คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 18
บทที่ 18
เฮือก!!
ร่างหนาของชายผมแดงที่นอนนิ่งมาตลอดหลายวันสะดุ้งเฮือกผวาลุกขึ้นมาจนคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกลเผลอสะดุ้งจนหนังสือแทบหลุดมือ เซฟิรอสวางหนังสือลงกับโต๊ะใกล้ๆก่อนที่จะรีบเดินมาชนิดที่ว่าความเร็วแสงเกาะติดข้างเตียงของคนป่วยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี
“นายฟื้นแล้ว! นายหลับไปตั้งเจ็ดวัน!! รู้ไหมฉันเกือบจะคิดว่านายไม่รอดซะแล้ว”
“ปากหรอนั่น...”
พูดได้เท่านั้นเอนเดลลิออนก็ไอออกมาอย่างรุนแรงจนน่ากลัวว่าคอจะหลุดออกมา เซฟิรอสกระวีกระวาดไปหยิบน้ำมาให้ก่อนที่คนป่วยจะเอ่ยขอบคุณออกมาเบาๆและดื่มน้ำอย่างกระหาย
“คนอื่นล่ะ” เอนเดลลิออนถามขึ้นเมื่อเขามองไปรอบๆก็ไม่เห็นเพื่อนที่ควรจะอยู่ตอนนี้เลยแม้แต่เงา
“เจ้าพวกนั้นตื่นมาก็เอาแต่เหม่อไม่ได้สติสักคน เพิ่งจะดีขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ห้องของตัวเอง”
พูดไปก็ถอนหายใจไป ถึงเซฟิรอสจะไม่ได้ช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ยังเสียใจไม่น้อย แต่นั่นอาจจะไม่เท่ากับเหล่าเจ้าชายที่ถึงกับสลบไปหลายต่อหลายวันตื่นมาก็เอาแต่เหม่อลอยอย่างยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเรฟานอสต้องทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมา และเขาก็เชื่อว่าคนอื่นๆก็อยากรู้ไม่ต่างกันเพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้อย่างไรเพียงเท่านั้น
“ไปตามพวกนั้นมาให้หน่อยสิ”
“ตอนนี้เนี่ยนะ? นายน่าจะนอนต่ออีกหน่อยแล้วค่อยคุยนะ” เซฟิรอสแย้งอย่างไม่เห็นด้วย
“เรื่องด่วน” เอนเดลลิออนย้ำ “พอตามเสร็จแล้วนายก็ช่วยไปซื้อผลไม้ในตลาดหน่อย ฉันอยากกินมากเลย”
ข้ออ้าง...
ที่เอนเดลลิออนพูดนั่นคือข้ออ้างให้เขาออกไปชัดๆ
เซฟิรอสหน้าตึงขึ้นเล็กน้อยที่ถูกเพื่อนกันออกจากวงสนทนาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากเดินออกไปทำตามสิ่งที่เจ้าชายผมแดงต้องการเท่านั้น เอนเดลลิออนมองบานประตูที่ปิดสนิทลงก่อนที่จะถอนหายใจและหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เจ้าชายหนุ่มเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ทารีส และเรอาเป็นอย่างนี้คงไม่พ้นเรื่องที่เกิดขึ้นและความฝันที่เขาได้เห็นเป็นแน่ ซึ่งถ้าพวกนั้นเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกันเขา
ก็คงมีเรื่องที่ต้องคุยกันยาวหน่อยล่ะนะ..
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้คนที่นอนพักสายตายตาอยู่ลืมตาขึ้นมามองคนที่เปิดประตูเข้ามา ทารีสเดินเข้ามาเป็นคนแรกตามด้วยเรอาที่หันไปปิดประตูพร้อมกับลงมนตราเพื่อป้องกันการสอดแนม ทั้งสองเดินไปหยิบเก้าอี้และมานั่งลงข้างเตียงของเขา สีหน้าของทารีสและเรอาดูไม่สดใสนักจนเอนเดลลิออนอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้
“พวกนายไหวรึเปล่า” เอนเดลลิออนทัก
“ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับคุณเอนเดล”
เรอายังคงความสุภาพอยู่เช่นเดิมแม้เวลาจะผ่านพ้นไปหลายพันปี และเห็นท่าว่าน่าจะเปลี่ยนยากด้วย แต่จะว่าไป.. พวกเขาทั้งสามดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด คนที่เปลี่ยนก็น่าจะเป็น...
