ลำดับตอนที่ #17
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 16
บทที่ 16
ตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน?
นี่คือสิ่งที่เอนเดลลิออนย้ำถามกับตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ปราสาทสีขาวหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าของเขา รอบด้านเต็มไปด้วยเหล่าพฤกษาหลากหลายสายพันธุ์บ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าของปราสาทได้เป็นอย่างดี แม้เขาจะไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ แต่ภายในใจลึกๆของเขากลับเรียกร้องและคิดถึงมันได้อย่างน่าใจหาย
เอนเดลลิออนเดินผ่านประตูที่ถูกเปิดรอไว้อยู่แล้ว จากนั้นจึงเดินเข้าไปสำรวจปราสาทหลังใหญ่นี้อย่างไม่ลังเล แต่จังหวะที่เขากำลังจะเดินผ่านประตูของห้องห้องหนึ่ง เขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินบทสนทนาที่ดังออกมาจากข้างใน
“เจ้าเอรอนนัดเรามาแต่หายหัวไปไหนก็ไม่รู้” เสียงหนึ่งบ่นขึ้นอย่างหัวเสีย
“ใจเย็นๆสิครับคุณเซนอน คุณเอรอนบอกว่าจะไปรับเพื่อน เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะครับ” อีกเสียงหนึ่งแก้ต่างให้คนถูกพาดพิง
“พวกเจ้าจะนั่งรอเงียบๆได้ไหม”
และเสียงที่คุ้นเคยอีกเสียงก็สัมทับขึ้นอย่างนิ่งเรียบ เอนเดลลิออนรู้จักเสียงทั้งสามเสียงนี้ดี ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกสับสนได้ไม่ยาก เขาจำได้ว่าเสียงเหล่านั้นคือเสียงของเขา เรอา และทารีสอย่าไม่ต้องสงสัย แต่ชื่อที่เอ่ยออกมาทำให้เอนเดลลิออนไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่
เสียงก็เสียงของเขา แต่ทำไมชื่อที่เอ่ยออกมาถึงได้เป็นชื่อของมหาเทพผู้ก่อตั้งอาณาจักรได้ล่ะ
“ถ้าเจ้านั่นไม่มาภายในห้านาทีข้าจะกลับแล้วนะ” เสียงของคนที่ถูกเรียกว่า ‘เซนอน’ ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ลดความหงุดหงิดลงไปมากคาดว่าน่าจะเกรงใจคนที่เอ่ยปรามเมื่อครู่ไม่น้อย
“หึหึ ดูท่าคนด้านในจะหงุดหงิดน่าดูเลยเนอะ โครนอน”
เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้เอนเดลลิออนหันไปมองอย่างตกใจ แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเขาเห็นเรฟานอสยืนคู่กับใครบางคนที่เขารู้จักดี แต่น่าแปลกที่ทั้งสองทำราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นเขาเสียด้วยซ้ำ
“ก็เจ้ามัวแต่พาข้าเดินชมปราสาทจนลืมเพื่อนที่รออยู่น่ะสิ” คนที่ยืนอยู่ด้านข้างเรฟานอสส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับการกวนประสาทเล็กๆของเทพแห่งสายลม “แล้วไอ้เสียงหัวเราะนั่นน่ะข้าขอซื้อได้ไหม พอเจ้าหัวเราะพร้อมกับยิ้มแบบนั้นแล้วมันสยองพิกล”
คนโดนขอซื้อเสียงหัวเราะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มบางแต่ดวงตากลับไม่ได้ยิ้มตามเลยแม้แต่น้อยทำให้เอนเดลลิออนและชายที่ยืนอยู่ข้างๆรู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน
รอยยิ้มทำให้คนอื่นสายใจแต่ดวงตากลับนิ่งสงบไร้ซึ่งอารมณ์สิ้นดี เอนเดลลิออนพิจารณาใบหน้าคมคายของคนที่มีใบหน้าเหมือนเพื่อนของเขาราวกับแกะแล้วก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า ชายคนนี้ถึงจะมีใบหน้าที่คล้ายกับเรฟานอสขนาดไหนแต่ดวงตากลับไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยดวงตาของเรฟานอสก็เปล่งประกายมีชีวิตชีวาตลอดเวลา...ล่ะมั๊งนะ
“แล้วเจ้ามายุ่งอะไรกับเสียงหัวเราะข้าล่ะโครนอน” ชายผู้มีใบหน้าเหมือนกับเรฟานอสราวกับแกะปรายตามองคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ เข้าไปกันเถอะ ก่อนที่เจ้าเซนอนจะกลับปราสาทอัคคีจริงๆ”
ร่างสูงเปิดประตูเข้าไป เผยให้เห็นถึงบุรุษทั้งสามที่สวมอาภรณ์ราวกับชนชั้นสูงไม่ต่างจากสองคนที่กำลังจะเข้าไปสมทบเท่าไหร่นัก เอนเดลลิออนที่เดินตามเข้าไปอย่างเนียนๆเมื่อรับรู้ว่าคนทั้งหมดไม่มีทางเห็นเขาก็ถึงกับตลึงอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของคนทั้งหมด
นี่มันเขา เรอา และทารีสไม่ใช่หรอ!?
