คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 11
บทที่ 11
ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบของนักเรียนหน่วยพิเศษแห่งโรงเรียนเตรียมอัศวินคาเรเนียส ได้มีร่างใหญ่ของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญแฝงกายเข้ามากับความมืดเข้ามาอย่างเงียบๆ ร่างนั้นหันรีหันขวางเพื่อดูต้นทาง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมันจึงพุ่งตัวออกมาจากความมืดหมายจะเข้าไปในปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ตึง!
เสียงอะไรบางอย่างปะทะเข้ากับของแข็งดังสนั่นไปทั่วทั้งปราสาทแต่กลับไม่มีใครเลยที่จะเปิดหน้าต่างหรือออกมาดูต้นกำเนิดของเสียงราวกับไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นทำให้บุคคลที่หมายจะลักลอบเข้ามาที่กำลังล้มลงอย่างหมดสภาพเมื่อปะทะเข้ากับของแข็งเมื่อครู่ตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนกำลังอยู่ในอาณาเขตของเจ้าบ้านเสียแล้ว
กับดัก!!
สิ่งที่ชายคนนั้นพบคือเขากำลังอยู่ในสิ่งที่เหมือนกับโดมแก้วสีน้ำเงินใสขนาดใหญ่ โดมใสที่เขาเข้ามาอย่างไม่ทันรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!” ชายคนนั้นบ่นอย่างหัวเสีย
“อา... จับหนูได้อีกตัวซะแล้วแฮะ” เสียงใสดังขึ้นภายนอกโดมแก้วทำให้คนที่ติดอยู่ภายในหันไปมองด้วยใบหน้าซีดเผือด ดวงตาสีน้ำเงินใสจับจ้องไปยังแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยรอยยิ้มแต่แววตานั้นกลับเย็นยะเยียบจนน่าขนลุก
“ไม่รู้หรือครับว่าหอปิดสามทุ่มครึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมานานมากแล้ว ถ้าจะมาติดต่อน่าจะมาตอนเช้านะครับ...” คนพูดปิดปากหาว ดวงตาปรือลงอย่างคนง่วงเต็มที่ “มากวนเวลานอนของผมยามค่ำคืนแบบนี้... นิสัยไม่ดีเลยนะครับ”
“ท่าน..ท่านคือ..”
อีกฝ่ายเมื่อพิจารณาใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดๆถึงกับเบิกตากว้าง พูดตะกุกตะกักอย่างนึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับท่านผู้นั้นเร็วขนาดนี้ ซึ่งการพบกันครั้งนี้ก็ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่เสียด้วย
ผู้บุรุกถึงกับอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆกับความซวยซ้ำซวยซ้อนของตน
“อ่า... รู้จักผมด้วยหรอครับ” เด็กหนุ่มยิ้มอ่อนโยน “ไม่นึกเลยว่าจะมีคนจำผมได้”
และแล้วใบหน้างามนั้นก็อุทานขึ้นมาเบาๆแล้วทำหน้าสงสัยขณะหันไปมองยังแขกยามวิกาล
“เอ๊ะ ไม่ใช่ ‘คน’ สิเนอะ... เทพต่างหาก”
“ข... ขออภัย ข้าไม่นึกว่าท่านจะอยู่ที่นี่ หากข้ารู้ ข้าจะ... ข้าจะ...” ชายร่างหนาลนลานอย่างเห็นได้ชัด
“หากเจ้ารู้ เจ้าจะไม่เข้ามาอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าไม่ใช่นะ” คนพูดยิ้มบาง มือแกร่งจับผมที่กำลิงปลิวไสวของตนไม่ให้บดบังใบหน้า คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นอย่างสงสัย
“ใครเป็นนายของเจ้า”
ผู้บุกรุกเม้มปากแน่นไม่ยอมเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา แต่ก็ไม่แสดงท่าทีขัดขืนดิ้นรนอย่างรู้ว่าอย่างไรก็ทำอันตรายคนตรงหน้าไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นผม ชายหนุ่มเจ้าของโดมสีน้ำเงินใสถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะมองอาวุธ... ดาบสีทองในมือของอีกฝ่ายแล้วยกยิ้ม
