ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reyphanos ผู้พิทักษ์แห่งเซซินเนียร์

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 11

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 58


    บทที่ 11



                    ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบของนักเรียนหน่วยพิเศษแห่งโรงเรียนเตรียมอัศวินคาเรเนียส ได้มีร่างใหญ่ของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญแฝงกายเข้ามากับความมืดเข้ามาอย่างเงียบๆ ร่างนั้นหันรีหันขวางเพื่อดูต้นทาง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมันจึงพุ่งตัวออกมาจากความมืดหมายจะเข้าไปในปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า

                    ตึง!

                    เสียงอะไรบางอย่างปะทะเข้ากับของแข็งดังสนั่นไปทั่วทั้งปราสาทแต่กลับไม่มีใครเลยที่จะเปิดหน้าต่างหรือออกมาดูต้นกำเนิดของเสียงราวกับไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นทำให้บุคคลที่หมายจะลักลอบเข้ามาที่กำลังล้มลงอย่างหมดสภาพเมื่อปะทะเข้ากับของแข็งเมื่อครู่ตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนกำลังอยู่ในอาณาเขตของเจ้าบ้านเสียแล้ว

                    กับดัก!!

                    สิ่งที่ชายคนนั้นพบคือเขากำลังอยู่ในสิ่งที่เหมือนกับโดมแก้วสีน้ำเงินใสขนาดใหญ่ โดมใสที่เขาเข้ามาอย่างไม่ทันรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

                    เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!” ชายคนนั้นบ่นอย่างหัวเสีย

                    อา... จับหนูได้อีกตัวซะแล้วแฮะ เสียงใสดังขึ้นภายนอกโดมแก้วทำให้คนที่ติดอยู่ภายในหันไปมองด้วยใบหน้าซีดเผือด ดวงตาสีน้ำเงินใสจับจ้องไปยังแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยรอยยิ้มแต่แววตานั้นกลับเย็นยะเยียบจนน่าขนลุก

                    ไม่รู้หรือครับว่าหอปิดสามทุ่มครึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมานานมากแล้ว ถ้าจะมาติดต่อน่าจะมาตอนเช้านะครับ... คนพูดปิดปากหาว ดวงตาปรือลงอย่างคนง่วงเต็มที่ มากวนเวลานอนของผมยามค่ำคืนแบบนี้... นิสัยไม่ดีเลยนะครับ

                    ท่าน..ท่านคือ..

                    อีกฝ่ายเมื่อพิจารณาใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดๆถึงกับเบิกตากว้าง พูดตะกุกตะกักอย่างนึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับท่านผู้นั้นเร็วขนาดนี้ ซึ่งการพบกันครั้งนี้ก็ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่เสียด้วย

                    ผู้บุรุกถึงกับอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆกับความซวยซ้ำซวยซ้อนของตน

                    อ่า... รู้จักผมด้วยหรอครับ เด็กหนุ่มยิ้มอ่อนโยน ไม่นึกเลยว่าจะมีคนจำผมได้

                    และแล้วใบหน้างามนั้นก็อุทานขึ้นมาเบาๆแล้วทำหน้าสงสัยขณะหันไปมองยังแขกยามวิกาล

                    เอ๊ะ ไม่ใช่คน สิเนอะ... เทพต่างหาก

                    ข... ขออภัย ข้าไม่นึกว่าท่านจะอยู่ที่นี่ หากข้ารู้ ข้าจะ... ข้าจะ... ชายร่างหนาลนลานอย่างเห็นได้ชัด

                    หากเจ้ารู้ เจ้าจะไม่เข้ามาอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าไม่ใช่นะ  คนพูดยิ้มบาง มือแกร่งจับผมที่กำลิงปลิวไสวของตนไม่ให้บดบังใบหน้า คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นอย่างสงสัย

                    ใครเป็นนายของเจ้า

                    ผู้บุกรุกเม้มปากแน่นไม่ยอมเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา แต่ก็ไม่แสดงท่าทีขัดขืนดิ้นรนอย่างรู้ว่าอย่างไรก็ทำอันตรายคนตรงหน้าไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นผม  ชายหนุ่มเจ้าของโดมสีน้ำเงินใสถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะมองอาวุธ... ดาบสีทองในมือของอีกฝ่ายแล้วยกยิ้ม