“เรฟ” เสียงนิ่งของเจ้าชายทารีสเรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง “ฉันเห็นเรฟในความฝัน และฉันก็เห็นพวกเราเมื่อตอนหลายพันปีก่อน”
โอเค.. ก็คิดอยู่ว่าจะเข้าเรื่องยังไงดี แต่ดูเหมือนทารีสจะเข้าเรื่องให้ก่อนแล้วล่ะนะ..
เอนเดลลิออนยิ้มเครียด “ฉันก็เห็น และในเวลานี้ความทรงจำของฉันทั้งหมดก็กลับมาแล้ว พวกนายเองก็เหมือนกันสินะ”
ทารีสและเรอานิ่งไป นั่นเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าความทรงจำของพวกเขาทุกคนได้กลับมาอย่างสมบูรณ์แล้วหลังจากที่เห็นภาพแบบไม่ปะติดปะต่อลอยไปลอยมาอยู่ในหัวหลายต่อหลายครั้ง
“เป้าหมายของพวกเราอยู่ที่โครนอน เราจะมาเสียเวลาอยู่อย่างนี้ไม่ได้” เอนเดลลิออนกล่าวขึ้น
“แล้วเรื่องคุณเรฟล่ะครับ” เรอาถามพลางบีบมือของตัวเองไปมาอย่างเป็นกังวล “ไม่แน่ว่าคุณเรฟอาจจะขัดขวางเราเรื่องคุณโครนอนก็ได้ พวกเขาเป็นเพื่อนรักกันนะครับ”
“แล้วพวกเราไม่ใช่เพื่อนของเจ้านั่นรึไง” เอนเดลลิออนเถียงทันควัน “ถ้าเรฟจะขัดขวางเราคงไม่เตือนเราก่อนที่โครนอนจะตื่นหรอก”
“แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประกันได้ว่าเรฟจะไม่เกิดเปลี่ยนใจและเปลี่ยนฝั่งขึ้นมา” ทารีสสวนขึ้นนิ่งๆ
“แต่ถ้าเรฟเกิดอยากจะเปลี่ยนฝั่งขึ้นมานั่นก็ไม่ผิดอยู่ดี ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือพวกเรา พอเรฟจะช่วยพวกเราก็ดันมาความจำเสื่อมและปล่อยให้เรฟต้องเหนื่อยเพียงลำพัง ถ้าจะแก้.. ก็คงต้องมาแก้ที่พวกเราก่อน”
เอนเดลลิออนสบตากับทารีสอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่เจ้าชายจากราเวนเทียร์จะเป็นฝ่ายหลบสายตาและถอนหายใจเฮือกอย่างยอมแพ้
“ใช่ พวกเราผิด และสิ่งที่พวกเราต้องการรู้คือสิ่งที่เรฟทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร”
“ถ้าอยากรู้ ก็ไปถามสิครับ”
“กวนใช่ไหม..”
