฆาตแค้นแต่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนอะไรได้
“ไอออน” เอ่ยเรียกเสียงนิ่งเสียจนเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง
“ม..มีอะไรหรือเอรอน”
เรอาเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น เทพเอรอนก็ไม่มีเวลามาใส่ใจจึงเลือกที่จะออกคำสั่งโดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะยอมทำตามแต่โดยดีหรือไม่
“กันทุกคนออกไปจากเขตการต่อสู้ซะ แล้วกางม่านมนตราขั้นสูงสุด ถ้ามีใครบาดเจ็บเพิ่มอีกสักคนข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า”
เป็นคำขู่ที่น่ากลัวไม่น้อยเมื่อคนพูดมีพลังอันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากร่าง แต่ถึงจะกลัว เรอาก็ยังคงใจกล้าเอ่ยสิ่งที่ค้างคาใจออกมา
“ที่เจ้าบอกว่าทุกคน คงไม่ได้หมายถึง..”
“ข้าคิดว่าข้าพูดชัดเจนแล้วนะ” ว่าเสียงนิ่งพร้อมกับปรายตาไปทางทารีส เอนเดลลิออน จวบจนกระทั่งมาหยุดที่คนถาม เพื่อเป็นการเจาะจงว่าใครกันที่เขาพูดถึง ซึ่งนั่นก็ทำให้เอนเดลลิออนเกิดอาการควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนตวาดเสียงกร้าว
“เจ้าจะสู้คนเดียวอีกรึไง ! !”
นัยน์ตาสีทองประสานเข้ากับดวงหน้านิ่งสนิทของเอรอนอย่างไม่กลัวเกรง
“ทำไมเจ้าชอบหาเรื่องให้ตัวเองบาดเจ็บอยู่เรื่อย ถ้าคิดจะสู้คนเดียวแล้วจะฟื้นความทรงจำให้พวกข้าทำไม พวกข้าอยู่ตรงนี้แล้ว พวกข้าที่เป็นเพื่อนของเจ้า! ! พึ่งพาพวกข้าสิ! ! เจ้าไม่เห็นพวกข้าที่ยืนอยู่ตรงนี้หรืออย่างไร ! !”
เอนเดลลิออนพูดไปก็หอบไปจนตัวโยน ร่างสูงทำท่าจะพุ่งเข้าหาคนที่ยืนหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ทารีสและเรอาต้องลำบากช่วยกันล็อคแขนไว้คนละข้างเพื่อไม่ให้เจ้าชายจากแดนอัคคีทำอะไรที่เป็นการเรียกว่าไร้สติ แต่ถึงทั้งสองจะทำเป็นเหมือนพยายามห้ามปราม แต่แววตาที่ส่งมาถึงเอรอนนั้นไม่ต่างจากคนที่พวกเขาทั้งสองจับเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
แววตาที่บ่งบอกว่าเสียใจแค่ไหนกับการตัดสินใจของเทพแห่งสายลม
ซึ่งนั่นก็ทำให้เอรอนรู้สึกวูบลงเหมือนกำลังตกหน้าผา และยิ่งเป็นหนักขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของเพื่อนรักที่ยังคงตวาดใส่เขาไม่เลิก
“หรือเพราะพวกข้าอ่อนด้อยไร้ความสามารถ ไม่มีอะไรที่สามารถเทียบเท่าเทพสายลมผู้หยั่งรู้ทุกสิ่งอย่างนั้นหรือ พวกข้าอ่อนแอเสียจนเจ้าต้องมาปกป้องหรือย่างไรกัน ! !”
เอนเดลลิออนจับจ้องไปยังคนที่ยืนเงียบอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอึ้งค้างเมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย
“แล้วเจ้าคิดว่าพลังของเจ้าสามารถทำอะไรเขาได้อย่างนั้นหรือ” เอรอนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ “คำตอบคือไม่ได้ พลังของเจ้าทำอะไรเขาไม่ได้เลยแม้แต่ปลายก้อย เจ้าเองก็น่ารู้ตัวดีจากที่ต่อสู้เมื่อครู่”
ไม่ใช่.. นี่ไม่ใช่เรฟานอส หรือเอรอนที่พวกเขารู้จัก
เอนเดลลิออนมองคนตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ถึงเอรอนจะไม่ค่อยยิ้ม จะยิ้มแต่ละทีก็เป็นแค่หน้าที่ ถึงจะนิ่งแต่บางครั้งก็เจ้าเล่ห์และกวนประสาท แต่ยังไงก็ตาม เอรอนไม่เคยเป็นแบบนี้
เขาพูดทำร้ายจิตใจคนอื่นโดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยได้อย่างไรกัน...
ถึงแม้จะพูดถูก เรื่องที่พวกเขาไร้พลังจริงๆก็ตามทีเถอะ...
นี่ไม่ใช่เอรอนคนเดิม
“ออกไปจากเขตการต่อสู้ซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
เอรอนทำท่าจะกระพือปีกพุ่งตัวเข้าไปหาโครนอนที่กำลังลุกขึ้นยืนทั้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะที่เกิดจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อถูกเอนเดลลิออนเรียกไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยว ! เอรอน !”
