คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15
บทที่ 15
เสียงคำสั่งที่แม้จะฟังดูสบายๆแต่กลับเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่ราวกับจะย้ำเตือนว่าห้ามผิดพลาดเป็นอันขาดทำให้คารอสตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เรฟานอสคลี่ยิ้มอย่างถูกใจก่อนที่จะลอยตัวขึ้นสูงแล้วนั่งลงบนบัลลังก์กลางอากาศที่โผล่ออกมาจากหลุมดำขนาดใหญ่ มือทั้งสองข้างประสานกันและจับจ้องไปยังภาพกองทัพปีศาจที่กำลังยืนประจันหน้ากับเหล่านักเรียนหน่วยพิเศษด้วยแววตาสั่นระริกราวกับกำลังรอชมเรื่องผลงานที่ตนเองบรรจงจัดขึ้น
“ลงมือซะสิคารอส หรือจะให้ข้าทำเอง” เรฟานอสยิ้ม
“เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่จำเป็นจะต้องถึงมือพระองค์หรอกฝ่าบาท”
คารอสตอบเสียงนิ่ง มือแกร่งกระชับดาบเล่มงามในมือก่อนที่จะตวัดมันใส่ม่านมนตราจนแตกระเอียดภายในครั้งเดียว แต่นั่นก็ยังไม่สร้างความตื่นตระหนกให้ทุกคนได้เท่ากับที่คารอสทำการตวัดดาบไปที่เรอายืนที่อยู่ใกล้ที่สุดอีกครั้งจนล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับเลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกมาจากปากแผลราวกับทำนบแตก
“ไม่จริงน่า!”
เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากกลุ่มของปีสาม แต่ถึงแม้ว่าคารอสจะลงมือกับเพื่อนหรือรุ่นน้องของตน ก็ไม่มีใครคิดที่จะเรียกศัตราวุธของตัวเองออกมาราวกับยังทำใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้
“พี่รู้ตัวรึเปล่าว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่ พี่คารอส”
เซฟิรอสพุ่งเข้ามาขวางคารอสที่กำลังเดินตรงเข้าไปหาเรนเดลด้วยใบหน้าเคร่งเครียด คารอสมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงบนิ่งก่อนที่จะตวัดดาบใส่หนุ่มรุ่นน้องที่เรียกศัตราวุธออกมาตั้งรับได้อย่างทันท่วงที
เคร้ง!!
ราวกับนี่คือสัญญาณแห่งการเริ่มต้น เหล่ากองทัพปีศาจชั้นสูงที่ยืนนิ่งมานานต่างพร้อมใจกับพุ่งเข้าใส่นักเรียนหน่วยพิเศษพร้อมอาวุธครบมือ
เรฟานอสมองภาพของทั้งสองฝ่ายที่กำลังโรมรันเข้าหากันด้วยรอยยิ้มบาง นัยน์ตาสีแดงประกายทองแปลกตาไม่มีแววแห่งความเสียใจที่ได้เห็นเพื่อนและรุ่นพี่ที่รักค่อยๆร่วงลงสู่ผืนพสุธาทีละคนสองคนราวกับลมหายใจที่กำลังรวยรินช่างไร้ซึ่งคุณค่า ไม่คู่ควรที่จะใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“สนุกไหม ที่ได้เห็นครอบครัวค่อยๆหายไปทีละคนโดยที่ตัวเองทำได้เพียงแค่เฝ้ามอง”
เรฟานอส หรือ ‘เทพเอรอน’ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ติดจะรื่นเริง ชายหนุ่มไล่สายตามองไปยังเหล่าเจ้าชายรัชทายาทและอัศวินราชองรักษ์ด้วยรอยยิ้มหยันก่อนที่จะไปหยุดลงที่เพื่อนสนิทสมัยเด็กที่กำลังสบสายตากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“นี่ไงล่ะเอนด์..ไม่สิ เซนอน นี่สิ่งที่เจ้าเฝ้าค้นหามาตลอด”
