คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : บทที่ 19
“ไอ้ทหารของเจ้านี่อ่อนเป็นบ้าเลย ไปฝึกทหารใหม่ด้วยนะไอ้เพื่อนรัก ! ”
เรือนผมและนัยน์ตาสีทองพิสุทธิ์ช่างเด่นสะดุดตาภายในพระราชวังปีศาจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความมืดแห่งนี้ ใบหน้าคมคายเปี่ยมไปด้วยความโอบอ้อมอารีอยู่เป็นนิจไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้เวลาจะล่วงเลยไปนานนับหลายพันปี เทพผู้ปกครองชั้นฟ้าที่ยังคงโอบอุ้มเหล่าสรรพสัตว์เอาไว้ด้วยความเมตตาแม้ตนนั้นจะร่วงลงสู่ความมืดที่เต็มไปด้วยไฟแห่งอนธการ
“โคร... นอน...”
เรฟานอสพึมพำขึ้นมาเสียงเบา แต่ด้วยความที่ภายในท้องพระโรงนั้นเงียบสงบทำให้เสียงนี้ดังพอที่จะทำให้ใครหลายคนที่คอยอารักษ์ขาอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินโดยไม่ลำบากนัก
เรนเดลและคารอสหันไปมองคนพูดที่บัดนี้กำลังมองผู้มาเยือนด้วยความอึ้งค้างก่อนที่ทั้งสองจะหันไปมองชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีทองเป็นเอกลักษณ์ด้วยความเคร่งเครียด...
หากการที่เทพทั้งสี่ถึงกับต้องลงมาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อจัดการกับบุคคลตรงหน้า นั่นก็หมายความว่าเทพแห่งท้องนภาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเรฟานอสที่ยังคงอยู่ในร่างของมนุษย์เป็นแน่ ในหลายพันปีก่อน ถึงเทพเอรอนจะใช้ง้าวดาราในการหยุดจอมมารแต่ก่อนหน้านั้นเทพทุกองค์ก็ได้ร่วมใจกันในการลดทนพลังของอีกฝ่ายจึงจะหยุดได้ แล้วครั้งนี้ล่ะ.. ใครจะอยู่เคียงข้างท่านสายลมผู้นี้กัน...
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ไม่ดีใจหรอที่เจอข้า”
เทพโครนอนว่าขณะที่ร่างนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ของเรฟานอส เทพแห่งท้องนภาสะบัดมือไปทางอากาศเล็กน้อยก่อนที่จะมีบัลลังก์ทองปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า เทพหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งบนบัลลังก์อย่างสบายอารมณ์ ประจันหน้ากับเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานในความคิดของเขา
ดวงตาทรงอำนาจทั้งสองสีประสานเข้าด้วยกันราวกับวัดใจอีกฝ่าย ช่วงเวลาที่แสนสั้นแต่ช่างยาวนานในความคิดของเรนเดล คารอส และเหล่าทหารที่ยืนรอลุ้นด้วยอาวุธครบมือ ก่อนที่เรฟานอสจะเป็นฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ มือแกร่งยกขึ้นโบกมือเป็นเชิงไล่ทหารที่รออยู่ภายในท้องพระโรง
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับโครนอนตามประสาเพื่อนเก่า”
คำพูดของเรฟานอสทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม้เว้นแม้แต่สองหนุ่มเพื่อนสนิทขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เห็นด้วย จนกระทั่งมีทหารนายหนึ่งซึ่งเรนเดลคลับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นเขายืนอยู่ข้างกายเรฟานอสในตอนที่บุกถล่มโรงเรียนแย้งขึ้นมา
“แต่.. ฝ่าบาท.. ข้ากระหม่อมคิดว่า…”
“เจ้ากำลังคิดว่าเจ้าจะทำตามคำสั่งของข้าโดยไม่บิดพลิ้ว อาเธอร์”
เสียงเข้มขนาดนี้ใครเล่าจะแย้งได้ เหล่าทหารนับสิบนายจึงทำได้เพียงค้อมตัวลงทำความเคารพและจำใจเดินออกจากท้องพระโรงด้วยอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านที่ติดค้างอยู่ภายในจิตใจ แต่ถึงทหารทั้งหมดจะออกไปกันจนหมดแล้ว ในท้องพระโรงก็คงยังมีสองชายหนุ่มที่ยังคงยืนปักหลักปักฐานอยู่ที่เดิมโดยไม่มีท่าทีว่าจะเดินตามออกไปแต่อย่างใด
