คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 13 (100%)
บทที่ 13
ภายในตรอกเล็กๆอันแสนมืดมิดไม่ไกลจากตลาดสักเท่าไรนัก ได้มีเสียงสะอื้นไห้แผ่วๆดังออกมาไม่ขาดสาย ซึ่งถ้าหากมีคนบังเอิญผ่านมาทางนี้ได้ยินเข้าอาจจะรู้สึกขนลุกกับบรรยากาศเย็นยะเยือกของสถานที่อันไม่น่าพิศมัยแห่งนี้ ภายในตรอกแห่งนั้น มีร่างสูงทั้งสองร่างกับกำลังยืนนิ่ง ใบหน้าคมคายจับจ้องไปยังร่างเล็กๆเนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นที่กำลังนั่งชันเข่าซุกหน้าร้องไห้ไม่สนใจโลกอย่างไม่เชื่อสายตา
เด็กคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
นี่คือคำถามที่ผุดขึ้นมากลางใจของทั้งสอง ถึงแม้สภาพของผมสีทองประกายที่ดูยุ่งๆนี้จะไม่ค่อยเป็นทรงสักเท่าไหร่นัก เสื้อผ้ามอมแมมมีแต่รอยขาดรอยยับ แต่มันก็ไม่อาจบดบังผิวขาวเนียนราวกับลูกผู้ดีของเด็กคนนี้ได้ ซึ่งนั่นก็สร้างความสงสัยให้แก่บุรุษทั้งสองได้เป็นอย่างมาก
ท่านชายน้อยท่านนี้มาอยู่สถานที่แบบนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ที่บ้านไม่กำลังหาตัวกันแย่หรือ?
“เจ้าหนู”
เจ้าชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินเข้มก้มลงขุกเข่าตรงหน้าเด็กน้อยพลางทอดเสียงอย่างอ่อนโยน เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ มือแกร่งก็เอื้อมไปหมายจะแตะไหล่ของอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันที่จะได้สัมผัสเด็กชายก็สะดุ้งสุดตัว ถอยหลังกรูดไปติดกำแพงด้วยความหวาดผวา
“ใจเย็นๆ ข้าไม่ทำอันตรายเจ้าหรอก” เจ้าชายทารีสยังคงกล่าวออกมาอย่างใจเย็น
เรฟานอสที่ยืนมองสถานการณ์ทั้งหมดหันไปมองสหายที่ทอดเสียงอ่อนอย่างแปลกใจ ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่นอกเหนือจากใบหน้าไร้อารมณ์ของเจ้าชายผู้หยิ่งทะนงคนนี้มากนัก แต่การที่เจ้าชายผู้นี้ยอมที่จะลดตัวลงไปคุยเล่นกับเด็กน้อยที่มีสภาพมอมแมมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทั้งๆที่เพิ่งพบกันครั้งแรกขนาดนี้ เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเรฟานอสเป็นอย่างมาก
ใครจะรู้... ว่าเจ้าชายน้ำแข็งแห่งราเวนเทียร์จะรักเด็ก
“ทะ... ท่านจะไม่ทำร้ายข้าใช่ไหม”
นัยน์ตาสีทองประกายของเด็กน้อยที่แม้จะมีความเคลือบแครงแต่กลับแฝงไปด้วยประกายกร้าวต่างจากเด็กทั่วไป เจ้าชายทารีสคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นแววตาของเด็กน้อยคนนี้ เด็กคนนี้มีแววตาที่ดี หากได้รับการอบรมอย่างถูกต้องจะต้องกลายเป็นอัศวินผู้เก่งกาจอันหาได้ยากเป็นแน่
“ใช่ พวกข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เรฟานอสยิ้มกว้างขณะที่ก้มลงไปนั่งตรงหน้าเด็กชายข้างๆเจ้าชายทารีสแล้วกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจ
“พวกข้าไม่มีอาวุธ และยังไม่อยากรังแกเด็กตอนนี้หรอกนะ”
นั่นประไร..