“ตอนแรกถ้าเจ้าบอกว่าเป็นใครข้าก็จะยอมละชีวิตของเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมบอกก็ช่างเถอะ ข้าไม่อยากรู้เท่าไหร่”
คนที่ไม่ยอมบอกชื่อเจ้านายมองเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วข่มความหวาดกลัวที่ก่อขึ้นในหัวใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่ท่านผู้นั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เป็นบุรุษผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่การกระทำช่างราวกับไร้หัวใจอยู่วันยันค่ำ…
“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอลาเลยแล้วกันนะครับ”
คำบอกลาสั้นๆง่ายๆถูกส่งไปให้ชายในโดมแก้วก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในปราสาทตามเดิม เสียงโหยหวนแสดงถึงความเจ็บปวดดังเข้ามาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะเงียบสนิทลงราวกับว่าต้นตอของเสียงนั้นไร้ซึ่งลมหายใจเสียแล้ว
เสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อดวงตาสีน้ำเงินสังเกตเห็นใครบางบนยืนรอตนอยู่ที่สุดปลายบันได
ร่างสูงยืนกอดอกพิงราวบันไดราวกับกำลังรอใครสักคนทั้งๆที่เวลาล่วงเลยมาจนนาฬิกาตีบอกเวลาสิบสองนาฬิกาแล้ว ดวงตาสีรัตติกาลนิ่งสงบมองตรงมายังหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังเดินขึ้นมานิ่ง นัยน์ตาสองสีประสานกันก่อนที่คนเป็นน้องจะแย้มยิ้มออกมาก่อน
“พี่มายืนทำอะไรตอนนี้ครับพี่คารอส ดึกแล้วนะครับ”
“ข้ามากกว่าที่ควรจะถามท่าน ว่าท่านออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆป่านนี้” รุ่นพี่หนุ่มตอบเสียงเรียบ แต่สรรพนามที่ใช้กลับบ่งบอกถึงความเคารพของรุ่นพี่ต่อหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้ามาก
“พอดีผมได้กลิ่น ‘หนูสกปรก’ ก็เลยออกมาดูนิดหน่อย” รุ่นน้องยิ้ม “งั้นผมขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะครับพี่คารอส”
ว่าจบก็เดินผ่านหนุ่มรุ่นพี่ผู้มีศักดิ์เป็นรองหัวหน้าหน่วยพิเศษเพื่อกลับไปยังห้องของตน
“เดี๋ยว!”
เสียงเรียกทำให้ร่างที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงักแต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองแต่อย่างใด
“ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าข้าไม่ปล่อยให้ท่านทำอะไรตามใจเพียงตัวคนเดียวแน่”
คำพูดที่ถูกย้ำขึ้นอีกครั้งทำให้เด็กรุ่นน้องยกยิ้มอย่างถูกใจ ก่อนที่จะเดินกลับไปยังห้องพักของตนโดยไม่ได้สนใจสายตาที่ทอดมองมายังห่วงใยเลยแม้แต่น้อย
แน่นอน... ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต่อสู้อยู่คนเดียวแน่...
“ท่านแน่ใจแล้วหรือท่านเรฟ ว่าท่านยืนยันที่จะทำอย่างนี้”
เสียงทุ้มที่ผู้พูดกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลทำให้ร่างที่กำลังนอนอ่านหนังสือสบายใจอยู่บนเตียงชำเลืองสายตาไปยังผู้พูดก่อนที่จะเบนสายตากลับมาที่ตัวหนังสือตรงหน้าอีกครั้ง
“แล้วทำไมข้าถึงต้องไม่แน่ใจด้วยล่ะ”
“ก็เพราะพวกเขาเป็นสหายของท่านน่ะสิ!” คนพูดขึ้นเสียงใส่คนที่นอนสบายใจอย่างเผลอตัวก่อนที่จะปิดปากฉับเมื่อดวงตาสีน้ำเงินใสปรายตามาทางตนด้วยแววตาคมปราบอย่างปรามๆ
“ก็เพราะว่าเป็น ‘เพื่อน’ น่ะสิ ข้าถึงได้ทำอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพวกนั้น เจ้านั่นคงไม่...”