เรฟานอสกางปีกขนนกสีขาวขนาดใหญ่ก่อนที่จะบินลงไปหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ข้าทำมาทั้งหมด ก็เพื่อวันนี้ยังไงล่ะ”
“ข้ายังไม่เข้าใจ เจ้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แล้วเจ้าเข้าวังและมาหาข้าเพราะอะไรกันแน่”
เอนเดลลิออนที่ในยามปกติแม้จะสามารถคาดการณ์สิ่งต่างๆได้อย่างเฉียบคมและแม่นยำ แต่ในเวลานี้เจ้าชายหนุ่มแห่งไฟร์ออนาซกลับรู้สึกเหมือนภายในกำลังว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าน่ะ... หนักแน่นมาแต่ไหนแต่ไร เชื่ออะไรก็เชื่ออย่างนั้น หลับหูหลับตาเชื่อแม้ว่าความจริงนั้นจะปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม ข้าถึงเลือกที่จะไปหาเจ้าตั้งแต่ยังเด็กยังไงล่ะ” เรฟานอสตอบเสียงนุ่ม
เอนเดลลิออนแค่นยิ้มออกมาราวกับกำลังสมเพชตัวเองที่ใช้ความคิดโง่ๆมายึดมั่นในสิ่งที่ลวงหลอกมาตั้งแต่ต้น ภาพนั้น... เขาน่าจะเอะใจตั้งแต่เห็นภาพหลายๆภาพแวบไปมาในหัวตอนนั้น และภาพของคนที่เรียกได้ว่าเพื่อสนิทกำลังลงมือสังหารเขา
อยากจะโกรธ อยากจะเกลียดคนตรงหน้าที่ทำให้ใครหลายๆคนได้รับบาดเจ็บ
แต่ยังไงก็ขึ้นชื่อว่าเพื่อน
ต่อให้เลวยังไงก็เกลียดกันไม่ลง...
“เรนเดล!! // พี่เรนเดล!!”
ราวกับเกิดเดจาวู เสียงของนักเรียนที่เรียกหัวหน้าหน่วยของตนดังประสานกันเสียดังลั่นทำให้เอนเดลลิออนที่กำลังยืนจ้องมหาเทพในตำนานหันกลับไปมองอย่างตกใจ
ภาพของคารอสที่กำลังใช้แขนข้างซ้ายล็อคคอเพื่อนสนิทที่อยู่ในสภาพหายใจรวยรินสร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก ก่อนที่เรฟานอสจะใช้เวทพยุงร่างของคารอสและเชลยให้ลอยตัวกลับมายังฝั่งกองทัพปีศาจอีกครึ่งที่ยังเหลือของตัวเอง
เมื่อเห็นว่าภารกิจลุล่วง เรฟานอสจึงหันกลับมาหาเอลเดลลิออนอีกครั้ง
“ข้าเบื่อที่จะเล่นกับพวกเจ้าแล้วล่ะนะ” เรฟานอสยิ้มบางและกระชับง้าวดาราในมือ “ถ้าเจ้ารอดจากคมง้าวครั้งนี้ไปได้ ก็อย่าลืมมาล้างแค้นข้าที่วังปีศาจด้วยแล้วกันนะ ข้าจะรออยู่ที่นั่น”
ฉัวะ!!
“เอนเดลลิออน!!”
เรฟานอสปรายตาไปทางคนที่ล้มลงไปพร้อมกับโลหิตที่ไหลทะลักออกมาอย่างไม่ขาดสายจนเจิ่งนองไปกับพื้นอย่างไม่ใจ ก่อนที่จะหันไปสั่งให้กองทัพปีศาจถอนกำลังออกมาเตรียมกลับวัง เรฟานอสหันหลังและทำท่าจะเดินกลับเข้าไปรวมอยู่กับกองทัพของตนที่ยืนรออยู่แล้ว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเพรียกอันแผ่วเบาของคนที่ตนเพิ่งจะลงมือจนไม่น่าจะประคองสติได้จนถึงตอนนี้ดังขึ้นมา
“เรฟ..”
เอนเดลลิออนจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคนที่ตนเรียกว่าเพื่อนมาตลอดสิบปี จากนั้นจึงพูดในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาก่อนที่โลกทั้งใบของเจ้าชายหนุ่มจะดับวูบลง
“เจ้า... อาจจะคิดว่าข้าโง่เง่า... แต่ข้า.. เชื่อใจ.. เจ้า... นะ...”
‘ไม่ว่าเจ้าคิดที่จะทำอะไร จงจำไว้ ว่าข้าเชื่อใจเจ้าเสมอ’
. . .
. . .
. . .
. . .