เป็นคนดีได้ครู่เดียวก็หาเรื่องกวนประสาทเด็กซะแล้ว
เจ้าชายทารีสถอนหายใจกับความขี้เล่นไม่รู้เวลาของเพื่อนร่วมหอ แต่ก็อดแอบแย้งในใจไม่ได้กับคำกล่าวของเพื่อนผมเงินคนนี้ จริงอยู่ที่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองไม่มีอาวุธ แต่ถ้าหากพวกเขาแตะสร้อยประจำตัวและเอ่ยปากเพียงคำเดียว สิ่งที่เรียกว่า ‘อาวุธ’ ก็พร้อมที่จะให้พวกเขาหยิบมันขึ้นมาฟาดฟันศัตรูแล้ว แล้วอย่างนี้จะเรียกว่ามีหรือไม่มีดีนะ...
“เอาล่ะ เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ”
เรฟานอสถามพลางสำรวจอาการบาดเจ็บของเด็กชายไปด้วย แต่เมื่อไม่เห็นว่าเด็กตรงหน้าได้รับอันตรายใดๆนอกจากรอยฟกช้ำบางที่ เรฟานอสก็ลุกยืนขึ้นแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ท่านแม่สอนว่า ก่อนที่จะถามชื่อใคร คนๆนั้นต้องเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน”
เขากำลังโดนเด็กว่าใช่ไหม..
เรฟานอสนึกเข่นเคี้ยวในใจผิดกับเจ้าชายทารีสที่แววตาพราวระยับราวกับกำลังถูกใจกับคำพูดของเด็กตรงหน้า
“ข้าชื่อทารีส ราเวนีเซีย ส่วนคนผมเงินคนนั้นชื่อเรฟานอส โรซาเรียส ยินดีทีได้รู้จักนะ”
“ท่านคือเจ้าชายแห่งราเวนเทียร์อย่างนั้นหรอ!” เด็กชายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ นัยน์ตาสีทองจับจ้องไปยังเจ้าชายแห่งราเวนเทียร์ราวกับเห็นสัตว์ประหลาดก่อนที่จะถามเสียงแผ่ว "ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยเด็กน้อย” เรฟานอสเตือนเสียงเข้มเมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้ยังไม่ได้ตอบคำถามของตน
“ข้าชื่อเจราล เจราล คาเรนีตาร์”
ใช่จริงๆด้วย
เรฟานอสและเจ้าชายทารีสหันมาสบตากันอย่างเข้าใจ พวกเข้าสงสัยกันตั้งแต่เห็นเส้นผมและดวงตาสีทองของเจราลแต่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนสงสัยจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เด็กคนนี้คือตำนานที่มีชีวิต ความเชื่อของหลายคนถูกพิสูจน์อย่างแจ่มชัดแล้วว่าความเชื่อเหล่านั้นต่างเป็นเรื่องจริงมิได้เป็นเพียงข่าวโคมลอยแต่อย่างใด
เส้นผมและดวงตาสีทองพิสุทธิ์ ผิวขาวจัดราวกับหิมะ ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะที่มีเพียงหนึ่งเดียวของเซซินเนียร์ ลักษณะเฉพาะของราชาไร้บัลลังก์ผู้สาบสูญ
ตระกูลคาเรนีตาร์ ราชวงศ์ผู้หายสาบสูญแห่งคาเรเนียส
“รู้สึกถึงเรื่องวุ่นวายที่กำลังจะตามมาได้เลยล่ะนะ” เรฟานอสยิ้มบางผิดกับคำพูดที่แสนจะยุ่งยากใจเมื่อครู่ “แล้วพ่อแม่ของเจ้าล่ะ แล้วทำไมคุณชายอย่างเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ใบหน้าของเด็กชายสลดลงทันที่เมื่อเรฟานอสถามถึงบิดามารดา
“พ่อแม่ของข้า... ท่านพ่อ ท่านแม่ของข้า.. ฮึก”
เมื่อเห็นท่าทางโศกาของเจ้าชายไร้บัลลังก์ เรฟานอสก็รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น รางสังหรณ์บางอย่างกรีดร้องอยู่ภายในใจของเรฟานอสอย่างบ้าคลั่ง หัวใจที่เต้นกระหน่ำตั้งแต่เห็นใบหน้าของเจราลกำลังเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆตามความหวาดกลัวที่กำลังคืบคลานเข้ามาในจิตใจ
อย่าบอกนะว่า...