ดวงตาที่มักจะอ่อนโยนอยู่เป็นนิจวาวโรจขึ้นมาอย่างโกรธแค้น ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบปรับให้กลับมาอบอุ่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูและเสียงเรียกอันคุ้นเคย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เรฟ ฉันเอนเดลลิออน... ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
“เข้ามาสิเอนด์ ฉันไม่ได้ล็อก”
เมื่อได้ยินคำอนุญาต ประตูไม้เนื้อดีก็ถูกเปิดเข้ามาจากข้างนอกเผยให้เห็นถึงร่างสูงของเจ้าชายผมแดงจากดินแดนแห่งเปลวเพลิง เอนเดลลิออนปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบแล้วเดินตรงเข้ามานั่งที่เก้าอี้ไม่ไกลจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะทักทายท่านอาวุธในตำนานที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆเจ้านายที่นอนแผ่หราอย่างสบายใจด้วย
“ สวัสดีท่านเอสตาร์ วันนี้ท่านดูเคร่งเครียดจังนะครับ”
“เรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องทักก็ได้ เจ้าหนู” คนเคร่งเครียดตอกกลับ เอนเดลลิออนยิ้มทะเล้น
“ก็แค่ทักตามมารยาท” ว่าพร้อมหันไปหาคนที่กำลังนอนอ่านหนังสือ “เรฟ บอกฉันมาตามตรง”
“อะไร”
เรฟานอสถามโดยไม่ละสายตาไปจากตัวหนังสือ โดยที่คนฟังหารู้ไม่ว่าสมาธิของคนพูดไม่ได้จดจ่ออยู่กับหนังสืออีกต่อไปแล้ว
“เมื่อคืน... นายหายไปไหนมา”
“ฉันก็อยู่ในห้องน่ะสิ” น้ำเสียงของเรฟานอสยังคงไม่ใส่ใจราวกับมันเป็นคำถามที่รู้ๆคำตอบกันอยู่แล้ว
“แต่ฉันเรียกนายตั้งนานนายไม่เห็นตอบกลับมาเลย” เอนเดลลิออนยังคงถามอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันนอนแล้วล่ะมั๊ง นายอย่าลืมสิว่าฉันเป็นคนนอนเร็ว ก่อนนอนไม่พอมันทำให้ฉันหลับในคาบเรียน”
“แต่...”
ฉึบ!
เรฟปิดหนังสือลงอย่างแรงขัดบทสนทนาแล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง จากนั้นจึงลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ เอียงคอมองเพื่อนที่วันนี้ดูเหมือนจะวิตกกังวลมากกว่าทุกทีอย่างสงสัย
“นายเป็นอะไรเอนด์ ทุกทีนายไม่เป็นอย่างนี้นี่นา”
“นายนั่นแหละเป็นอะไรเรฟ นายรู้ตัวไหมว่าตั้งแต่เข้าโรงเรียนมานายทำตัวแปลกไปจากเดิมมาก นายนิ่ง นายเย็นชา รอยยิ้มนั่นมันอะไร นายเคยยิ้มออกมาจากใจสักครั้งบ้างรึเปล่า นายทำตัวลึกลับขึ้น นายปิดบังอะไรบางอย่างกับฉัน ไหนจะภาพนั่นอ...!!!”