“ข้าถึงได้บอกไง ว่าเจ้าน่ะ.. หนักแน่นเกินไป”
เรฟานอสพึมพำกับตัวเองเสียงเบาขณะที่เขากำลังยืนชมจันทร์อยู่ภายในสวนของปราสาทท่ามกลางความมืด หลังจากที่เรฟใช้พลังเคลื่อนย้ายปีศาจทุกตนกลับมาที่วังปีศาจ ร่างสูงก็มีคำสั่งให้ปีศาจทุกตนแยกย้ายเพื่อไปทำงานประจำของตัวเอง จากนั้นจึงสั่งคารอสให้พารุ่นพี่ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยไปขังไว้ในคุกใต้ดินก่อนที่เรฟจะแยกตัวออกมานั่งเหม่อมองท้องฟ้าซึ่งบัดนี้เวลาก็ได้ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว
ท่าทางเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้เรฟานอสไม่ทันได้รู้สึกถึงฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้ามาหาอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาสีรัตติกาลของผู้มาใหม่ทอดมองไปยังผู้ที่เป็นดังน้อง อาจารย์ และนายเหนือหัวด้วยความสงสาร
บุรุษผู้เฝ้ามองดวงจันทร์ด้วยแววตาอ้อนวอนราวกับกำลังอธิฐาน แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวนี้ทำให้คารอสทำใจทิ้งชายคนนี้ไม่ลงจริงๆ
“ท่านไม่ควรมายืนตากน้ำค้างในคืนที่ลมแรงเช่นนี้”
น้ำเสียงนิ่งเรียบอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้บุรุษผู้อยู่ในอาภรณ์สูงศักดิ์ละความสนใจจากจันทราแล้วหันมาสบกับดวงตานิ่งเรียบของคนพูดแทน เรฟานอสคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะพูดในสิ่งที่เหมือนว่าคารอสจะลืมเลือนไปชั่วครู่
“เจ้าลืมไปรึเปล่าคารอส ข้าเป็นถึงเทพสายลมนะ แล้วใยสายลมจึงต้องเกรงกลัวตัวเองด้วยล่ะ”
คารอสถึงกับนิ่งเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ที่บอกว่าตัวเองเป็นถึงเทพสายลม ทำเอาเรฟานอสยิ้มกับท่าทางที่ดูยังไงก็ลืมไปแล้วว่าเรฟเป็นใครอย่างขำๆ
“อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมไปแล้ว จำได้ว่าเจ้าเป็นคนประกาศชื่อของข้าจนทำคนอื่นตกอกตกใจไปซะทั่วเลยนี่นา”
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท” คารอสค้อมหัวขออภัยกับการกระทำของตน
เรฟานอสนิ่วหน้ากับคำพูดที่ห่างเหินของอีกฝ่ายก่อนที่จะเตือนเสียงเข้ม “จะมากพิธีไปทำไม ยังไงข้าก็เป็นเรฟานอสคนเดิมนั่นแหละ คราวหลังไม่ต้องแล้วนะคำพูดแบบนั้นน่ะ สยองพิลึก”
เรฟานอสลูบแขนเพื่อนเป็นการยืนยันว่าเขารู้สึกสยองขนาดไหนกับคำพูดของคารอส ทำเอาคนที่อุตส่าห์เคารพต่อตำแหน่งอันใหญ่โตของอีกฝ่ายคิ้วกระตุกหงึกๆอย่างหมันไส้เล็กน้อย
“แน่ใจหรือพะยะค่ะ ว่าท่านคือเรฟานอสคนเดิม” คำพูดของคารอสทำให้เรฟานอสชะงักไปชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา คารอสจึงเอ่ยต่อ “เรฟานอสคือคนที่ชอบหาเรื่องกวนประสาทชาวบ้าน ยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่คนที่ยิ้มไปตามหน้าที่อย่างคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของข้าตอนนี้นะกระหม่อม”
“เรฟานอสคนนั้นต่างหากที่ข้าสร้างขึ้นมา ตัวข้าตอนนี้คือคนเดิมเมื่อหลายพันปีก่อนนั่นแหละ”
เรฟานอสกล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายไม่น้อย ซึ่งนั่นส่งผลให้บุคคลที่นั่งฟังอยู่ในจี้สีทองตลอดเวลาอดไม่ได้ที่จะแทรกบทสนทนาขึ้นมาอย่างนึกสนุก