เอนเดลลิออนหันไปแยกเขี้ยวใส่เรอาที่แม้จะดูสุภาพแต่ก็แฝงความกวนประสาทเอาไว้ไม่น้อย
“แต่ก่อนที่เราจะไปถามเรฟในเรื่องที่เกิดขึ้น เราต้องมาหาคำตอบก่อนว่าในเมื่อพี่คารอสเป็นองครักษ์ของเรฟ แล้วอย่างนั้น เซฟิรอสล่ะเป็นใคร”
“พี่คารอสเป็นองครักษ์ของเรฟ?” ทารีสและเรอาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ท่าทีมึนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวทำให้เอนเดลลิออนรู้สึกถึงเรื่องปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ
“ใช่ พี่คารอสเป็นคนของวินด์เคอเรีย อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าตระกูลนี้มีบุตรเพียงคนเดียว ถ้าหากคนคนนั้นคือพี่คารอส แล้วเซฟิรอสล่ะเป็นใคร.. ” เอนเดลลิออนเว้นจังหวะหายใจก่อนจะพูดต่อ
“และสิ่งที่ฉันพูดขึ้นคือสิ่งที่พวกนายน่าจะเห็นเพราะฉันเห็นมันหลังจากที่ภาพของเมื่อพันปีก่อนจบลง ฉันเห็นเรฟตอนอายุเจ็ดขวบ ฉันเห็นแผนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันทำให้ฉันรู้ว่าเรฟเริ่มเดินหมากมาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว และพวกนายควรจะได้เห็นมันเหมือนกันฉัน”
เอนเดลลิออนหรี่ตาลงอย่างไม่อยากเชื่อ “หรือว่าพวกนายไม่เห็นเรื่องนั้น?”
เรอาส่ายหน้าในขณะที่ทารีสเองก็นิ่งไปเหมือนกันไม่เคยรับรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนทำให้เอนเดลลิออนรู้สึกเค้าลางของความวุ่นวายขึ้นมา ในใจนึกอยากจะสมนาคุณให้คนเจ้าปัญหาที่จะกำลังนอนสบายอยู่ในวังปีศาจที่สร้างเรื่องให้พวกเขาปวดหัวกันไปหมด
จะทำอะไรก็อย่าให้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากจะได้ไหมไอ้สายลมนี่! คนคิดมันปวดหัว!!
แต่ถึงจะบ่นอยู่ในใจ ปากของเอนเดลลิออนก็เริ่มต้นอธิบายสิ่งที่เห็นได้อย่างไม่มีตกมีหล่นโดยละเว้นเรื่องที่เขาต้องว่ายน้ำป๋อมแป๋มเพื่อไปยังบ้านกลางบ่อน้ำ ในขณะที่เจ้าชายแห่งดินแดนอัคคีเล่าไปก็พลางสังเกตใบหน้าของเพื่อนทั้งสองไปด้วย เรอามีใบหน้าที่เรียกได้ว่าตื่นตะลึงและสยดสยองอย่างเห็นได้ชัดกับความร้ายของคนที่ไม่น่าจะเชื่อว่าเป็นเพียงเด็กอายุเจ็ดปี แต่ด้านของทารีสนั้นกลับนิ่งสงบราวกับสายน้ำ แต่กระนั้น แววตาคู่สวยก็ยังคงมีประกายแห่งความชื่นชมกับความกล้าหาญของเจ้าชายแห่งเวนเดลล่า
หลังจากที่เล่าเรื่องทุกอย่างจบ เอนเดลลิออนก็เป็นอันต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบอีกรอบเพราะการพูดมากๆทำให้คนป่วยเพิ่งฟื้นอย่างเขารู้สึกคอแห้งไม่น้อย
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกนายฟังเรื่องทุกอย่างจบแล้ว พวกนายจะทำยังไงต่อไป"
เอนเดลลิออนถามขณะที่มือก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง
“จะให้ไปถามเซฟิรอสตรงๆว่าเจ้านั่นเป็นใครก็คงไม่ได้ ฉันว่ามันน่าจะมีอยู่ทางเดียวก็คือไปถามจากคนที่รู้เรื่องทั้งหมด”
ทารีสว่าพลางกระตุกยิ้ม
“ถ้าเอนเดลลิออนหายดีเมื่อไหร่ เราจะไปหาเรฟที่วังปีศาจด้วยกัน”
.......................................................................40%.............................................................................