“มาจนได้นะ เจ้าสายลมจอมเถลไถล” ‘เขาอีกคน’ หันมาค้อนเรฟานอสก่อนที่จะเลิกคิ้วยามเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนเดินตามเทพสายลมเข้ามาในห้อง “นี่หรอ เพื่อนใหม่ที่เจ้าว่า”
ไม่ใช่เพียงแค่คนพูดเท่านั้นที่พิจารณาผู้มาใหม่ แต่ชายอีกสองคนต่างก็ใช้สายตาสำรวจเพื่อนใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสามมองคนที่อยู่ด้านข้างของเรฟานอสจนพอใจแล้ว ชายหนุ่มจึงผายมือไปทางโครนอนแล้วแนะนำให้เพื่อนทั้งสามรู้จัก
“นี่คือโครนอน คาเรนีตาร์ เทพแห่งท้องนภา”
“มหาเทพผู้ปกครองน่านฟ้า?” คนที่มีใบหน้าเหมือนกับทารีสพึมพำอย่างแผ่วเบา เรฟานอสไม่สนใจท่าทีที่ตื่นเต้นของเทพอัคคี ความกระตือรือร้นที่อยากจะรู้จักของเทพพสุธา และใบหน้าที่นิ่งสงบของเทพแห่งสายน้ำ ชายหนุ่มหันกลับไปหาโครนอนและแนะนำเพื่อนของตนให้อีกฝ่ายบ้าง
“คนผมน้ำเงินชื่อโรฟอน ราเวนีเซีย เป็นเทพวารี คนผมแดงชื่อเซนอน โรซาแลนซ์ เป็นเทพอัคคี ส่วนคนผมน้ำตาลท่าทางสุภาพนั่นชื่อไอออน เดโรนิการ์ เป็นเทพพสุธา”
เรฟานอสแนะนำชายทั้งสามที่กำลังส่งยิ้มทักทายให้เพื่อนใหม่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระแอมเบาๆแล้วแนะนำตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย
“ส่วนข้าชื่อเอรอน เวดีเอล่า เป็นเทพวาโย ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ของพวกเรา”
ท้ายประโยค เอรอนยื่นมือออกมาค้างไว้เพื่อรออีกฝ่ายมาจับทักทายตามทำเนียม เทพแห่งท้องนภายิ้มขำกับการเอาจริงเอาจังของเทพผู้ปกครองสายลมตรงหน้าก่อนที่จะยื่นมือไปจับตอบเพื่อทักทายเช่นเดียวกัน
“ข้าโครนอน ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้านะ”
แต่แล้วภาพทุกอย่างก็ดับมืดลง เอนเดลลิออนหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนกก่อนที่เขาจะรูสึกเหมือนกำลังโดนดูดเข้าไปในหลุมอากาศ ก่อนที่เขาจะหลุดเข้ามายังห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรา บริเวณกลางห้องมีชายหนุ่มทั้งสี่คนกำลังนั่งประชุมกันโดยมีโต๊ะยาวขั้นไว้ตรงกลางอย่างเคร่งเครียด
ปัง!
“ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด!”
เอรอนตบโต๊ะแล้วตะโกนเสียงกร้าว เทพสายลมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้กวาดสายตามองไปยังเทพเซนอน โรฟอน และไอออนด้วยแววตาวาวโรจ
“ข้าไม่เชื่อ! โครนอนไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่มีทางทำเรื่องร้ายแรงอย่างการบูชายันต์หรอก!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เอนเดลลิออนได้เห็นใบหน้ายามโกรธของเรฟ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกว่าใบหน้ายิ้มแย้มแต่มีเลศนัยของเพื่อนสนิทดูดีกว่าใบหน้ายามโกรธเกรี้ยวของท่านเทพเอรอนหลายเท่าตัว ยิ่งเมื่อเทพองค์นั้นมีไอทะมึนแผ่ออกมาจากร่างด้วยแล้วยิ่งทำให้บรรยากาศที่เคร่งเครียดนั้นยิ่งแย่ลงไปอีก
“แต่เรื่องนี้เป็นความจริง” เทพโรฟอนกล่าวเสียงเรียบ “เทพโครนอนพยายามที่จะสังหารมนุษย์เพื่อนำมาบูชายันต์ให้ตัวเอง ทั้งข้าและไอออนเห็นมากับตา”
ใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเทพไอออนเป็นสิ่งที่ยืนยันคำพูดของเทพแห่งสายน้ำเป็นอย่างดี เอรอนขบกรามแน่น ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจก่อนที่จะหันไปหาเทพเซนอนที่นิ่งเงียบมาตลอด
“เซนอน เจ้าเห็นกับตารึเปล่า”
“ตอนนั้นข้าเห็นเพียงแค่ร่างที่ไร้วิญญาณของชาวมนุษย์และเทพโครนอนที่เต็มไปด้วยเลือดเพียงเท่านั้น” เทพเซนอนตอบตามความจริง นัยน์ตาสีทองประกายของเขาหม่นหมองราวกับเพิ่งเจอเรื่องที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก
เทพเอรอนยิ้มเยาะ “เห็นไหม เซนอนก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ แล้วจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไร”
“แต่..ตอนนั้น ทั้งข้าและโรฟอนอยู่ในเหตุการณ์นะครับคุณเอรอน” เทพไอออนพยายามฉีกยิ้มหวานเพื่อให้อีกคนคลายอารมณ์ร้อนลง แต่ดูเหมือนว่าการกระทำนั้นจะยิ่งทำให้เทพเอรอนรู้สึกโกรธขึ้นกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เอนเดลลิออนเหมือนจะเห็นประกายแห่งความผิดหวังเจืออยู่ในดวงตาคู่สวยนั้นด้วย
“จะไม่ให้พวกเจ้าอยู่ในสถานการณ์ได้อย่างไรเล่าไอออน...” เทพเอรอนแสยะยิ้ม “ก็เพราะพวกเจ้าไม่ใช่หรือที่บีบบังคับให้โครนอนต้องทำอย่างนั้น”
เทพเอรอนว่าพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน ร่างสูงแค่นหัวเราะออกมาก่อนที่ใบหน้าคมคายนั้นจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเรียบสนิทราวกับไร้ซึ่งพลังแห่งชีวิต
“คุณเอรอน! อย่าบอกนะว่าคุณอยู่...” เทพแห่งพสุธานิ่งค้างไม่ต่างกับโรฟอนที่ชะงักไปเช่นเดียวกัน
“ใช่ ข้าอยู่ในเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ข้าแค่อยากลองใจพวกเจ้าว่าจะพูดกับข้าอย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าจะบอกให้ข้าสังหารเขา”
เทพเอรอนมองทุกคนด้วยใบหน้านิ่งสนิทเสียจนคนมองอย่างเอนเดลลิออนรู้สึกหนาวสันหลังวาบ
“แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...พวกเจ้าน่ะ... เลวทรามเสียยิ่งกว่าปีศาจ!!”