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าค่อยๆโค้งลงมาตามจำนวนสิ่งที่เพื่อนรักพูดจนมันกลายเป็นเส้นตรง นัยน์ตาสีน้ำเงินมาเพื่อนด้วยแววตานิ่งเรียบ เอนเดลลิออนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองหลุดปากอะไรออกไปถึงกับหน้าซีดเผือด มองใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มของเรฟานอสอย่างเป็นกังวล
“นายเห็นอะไร”
เอนเดลลิออนนิ่ง
“ฉันถามว่านายเห็นอะไร เอนด์”
“ฉันเห็นนาย”
“ว่าไงนะ” เรฟานอสทำหน้าไม่อยากเชื่อจนเจ้าชายหนุ่มต้องพูดย้ำ
“ฉันเห็นนาย เรฟ ฉันเห็นนาย...สังหารฉัน”
คำพูดสุดท้ายช่างเอื้อนเอ่ยออกมาได้อย่างยากเย็นนักสำหรับเอลเดลลิออน ใครจะเชื่อล่ะว่าเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสิบปีจะเป็นคนสังหารตนเอง
แต่นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้...
หึหึ เรฟานอสหัวเราะในลำคออย่างกลั้นไม่อยู่จนคนพูดหันมาค้อนควับ
“ขำอะไรของนาย ฉันจริงจังนะ!!”
“หึหึ ฮะฮะ ฮ่าๆๆๆๆ ขอโทษๆ” เรฟปาดน้ำตาที่อยู่หางตาป้อยๆโดยที่ตนเองก็พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ “ฮะๆ นายคิดได้ยังไงว่าฉันจะเป็นฆ่านาย จะให้ฉันฆ่าเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีเนี่ยนะ! ฉันทำไม่ได้หรอก”
เรฟานอสส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“แล้วนายก็มากังวลฉันเพราะเรื่องแค่นี้น่ะนะ”
“ใครว่าฉันกังวลเรื่องพวกนี้เล่า!” เอลเดลลิออนกอดอก เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉันกังวลอีกเรื่องต่างหาก”
เรฟานอสเลิกคิ้ว “แล้วนายกังวลเรื่องอะไร”
“ก็ภาพตอนที่กำลังสังหารฉันน่ะ... สายตาของนายเศร้ามากเลย เศร้าจนเหมือนว่ากำลังจะตายตามฉันไปเลย”
ท้ายประโยคเอนเดลลิออนพูดเสียงแผ่ว เขาจำภาพนั้นได้ติดตา ไม่ว่ามันจะเป็นภาพลวงหรืออะไรก็ตาม แต่ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นศร้าสร้อยเสียจนน่าใจหาย เศร้าสร้อยเสียจนคนมองอย่างเขารู้สึกหัวใจบีบรัดจนหายใจไม่ออก
ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาต้องมีแววตาแบบนี้ขึ้นเด็ดขาด!
“ยิ่งช่วงนี้นายชอบหายตัวไปบ่อยกว่าตอนแรกๆเสียอีก ไหนจะท่าทางของนายที่เปลี่ยนไปและไหนจะเอสตาร์อีก จะไม่ให้ฉันกังวลได้ยังไง”
เรฟานอสพยักหน้าเข้าใจ
“นายไม่ต้องกังวลหรอก ฉันไม่ได้ทำเรื่องให้นายต้องปวดหัวหรอกน่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะปกป้องนายเอง”
“มันไม่ใช่แบบนั้นโว้ยยยยย!!!”
เอนเดลลิออนถึงกับสติแตก พุ่งตรงมาจับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนผมเงินแล้วเขย่าๆๆท่ามกลางความตกตลึงของท่านอาวุธมีชีวิตที่ยืนมองสถานการณ์อยู่เงียบๆ
“ที่ฉันห่วงน่ะมันนายต่างหาก!! นายมันเป็นพวกนอนน้อยไม่ได้แต่ก็หายออกไปข้างนอกทุกคืนแล้วก็ยังฝืนเรียนต่อเพื่อไม่ให้พวกฉันผิดสังเกต ไหนที่จะชอบทำหน้าเครียดๆเวลาอยู่คนเดียวทั้งๆที่นายไม่ใช่คนคิดมากสักหน่อย!! อย่าให้จิตวิญญาณของใครอีกคนมามีอิทธิพลเหนือกว่าจิตวิญญาณของนายสิ!!”
อย่าให้จิตวิญญาณของใครอีกคน...
มีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของเรา...