“ท่านคารอส ท่านเรฟเมื่อหลายพันปีก่อนยิ่งกว่านี้อีกขอรับ หน้ายิ้มยากก็ปานนั้น แถมยิ้มทีก็หาความจริงใจไม่เจอ ไม่แปลกใจเลยที่ท่าเรฟจีบท่านลูน่าไม่ได้สักที”
“ท่านลูน่า?” คารอสเลิกคิ้วอย่างสงสัยกับชื่อที่ไม่คุ้นหู ไม่สนใจใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนโดนนินทาระยะเผาขนเลยแม้แต่น้อย
“ท่านลูน่าเป็นเทพีแห่งจันทราขอรับ ท่านเรฟตามจีบท่านลูน่ามาหลายพันปีแล้วแต่ท่านก็ไม่ใจอ่อนเลยสักนิด พอเริ่มจะใจอ่อนท่านเรฟก็ต้องลงมาจุติยังโลกมนุษย์เสียนี่ ชีวิตช่างอาภัพยิ่งนัก”
น้ำเสียงที่แสดงถึงความเสียอกเสียใจอย่างสุดซึ้งของศัตราวุธมีชีวิตที่ต้องเฝ้ามองความรักอันแสนอาภัพของนายเหนือหัวสร้างความเศร้าสลดให้แก่คารอสยิ่งนัก ชายหนุ่มหันไปมองยังคนที่นิ่งเงียบตั้งแต่พูดถึงเทพีแห่งจันทราด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจ
“ไม่น่าล่ะ เพราะต้องจากท่านลูน่ามาทำภารกิจนี่เอง วันนี้ท่านถึงได้จ้องดวงจันทร์อยู่ได้นานสองนาน”
“ที่ข้ายืนมองดวงจัทร์เป็นเพราะข้ามีเรื่องให้คิดมากมาย ไม่ได้มีเวลาว่างจนมีเวลามาเหน็บแนมคนอื่นอย่างพวกเจ้าทั้งสอง” เรฟานอสอดไม่ได้ที่จะสวนกลับไป คารอสที่ได้ฟังดังนั้นก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายที่ดูกี่ทีก็ยียวนเสียจนน่าโยนลงบ่อจระเข้นัก
“ข้านึกว่าเป็นเพราะท่านกำลังคิดถึงท่านเทพีแห่งจันทราอยู่เสียอีก” เอสตาร์ยังคงแกล้งยั่วเย้า
“ไร้สาระ เอสตาร์เจ้าน่ะเงียบไปเลย ส่วนคารอส” นัยน์ตาเฉียบคมตวัดมาทางอีกคนทำเอาคนที่เผลอล้อเลียนเบื้องสูงถึงกับสะดุ้ง “จะไปไหนก็ไป ว่างนักรึไงถึงได้มากวนประสาทข้าเนี่ย!” ว่าจบก็เดินหนีออกมา คารอสมองตามแผ่นหลังนายเหนือหัวที่แลดูวันนี้จะก้าวยาวและเร็วผิดปกติอย่างขำๆ
เขินก็บอกว่าเขินสิ แล้วมาเหวี่ยงใส่เขาทำไม
.............................................................................. 60%................................................................................................................
เรฟานอสเดินกลับเข้ามาภายในตัวปราสาทด้วยใบหน้าที่เหล่าองครักษ์เห็นก็เป็นต้องแหวกทางให้อย่างพร้อมเพรียง แต่ดูเหมือนผู้เป็นนายจะไม่ค่อยได้ใส่ใจนักเพราะนอกจากจะไม่หันกลับไปทักทายตามมารยาทแล้ว เขายังไม่แม้แต่จะชายตาแลไปมองเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าคมคายก็ยังมีริ้วสีแดงจางๆส่งผลให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเคร่งเครียดนี้ลดความหน้าเกรงกลัวลงมาได้ไม่น้อย
“เพราะเจ้าคนเดียวเลยนะเอสตาร์ เจ้าก็รู้ว่าลูน่าไม่อยากให้เราพูดถึงเรื่องนี้มากนักยังจะพูดขึ้นมาอีก”
นึกว่าจะเขิน ที่แท้กลัวสาวเจ้าโกรธเอานี่เอง.. เอสตาร์นึกเหนื่อยหน่ายกับความเอาจริงเอาจังของนายเหนือหัวอย่างอดไม่ได้ เทพีแห่งจันทรามีความงามเป็นเริดก็จริง แต่นิสัยของนางกลับหยิ่งทะนงยิ่งนัก เมื่อมาเจอกันคนที่ไม่ยอมลงให้ใครอย่างเรฟานอสด้วยแล้วก็ทำเอาเอสตาร์อดเป็นห่วงไม่ได้ จะไปรอดรึเปล่านะคู่นี้..