------------------------------------------------------------- 50%-----------------------------------------------------------
ในตอนนี้เอนเดลลิออนรู้สึกสับสน เขาไม่รู้จะเชื่ออะไรดีระหว่างหน้าประวัติศาสตร์ที่ได้รับรู้มาตลอด 17 ปีที่ผ่านมา หรือภาพเหตุการณ์ตรงหน้าที่กำลังฉายให้เขาเห็นราวกับเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการนั้น แต่ภายในใจลึกๆเจ้าชายหนุ่มกลับรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี คุ้นเคยกับท่านเทพที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ถ้ามีใครมาบอกว่าในอดีตเอนเดลลิออนเคยเป็นเทพเซนอนที่กำลังตีหน้าหม่นหมองอยู่ตรงนี้ก็คงเชื่อสนิทใจ
และเป็นอีกครั้ง ที่ภาพตรงหน้าของเอนเดลลิออนได้เปลี่ยนแปลงไป จากที่อยู่ในห้องประชุมก็กลายเป็นห้องนั่งเล่นภายในปราสาทแห่งหนึ่ง พลันสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับร่างสูงของบุรุษทั้งสองที่กำลังโต้เถียงกันเสียงดังโวยวาย ไม่สิ..ถ้าให้ถูกคงจะเป็นการโวยวายอยู่ฝ่ายเดียวของเทพแห่งสายลมมากกว่า
“หึ เจ้าจะให้ข้าเชื่อหรือว่าเจ้ากำลังจะกลายเป็นจอมมาร” เทพเอรอนมองตรงไปยังเทพโครนอนที่กำลังเผยสีหน้ากลัดกลุ้มอย่างไม่คิดที่จะปิดบัง “ถึงข้าจะไม่พอใจที่เจ้าพวกนั้นพยายามที่จะบังคับให้เจ้าทำผิดกฎสวรรค์เพื่อลดทอนอำนาจที่มากเกินไปของเจ้า แต่ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อว่าสาเหตุนั้นจะทำให้เจ้ากลายเป็นจอมมารได้”
เทพโครนอนส่ายหน้า “เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าใครว่านิมิตแห่งเทพไม่เคยโกหกท้องนภา และข้าก็ไม่คิดว่าการบีบบังคับให้ข้าทำผิดกฎสวรรค์จะทำให้ข้ากลายเป็นจอมมารไม่ได้หรอกนะ เอรอน”
เทพโครนอนว่าก่อนที่จะกล่าวเสริม
“และในเวลานี้ พลังมืดค่อยๆซึมซับเข้ามาภายในร่างกายของข้าเรื่อยๆตั้งแต่ที่ข้าปล่อยให้ความเกลียดชังต่อเหล่าเทพเข้ามากัดกินภายในจิตใจ และข้าคงจะกลายเป็นจอมมารภายในเวลาไม่ช้า”
“เจ้า... หมายความว่ายังไงนะ” เอรอนมองไปยังคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หมายความว่า เหตุการณ์ในวันนั้นมันทำให้สายสัมพันธ์ของข้าและพวกเขาสิ้นสุดลงแล้วน่ะสิ ข้าเกลียดพวกเขาซะแล้วล่ะ” โครนอนเหยียดยิ้ม “คนที่ทำแบบนี้ได้ เขาไม่เรียกว่าเพื่อนหรอกนะ”
คำพูดของเทพโครนอนทำให้เอรอนชะงักไป เช่นเดียวกับเอนเดลลิออน ชายหนุ่มเชื่อว่าถ้าเขาเป็นเทพโครนอนและโดนเพื่อนที่ไว้ใจหักหลังอย่างนี้เขาก็คงจะเกลียดชังเช่นเดียวกัน
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเทพโครนอนถึงได้เกลียดชังชาวสรรค์ขนาดนั้น..