                    ตอนแรกถ้าเจ้าบอกว่าเป็นใครข้าก็จะยอมละชีวิตของเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมบอกก็ช่างเถอะ ข้าไม่อยากรู้เท่าไหร่

                    คนที่ไม่ยอมบอกชื่อเจ้านายมองเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วข่มความหวาดกลัวที่ก่อขึ้นในหัวใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่ท่านผู้นั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เป็นบุรุษผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่การกระทำช่างราวกับไร้หัวใจอยู่วันยันค่ำ

                    ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอลาเลยแล้วกันนะครับ

                    คำบอกลาสั้นๆง่ายๆถูกส่งไปให้ชายในโดมแก้วก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในปราสาทตามเดิม เสียงโหยหวนแสดงถึงความเจ็บปวดดังเข้ามาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะเงียบสนิทลงราวกับว่าต้นตอของเสียงนั้นไร้ซึ่งลมหายใจเสียแล้ว

                    เสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อดวงตาสีน้ำเงินสังเกตเห็นใครบางบนยืนรอตนอยู่ที่สุดปลายบันได

                    ร่างสูงยืนกอดอกพิงราวบันไดราวกับกำลังรอใครสักคนทั้งๆที่เวลาล่วงเลยมาจนนาฬิกาตีบอกเวลาสิบสองนาฬิกาแล้ว ดวงตาสีรัตติกาลนิ่งสงบมองตรงมายังหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังเดินขึ้นมานิ่ง นัยน์ตาสองสีประสานกันก่อนที่คนเป็นน้องจะแย้มยิ้มออกมาก่อน

                    พี่มายืนทำอะไรตอนนี้ครับพี่คารอส ดึกแล้วนะครับ

                    ข้ามากกว่าที่ควรจะถามท่าน ว่าท่านออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆป่านนี้ รุ่นพี่หนุ่มตอบเสียงเรียบ แต่สรรพนามที่ใช้กลับบ่งบอกถึงความเคารพของรุ่นพี่ต่อหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้ามาก

                    พอดีผมได้กลิ่น หนูสกปรก ก็เลยออกมาดูนิดหน่อยรุ่นน้องยิ้ม งั้นผมขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะครับพี่คารอส

                    ว่าจบก็เดินผ่านหนุ่มรุ่นพี่ผู้มีศักดิ์เป็นรองหัวหน้าหน่วยพิเศษเพื่อกลับไปยังห้องของตน

                    เดี๋ยว!” 
                    เสียงเรียกทำให้ร่างที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงักแต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองแต่อย่างใด

                    ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าข้าไม่ปล่อยให้ท่านทำอะไรตามใจเพียงตัวคนเดียวแน่

                    คำพูดที่ถูกย้ำขึ้นอีกครั้งทำให้เด็กรุ่นน้องยกยิ้มอย่างถูกใจ ก่อนที่จะเดินกลับไปยังห้องพักของตนโดยไม่ได้สนใจสายตาที่ทอดมองมายังห่วงใยเลยแม้แต่น้อย

                แน่นอน... ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต่อสู้อยู่คนเดียวแน่...


















     

     

                    ท่านแน่ใจแล้วหรือท่านเรฟ ว่าท่านยืนยันที่จะทำอย่างนี้

                    เสียงทุ้มที่ผู้พูดกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลทำให้ร่างที่กำลังนอนอ่านหนังสือสบายใจอยู่บนเตียงชำเลืองสายตาไปยังผู้พูดก่อนที่จะเบนสายตากลับมาที่ตัวหนังสือตรงหน้าอีกครั้ง

                    แล้วทำไมข้าถึงต้องไม่แน่ใจด้วยล่ะ

                    ก็เพราะพวกเขาเป็นสหายของท่านน่ะสิ!”  คนพูดขึ้นเสียงใส่คนที่นอนสบายใจอย่างเผลอตัวก่อนที่จะปิดปากฉับเมื่อดวงตาสีน้ำเงินใสปรายตามาทางตนด้วยแววตาคมปราบอย่างปรามๆ

                    ก็เพราะว่าเป็น เพื่อน น่ะสิ ข้าถึงได้ทำอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพวกนั้น เจ้านั่นคงไม่...