ภายในพระราชวังแห่งแดนปีศาจ มีร่างของบุรุษผู้หนึ่งเดินไปมาภายในห้องพระโรงด้วยสีหน้ากระวนกระวายโดยมีชายอีกสองคนที่ดูท่าว่าน่าจะเป็นเพื่อนกันมองคนที่กำลังเดินอยู่ด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายระคนปวดหัวอย่างหนัก ชายผู้มีนัยน์ตาสีรัตติกาลมองผู้เป็นนายเดินไปยังท้องพระโรงอีกฝั่ง เมื่อสุดทางเดินก็หมุนตัวกลับไปอีกทางจนบัดนี้แทบจะเดินทั่วทั้งห้องอยู่แล้วก่อนที่จะอดรนทนไม่ไหวทักขึ้น
“ท่านจะช่วยนั่งรออยู่บนบัลลังก์นิ่ง ๆ อย่างที่ราชาปีศาจพึงจะเป็นได้หรือไม่ ท่านเรฟานอส เวดีเอล่า”
ชื่อและนามสกุลเต็มยศบ่งบอกว่าคนพูดนั้นทนไม่ไหวจริง ๆ กับการมองคนคนหนึ่งเดินไปมาซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สร้างความปวดหัวให้กับเขาไม่น้อย
เรฟานอสหยุดกึกและเดินกลับไปนั่งบนบัลลังก์อย่างว่าง่ายแล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความกังวล
“นี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วนะคารอส ทำไมเจ้าพวกนั้นยังไม่มาที่นี่อีก เราอุตส่าห์จับตัวพี่เรนเดลกลับมาด้วยแล้วนะ หรือว่าพวกนั้นคิดจะปล่อยหางพี่เรนเดลแล้ว... ไม่สิ เจ้าพวกนั้นไม่ใช่คนแบบนั้น หรือว่าจะมีใครที่ทนบาดแผลไม่ไหวจนเสียชีวิตรึเปล่า อย่างเรอา.. เจ้าก็ฟันไปแบบไม่มองเลยไม่ใช่หรอ ยิ่งเอนเดลลิออนอีก ข้าก็ฟันไปแบบไม่ยั้งดาบเลยด้วย ตาย ๆ ๆ ๆ ๆ หรือว่าเจ้าพวกนั้นจะตายไปแล้ว...”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนกับเป็นการแช่งเหล่าคนที่กำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงเรียนไปกันใหญ่ ทำให้คารอสและคนที่ถูกบอกว่าโดนจับตัวมารีบออกตัวเบรกคนคิดมากแทบไม่ทัน
“พอ.. เรฟ.. พอ ยิ่งเจ้าพูดก็ยิ่งเหมือนกับเป็นการแช่งเจ้าพวกนั้นให้ตายเลยนะ”
เรนเดลขยับยิ้มปลอบโลมคนที่กำลังคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าเพื่อนจะเป็นดีเป็นร้ายอย่างไรทั้งที่เรื่องทั้งหมดเจ้าตัวเป็นคนก่อขึ้นเองแท้ ๆ
“หม่อมฉันเคยดวลดาบกับเหล่าเจ้าชายทุกคน ทั้งสามพระองค์มีความสามารถมาก ไม่สิ้นพระชนม์ด้วยดาบเพียงดาบเดียวหรอกพะยะค่ะ”
ถึงจะสงสัยกับคำพูดคารอสว่าแอบไปดวลดาบกับเพื่อนของตนตอนไหนแต่เรฟานอสก็ไม่ได้ติดใจถามอะไร ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจแต่คิ้วยังคงขมวดมุ่นแบบที่คารอสคิดว่าคงไม่เข้าใจแน่ ๆ ท่านรองหัวหน้าหน่วยพิเศษจึงปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเพื่อเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
“ท่าเรฟานอส ท่านก็น่าจะเข้าใจดีไม่ใช่หรอว่าเหล่าสหายของท่านนั้นเก่งกล้าเพียงใด”
เมื่อได้ฟังตรงนี้เรฟานอสก็นิ่งไป.. ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ เขารู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่าเพื่อนของตนนั้นมีฝีมือร้ายกาจแม้จะยังคงอยู่ในร่างของเด็กมนุษย์ที่ยังไม่มีความทรงจำ แต่อำนาจของง้าวดาราก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะประมาท ง้าวนั้นสามารถหยุดบุคคลที่เป็นถึงจอมมารได้ แล้วเหตุใดง้าวนั้นจะปลิดชีพมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณแห่งเทพไม่ได้เล่า...