“อย่าลืมสิโครนอน เจ้ายังมีข้าที่พร้อมจะเป็นเพื่อนตายของเจ้า”
เอรอนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งนั่นก็ทำให้เทพโครนอนคลี่ยิ้มบางออกมา “ใช่แล้วเอรอน เพราะเจ้าเป็นเพื่อนตายของข้า ข้าถึงได้มาอยู่ที่นี่เพื่อเตือนเจ้า"
“เตือน?” เทพแห่งสายลมทำหน้าฉงน
“เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เจ้าเกลียดชังชาวสวรรค์ไม่ต่างจากข้า”
เอรอนเบิกตากว้างทำท่านจะพูดอะไรออกมา แต่โครนอนกลับยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดต่อ “แต่เพราะเจ้าผูกพันกับพวกเขา ผูกพันกับชาวสวรรค์และมหาเทพทั้งสามที่เป็นเพื่อนของเจ้า ทำให้เจ้าเกิดการสับสนจนเกิดอาการเกลียดแต่ตัดไม่ขาด”
เทพแห่งท้องนภาวาดมือเป็นวงกลมบนอากาศ ก่อนที่จะมีง้าวเล่มงามปรากฏขึ้นใบมือแกร่งคู่นี้ โครนอนมองง้าวที่อยู่ในมือนิ่วราวกับกำลังจดจำทุกรายละเอียดของมันก่อนที่จะส่งให้กับเอรอนที่ยื่นมือมารับไว้อย่างมึนงง
“ง้าวดารานี่...”
“ข้าอยากให้เจ้าเก็บมันไว้” โครนอนชิงพูดขึ้นก่อน “ข้าเชื่อว่ายามใดที่ข้ากลายเป็นจอมมารและเกิดคลั่งขึ้นมา ง้าวเล่มนี้จะสามารถหยุดข้าได้”
หยุด ไม่ใช่ สังหาร..
คำพูดของเทพโครนอนทำให้เอนเดลลิออนรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของเทพแห่งท้องนภาผู้ที่แม้จะไม่มีการแต่งตั้งแต่ก็ได้รับความเคารพจากเทพทุกองค์ดังประมุขของเทพทั้งมวล ง้าวในตำนาน.. แม้ว่าจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงใดก็ทำเพียงได้แค่ ‘หยุด’ เทพแห่งท้องนภาได้เท่านั้น แต่มันไม่อาจจะ ‘สังหาร’ ท่านได้ นั่นเองคงเป็นเหตุผลว่าทำไมในหน้าของประวัติศาสตร์ถึงได้มีการลงบันทึกไว้ว่า เทพทั้งสี่ได้ทำการปิดผนึกพลังไม่ใช่สังหารอย่างที่ควรจะเป็น
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย..” เอรอนพึมพำด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“สหายข้า ก่อนที่เหตุการณ์อันเลวร้ายจะบังเกิดขึ้น ข้าขอร้องเจ้าอะไรสักอย่างได้ไหม” โครนอนเดินหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อนผมเงินพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าปฏิเสธใจตัวเอง อย่าละทิ้งเพื่อนของเจ้า อย่าทำร้ายเพื่อนอันแสนสำคัญของเจ้าเด็ดขาด เจ้ารับปากข้าได้ไหม”
คนโดนขอให้รับปากขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง”
“ตอนนี้อย่าคิดมากเลย เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง”
เทพเอรอนเม้มปากแน่น นั่นเป็นปฏิกิริยาที่เอนเดลลิออนเห็นเป็นประจำเวลาที่เรฟใช้ความคิด ทั้งสองเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่คนผมเงินจะเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“โครนอน... ข้าถามอะไรหน่อยสิ”
หืม.. อีกฝ่ายขานรับในรับคอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเอรอนจึงกล่าวต่อ
“ทั้งๆที่เจ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ทำไมเจ้าถึงยังนิ่งดูดายอยู่อย่างนี้ เจ้าทำเพียงแค่นำง้าวเล่มนี้มาให้และเตือนข้า ทั้งๆที่เจ้าควรจะใช้เวลาในตอนนี้วางแผนสังหารโรฟอน เซนอน และไอออน ก่อนที่เรื่องจะปานปลายไปกันใหญ่ ด้วยกำลังของเจ้า จะสังหารเทพสักตนสองตนมันง่ายเพียงแค่กระพริบตาเองไม่ใช่หรือ”