ทารีสที่เห็นทั้งเด็กชายและเพื่อนเงียบไปก็รู้สึกฉงน แต่พอลุกขึ้นหมายจะถามถึงสาเหตุที่เงียบไปของเรฟานอสก็เป็นอันต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่าย
“เรฟ.. นายเป็นอะไร”
เรฟานอสไม่ได้ตอบคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของทารีส ริมฝีปากที่เคยพ่นแต่คำกวนประสาทเอ่ยถามเด็กชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบที่เจ้าตัวไม่ค่อยได้ใช้มันต่อหน้าเพื่อนสักเท่าไหร่นัก
“พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านชายน้อย”
“เมื่อคืน อยู่ๆท่านพ่อก็บอกให้ข้ารีบหนีไปให้ไกลที่สุด ท่านบอกว่ามีคนต้องการตัวข้า ฮึก.. แต่ข้า... ไม่ได้หนีไปไหน ข้าแอบอยู่ข้างบ้านและแอบมองเข้าไปในหน้าต่าง อยู่ๆก็มีปีศาจที่ไหนไม่รู้โผล่ขึ้นมากลางบ้าน พวกมันคุยอะไรกับท่านพ่อท่านแม่ข้าจับใจความไม่ค่อยได้ แล้วพวกมัน..พวกมันก็...ฮึก สังหารท่านพ่อท่านแม่ของข้า ข้าตกใจมากเลยหนีมา”
ร่างสูงของบุรุษทั้งสองยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับคำบอกเล่าของเด็กชายได้สะกดพวกเขาเอาไว้ ใบหน้าของทั้งสองนิ่งเรียบแต่ดวงตากลับฉายอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป ดวงตาสีเงินฉายแววโศกเศร้าอาดูร นึกสงสารต่อชะตากรรมของเด็กน้อยที่ต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักตั้งแต่วัยเยาว์
ในขณะที่ดวงตาสีน้ำเงินใสอีกคู่ส่องประกายกล้า ภายในใจที่เคยเต้นระรัวค่อยๆเบาบางลงจนนิ่งสงบภายในที่สุด ริมฝีกปากแค่นยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าพอจะจำได้ไหมว่าเขาพูดอะไรกันบ้าง”
เจราลกลั้นเสียงสะอื้น คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิดก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก
“ข้าจำได้แค่ประโยคเดียว..”
“นั่นแหละ จำได้ว่าอะไร” เรฟานอสเอ่ยเร่งทำเอาทารีสถึงกับมองมาทางคนถามอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกระวนกระวายขนาดนั้น แต่คำตอบของเจราลก็ทำให้ทั้งสองรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นๆสาดโครมเข้ามาจนหน้าชา นิ่งค้าง ตกตะลึงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านผู้นั้นกำลังจะกลับมา โครนอน กำลังจะกลับมาทวงทุกสิ่งทุกอย่างของเขาคืน”
นี่เป็นคำเตือน!
-------------------------------------------50%----------------------------------------------------------------------------
หลังจากที่ใช้เวลาไม่นานในการปลอบเด็ก ทั้งเรฟานอสและทารีสก็พาเจราลมาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่และเช่าโรงแรมเล็กๆให้เด็กชายได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่จะพากันมาทานอาหารเย็นภายในร้านที่ดูแล้วน่าจะสงบและเรียบหรูที่สุด
เรฟานอสมองท่าทางการรับประทานอาหารของท่านชายน้อยที่เรียบร้อยเหมือนกับเจ้าชายทารีสที่นั่งอยู่ด้านข้างราวกับแม่พิมพ์เดียวกันถึงกับถอนหายใจ ทำไมไม่เผื่อแผ่มารยาทนั้นไปให้เจ้าเพื่อนที่เป็นเจ้าชายแห่งไฟร์ออนาซบ้างนะ...