“ถ้าลูน่ารู้เข้าข้าจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้า แต่เป็นเพราะเจ้า” คนกลัวโดนโกรธยังบ่นไม่เลิก
“โธ่.. ท่านเรฟ ท่านอย่ากังวลไปเลย ท่านลูน่าไม่โกรธท่านหรอกขอรับ”
เรฟานอสหัวเราะในลำคอส่งผลให้คนที่ยังเถียงคำไม่ตกฟากหุบปากฉับ ไม่ว่าท่านลูน่าจะโกรธหรือไม่ แต่ถ้าหากเขายังไม่หยุดพูด ดูท่างานนี้เขาอาจจะโดนเจ้านายเขวี้ยงทิ้งให้อยู่ในคลังสมบัติเก่าๆก็เป็นได้
เรฟานอสไปสนใจท่าทีหมาหงอยของศาตราวุธในตำนาน สองเท้ายังคงก้าวเดินต่อไปอย่างสม่ำเสมอจวบจนสองข้างทางที่เคยเป็นผนังสลักลายอย่างวิจิตรค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นผนังอิฐเก่าๆธรรมดาแต่กลับส่งกลิ่นอายของเวทชั้นสูงที่ต่อให้สภาพของมันจะผุพังแค่ไหนก็ไม่อาจจะทำลายกำแพงนี้ลงไปได้ง่ายๆ ชายหนุ่มเดินลงบันไดไปเรื่อยๆตามแสงสว่างของคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นทีละดวงๆราวกับกำลังนำทางให้แก่บุรุษผู้เป็นใหญ่ของแผ่นดินนี้
คบเพลิงยังคงถูกจุดขึ้นตามระยะทางที่ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะมาจบลงยังห้องขังด้านในสุดของคุกหลวง ภายในนั้นมีร่างของชายหนุ่มรูปงามใบหน้าคมคายนั่งอยู่ยังมุมที่มืดที่สุดของห้อง แสงจากคบเพลิงสว่างมากพอที่จะทำให้เรฟานอสใช้สายตาสำรวจสภาพร่างกายของชายหนุ่มได้ไม่ยากนัก
เรนเดลในตอนนี้แม้อาภรณ์จะขาดวิ่นแต่ก็ไร้ซึ่งบาดแผล ดูเหมือนคารอสจะแอบใช้ช่องว่างของคำสั่งร่ายเวทรักษาให้เพื่อนสนิทของตัวเองอย่างแน่นอน เมื่อเรฟานอสเห็นว่ารุ่นพี่หนุ่มไม่เป็นอะไรมาก จึงปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งเรียบดังเดิมก่อนที่จะกระแอมเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนที่หลับตาอยู่
อะแฮ่ม!!
เรนเดลสะดุ้งโหยงก่อนที่จะลืมตาและหันมามองต้นเสียงอย่างมึนงง
“เรฟ..?”