เรฟานอสเลิกคิ้วมาทั้งคู่อย่างแปลกใจ
“พวกเจ้าไม่คิดจะทำตามบัญชาของพระราชาหน่อยหรือ”
เรนเดลยักไหล่อย่างไม่กลัวเกรง “น่าเสียดายที่อีกฐานะหนึ่งของพระองค์คือรุ่นน้องภายในหน่วยของหม่อมฉัน หากหม่อมฉันจะขัดพระบัญชาของพระองค์เพราะความเป็นห่วงในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่งคงจะไม่แปลกนัก”
เทพสายลมแอบได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มหันไปแยกเขี้ยวใส่เจ้าคนที่เพิ่งบอกว่าตนเองเป็นรุ่นพี่ของเขาอย่างหมันไส้ก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างปลง ๆ
“ช่างเถอะ อยากอยู่ก็อยู่ แต่ถ้าหากเนื้อหาที่เข้าพูดทำให้พวกเจ้าช็อกตายไปข้าไม่ขอรับผิดชอบแล้วกันนะ”
เรนเดลยิ้มร่าผิดกับคารอสที่ยังคงมีใบหน้าที่นิ่งสงบอยู่เช่นเคย เรฟานอสละความสนใจจากรุ่นพี่ทั้งสองมายังเพื่อนสนิทเมื่อหลายพันปีก่อนที่ยอมนั่งอยู่เงียบ ๆ เป็นผู้ฟังที่ดี
“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่านะโครนอน” คนถูกพูดถึงเลิกคิ้วแต่ก็นิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่เรฟกำลังจะพูด “ถ้าเป็นสมัยก่อนข้าอาจจะดีใจที่เจ้ามาหา แต่บัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้วนะโครนอน ข้าลงมาจุติยังภพมนุษย์เพื่อหยุดเจ้า เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ”
โครนอนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็คลายออกภายในเวลาไม่ช้า เล่นเอาผู้เฝ้าชมทั้งสองอดใจแป้วไม่ได้ “อา.. ขอโทษ ๆ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ข้าเบื่อที่จะเล่นแล้วนี่ ร่างเด็กนี่มันอึดอัดจริง ๆ ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นเรฟานอสก็หัวเราะเบา ๆ กับอากัปกิริยาที่เพิ่มระดับความขี้เล่นอีกเท่าตัวของเทพผู้ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่อาศัยอยู่ภายใต้ร่างแปลงของเด็กชายจากตระกูลคาเรนีตาร์ เทพโครนอนก็ยังคงติดนิสัยเล่นหูเล่นตาแบบเด็กอยู่เช่นนั้นแม้จะกลับคืนสู่ร่างจริงแล้วก็ตาม
เรฟานอสทำท่าคิดก่อนที่จะพูดขึ้น
“แต่ข้าชอบเจ้าในสภาพของเจ้าหนูเจราลมากกว่านะ น่ารักกว่ากันเยอะเลย”
เรนเดลถึงกับแข็งเป็นหินกับคำพูดของเรฟานอสไม่ต่างกับคารอส ภายในใจของทั้งคู่บัดนี้เต็มไปด้วยความสับสนต่อสิ่งที่ตนเพิ่งได้รับรู้
หมายความอย่างไร.. ร่างที่แท้จริงของเจ้าหนูเจราลก็คือโครนอน แล้วดูท่าว่าเรฟจะรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นเลยเสียด้วยซ้ำ เกิดอะไรขึ้นกันแน่.. เทพทั้งสี่ลงมายังภพมนุษย์เพื่อหยุดเทพโครนอนไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเรฟถึงได้ทำท่าว่าตนเองยังคงมีสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่ายและคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดเลยด้วย..
โครนอนที่สังเกตเห็นถึงใบหน้าของเรนเดลถึงกับหลุดขำออกมาก่อนที่จะหันไปพยักพเยิดให้เพื่อนรักดูรุ่นพี่ของตน “เจ้าไม่คิดจะอธิบายให้เขาฟังหน่อยหรือเอรอน ดูท่าว่าเข้าจะช็อกจนสติหลุดไปแล้วล่ะนะ”
เรฟานอสส่ายหน้าเล็กน้อยกับความขี้เล่นของเทพแห่งท้องนภา จากนั้นจึงกล่าวยิ้มๆ “แล้วจะให้ข้าอธิบายว่าอย่างไรเล่าโครนอน จะให้ข้าบอกว่า...”