คนที่ควรจะไปวางแผนสังหารเทพสักตนสองตนเบิกตากว้างก่อนที่จะหัวเราะเบาๆกับความคิดอันแสนจะบันเจิดของเทพสายลม โครนอนเดินเข้าไปตบบ่าคนที่ชอบทำหน้าเครียดปุปุก่อนที่จะกล่าวยิ้มๆ
“ข้าก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละเอรอน”
นัยน์ตาสีทองของเทพแห่งท้องนภาเปล่งประกาย เอนเดลลิออนรู้สึกถึงแววตาแห่งความสุขสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้นอย่างไม่น่าจะเป็น ก่อนที่โครนอนจะเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นมันคง และมันก็ได้สะท้อนอยู่ในใจของคนฟังตราบนานเท่านาน
“เพราะเป็นเพื่อน จะดีจะชั่วหรือต่อจะให้เกลียดชังกันยังไง ก็ตัดกันไม่ขาดหรอกนะ”
--------------------------------------------------------------90%------------------------------------------------------------
และแล้วภาพก็ได้ตัดไปอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีดำสนิท เอนเดลลิออนที่ในเวลานี้หัวใจเต้นระรัวกับความจริงที่พึงได้รับ ความทรงจำแต่ละฉากไหลเข้ามาในหัวราวกับทำนบแตก เขาจำเรื่องทุกอย่างได้แล้ว ทั้งในตอนที่พวกเขารับรู้ถึงพลังอันมากมายมหาศาลจากตัวของโครนอน ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเป็นครั้งแรก และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดก็คือ..
กลัวที่จะเสียเพื่อนไป
เอรอนเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เข้าใจเขามากที่สุด แต่เมื่อโครนอนเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนจะเปลี่ยนไป และนั่นก็เป็นแรงผลักดันให้เขารู้สึกถึงความอิจฉา เป็นแรงผลักดันให้เขาทำตัวเฉยเมยในยามที่โรฟอนและไอออนร่วมกันวางแผนเพื่อที่จะลดอำนาจของเทพผู้ปกครองท้องนภา
และเพิกเฉยในยามที่โครนอนหันมาขอความช่วยเหลือจากเขา
เอนเดลลิออนหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ทบทวนเรื่องราวดีๆที่เคยทำร่วมกันอย่างพร้อมหน้าทั้งห้าคน เรื่องที่ราวกับฝันร้ายในวันนั้นยังคงไม่จางหายไปไหน และเขาหวังว่าจะไม่ต้องเผชิญกับมันอีกเป็นรอบที่สอง
แต่เหมือนสวรรค์จะไม่เข้าข้างคนบาปอย่างเขา
เมื่อเอนเดลลิออนลืมตาขึ้นมา ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มชะงัก รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
อาคารบ้านเรือนที่มีรูปทรงแบบสมัยก่อนถูกเผาทำลายด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน เสียงกรีดร้องและอ้อนวอนขอชีวิตจากประชาชนยามถูกเหล่าทหารฟาดฟันด้วยดาบอันคมกริบ เสียงโห่ร้องอันฮึกเหิมกู่ก้องยามที่สามารถทำลายศัตรูลงได้ แต่ที่สะดุดตาเขามากที่สุดคือร่างสูงของชายทั้งสี่ที่กำลังยืนประชันหน้ากับโครนอนโดยมีอาวุธครบมือ เรือนผมและดวงตาที่เคยเป็นสีทองพิสุทธิ์ของเทพแห่งท้องนภากลายเป็นสีดำรัตติกาลอย่างแปลกตาบ่งบอกว่าชายหนุ่มมีพลังรัตติกาลมากมายเพียงใด
“โครนอน ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้าเลย”
เอรอนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขมขื่น ในมือแกร่งกระชับง้าวเล่มงามแน่น ใบมีดของมันยังคงวาววับไร้ซึ่งคราบของโลหิตทำให้รู้ว่ามันไม่เคยถูกนำมาใช้เลยตั้งแต่เริ่มสงครามครั้งนี้