“เจราล แล้วต่อจากนี้เจ้าจะไปที่ไหน”
“ข้ายังไม่รู้เลยครับ” เจ้าของชื่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
“งั้นมาอยู่กับข้าก่อนไหม” เรฟานอสถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทำให้เจ้าชายทารีสที่นั่งทานอยู่เงียบๆเอ่ยเตือนคนใจดีโดยไม่ดูสถานะของตัวเอง
“แต่เจ้านอนหอนะเรฟ”
“ก็ไปขออาจารย์ใหญ่ก่อนสิ ท่านไม่ปฏิเสธหรอก”
เรฟานอสหยักไหล่อย่างคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไรสักเท่าไหร่นัก แต่ท่าทางมั่นใจจนเกินไปนั้นกลับสร้างความฉงนสงสัยให้แก่เจ้าชายหนุ่มได้ไม่น้อย อะไรที่ทำให้เรฟานอสมั่นใจว่าท่านอาจารย์ใหญ่จะอนุญาตเสียขนาดนั้น หรือว่ายังมีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้อยู่อีก?
“นายอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิทารีส”
เสียงทักของเรฟดังขึ้นขัดความคิดของคนที่เริ่มจะเตลิดไปไกล ทำให้เจ้าชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอทำหน้าครุ่นคิดจนเพื่อนสังเกตเห็นไปเมื่อครู่
“นายก็น่าจะรู้ว่าเด็กคนนี้สำคัญขนาดไหน จะให้ปล่อยไปตามยถากรรมก็น่าสงสารเกินไปหน่อยนะ ฉันว่าอาจารย์ใหญ่น่าจะเข้าใจในเรื่องนี้ดี”
เมื่อได้ยินเหตุผลที่มีน้ำหนักของเพื่อน เจ้าชายทารีสก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะตัวของชายหนุ่มเองก็ใช่ว่าอยากจะให้เด็กที่ดูยังไงก็อายุไม่ถึงแปดปีเต็มออกไปหกระเหินเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเสียเมื่อไหร่ แต่ดูจากใบหน้าที่เริ่มเสียของเจราลก็ทำให้ทารีสอดเห็นใจนิดๆไม่ได้
“ข้าทำให้พวกพี่ลำบากรึเปล่าครับ”
สรรพนามที่แปรเปลี่ยนไปตามความสนิทสนมที่มากขึ้นเรื่อยๆไม่ทำให้คนถูกถามสนใจเท่ากับคำที่เด็กน้อยกล่าวออกมาแต่อย่างใด ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของเรฟานอสมองไปทางเพื่อนที่พูดจนเด็กตีความไปเสียไกลอย่างตำหนิ ก่อนที่จะหันไปเตือนเด็กชายเสียงเข้ม
“ลำบากอะไรกัน พวกพี่นอนห้องเดี่ยวเจ้าจะมานอนด้วยก็ไม่ทำให้อึดอัดอะไร ปราสาทก็ออกจะกว้างมีห้องเหลือเยอะแยะอยากจะนอนห้องเดี่ยวก็ไม่มีใครว่า อย่าฟุ้งซ่านน่า"
ประโยคสุดท้ายเรฟานอสเอื้อมมือไปโยกหัวคนฟุ้งซ่านเบาๆอย่างหมันไส้กับความคิดที่โตเกินวัยของเจราลอย่างเอ็นดู เด็กที่มีความคิดการอ่านที่โตเกินวัยขนาดนี้ เจ้าหนูนี่โตขึ้นมากับครอบครัวแบบไหนกันนะ
“ที่พี่พูดคือ พวกพี่แค่ต้องพาเจ้าไปทำความรู้จักกับเจ้าของสถานที่ก่อนแค่นั้น อย่าคิดมากเลย”