เรฟเว้นจังหวะไปชั่วครู่พลางสังเกตใบหน้าของรุ่นพี่ทั้งสองที่ซีดแล้วซีดอีกด้วยความนึกสนุก
“เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่ทั้งข้าและเจ้าร่วมมือกันดัดหลังเจ้าพวกนั้น ร่วมมือกันทำให้เจ้าพวกนั้นรู้ซึ้งถึงความเสียใจนับพันปีเพื่อสังเวยให้กับความคิดที่บังอาจทรยศเจ้าน่ะหรือ มันจะทำให้คนฟังหัวใจวายไปก่อนรึเปล่านะ เพื่อนรัก”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เรฟ ! ”
เรนเดลผุดลุกขึ้นถามอย่างเหลืออด เขาไม่รู้ว่าชาวสวรรค์เหล่านี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ทั้งสร้างเรื่องให้วุ่นวาย แก้แค้นกันไปมาไม่จบไม่สิ้น อีกทั้งยังดึงชาวมนุษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปพัวพันธ์กับสิ่งที่ตนไม่ได้เป็นคนก่อ มันไม่ใช่สิ่งที่ยุติธรรมสำหรับพวกเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่ได้มีพลังดุจพระเจ้า แต่กลับต้องมาเป็นตัวหมากในเกมของพระเจ้า
น่าตลกสิ้นดี ! ! !
เรนเดลจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายของคนที่เคยเป็นรุ่นน้องที่เขาถูกใจที่สุด แต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อนัยน์ตาสีแดงประกายทองคมกริบตวัดมามองเขาด้วยความดุดัน
“เก็บอาการของเจ้าด้วยเรนเดล การขึ้นเสียงใส่ข้าไม่ใช่ความคิดที่ดีนักหรอกนะ”
เรฟานอสในยามนี้ช่างสมกับฐานะเจ้าชายแห่งแดนสายลมและกษัตริย์แห่งแดนปีศาจ ทวงท่าอันสง่างามและน้ำเสียงอันทรงอำนาจนั้นช่างตรึงเข้าไปในจิตใจของผู้ฟังจนแทบจะกลายเป็นเย็นยะเยือก เรนเดลที่อาจหาญขึ้นเสียงต่อกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับนิ่งขึงราวกับถูกมนต์สะกด
หรือจะถูกมนต์สะกดจริงๆก็ไม่รู้นะ
“เรนเดล?” คารอสเรียกเพื่อนด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกคนนิ่งเงียบไป ก่อนที่จะชะงักเมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายของมนตราที่อาบไล้อยู่รอบ ๆ ร่างของเรนเดล
คารอสหันไปส่งสายตาให้นายเหนือหัวเป็นเชิงถาม
“ข้าแค่ทำให้เขาอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ เท่านั้นเอง ไม่เป็นอันตรายอะไร”
เมื่อได้ฟังคำยืนยันของเรฟานอส คารอสถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทราบว่าเพื่อนของตนไม่อายุสั้นอย่างที่คิด จากนั้นจึงกลับไปยืนฟังบทสนทนาที่ดังขึ้นโดยเทพแห่งท้องนภาอยู่เงียบ ๆ อีกครั้งโดยไม่คิดที่จะสนใจคนถูกมนตราจนขยับไม่ได้อีก
“เขาเป็นคนที่น่าสนใจดีนะเอรอน” โครนอนหัวเราะเบา ๆ ตามนิสัย “ถึงจะไม่เหมือนเลยสักทีเดียว แต่เขาคล้ายเจ้ามาก”
“แล้วแต่เจ้าจะคิด” เรฟยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะเริ่มเข้าประเด็นที่ดูเหมือนจะหลุดออกทะเลไปได้สักพักใหญ่ ๆ
“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ตามที่ตกลงกันไว้เจ้าจะมาที่นี่หลังจากที่พวกเซนอนฟื้นความทรงจำแล้วไม่ใช่หรือ”
เรฟานอสทำหน้าสงสัย แต่แล้วก็ต้องเพิ่มระดับความแปลกใจมากเข้าไปอีกเมื่อสีหน้าของโครนอนนั้นเคร่งเครียดลงจนเห็นได้ชัดจนอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้ “มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
มหาเทพผู้ปกครองท้องนภาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะยกมือขวาขึ้นแตะลงไปบนหน้าอกด้านซ้ายบริเวณหัวใจ ลักษณะท่าทางของโครนอนทำให้เรฟที่พอจะเดาเรื่องอะไรบางอย่างได้ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
“อย่าบอกนะว่า...” เรฟานอสค้างคำพูดไว้ราวกับไม่อยากที่จะพูดถึงมัน
“อย่างที่เจ้าคิด” โครนอนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “จอมมารกำลังจะตื่นขึ้นมาแล้ว ข้าคิดว่าคงไม่ทันการหากจะรอให้พวกเซนอนฟื้นความทรงจำ ถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เจ้าก็คงต้องหยุดข้าด้วยมือของเจ้าเพียงลำพังอีกครั้ง”
ใช่แล้ว...