“หยุด..ข้าซะ..เอรอน! ใช้ง้าวเล่มนั้นหยุดข้า” โครนอนหอบกายถี่ราวกับกำลังสะกดกั้นสิ่งที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ภายในตัวอย่ายากลำบาก
โรฟอน ไอออน และเซนอนที่ยืนคุมเชิงอยู่แทบจะพุ่งตัวออกไปเมื่อเห็นว่าภายในมือของโครนอนนั้นปากฎพลังสีรัตติกาลลูกใหญ่ขึ้นมา แต่ร่างทั้งสามกลับชะงักอยู่กับที่เมื่อรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นหยุดพวกเขาเอาไว้ แต่แล้วก็ได้คำตอบเมื่อเอรอนหันกลับมาเตือนด้วยสายตาอันคมกริบเป็นการเตือนกรายๆว่าอย่าเข้ามายุ่ง
“ต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าอยู่นิ่งๆไปสักพักแล้วกันนะ”
“เอรอน!!” เซนอนค้านอย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่อดวงตาสีแดงประกายทองคู่นั้นวาวโรจขึ้นและจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เอรอนไม่สนใจสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงของเพื่อนทั้งสาม เทพแห่งสายลมหันกลับไปมองโครนอนที่กำลังสะกดกลั้นสิ่งที่อยู่ภายกายอย่างยากลำบากด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพุ่งตัวเองไปและฟาดฟันอีกฝ่ายด้วยง้าวในตำนานอย่างรุนแรง!!
ฉัวะ
เพราะไม่คิดจะหลบ ทำให้ราวของโครนอนถูกฟันจนกลายเป็นแผลใหญ่สะพายแล่ง เลือดสีแดงฉานหลั่งไหลออกมาราวกับทำนบแตก แต่กระนั้น คนถูกฟันกลับไม่มีสีหน้าความรู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อยราวกับมันเป็นแผลเล็กๆอย่างไรอย่างนั้น
การต่อสู้ยังคงตำเนินต่อไป นอกจากแผลใหญ่ที่เอรอนฟันลงไปเต็มแรงแล้วก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ง้าวดาราจะสามารถแตะผิวกายของเทพแห่งท้องนภาได้อีกเป็นครั้งที่สอง การต่อสู้ยังคงยาวนานและขยายกลายเป็นกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เร่างของเอรอนจะถูกพลังสีดำอัดแทกจนลงไปทรุดกับพื้น
“เอรอน!!” เซนอนตะโกนอย่างตกใจ เขาพยายามที่จะสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของพลังสายลมแต่ก็ไม่อาจทำได้ “พลังอะไรเนี่ย!”
ร่างสูงของเอรอนแน่นิ่งไปกับพื้นในขณะที่เพื่อนทั้งสามรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังบีบรัดอย่างรุนแรง สภาพสะบักสบอมของเพื่อนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งสามทำใจที่จะเห็นได้เลยสักนิด โรฟอน ไอออน และเซนอนพยายามที่จะใช้พลังหลายๆอย่างเพื่อที่จะหลุดจากพันธนาการและออกไปช่วยคนที่กำลังนอนอยู่กับพื้นแต่ก็ไม่อาจทำได้ ก่อนที่ทั้งสามจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นโครนอนกำลังเยื้องย่างไปยังร่างที่กำลังนอนแน่นอนพร้อมลูกเพลิงสีรัตติกาล
“ลาก่อนนะ เอรอน” โครรอนพึมพำเบาๆ
“ใช่... ลาก่อน โครนอน”
และแล้ว คนที่กำลังนอนนิ่งอยู่กับพื้นก็ลืมตาขึ้นมา น้ำเสียงที่เปล่งออกมานิ่งเงียบดังลมที่สงบก่อนพายุจะมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้ง้าวที่ยังคงกำไว้แน่นแม้ในยามที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแทงเข้าไปยังหัวใจของอีกฝ่ายจนทะลุไปด้านหลัง
ฉึก!!
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หายไปอย่างนานและกลับมาอย่างสั้น ขอโทษค่ะ T^T
เปิดเทอมแล้วงานเยอะมากกกก
อย่าเพิ่งหายกันไปไหนน๊าาาา
ยังไงก็ เจอกันตอนหน้าค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น