                    ดวงตาที่มักจะอ่อนโยนอยู่เป็นนิจวาวโรจขึ้นมาอย่างโกรธแค้น ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบปรับให้กลับมาอบอุ่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูและเสียงเรียกอันคุ้นเคย

                    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

                    เรฟ ฉันเอนเดลลิออน... ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม

                    เข้ามาสิเอนด์ ฉันไม่ได้ล็อก

                    เมื่อได้ยินคำอนุญาต ประตูไม้เนื้อดีก็ถูกเปิดเข้ามาจากข้างนอกเผยให้เห็นถึงร่างสูงของเจ้าชายผมแดงจากดินแดนแห่งเปลวเพลิง เอนเดลลิออนปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบแล้วเดินตรงเข้ามานั่งที่เก้าอี้ไม่ไกลจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะทักทายท่านอาวุธในตำนานที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆเจ้านายที่นอนแผ่หราอย่างสบายใจด้วย

                    สวัสดีท่านเอสตาร์ วันนี้ท่านดูเคร่งเครียดจังนะครับ

                    เรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องทักก็ได้ เจ้าหนู คนเคร่งเครียดตอกกลับ เอนเดลลิออนยิ้มทะเล้น

                    ก็แค่ทักตามมารยาท ว่าพร้อมหันไปหาคนที่กำลังนอนอ่านหนังสือ เรฟ บอกฉันมาตามตรง

                    อะไร

          เรฟานอสถามโดยไม่ละสายตาไปจากตัวหนังสือ โดยที่คนฟังหารู้ไม่ว่าสมาธิของคนพูดไม่ได้จดจ่ออยู่กับหนังสืออีกต่อไปแล้ว

                    เมื่อคืน... นายหายไปไหนมา

                    ฉันก็อยู่ในห้องน่ะสิ  น้ำเสียงของเรฟานอสยังคงไม่ใส่ใจราวกับมันเป็นคำถามที่รู้ๆคำตอบกันอยู่แล้ว

                    แต่ฉันเรียกนายตั้งนานนายไม่เห็นตอบกลับมาเลย เอนเดลลิออนยังคงถามอย่างไม่ยอมแพ้

                    ฉันนอนแล้วล่ะมั๊ง นายอย่าลืมสิว่าฉันเป็นคนนอนเร็ว ก่อนนอนไม่พอมันทำให้ฉันหลับในคาบเรียน

                    “แต่...

                    ฉึบ

                    เรฟปิดหนังสือลงอย่างแรงขัดบทสนทนาแล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง จากนั้นจึงลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ เอียงคอมองเพื่อนที่วันนี้ดูเหมือนจะวิตกกังวลมากกว่าทุกทีอย่างสงสัย

                    นายเป็นอะไรเอนด์ ทุกทีนายไม่เป็นอย่างนี้นี่นา

                    นายนั่นแหละเป็นอะไรเรฟ นายรู้ตัวไหมว่าตั้งแต่เข้าโรงเรียนมานายทำตัวแปลกไปจากเดิมมาก นายนิ่ง นายเย็นชา รอยยิ้มนั่นมันอะไร นายเคยยิ้มออกมาจากใจสักครั้งบ้างรึเปล่า นายทำตัวลึกลับขึ้น นายปิดบังอะไรบางอย่างกับฉัน ไหนจะภาพนั่นอ...!!!”