ถึงในประวัติศาสตร์จะกล่าวเอาไว้ว่า หลังจากที่เทพทั้งสี่ผนึกพลังของจอมมารเอาไว้ ณ ก้นบึ้งของความว่างเปล่า แต่พวกเขาไม่ได้พูดถึงอีกตัวตนหนึ่งของจอมมารซึ่งนั่นก็คือเทพโครนอนว่าเขาถูกผนึกไปพร้อมกันหรือไม่ ซึ่งนั่นเอง ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นช่องว่างของประวัติศาสตร์ ไม่มีใครนึกเอะใจหรือคิดทักท้วงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และจงใจลืมเลือนมันไปตามวันเวลาที่ผันผ่าน
นี่ล่ะหนอ... มนุษย์..
ถึงจะถูกบันทึกไว้ว่าจอมมารถูกผนึกไว้ ณ ก้นบึ้งของความว่างเปล่า แต่แท้จริงแล้ว ความว่างเปล่าก็คือภายในหัวใจของเทพโครนอนนั่นเอง แต่เมื่อมีการผนึกแล้ว เทพแห่งท้องนภาก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับจนทั่วทั้งแผ่นดินคิดว่าเขาคงถูกผนึกไปพร้อมกับดวงจิตนั้นด้วย แต่ความเป็นจริงแล้วเทพโครนอนได้เก็บรักษาดวงจิตของจอมมารและหาวิธีการทำลายมันมาโดยตลอดแต่ก็ไม่มีทางใดที่จะสามารถทำลายมันได้เลยสักครั้ง จนกระทั่งเอรอนมีความคิดที่จะดัดหลังสหายทั้งสามของตน และสร้างเรื่องลงมาจุติยังโลกมนุษย์
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการทำลายดวงจิตแห่งจอมมาร
เทพเอรอนจุติลงมายังภพมนุษย์พร้อมกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดเทียบเท่า อีกทั้งยังมีพลังที่เต็มไปด้วยความอิสรเสรีของสายลมนั้นทำให้โครนอนมีความหวังขึ้นมา เขาเชื่อว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้คงไม่ได้มีเพียงเพื่อเอาไว้ประดับให้เอรอนเผาผลาญเล่น เพราะถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ประชาชนคงได้ร้องไห้เพราะมีรัชทายาทใช้พลังฟุ่มเฟือยจนหมู่บ้านพังเป็นแน่
“ข้าต้องทำร้ายเจ้าอีกแล้วหรือ” ดวงตาของเรฟานอสหม่นแสงลง การทำใจหันคมดาบใส่เพื่อนไม่ใช่สิ่งง่ายเลยสำหรับเขา
“เจ้าอดทนได้อีกเท่าไหร่ ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเซนอน โรฟอน และไอออนจะจำพวกเราได้ทั้งหมด เจ้าจะรอไหวไหม”
“ไม่เกินเที่ยงคืนของวันนี้”
อีกสี่ชั่วโมง..