เรฟานอสรู้สึกเหมือนมีไม้ขนาดใหญ่มาฟาดสติของเขาอย่างจัง เรฟยึดติดกับภารกิจ จิตวิญญาณของ ‘เขาในตอนอดีต’ เมื่อหลายพันปีก่อน จนลืมเลือนไปว่าภายในร่างกายของเขาก็ยังมี ‘จิตวิญญาณของมนุษย์’ เด็กมนุษย์ที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีอยู่ด้วย
จิตวิญญาณของเด็กมนุษย์ที่มีความต้องการที่จะทำตามฝัน เรียนหนังสือ เล่นกับเพื่อน และอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข
แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่คนที่มีจิตใจอย่าง มนุษย์ จะทำได้เลยสักนิด
นี่เขากำลังทำอะไรอยู่...
“เอนด์... ฉัน... ข้า...” เรฟานอสก้มหน้าลงด้วยแววตาสับสน
“นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่เรฟ” เจ้าชายหนุ่มมองท่าทางสับสนนั้นอย่างไม่เข้าใจ “นายกำลังปิดบังอะไรฉันกันแน่”
“อีกนิด..”
“อะไรนะ”
“อีกนิดเรื่องทั้งหมดก็จะจบแล้วล่ะ นายอย่ากังวลไปเลย” เรฟานอสเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกวูบโหวงในใจอย่างแปลกประหลาด
แต่กระนั้นเอนเดลลิออนก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เจ้าชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกก่อนที่จะพูดกับเรฟานอสด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ไม่ว่าเจ้าคิดที่จะทำอะไร จงจำไว้ ว่าข้าเชื่อใจเจ้าเสมอ” ว่าจบก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจที่จะฟังคำตอบ
เรฟานอสมองบานประตูที่ปิดสนิทลงด้วยฝีมือของเจ้าชายแห่งไฟร์ออนาซ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงในสิ่งที่เพื่อนรักพูด
หากถึงตอนนั้นแล้วเจ้าเชื่อใจข้าจนถึงวินาทีสุดท้าย คงจะดีมิใช่น้อย...
. . .
. . .
. . .
. . .
. . .
. . .
“น้องเรฟฟฟฟฟ น้องเรฟคะ ทางนี้ๆ”
เรฟานอสที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นรวมของปราสาทสะดุ้งโหยงหันไปมองต้นเสียงที่กำลังกระโดดหย๋องแหย๋งโบกมือเรียกเขาอยู่กลางห้อง
โดยปกตินักเรียนหน่อยพิเศษค่อนข้างที่จะเก็บตัว ส่วนมากจะอยู่แต่ในห้องของตัวเองหรือไม่ก็เพื่อนสนิทเสียมากกว่า แต่วันนี้กลับแปลกออกไปเมื่อจำนวนประชากรที่อยู่ในห้องนั่งเล่นมีเยอะกว่าปกติมาก ส่วนใหญ่มีแต่รุ่นพี่ปีสี่และพี่ปีสามที่นั่งหน้าซีดอยู่ตรงหน้าพี่คารอสทำให้เรฟานอสรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“มีอะไรรึเปล่าครับ” เรฟเดินเข้าไปหาแชนเดรีย รุ่นพี่ปีสี่ที่เรียกเขาเมื่อครู่
“คืออย่างนี้ พวกพี่กำลังจับคู่ซ้อมดาบกับพวกปีสามกันอยู่น่ะ แล้วพอดีเจ้าอาเชลที่เป็นรองหัวหน้าชั้นปีสามไม่อยู่ทำให้ขาดไปคนนึง น้องเรฟช่วยพี่หน่อยได้มั๊ยจ๊ะ”
“เอ๋? แล้วพี่ปีสองล่ะครับ”
แชนเดรียชักสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดและพูดอย่างเข่นเคี้ยว
“เจ้าพวกปีสองมันไม่ได้เรื่อง พอพี่บอกว่าขาดไปคนนึงเจ้าพวกนั้นก็พร้อมใจกันหายวับไปไหนก็ไม่รู้”
ความซวยเลยมาตกอยู่ที่เขาสินะ...