“ข้าเข้าใจดี คารอส และข้าหวังว่าหลังจากที่ข้าลงมือจนทุกคนทุกคนบาดเจ็บสาหัส เวทกระตุ้นความทรงจำที่ข้าแอบร่ายใส่เข้าไปมันจะสามารถทำให้เพื่อนของข้ากลับมาเป็นอย่างเดิมได้”
“เวทกระตุ้นความทรงจำ?” เรนเดลทวนขึ้นเบา ๆ
เรฟานอสหันไปคลี่ยิ้มบางให้รุ่นพี่หนุ่มก่อนที่จะกล่าวเสียงใสที่ฟังยังไงก็ดัดจริตชัด ๆ “ครับ ข้าร่ายเวทกระตุ้นความทรงจำใส่พวกเจ้าชายก่อนที่ข้าจะกลับมา” ว่าพร้อมยิ้มกว้างขึ้น
“ความคิดดีเลยใช่ไหม ข้าได้ยินมาว่าเวลาที่มนุษย์บาดเจ็บสาหัสใกล้จะตาย สมองจะสั่งการให้เราเห็นภาพในสมัยอดีตที่ทั้งดีและไม่ดีขึ้นมา ข้าก็แค่ร่ายเวทที่เพิ่งคิดค้นขึ้นไปกระตุ้นอีกนิดหน่อย คาดว่าถ้าเจ้าพวกนั้นมาที่นี่ก็คงจะมีความทรงสำสมัยที่ยังเป็นเทพอยู่ไม่มากก็น้อย เวลานั้นเราคงจะคุยกันได้ง่ายขึ้น”
กริบ
เงียบกริบ...
ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของสองเพื่อนรักเลยแม้แต่น้อย ในเวลานี้สมองของทั้งคู่กำลังประมวลผลกับคำพูดของเจ้านายและรุ่นน้องอย่างระเอียดถี่ยิบ เมื่อรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติในคำพูดที่เรฟเอ่ยขึ้น เรนเดลก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทวนขึ้นมาอีกรอบ
“เจ้าเพิ่งจะพูดคำว่า ได้ยินมาว่า , เวทที่คิดค้นขึ้น กับ คาดว่า อย่างนั้นหรือ”
ราชาปีศาจเรฟานอส หันไปทางรุ่นพี่หนุ่มด้วยรอยยิ้มสว่างไสว เพื่อเป็นการยืนยันความคิดก็อีกฝ่าย “ใช่แล้วครับ ข้าเพิ่งจะบอกว่า ได้ยินมาว่า, เวทที่คิดค้นขึ้น และ คาดว่า จริง ๆ นั่นแหละ”
เรนเดลถอยหายใจเฮือกกับคำอธิบายของรุ่นน้องผู้สูงศักดิ์
ตำราเล่มไหนหนอ.. ที่บันทึกเอาไว้ว่าเทพสายลมผู้รักอิสระเป็นเทพที่เจ้าเล่ห์ ช่างวางแผน
เขาเพิ่งจะรับรู้ได้เดี๋ยวนี้เองว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการคาดเดามั่ว ๆ และบังเอิญถูกต้องของเทพสายลมนี่เอง ! !