ทารีสแก้ความเข้าใจให้เจราลเสียใหม่เมื่อเห็นเด็กชายเหลือบมามองเขาเป็นระยะๆ เมื่อได้รับการยืนยันเป็นการพยักหน้าของเรฟานอสและสายตาอันหนักแน่นของทารีส เจราลก็ถอยหายใจออกมาก่อนที่จะยิ้มกว้างอย่างสดใส
รอยยิ้มอันไร้พิษสงทำให้คนที่อยู่แต่ในรั้ววังทั้งสองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เนื่องจากภายในวังนั้นไม่มีรอยยิ้มแบบนี้ให้เห็นมากนักจนบางทีทั้งสองก็เบื่อที่จะต้องหยิบยกหน้ากากขึ้นมาสวมจนอยากจะหนีไปให้ไกลๆจากสังคมผู้ดีซะ
“เอ๊ะ นั่นใช่พี่เรลเดลกับพี่คารอสรึเปล่า”
ราฟาเอลที่กำลังซึมซับบรรยากาศผ่อนคลายหยุดสายตาไว้ที่ร่างสูงของผู้ชายทั้งสองคนที่กำลังก้าวเข้ามาในร้าน สองร่างนั้นกวาดตาไปรอบๆราวกับกำลังหาที่นั่ง แต่เมื่อเห็นเรฟและทารีสนั่งอยู่จึงพากันเดินเข้าโดยไม่สนใจพนักงานต้อนรับสุดสวยที่นวยนาดมาหาเลยแม้แต่น้อย
“ไง พากันมากินสบายใจเลยนะ”
เรนเดลเป็นคนแรกที่ทักและหย่อนตัวลงข้างๆทารีสในขณะที่คารอสก็นั่งตรงข้ามกับเพื่อนรักก่อนที่ทั้งสองจะมองไปยังเด็กผมทองที่กำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ด้านของทารีสอีกฝั่งอย่างสนใจ
“เด็กคนนั้นเป็นใคร” คารอสถามเสียงนิ่งทำให้เจราลที่กำลังเพลิดเพลินไปกับรสของอาหารชะงักและมองไปทางผู้มาใหม่พร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“สวัสดีครับ ข้าชื่อเจราล เจราล คาเร..”
“เจราล คาเรเรีย”
เรฟพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่จะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เมินท่าทางสงสัยของคนที่ถูกเปลี่ยนนามสกุลและของเพื่อนสนิทที่นิ่งอยู่ตรงข้าม
“เป็นลูกของคนรู้จัก แต่เมื่อคืนพ่อแม่ของเด็กคนนี้ถูกฆ่าตายเลยจะให้ไปอยู่กับเราที่หอสักพัก”
“ถูกฆ่าตาย?”
คารอสมองไปทางเจราลด้วยความเห็นใจ
“มาอยู่กับเราก็ดีนะ ปราสาทจะได้สดใสขึ้นบ้างถ้ามีเด็กมาวิ่งเล่น ทุกวันนี้ก็เงียบสงบเพราะจำนวนสมาชิกมีน้อยแถมยังมีโลกส่วนตัวสูงกันทุกคนจนฉันจะเฉาตายอยู่แล้ว”
“เหอะ นายน่ะหรอจะเฉาตาย” เรนเดลค่อนคอดเพื่อนอย่างหมันไส้
“นายนั่นแหละตัวดีที่ทำให้ปราสาทเฉาตาย พอไอ้พวกนั้นจะจัดปาร์ตี้เข้าหน่อยก็ชอบทำหน้าโหดจนงานถูกพับเก็บไปเสียทุกอย่าง”
“นั่นก็เพราะพวกนายชอบทำผิดกฎ”
คารอสกล่าวเสียงเข้มขึ้น ก่อนจะปรับสีหน้าให้อ่อนลงเมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าหวาดๆของเด็กชาย
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ท่านอนุญาตให้ข้าพักกับพวกท่านได้ใช่ไหมครับ”
เจราลถามอย่างไม่แน่ใจจนทำให้โดนเรฟานอสเขกหัวไปเต็มแรงจนทำตาแทบเล็ด “พี่เรฟอ่ะ!!”