                    รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าค่อยๆโค้งลงมาตามจำนวนสิ่งที่เพื่อนรักพูดจนมันกลายเป็นเส้นตรง นัยน์ตาสีน้ำเงินมาเพื่อนด้วยแววตานิ่งเรียบ เอนเดลลิออนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองหลุดปากอะไรออกไปถึงกับหน้าซีดเผือด มองใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มของเรฟานอสอย่างเป็นกังวล

                    นายเห็นอะไร

                    เอนเดลลิออนนิ่ง

                    ฉันถามว่านายเห็นอะไร เอนด์

                    ฉันเห็นนาย

                    ว่าไงนะ เรฟานอสทำหน้าไม่อยากเชื่อจนเจ้าชายหนุ่มต้องพูดย้ำ

                    ฉันเห็นนาย เรฟ ฉันเห็นนาย...สังหารฉัน

                    คำพูดสุดท้ายช่างเอื้อนเอ่ยออกมาได้อย่างยากเย็นนักสำหรับเอลเดลลิออน ใครจะเชื่อล่ะว่าเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสิบปีจะเป็นคนสังหารตนเอง

        แต่นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้...

                    หึหึ เรฟานอสหัวเราะในลำคออย่างกลั้นไม่อยู่จนคนพูดหันมาค้อนควับ

                    ขำอะไรของนาย ฉันจริงจังนะ!!”

                    หึหึ ฮะฮะ ฮ่าๆๆๆๆ ขอโทษๆ เรฟปาดน้ำตาที่อยู่หางตาป้อยๆโดยที่ตนเองก็พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ฮะๆ นายคิดได้ยังไงว่าฉันจะเป็นฆ่านาย จะให้ฉันฆ่าเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีเนี่ยนะ! ฉันทำไม่ได้หรอก

                    เรฟานอสส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

                    แล้วนายก็มากังวลฉันเพราะเรื่องแค่นี้น่ะนะ

                    ใครว่าฉันกังวลเรื่องพวกนี้เล่า!” เอลเดลลิออนกอดอก เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ ฉันกังวลอีกเรื่องต่างหาก

                    เรฟานอสเลิกคิ้ว แล้วนายกังวลเรื่องอะไร

                    ก็ภาพตอนที่กำลังสังหารฉันน่ะ... สายตาของนายเศร้ามากเลย เศร้าจนเหมือนว่ากำลังจะตายตามฉันไปเลย
                    ท้ายประโยคเอนเดลลิออนพูดเสียงแผ่ว เขาจำภาพนั้นได้ติดตา ไม่ว่ามันจะเป็นภาพลวงหรืออะไรก็ตาม แต่ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นศร้าสร้อยเสียจนน่าใจหาย เศร้าสร้อยเสียจนคนมองอย่างเขารู้สึกหัวใจบีบรัดจนหายใจไม่ออก

                    ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาต้องมีแววตาแบบนี้ขึ้นเด็ดขาด!

                    “ยิ่งช่วงนี้นายชอบหายตัวไปบ่อยกว่าตอนแรกๆเสียอีก ไหนจะท่าทางของนายที่เปลี่ยนไปและไหนจะเอสตาร์อีก จะไม่ให้ฉันกังวลได้ยังไง

                     เรฟานอสพยักหน้าเข้าใจ

                    นายไม่ต้องกังวลหรอก ฉันไม่ได้ทำเรื่องให้นายต้องปวดหัวหรอกน่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะปกป้องนายเอง

                    มันไม่ใช่แบบนั้นโว้ยยยยย!!!” 

    เอนเดลลิออนถึงกับสติแตก พุ่งตรงมาจับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนผมเงินแล้วเขย่าๆๆท่ามกลางความตกตลึงของท่านอาวุธมีชีวิตที่ยืนมองสถานการณ์อยู่เงียบๆ

    ที่ฉันห่วงน่ะมันนายต่างหาก!! นายมันเป็นพวกนอนน้อยไม่ได้แต่ก็หายออกไปข้างนอกทุกคืนแล้วก็ยังฝืนเรียนต่อเพื่อไม่ให้พวกฉันผิดสังเกต ไหนที่จะชอบทำหน้าเครียดๆเวลาอยู่คนเดียวทั้งๆที่นายไม่ใช่คนคิดมากสักหน่อย!! อย่าให้จิตวิญญาณของใครอีกคนมามีอิทธิพลเหนือกว่าจิตวิญญาณของนายสิ!!”


               อย่าให้จิตวิญญาณของใครอีกคน...

    มีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของเรา...