“แล้วเจ้ารู้จะได้อย่างไรว่าวิธีการพวกนี้จะใช้ได้” เรนเดลถามขึ้นอีก
เรฟานอสยักไหล่ “ข้าไม่รู้หรอกว่าจะใช้ได้รึเปล่า แต่ในเมื่อลองทุกวิธีทางแล้วไม่ได้ผล การที่เราจะลองเสี่ยงดูสักตั้งก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร”
ใครว่าไม่เสียหาย คนที่เสียหายเต็มๆก็คือคนที่โดนดาบฟันฉับจนเฉียดตายนี่แหละ
เรนเดลและคารอสแย้งคำพูดของรุ่นน้องในใจแต่ไม่คิดที่จะพูดออกมาให้เสี่ยงต่อการโดนฟันฉับแบบคนอื่นเล่น ทั้งสองกรอกตาไปมาอย่างไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยายความคิดที่ช่างกล้าบ้าบิ่นของท่านผู้นี้ดี
“งั้นหม่อมฉันขอถามคำถามสุดท้ายนะฝ่าบาท” คราวนี้เป็นคารอสที่ถามขึ้น
“ว่ามาสิ”
“พระองค์ไปได้ยินวิธีนี้มาจากที่ใดหรือฝ่าบาท”
เรฟานอสชะงักกึก ชายหนุ่มทำท่าอึกอักไม่อยากจะเล่าจนคารอสต้องเอ่ยเร่งขึ้น แต่ถึงจะทั้งเร่งทั้งคาดคั้นยังไงเทพสายลมผู้นี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปิดปากพูดออกมาเลยสักนิดจนผู้ตั้งคำถามรู้สึกตงิดใจเล็กน้อยกับท่าทีของนายเหนือหัว
คารอสหรี่ตาลงอย่างจับผิดก่อนที่จะกล่าวในสิ่งที่ตนสันนิฐานออกมา
“หรือว่า... พระองค์แอบหนีออกนอกวังไปสืบหาโดยที่หม่อมฉันไม่รู้หรือฝ่าบาท”
คนหนีออกนอกวังสะดุ้งโหยง โบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่ใช่ ๆ เรื่องนั้นข้ารู้ตอนที่ข้าออกเดินทางมาจนพบว่าเซนอนความจำเสื่อมแล้ว ไม่ได้รู้ตอนก่อนเดินทางนะ เจ้าก็อยู่กับข้าตลอดไม่ใช่หรือ”
เรฟาไม่ได้พูดโกหก เรื่องที่เขาได้ยินมาเป็นสิ่งที่เขาได้ยินหลังจากที่ออกเดินทางแล้ว เพียงแต่เรื่องที่ว่าเขาไปได้ยินวิธีกระตุ้นความทรงจำนี้มาจากที่ใดจะเป็นสิ่งที่แพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด
ถ้าเขายังไม่อยากถูกผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองกักบริเวณน่ะนะ...
“แล้วพระองค์ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใดเล่า ท่านเรฟานอส”
ได้โปรด อย่าคาดคั้นแบบนั้นได้ไหม..
ถึงจะเป็นเทพ แต่น้ำเสียงและท่าทางแบบนั้นก็ทำเอาเขาแอบหวั่นเหมือนกันนะ..
“เรื่องนั้น.. ข้า..”
ตู้ม ! ! !