“คงไม่ทันแน่ ๆ สินะ”
เรฟานอสคลี่ยิ้มแม้สิ่งที่ตนพยายามทุ่มเทไปทั้งหมดจะพังทลายลงไปไม่เป็นท่า เขาตั้งใจจะดัดหลังเทพทั้งสามองค์ให้จมอยู่กับความรู้สึกผิดนานนับพันปีก็จริง แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เพื่อนต้องมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะ
“ท่านเรฟานอส”
เสียงของคารอสดึงความสนใจของคนถูกเรียกและคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองได้เป็นอย่างดี ถึงจะถูกจับจ้อง แต่คารอสก็ไม่แสดงท่าทีประหม่าออกมาสักน้อยสร้างความชื่นชมให้กับเทพทั้งสองได้เป็นอย่างมาก
“ว่ามา” เรฟตอบรับพร้อมกับตั้งใจฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด
“ไม่ว่าเทพทั้งสามองค์จะฟื้นความทรงจำได้หรือไม่ ข้าจะขอสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับท่าน” คารอสพูดด้วยน้ำเสียงหนักนั่น
“โปรดท่านอย่าได้ห้ามข้า ท่านเป็นทั้งอาจารย์ของข้า น้องของข้า และนายเหนือหัวของข้า ข้าไม่มีทางยอมให้ท่านต่อสู้เพียงลำพังแน่ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านทำอะไรตามใจจนบาดเจ็บสาหัสอีกแล้ว”
‘ ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าข้าไม่ปล่อยให้ท่านทำอะไรตามใจเพียงตัวคนเดียวแน่ ’
ราวกลับเวลาหมุนย้อนกลับ เรฟานอสได้ยินเสียงและภาพของคารอสเมื่อหลายเดือนที่แล้วซ้อนทับขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งนั่นมันทำให้เขายกยิ้มขึ้นอย่างถูกใจในองครักษ์คนนี้.. คารอสเป็นคนที่จริงจังต่อทุกคำที่เอ่ยออกมา และครั้งนี้ก็เช่นกัน เรฟคิดว่าต่อให้ห้ามหรือจับอีกฝ่ายมัดแล้วขังไว้ในห้องมืด คารอสก็คงจะทำลายเชือกและถล่มห้องทิ้งจากนั้นก็จะมาช่วยเขาอยู่ดี
“เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมคารอส”
เรฟานอสถามย้ำ ในขณะที่คารอสคุกเข่าลงไปกับพื้นในท่าอัศวินก่อนที่จะกล่าวเสียงดังกังวานที่ทำให้ทั้งเรฟานอสและโครนอนถึงกับหลุดยิ้มออกมา
“ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของตระกูล วินด์เคอเรีย ว่าข้าจะขอสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับท่านจนกว่าชีวิตจะไม่
”
คำพูดของคารอสสร้างความพึงพอใจให้กับทุกคน แต่กลับมีคนคนหนึ่งที่แสดงท่าทีแตกต่างออกไป... ดวงตาของเรนเดลที่ยังคงถูกเวทสะกดไว้เบิกกว้างจนแทบถลนอย่างตกใจต่อสิ่งที่ได้ฟังแต่ก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้คารอสชะงักไปอย่างนึกขึ้นได้ จากนั้นก็เกิดอาการสงสารเพื่อนขึ้นมาจับใจ
อา... ในที่นี้ยังคงมีคนที่ไม่เคยรู้อะไรอยู่อีกคนสินะ...
. . .
. . .
. . .
. . .
เวลาผ่านพ้นไปจนเกือบสี่ชั่วโมงแต่เรฟก็ยังคงนอนไม่หลับ ร่างสูงนั่งชมจันทร์อยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่เดิมที่เคยมานั่งยามได้ถล่มโรงเรียนอัศวินครั้งแรก ทวงท่าการนั่งช่างแลดูผ่อนคลายแต่กลับไร้ซึ่งช่องว่าง ข้างกายเขามีง้าวด้ามงามวางพิงต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลราวกับจะบอกว่าตนพร้อมที่จะหยิบมันขึ้นมาสังหารใครก็ตามที่บังอาจเข้ามาใกล้ในยามนี้ จนทำให้เหล่านายทหารน้อยใหญ่ที่ตั้งใจจะเข้ามาถวายบังคมองค์ราชาเป็นต้องถอยทัพกลับไปเมื่อคิดได้ว่าคมมีดของง้าวเล่มนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าลิ้มลองเลยแม้แต่น้อย
ตู้ม ! ! !