    เรฟานอสรู้สึกเหมือนมีไม้ขนาดใหญ่มาฟาดสติของเขาอย่างจัง เรฟยึดติดกับภารกิจ จิตวิญญาณของ เขาในตอนอดีต เมื่อหลายพันปีก่อน จนลืมเลือนไปว่าภายในร่างกายของเขาก็ยังมี จิตวิญญาณของมนุษย์ เด็กมนุษย์ที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีอยู่ด้วย

         จิตวิญญาณของเด็กมนุษย์ที่มีความต้องการที่จะทำตามฝัน เรียนหนังสือ เล่นกับเพื่อน และอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข

                    แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่คนที่มีจิตใจอย่าง มนุษย์ จะทำได้เลยสักนิด

                    นี่เขากำลังทำอะไรอยู่...

                    เอนด์... ฉัน... ข้า... เรฟานอสก้มหน้าลงด้วยแววตาสับสน

                    นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่เรฟ  เจ้าชายหนุ่มมองท่าทางสับสนนั้นอย่างไม่เข้าใจ นายกำลังปิดบังอะไรฉันกันแน่

                    อีกนิด..

                    อะไรนะ

                    อีกนิดเรื่องทั้งหมดก็จะจบแล้วล่ะ นายอย่ากังวลไปเลย  เรฟานอสเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกวูบโหวงในใจอย่างแปลกประหลาด

    แต่กระนั้นเอนเดลลิออนก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เจ้าชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกก่อนที่จะพูดกับเรฟานอสด้วยน้ำเสียงมั่นคง

    ไม่ว่าเจ้าคิดที่จะทำอะไร จงจำไว้ ว่าข้าเชื่อใจเจ้าเสมอว่าจบก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจที่จะฟังคำตอบ

    เรฟานอสมองบานประตูที่ปิดสนิทลงด้วยฝีมือของเจ้าชายแห่งไฟร์ออนาซ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงในสิ่งที่เพื่อนรักพูด


             หากถึงตอนนั้นแล้วเจ้าเชื่อใจข้าจนถึงวินาทีสุดท้าย คงจะดีมิใช่น้อย...


     . . .

                . . .

                . . .

                . . .

                . . .

                . . .



     

    น้องเรฟฟฟฟฟ น้องเรฟคะ ทางนี้ๆ

    เรฟานอสที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นรวมของปราสาทสะดุ้งโหยงหันไปมองต้นเสียงที่กำลังกระโดดหย๋องแหย๋งโบกมือเรียกเขาอยู่กลางห้อง

    โดยปกตินักเรียนหน่อยพิเศษค่อนข้างที่จะเก็บตัว ส่วนมากจะอยู่แต่ในห้องของตัวเองหรือไม่ก็เพื่อนสนิทเสียมากกว่า แต่วันนี้กลับแปลกออกไปเมื่อจำนวนประชากรที่อยู่ในห้องนั่งเล่นมีเยอะกว่าปกติมาก ส่วนใหญ่มีแต่รุ่นพี่ปีสี่และพี่ปีสามที่นั่งหน้าซีดอยู่ตรงหน้าพี่คารอสทำให้เรฟานอสรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

    มีอะไรรึเปล่าครับ  เรฟเดินเข้าไปหาแชนเดรีย รุ่นพี่ปีสี่ที่เรียกเขาเมื่อครู่

    คืออย่างนี้ พวกพี่กำลังจับคู่ซ้อมดาบกับพวกปีสามกันอยู่น่ะ แล้วพอดีเจ้าอาเชลที่เป็นรองหัวหน้าชั้นปีสามไม่อยู่ทำให้ขาดไปคนนึง น้องเรฟช่วยพี่หน่อยได้มั๊ยจ๊ะ

    เอ๋? แล้วพี่ปีสองล่ะครับ

    แชนเดรียชักสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดและพูดอย่างเข่นเคี้ยว

    เจ้าพวกปีสองมันไม่ได้เรื่อง พอพี่บอกว่าขาดไปคนนึงเจ้าพวกนั้นก็พร้อมใจกันหายวับไปไหนก็ไม่รู้


               ความซวยเลยมาตกอยู่ที่เขาสินะ...