“เสียงอะไรน่ะ!” เรฟานอสตะโกนก้อง ผุดลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วมองไปทางประตูท้องพระโรงด้วยความตื่นตระหนกแต่แววตาสีแดงประกายทองกลับเต็มไปด้วยความยินดี
คารอสชักอาวุธขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วจับจ้องไปยังประตูที่มีเสียงระเบิดและเสียงเอะอะโวยวายดังเข้ามาเป็นระยะ นัยน์ตาสีรัตติกาลปรายตาไปมองเพื่อนสนิทเป็นเชิงให้อีกฝ่ายไปคุ้มครองคนที่อยู่บนบัลลังก์ซึ่งเรนเดลก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปีศาจชั้นสูงในเครื่องแบบของทหารชั้นผู้ใหญ่วิ่งเข้ามาทางประตูอีกบานนับสิบตน เข้ามายืนเรียงหน้ากระดานเบื้องหน้านายเหนือหัวราวกับปราการชั้นดีที่พร้อมจะสังหารสัตตรูที่บังอาจเข้ามาท้าทายอำนาจของราชาปีศาจทุกเมื่อ
เสียงระเบิดและเสียงอาวุธปะทะกันดังขึ้นสักพักก่อนที่จะดับลงไปเสียดื้อๆ ฝ่ายผู้ที่รอตั้งรับอยู่ด้านในอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงเหล่าทหารปีศาจที่คอยอารักษ์ขาอยู่ด้านนอกว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะยังอยู่ดีหรือเป็นศพไปแล้วหรือไม่ ได้แต่รอว่าจะมีใครสักตนที่เดินเข้ามารายงานความเสียหายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่ก็เงียบ
ความเงียบอาจจะเป็นสิ่งที่ดีหากไม่ใช่ในกรณีเช่นนี้ ไม่ใช่ในกรณีที่มีผู้บุกรุกและและเหล่าทหารก็เงียบหายไป ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้มาใหม่เป็นคนที่มีฝีมือร้ายกาจและน่าหวาดหวั่นเพียงใด
กึก กึก กึก กึก
เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นหินอ่อนของปราสาทดังใกล้เข้ามาทุกที เหล่าทหารชั้นสูงบางตนถึงกับกลั้นหายใจรออย่างลุ้นระทึก ไม่ต่างกับเรฟานอส เรนเดล และคารอสที่นิ่งไปอย่างไม่แน่ใจว่าบุคคลที่อยู่ภายนอกนั่นจะใช่คนที่พวกเขารอคอยหรือไม่
กึก กึก แอ๊ดดด
ประตูบานใหญ่ค่อย ๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้าจนคนที่รออยู่อดไม่ได้ที่จะกระชับดาบไว้แน่นราวกับเกรงว่ามันจะหลุดออกจากมือการที่จะใช้ได้มัน กระแสแห่งความกดดันที่แผ่ออกมาจากเหล่าบุคคลที่อยู่ในท้องพระโรงเพิ่มระดับขึ้นตามบานประตูที่กำลังเปิดอ้าออกมาขึ้นทุกที
แสงสว่างจ้าจนแสบตาลอดเข้ามาทางประตูจนเรฟานอสต้องหยีตาลงเล็กน้อย เงาดำตะคุ่มภายใต้แสงอันเจิดจ้าที่ดูเหมือนบุรุษปรากฏขึ้นจนทำให้เหล่าทหารและสองเพื่อนสนิทขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
คนเดียว?
ถึงทุกคนจะมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ทั้งแปลกใจ สงสัย และกดดัน แต่กลับมีเรฟานอสเพียงคนเดียวที่เบิกตากว้าง ชะงักค้างอย่างตื่นตะลึง ผิดกับแขกไม่ได้รับเชิญที่กำลังฉีกยิ้มร่าพร้อมเอ่ยทักอย่างสดใส
“ไง เอรอน ไม่เจอกันในร่างนี้มานานคิดถึงเพื่อนคนนี้รึเปล่า!” อีกฝ่ายพูดขึ้นก่อนที่จะทำหน้าเสียดาย “อา... ก็อยากจะทักแบบนี้อยู่หรอกนะ แต่ข้าอยากจะพูดคำอื่นมากกว่า..”
นี่.. นี่มัน..
“ไอ้ทหารของเจ้านี่อ่อนเป็นบ้าเลย ไปฝึกทหารใหม่ด้วยนะไอ้เพื่อนรัก!
! ! ! !
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขออภัยกับอาการติดเกมเข้าขั้นโคม่าของไรต์ด้วยนะคะ
ใครที่เคยเล่นเกมจำพวกสร้างเมืองจะรู้ดีว่ามันติดลมขนาดไหน 555555
เอาล่ะค่ะ มาทายกันหน่อยสิคะว่าใครโผล่มา ฮุฮุ
แล้วพบกับเฉลยในตอนหน้านะค๊าาา
ความคิดเห็น