เรฟานอสมองรุ่นพี่หนุ่มนิ่งๆ “คุกหลวงของวังปีศาจ สภาพไม่เลวเลยใช่ไหม”
บอกทีว่านี่คือคำทักทาย? เรนเดลกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างไม่รู้จะตอบอะไรดีระหว่าง ‘อ๋อ สบายดี ที่นี่สะอาดมากๆแม้จะเก่าไปหน่อยก็เถอะ!’ กับ ‘ปล่อยข้าออกไปนะเจ้าน้องบ้า!’ ดูท่าจะตอบแบบไหนก็มีโอกาสต่อการโดนเชือดทิ้งก่อนทั้งนั้น
“ก็ไม่ได้แย่นัก”
รุ่นพี่หนุ่มตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ดวงตาที่เคยส่องประกายขี้เล่นตลอดเวลาวาววับขึ้นยามรู้สึกถึงพลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างของรุ่นน้องที่เคยเล่นหัวอย่างสนิมสนมมาหลายเดือน เรฟานอสหัวเราะหึในลำคออย่างเยาะๆก่อนที่จะมองคนที่นั่งอยู่ในห้องขังตั้งแต่หัวจรดเท้าจนคนถูกมองอย่างเหยียดหยามหน้าตึงขึ้นมา
“เจ้าคงจะชอบห้องนี้เสียจริงนะเรนเดล ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่สบายเกินไปหน่อยล่ะมั๊ง”
คนอยู่สบายคิ้วกระตุก นึกอยากจะลุกขึ้นไปตั๊นหน้าเจ้าน้องที่สวมบทโหดสักตั้งก่อนที่จะเอ่ยอย่างหงุดหงิด “เลิกเล่นละครสักทีเรฟ อุตส่าห์ลงทุนลักพาตัวข้ามาถึงที่นี่คงจะวางแผนอะไรไว้ใช่ไหม”
สองหนุ่มสบตากันนิ่ง จนเวลาล่วงเลยกันไปนานนับนาทีเรฟานอสก็เป็นฝ่ายยอมแพ้
“มีเรื่องอะไรไหมที่พี่ไม่รู้ทันผมบ้าง” คนตีหน้าขรึมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตั้งแต่ยอมให้จับตัวมาง่ายๆแล้วนะ พี่คิดว่าเรากำลังเล่นขายของอยู่รึไงครับ ”
เรนเดลแยกเขี้ยวใส่รุ่นน้องผู้มีศักดิ์เป็นราชาปีศาจอย่างหงุดหงิด ใช่ว่าเขาจะอยากให้โดนจับมาอย่างนี้เสียเมื่อไหร่ แต่เพราะตอนแรกคารอสมันดันใส่พลังมาเสียกระอัก แล้วไหนจะต้องมาสู้กับพวกปีศาจชั้นสูงอีก ถึงจะไม่เต็มใจก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือมารของทั้งสองอยู่ดี
“ข้าไม่ได้เล่น ข้าเจ็บจริงโว้ย! แล้วเจ้าคารอสไปไหนมาให้ตั๊นหน้าหน่อยสิ!” ว่าจบก็ลุกขึ้นมาเขย่ากรงเหล็กอย่างเอาเป็นเอาตายทำให้เรฟหลุดยิ้มกับท่าทางหัวเสียของรุ่นพี่หัวหน้าหน่วยพิเศษเล็กน้อย
“คารอสโดนข้าไล่ไปทำงานแล้วล่ะครับ ตอนนี้มีแต่ข้าที่ว่างมาหาพี่”
“อ้อ ลืมไป ใครจะไปใหญ่เท่าท่าน..เอ..เอ.. อะไรนะ” ท้ายประโยค เรนเดลหันมาถามเจ้าของชื่อที่คิดยังไงก็คิดไม่ออก เรฟานอสส่ายหน้าอย่างระอาแล้วเติมประโยคของเรนเดลตามคำขอ
“เอรอนครับ”
“ใช่! ใครจะไปยิ่งใหญ่เท่าท่านเอรอนล่ะจริงไหม?” คราวนี้เรนเดลนั่งลงกับพื้นและกอดอกมองคนที่หย่อนตัวลงนั่งกับพื้นตามรุ่นพี่ด้วยความสงสัย “คราวนี้นายบอกมาได้รึยังว่านายเป็นใครมาจากไหน”
คำถามของเรนเดลทำให้เรฟานอสเม้มปากแน่น แม้จะไม่อยากบอกแต่ก็ไม่อยากจะปิดบังความจริง เพราะถึงยังไงตัวเขาเองก็เป็นคนที่ดึงเรนเดลเข้ามาในแผนการครั้งนี้ จะให้ใช้งานโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไรก็ดูน่าจะสงสารเกินไปหน่อย เท่านั้นยังไม่พอ เรฟานอสอาจจะโดนรุ่นพี่หนุ่มหมายหัวและโดนแก้แค้นด้วยการกลั่นแกล้งสารพัดหลังจากที่เรื่องทุกอย่างจบลงก็เป็นได้ สู้บอกไปเลย ถึงแม้จะเสี่ยงต่อความลับรั่วไหลแต่เขาก็มั่นใจว่าเรนเดลไม่ใช่คนปากโป้งเผลอๆอาจจะได้แนวร่วมเสียด้วยซ้ำ จะนั่งคิดหรือตีลังกาคิดยังไงก็มีแต่คุ้มกับคุ้ม
เรฟานอสถอนหายใจเฮือกเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ก่อนที่จะยอมพ่ายแพ้ให้กับสายตากดดันของรุ่นพี่หัวหน้าหน่วย
“ข้าชื่อเรฟานอส เวดีเอล่า เจ้าชายรัชทายาทแห่งเวนเดลล่า หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ เอรอน เวดีเอล่า เทพแห่งสายลมผู้ก่อตั้งอาณาจักรเวนเดลล่า”
เงียบ..
ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...
. . .
เรฟานอสแอบเหลือบมองปฏิกิริยาของคนที่เพิ่งจะรู้ความจริงในตัวตนของเจ้าชายรัชทายาทผู้ลึกลับที่สุดแห่งเซซินเนียร์ และสิ่งที่เขาพบก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่ เพราะเรนเดลในตอนนี้อยู่ในสภาพที่เรียกว่าอึ้ง ทึ่ง และตาค้างอย่างตกตลึงจนน่าขัน
“หลายพันปีหลังจากที่ผนึกพลังของโครนอนลงได้ ข้าก็ได้เห็นนิมิตแห่งเทพ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าโครนอนกำลังจะหลุดจากพันธนาการ ทำให้พวกข้าต้องลงมาจุติยังโลกมนุษย์เพราะร่างนี้สะดวกในหลายๆเรื่อง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพอลงมาโลกมนุษย์แล้วเจ้าพวกสามตัวนั้นจะความจำเสื่อมจนจำอะไรไม่ได้เสียนี่ ทำให้ข้าต้องมาเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้”
“เดี๋ยวเรฟเดี๋ยว” เรนเดลขัดขึ้น “เจ้าบอกว่า ‘พวกนั้น’ หรอ?”
เรฟานอสเผยใบหน้ามึนงงชั่วครู่ก่อนจะตอบรับแม้จะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ “ใช่ครับ พวกนั้นที่ว่าก็คือ เซนอน โรฟอน และไอออน”
“เจ้าอย่าบอกนะว่าท่านทั้งสามองค์ที่เหลือในตอนนี้จะเป็น เอนเดลลิออน ทารีส และเรอาน่ะ”
ขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าเขาเล่นหัวท่านเทพผู้ก่อตั้งอาณาจักรไปกี่องค์แล้ว... เรนเดลคิดพลางลูบแขนที่ตอนนี้ขนเริ่มจะลุกขึ้นชันอย่างหนาวๆ แต่ดูท่าฟ้าจะไม่เข้าข้างชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อยเมื่อเรฟานอสดีดนิ้วดัง เป๊าะ อย่าถูกใจ
“ใช่ครับ สามคนนั้นคือเทพอีกสามองค์ที่ลงมาพร้อมกับข้า แต่อยู่ๆสามคนนั้นก็ไม่มีความทรงจำสมัยที่เป็นเทพเสียนี่ ข้าเลยต้องเหนื่อยเพิ่มเลย”
“เหนื่อยเพิ่ม? เจ้าทำอะไร” เรนเดลยังคงไม่เข้าใจ
“ข้ากำลัง ฟื้นความทรงจำ ให้พวกเขายังไงล่ะครับ”
. . .
. . .
. . .
. . .
. . .
ภายในค่ำคืนเดียวกัน ณ ปราสาทเวนเดลล่า ภายในสวนสมเด็จของอาณาจักร ได้มีร่างบางของหญิงสาวร่างหนึ่งกำลังยืนชมดาวดวงน้อยที่ส่องแสงระยิบระยับงามจับตาภายในสถานที่แห่งนี้ ใบหน้านั้นน่าหลงใหลแม้วัยจะล่วงเลยมาเลขห้าช่างงดงามไม่ต่างจากบทกวีที่ออกมาจากริมฝีปากบางของนาง
สายลมเอย... สายลมผู้ไม่เคยหยุดพัก
สายลมเอย... เจ้าจักเหน็ดเหนื่อยบ้างไหม
สายลมเอย... เวลานี้เจ้าจักเป็นเช่นไร
สายลมเอย... เจ้าจะรู้บ้างไหม ว่ายังมีใครเฝ้ารอ..