“ก็บอกแล้วว่าได้ คิดมากอีกแล้วนะเรา” เรฟพูดพร้อมปิดท้ายด้วยการยีผมสีทองนั้นจนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงทำเอาเจราลรีบปัดมือออกเป็นพัลวัล
“อย่าแกล้งน้อง เรฟ”
คำว่า ‘น้อง’ ที่พูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำกับการดุเพื่อนเสียงเข้มบ่งบอกว่าเจ้าชายหนุ่มแห่งราเวนเทียร์ได้เกิดอาการ ‘รักเด็ก’ กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งยังออกโรงปกป้องเสียเต็มที่จนทำให้รุ่นพี่ทั้งสองที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ
“ปกติทารีสมันสนิทกับคนอื่นง่ายจนถึงกับเรียกน้องได้เร็วขนาดนั้นเดียวหรอ ถึงจะบอกว่าเป็นคนรู้จักของเรฟก็เถอะ”
เรนเดลถามอย่างตรงไปตรงมา เรฟานอสเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อกลั้นรอยยิ้มก่อนที่จะหันมาหารุ่นพี่หัวหน้าหน่วยอีกครั้ง
“เปล่าหรอกพี่ ปกติมันไว้ตัวจะตาย แต่เพราะเจ้าเจราลเป็นกรณีพิเศษล่ะมั๊งเลยเอ็นดูขนาดนี้”
อ๋อ.. เพราะเจราลเป็นเด็กเลยเอ็นดูนี่เอง
รักเด็กสินะ
สองความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของเรลเดลและคารอสถูกเผงอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถึงแม้คำพูดของเรฟานอสค่อนข้างจะอ้อมโลกแต่ก็ไม่ไกลจากความจริงมากนักทำให้ทั้งสองพอจะเดาถึงนิสัยแข็งนอกอ่อนในของรุ่นน้องที่มีคะแนนสอบเข้ามาเป็นลำดับที่สองอย่างทารีสได้ไม่ยาก
เรฟานอสหัวเราะคิดคักกับท่าทางถลึงตาของเพื่อนที่จงใจส่งมาให้เรฟโดยเฉพาะของทารีส ท่าทางหลุดมาดที่นานๆจะได้เห็นสักครั้งสร้างความประทับใจให้กับเรฟไม่น้อย
สงสัยจะไม่มีคนรู้ว่าเจ้านี่คลั่งเด็กขนาดไหน
เรฟหัวเราะกับตัวเองขณะทำเมินต่อทุกสรรพสิ่งที่เพื่อนบรรจงส่งมาให้แล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างสบายใจ ภายในหัวคิดไปถึงวิธีกลั่นแกล้งเจ้าเพื่อนหน้านิ่งสารพัดจนถ้าหากเจ้าตัวได้รับรู้คงได้เรียกดาบด้ามงามมาฟันคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นสองท่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
เรฟานอสคิดเล่นๆว่าถ้าหากมีเวลาเหลือเขาอาจจะทำอย่างที่คิดอยู่ทั้งหมดก็ได้ การกวนประสาทเพื่อนเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุด ย่อมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว อีกทั้งมันยังสร้างความบันเทิงให้เขาไม่น้อยเสียด้วย
ถ้ามีเวลาเหลือน่ะนะ..
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
โปรดให้อภัยกับความช้าและความสั้นของนิยายด้วย อะเฮือกกกก 55555
ต่อจากตรงนี้จะเป็นเนื้อหาที่ค่อยข้างเครียด ดราม่า ความจริงเริ่มเปิดเผย
เตรียมตัวเครียดกันได้เลยค่ะ อาเมน... 55555555555
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นเลยน๊าาา เจอกันตอนหน้าจ้า
ความคิดเห็น