เรฟานอสหัวเราะแห้งๆและแอบปลงให้กับชะตากรรมของตัวเอง ถึงเขาจะอยากวัดฝีมือกับรุ่นพี่แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเร็วๆนี้เสียหน่อย
“แล้ว...ผมต้องคู่กับใครหรอครับ”
แชนเดรียยิ้มกว้างแล้วผายมือไปทางคนที่ยืนทำหน้านิ่งใส่ปีสามโดยไม่รับรู้การมีอยู่ของเรฟเลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนจะรู้ตัวว่าโดนจ้อง ดวงตาสีรัตติกาลจึงเบนสายตาขึ้นมาสบเข้ากับดวงตาสีน้ำเงินใสอีกคู่ที่กำลังนิ่งค้างอย่างตกตะลึงไม่ต่างกัน
“คารอสยังไงล่ะ”
“ไม่ได้ / ไม่ได้นะครับ!!!”
สองเสียงประสานกันทำให้แชนเดรียมองคนทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่เรนเดลกำลังกลั้นหัวเราะกึกกึกกับท่าทางเอ๋อรับประทานของเพื่อนสนิทและรุ่นน้องคนดัง
“ทำไมล่ะ”
“เอ่อ...” เรฟทำหน้าลำบากใจ
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้!!” คารอสขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด เรนเดลที่กลั้นหัวเราะจนเหนื่อยเดินเข้ามาช่วยเพื่อนทั้งที่ใบหน้าตัวเองกำลังยิ้มกว้างอย่างสะใจ
“คืองี้นะแชน.. เธอจำเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ที่สอนการต่อสู้ได้รึเปล่า”
“เรื่องที่ว่าหากศิษย์สามารถสังหารหรือเอาชนะอาจารย์ได้จะถือว่าสอบผ่าน แต่ถ้าหากอาจารย์ชนะศิษย์จะต้องกลับมาเรียนสิ่งที่อาจารย์สอนใหม่ตั้งแต่ต้นน่ะหรอ จำได้สิ แล้วมันเกี่ยวกันยังไง”
แชนเดรียถามอย่างไม่เข้าใจ
“เธอจำได้ไหมว่าตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่เจ้าคารอสมันบ่นให้ฟังถึงเรื่องที่ต้องกลับไปเรียนใหม่กี่ครั้ง”
เรนเดลพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น โดยที่ไม่สนใจคนถูกพูดถึงเลยว่าทำหน้าซังกะตายขนาดไหน
“สิบเก้าครั้ง ทำไม”
“นั่นแหละ” เรนเดลดีดนิ้วเปาะแล้วยิ้มกว้างให้เพื่อนสาว “แล้วเธออยากให้มันกลับไปเรียนใหม่เป็นรอบที่ยี่สิบอย่างนั้นหรอ”
แชนเดรียถึงกับเบิกตากว้างหันไปมองเพื่อนและรุ่นน้องอย่างไม่อยากเชื่อ เรฟานอสส่งยิ้มแหยให้รุ่นพี่สาวในขณะที่คารอสผ่อนลมหายใจอย่างแรงราวกับไม่ได้อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่
“ฉันถึงบอกไงว่าไม่ได้ เพราะเรฟน่ะ...”
. . .
. . .
. . .
. . .
. . .
. . .
“เป็นอาจารย์ของฉัน”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อยากจะสารภาพว่าความจริงไรต์ไม่ได้ตั้งใจแต่งให้เศร้าเลยค่ะ T^T
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าแนวของไรต์มันแต่งแบบนี้และทำให้เรื่องดูเศร้า
แต่ไรต์ก็จะพยายามหาอะไรที่มันไม่เศร้าจนเกินไปมาแทรกนะคะ
รีดทุกคนจะได้ไม่มีไอทะมึนติดตัวหลังจากอ่านนิยายเรื่องนี้ 5555555
ขอบคุณสำหรับคอมเม้น
เจอกันตอนหน้าจ้าาาา
ความคิดเห็น