เสียงหวานยาวกล่าวบทกวีที่คิดได้อย่างสดๆร้อนๆแลดูเศร้าสร้อยอย่างไม่น่าเชื่อ แม้สัมผัสสระอักษรจะไม่ได้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน แต่เนื้อบทกวีนี้ก็ช่างโหยหาสายลมผู้อยู่ไกลแสนไกลจนคนฟังรู้สึกทุกข์ระทม
ยามย่ำค่ำคืนที่ล่วงผ่าน
ช่างฟุ้งซ่านด้วยคิดถึงคะนึงหา
ข้าเฝ้ารอวันที่ท่านจะกลับมา
กลับมาหามารดาผู้เฝ้าคอย
เพลานี้เหลือชีวาอีกไม่มาก
ช่างเหนื่อยยากท่านสายลมรู้บ้างไหม
กลับมาเถิดก่อนที่ข้าจะจากไป
ฝังร่างไว้ให้คืนกลับปฐพี..
ยามสิ้นสุดบทกวีอันแสนเศร้า หญิงวัยกลางคนผู้ที่กำลังเฝ้ามองดวงดาวในยามค่ำคืนพร้อมกับบทกวีแห่งความคิดถึงก็รู้สึกถึงเสื้อคลุมหนาที่ถูกวางลงบนร่างของเธอ นัยน์ตาสีแดงประกายทองที่ส่องประกายหม่นหมองหันมาสบเข้ากับชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีเดียวกันก่อนที่เธอจะส่งยิ้มออกมา
“เจ้ามีอะไรกับแม่หรือ เรยานอส”
‘เรยานอส’ มองมารดาของตนด้วยความสงสาร แม้การเวลาจะผ่านมานานนับสิบปีแต่บาดแผลภายในใจของราชินีแห่งเวนเดลล่ากลับมิได้เลือนหายไปตามกาลเวลา นับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นยามรับรู้ถึงสิ่งที่ใครบางคนพยายามแบกรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว หัวใจดวงน้อยๆของคนเป็นแม่ก็ยิ่งเจ็บปวดยามเห็นลูกต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งไว้โดยที่เธอนั้นทำได้เพียงแค่เฝ้ามองเด็กคนนี้เจ็บปวดอยู่ห่างๆ
บาดแผลที่เกิดขึ้นตั้งแต่เรฟานอสออกจากปราสาทเพื่อไปตามทางที่เขาเลือก...
“ท่านแม่กำลังประชวร ไม่ควรออกมาตากลมเช่นนี้นะพะยะค่ะ”
คำพูดของบุตรคนโตแห่งราชวงศ์เวดีเอล่าทำให้ราชินีคนงามคลี่ยิ้มบางที่ช่างคล้ายคลึงกับใครบางคน ก่อนที่ร่างบางจะกระชับเสื้อคลุมแน่นขึ้นยามเอ่ยประโยคถัดไป
“แม่จำได้ว่ามีใครบางคนชอบสายลม แม้ว่าลมในวันนั้นจะแรงดังพายุ ใครคนนั้นก็ไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับยิ้มอย่างชอบใจเสียนี่” ขณะที่พูด หญิงวัยกลางคนก็ยิ้มให้กับความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน ที่แม้จะเล็กน้อยแต่ก็ไม่เคยลืมเลือนถึงรอยยิ้มของบุตรคนเล็กของเธอยามได้ออกมาสัมผัสกับลมหนาวแบบนี้
“ท่านแม่อย่าห่วงไปเลย อีกไม่นานเรื่องทุกอย่างจะจบลง และน้องจะกลับมาหาพวกเรา”
เรยานอสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ลักษณะท่าทางที่แม้จะดูสบายๆแต่กลับมั่นคงไม่ต่างจากน้องชายทำให้คนเป็นแม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ภายในใจก็รู้สึกมีความหวังว่าอีกไม่นานบุตรชายคนเล็กของนางจะกลับมาตามคำพูดของเรยานอสจริงๆ
“ใช่.. อีกไม่นาน.. เรฟจะกลับมา”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เจ้าชายรัชทายาท! อะน่อวววว มีใครเดาถูกบ้างเนี่ย 55555
ตอนนี้ปมเริ่มจะเฉลยออกมาตู้มมแล้วล่ะค่ะ จะได้หายสงสัยกันแล้ววว เย้! 5555
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นน๊าา
เจอกันตอนหน้าจ้า
ความคิดเห็น