“อะไร” คนถูกขัดจังหวะการต่อสู้ตวัดสายตาไปทางคนเรียกอย่างหงุดหงิด
“ถ้าตึงมือเกินไป สัญญาได้ไหมว่าจะเรียกพวกข้า”
เอรอนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังและความเป็นห่วงของเพื่อนทั้งสามก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกและรับคำเพื่อตัดรำคาญ “ข้าสัญญา”
เอรอนพุ่งตัวเข้าไปหาจอมมารก่อนที่จะอัดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ใส่อีกฝ่าย แต่ร่างนั้นก็สามารถหลบได้อย่างหวุดหวิดทำให้เพลิงนั้นพุ่งเข้ากระทบกับม่านมนตราด้านหลังแทน จอมมารตวัดกงเล็บใส่เอรอนแต่เขาก็สามารถใช้ความรวดเร็วของพลังสมที่มีอยู่หลบได้อย่างสบาย ๆ และสร้างง้าวที่เป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งด้ามขึ้นมาตวัดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เป็นอีกครั้งที่จอมมารสามารถทำลายเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย แต่กระนั้น เอรอนก็สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไร อีกทั้งยังอาศัยพลังของลมในการหลบหลีกทำให้ร่างของเอรอนนั้นปราศจากบาดแผลอย่างสิ้นเชิง แม้แต่แผลเก่าที่ถูกฟันบริเวณเอวก็หายไปเพราะพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นมา ผิดกับจอมมารที่บัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ แต่เอรอนก็เข้าใจดีว่ายังไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้
“โครนอน เจ้าได้ยินข้าไหม”
เอรอนพยายามเรียกสติอีกฝ่ายในขณะที่มือก็อัดเพลิงสีน้ำเงินใส่ไปพร้อมกันด้วย
“โครอน กลับมาเป็นอย่างเดิมเถอะ อย่าให้จอมมารครอบงำเจ้า”
ว่าพร้อมหลบดาบของอีกฝ่ายที่ฟาดฟันลงมา จากนั้นจึงพลิกตัวกลับแล้วใช้ด้ามของง้าวตั้งรับการโจมตีของจอมมาร
“โครนอน เจ้าทำร้ายได้แม้กระทั่งเพื่อนอย่างข้าเชียวหรือ”
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกล เอรอนพยายามพูดกล่อมอีกฝ่ายในขณะที่เขาก็ฟาดฟันใส่กันอย่างดุเดือดเสียจนนึกว่าแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน เขาใช้ปีกบินฉวัดเฉวียนเพื่อหลอกล่อให้อีกฝ่ายสับสนและคอยหาช่องว่างในการโจมตีแต่ก็ถูกสกัดกั้นได้ทุกครั้งเสียจนน่าหงุดหงิด
ไม่ใช่แค่เอรอนที่มีพลังเพิ่มมากขึ้น แต่โครนอนเองก็ไม่ต่างกัน นั่นเป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อยถ้าต้องจัดการหยุดอีกฝ่ายให้อยู่นิ่ง ๆ และนั่งฟังเขาโดยที่โครนอนไม่ลุกขึ้นมาฟันเขาฉับดับภายในดาบเดียว การที่จะให้จอมมารหายไปตลอดกาลนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ทำยังไงก็ได้ให้จอมมารคิดได้และยอมออกจากหัวใจของโครนอนเพื่อให้พวกเขากำจัดอย่างเต็มใจก็สามารถทำลายได้แล้ว.. เพียงแต่ในสถานการณ์จริงมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
และมันไม่สามารถทำได้ด้วยพลังของคนเพียงคนเดียว
เอรอนขมวดคิ้ว แม้จะไม่พอใจที่จะต้องให้เพื่อนอีกสามคนเข้ามาทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย แต่มันก็เหมือนจะเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ
“เอนเดลลิออน ทารีส เรอา”
เสียงเรียกของเอรอนทำให้สามคนที่ถูกเรียกยิ้มกว้างและเดินเข้ามายังเขตการต่อสู้พร้อมด้วยอาวุธครบมือ โดยมีเสียงของเจ้าคนหัวแดงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีต่างจากที่ตวาดใส่เขาไม่ครู่ลิบลับ
“ข้ากำลังรออยู่เลย เพื่อน”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อัพครบ 100% แล้วเย้!! ใกล้จะจบแล้วน๊าาาา รู้สึกใจหายเลย T^T
ตอนนี้เอรอนพูดได้เจ็บไปถึงทรวงมาก เล่นเอาซะกระอักเลยทีเดียว
ตอนนี้ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ
King Pasel เปิดตำนานกษัตริย์แห่งฟาเรนเซียร์
อัพแล้ว!! 1 บท... 5555
ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า
อัพครบ 100% แล้วเย้!! ใกล้จะจบแล้วน๊าาาา รู้สึกใจหายเลย T^T
ตอนนี้เอรอนพูดได้เจ็บไปถึงทรวงมาก เล่นเอาซะกระอักเลยทีเดียว
ตอนนี้ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ
King Pasel เปิดตำนานกษัตริย์แห่งฟาเรนเซียร์
อัพแล้ว!! 1 บท... 5555
ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น