อ๊ากกกกกก
เสียงระเบิดและเสียงร้องของความเจ็บปวดดังขึ้นมาจากระเบียงทางเดินไม่ไกลจากที่เรฟอยู่ ร่างสูงในอาภรณ์สูงศักดิ์ผุดลุกขึ้นก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหยิบง้าวที่กำลังส่องแสงกระพริบราวกับกำลังสนุกก่อนที่จะพุ่งตัวไปตามเสียงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเรฟานอสไม่ต่างจากเมื่อหลายพันปีก่อนเลยแม้แต่น้อย ซากศพและเลือดของทหารปีศาจเนืองนองไปทั่วทั้งพื้นที่ เรฟสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยก่อนที่จะเหลือบไปเห็นคารอสและเรนเดลที่วิ่งเข้ามาสมทบ
“ท่านเป็นอะไรหรือไม่” คารอสถามโดยที่ไม่ละสายตาไปจากเทพแห่งท้องนภาที่ยามนี้มีเรือนผมสีดำรัตติกาลและดวงตาสีแดงดั่งเลือด
“ข้าไม่เป็นอะไร”
เรฟานอสตอบเสียงเครียด มือแกร่งกระชับง้าวเล่มงามแต่กลับไม่พุ่งตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อดูท่าที เมื่อเห็นแล้วว่าสติสัมปชัญะของอีกฝ่ายไม่เหลืออยู่อีกแล้ว การเคลื่อนไหวของร่างกายเต็มไปด้วยสัญชาตญาณของปีศาจร้ายทำให้เรฟานอสไม่กล้าที่จะเสี่ยงเข้าไปหาอีกฝ่ายตรง ๆ ด้วยรู้ดีว่าไม่มีทางเอาชนะได้ง่าย ๆ
“ทำไมเจ้าชอบบังคับให้ข้าทำร้ายเจ้าอยู่เรื่อย”
เรฟขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นช่องว่างชายหนุ่มก็เข้าไปฟาดฟันโดยไม่ลังเล แต่ก็อีกตามเคย จอมมารสามารถหลบการโจมตีของเรฟานอสได้อย่างง่ายดายราวกับการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วดุจสายลมเมื่อครู่เป็นเพียงการวิ่งเล่นของเด็กน้อยก่อนที่จะเข้าประชิดตัวเรฟและฟันดาบลงมาอย่างจัง !
เรฟเมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงเบี่ยงตัวหลบทำให้สามารถรอดพ้นจากคมดาบได้อย่างหวุดหวิด แต่จอมมารก็ไม่ได้ให้เรฟได้สบายอยู่นานเมื่อร่างนั้นพุ่งเข้าประชิดตัวจนคนที่ใช้อาวุธยาวอย่างเรฟทำได้เพียงตั้งรับ แต่เมื่อเห็นจังหวะเรฟก็ใช้ความเร็วในการพลิกตัวเพื่อไปอยู่ทางด้านหลังของอีกฝ่ายในระยะห่างที่พอเหมาะและทำการตวัดง้าวลงไปบนหลังของอีกฝ่ายทันที
“เรฟ ! ! ”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาด้านหลังทำให้เรฟปลายตาไปมองเพียงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยกยิ้มขึ้นมาอย่างยินดีเมื่อเห็นร่างอันคุ้นเคยทั้งสามกำลังวิ่งเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือเพื่อมาสมทบกับเขา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ใบมีดของง้าวจรดลงไปบนแผ่นหลังของจอมมาร
ด้วยความรวดเร็ว จอมมารหันกลับมาจับที่ใบมีดโดยไม่สนใจเลือดที่รินไหลออกมาจากแผลที่โดนบาดก่อนที่จะหักมันลงอย่างง่ายดายท่ามกลางความตื่นตกใจของทุกคนไม่เว้นแม้แต่เจ้าของ
เปรี๊ยะ ! แกร๊ง! !
เศษของใบมีดกระเด็นเข้ามาเฉียดใบหน้าของเรฟานอสจนเลือดซึมออกมาบาดแผลแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
ง้าว...
หัก ?
ใจของเทพสายลมเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงเมื่อนึกถึงสภาพของใครบางคนที่มักจะคอยยั่วประสาทเข้าอยู่ตลอดเวลา
เอสตาร์ ! !
ความคิดเห็น