    เรฟานอสหัวเราะแห้งๆและแอบปลงให้กับชะตากรรมของตัวเอง ถึงเขาจะอยากวัดฝีมือกับรุ่นพี่แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเร็วๆนี้เสียหน่อย

    แล้ว...ผมต้องคู่กับใครหรอครับ

    แชนเดรียยิ้มกว้างแล้วผายมือไปทางคนที่ยืนทำหน้านิ่งใส่ปีสามโดยไม่รับรู้การมีอยู่ของเรฟเลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนจะรู้ตัวว่าโดนจ้อง ดวงตาสีรัตติกาลจึงเบนสายตาขึ้นมาสบเข้ากับดวงตาสีน้ำเงินใสอีกคู่ที่กำลังนิ่งค้างอย่างตกตะลึงไม่ต่างกัน

    คารอสยังไงล่ะ

    ไม่ได้ / ไม่ได้นะครับ!!!”

    สองเสียงประสานกันทำให้แชนเดรียมองคนทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่เรนเดลกำลังกลั้นหัวเราะกึกกึกกับท่าทางเอ๋อรับประทานของเพื่อนสนิทและรุ่นน้องคนดัง

    ทำไมล่ะ

    เอ่อ... เรฟทำหน้าลำบากใจ

    บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้!!”  คารอสขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด เรนเดลที่กลั้นหัวเราะจนเหนื่อยเดินเข้ามาช่วยเพื่อนทั้งที่ใบหน้าตัวเองกำลังยิ้มกว้างอย่างสะใจ

    คืองี้นะแชน.. เธอจำเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ที่สอนการต่อสู้ได้รึเปล่า

    เรื่องที่ว่าหากศิษย์สามารถสังหารหรือเอาชนะอาจารย์ได้จะถือว่าสอบผ่าน แต่ถ้าหากอาจารย์ชนะศิษย์จะต้องกลับมาเรียนสิ่งที่อาจารย์สอนใหม่ตั้งแต่ต้นน่ะหรอ จำได้สิ แล้วมันเกี่ยวกันยังไง

    แชนเดรียถามอย่างไม่เข้าใจ

    เธอจำได้ไหมว่าตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่เจ้าคารอสมันบ่นให้ฟังถึงเรื่องที่ต้องกลับไปเรียนใหม่กี่ครั้ง

    เรนเดลพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น โดยที่ไม่สนใจคนถูกพูดถึงเลยว่าทำหน้าซังกะตายขนาดไหน

    สิบเก้าครั้ง ทำไม

    นั่นแหละ เรนเดลดีดนิ้วเปาะแล้วยิ้มกว้างให้เพื่อนสาว แล้วเธออยากให้มันกลับไปเรียนใหม่เป็นรอบที่ยี่สิบอย่างนั้นหรอ

    แชนเดรียถึงกับเบิกตากว้างหันไปมองเพื่อนและรุ่นน้องอย่างไม่อยากเชื่อ เรฟานอสส่งยิ้มแหยให้รุ่นพี่สาวในขณะที่คารอสผ่อนลมหายใจอย่างแรงราวกับไม่ได้อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่

    ฉันถึงบอกไงว่าไม่ได้ เพราะเรฟน่ะ...

    . . .

    . . .

    . . .

    . . .

               . . .

               . . .



     

    เป็นอาจารย์ของฉัน











    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    อยากจะสารภาพว่าความจริงไรต์ไม่ได้ตั้งใจแต่งให้เศร้าเลยค่ะ T^T
    แต่อาจจะเป็นเพราะว่าแนวของไรต์มันแต่งแบบนี้และทำให้เรื่องดูเศร้า
    แต่ไรต์ก็จะพยายามหาอะไรที่มันไม่เศร้าจนเกินไปมาแทรกนะคะ
    รีดทุกคนจะได้ไม่มีไอทะมึนติดตัวหลังจากอ่านนิยายเรื่องนี้ 5555555
    ขอบคุณสำหรับคอมเม้น
    เจอกันตอนหน้าจ้าาาา







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×