คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : พฤกษาฆ่าคน(ปีศาจ)
ส่วนของเฮคเตอร์
ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าการมาเข้าโรงเรียนดากร์คฮันเตอร์เป็นความคิดที่ผิดอย่างแรงการที่เราไม่รับรู้อะไรนอกจากสีดำและความฝันโดยที่เราไม่สมัครใจนั้น ผมเจอมันบ่อยมากจนชักคิดว่าผมนอนบ่อยมากน่าจะงดนอนสักสองสามสัปดาห์ติดกันได้แล้วด้วยซ้ำ อ้อมโลกครบหนึ่งรอบ(?)วนกลับมาที่เดิมกันดีกว่า!
ผมรับรู้ถึงความมืดที่มืดสนิดมองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเองที่ยกขึ้นมาจ่อหน้าตาตัวเอง ทั้งกลิ่นเหม็นเน่าที่ตลบไปทั่วเป็นกลิ่นคาวแปลกๆคล้ายกลิ่นสนิมไหม้และกลิ่นอับชวนอ้วก
‘อ้ากกกกกกกกกก’
เสียงหวีดร้องโหยหวนดังระงมไปทั่วบริเวณที่ผมอยู่ ผมคาดว่าผมคงอยู่ในห้องแคบๆเพราะเสียงที่ผมได้ยินมันสะท้อนไปมาหลายรอบ
ฉัว!
‘อ้ากกกกกกกกกก’
ฉับ!
‘หยุดเถอะได้โปรด’
ฉึก!
‘โอ๊ยยยยยยย’
เสียงของมีคมกระทบเนื้อดังขึ้นสลับกับเสียงโหยหวนดังมาไม่ขาดสาย ผมรอจนสายตาเริ่มชินกับความมืดแล้วมองไปรอบๆ ที่นี้เป็นเหมือนคุกกำแพงสี่ทิศสร้างจากอิฐก้อนโตฉาบปูนหยาบๆ เพดานเอียงๆที่น่าจะสร้างจากหินก้อนยักษ์วางเอาไว้แล้วฉาบปูนให้ติดกับพนังเฉยๆ ที่พื้นน่าจะเป็นแผ่นเหล็กบางๆที่มีรูเพราะมีลมพัดขึ้นมาเป็นวูบๆและแสงวูบวาบตอนที่มีเสียงโหยหวนหรือเสียงใครสักคนกำลังโดนทรมาณดังขึ้น ห้องนี้ไม่มีหน้าต่างหรือประตูเลยสักบาน
“ชักอยากลาออกแล้วสิ” ผมบ่นเบาๆคนเดียว
“สวัดดีขอรับ... ท่านเฮคเตอร์ ยินดีที่ได้พบกัน ไม่สิบรรยากาศแบบนี้คงไม่น่ายินดีเท่าไหร่ เราไปคุยกันที่อื่นไหมขอรับ?” เสียงปริศนาดังขึ้นอยู่ข้างหูผม พร้อมมือที่เลื่อนมารวบมือผมไว้ ก่อนจะพลิกผมให้หันไปหา ผมเพ่งมองหน้าเขาแต่ก็ยังมองไม่ค่อยชัด “แต่ก็... ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ ข้ามีนามว่า ‘เบ้งก้า’ ขอรับ ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อมาพาท่านออกจากสถานที่แห่งนี้” เบ้งก้าปล่อยมือผมก่อนขณะพูดไม่หยุด เขาผู้นี้ใส่หน้ากากครึ่งหน้าสีขาว เส้นผมสีเขียวสวยยาวไม่มาก ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากวาวเป็นออร่าสีเขียวแวบๆเมื่อเขาขยับหน้า
“มากับข้าเถอะขอรับ ออกไปจากที่นี้กัน” เบ้งก้ายื่นมือมาให้ผม
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คือ... ผมเดินไม่ไหวครับ เหมือนกระดูกเอวจะเลื่อน” ผมบอกเบ้งก้า
เขาลดมือลงก่อนยิ้มกว้าง “นั้นไม่ใช่ปัญหาครับ”
หลังเขพูดจบแสงสีเขียวเข้มเป็นประกายงดงามก็สว่างเป็นวงเวทเคลื่อนย้าย
“ทำไมคุณถึงช่วยผม?” ดูจากสภาพแล้วผมอยู่ใน คุก เขาจะมาช่วยคนติดคุกทำไม?
“... นั้นสินะครับ ทำไมกันนะ? อาจจะมึนงงมากหน่อยนะครับ” เบ้งก้าพูดอย่างไม่ใส่ใจพลางหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาไปทั่วห้อง
ผมก็ไม่รู้ว่าจะปฎิเศษการให้ความช่วยเหลือนี้อย่างไร เพราะวงเวทมีอยู่ทั้งหกทิศ และถึงผมจะปฏิเศษได้ผมก็ไม่รู้จะออกไปเองยังไงอยู่ดี แต่ทันที่ทีผมตอบรับความช่วยเหลือผมก็ปวดต้นคอเป็นที่สุด
“เลือดของท่าน... รสชาติเยี่ยมไปเลยนะขอครับ” เสียงเบ้งก้าดังขึ้น “นอนต่ไปอีสักพักเถอะขอรับ กระผมจะคอยดูแลท่าน... ให้ท่านได้รับความทรมาณให้ถึงที่สุด”
งั้นจะมาช่วยผมตั้งแต่แรกทำไม? ผมคิดก่อนจะค่อยๆหมดสติลง
ส่วนของโซว์
“เอาจริงอ่ะ?” ข้าถามอย่างหวาดกลัวไฟวัสต์เป็นที่สุด
“อ่ะนะ” ไฟวัสต์ไหวไหล่ตอบ
ตรงหน้าของข้ามีแต่ซอมบี้เต็มไปหมดน่ากลัวชะมัด อะไรนะ? ระดับข้าไม่น่ากลัวซอมบี้? ก็จริงแหละ แต่!ด้านหน้าข้าตอนนี้มีฝูงปีศาจซอมบี้ไคมีร่าซอมบี้บ้างมังกรซอมบี้บ้าง การที่ไฟวัสต์จะใช้ข้าเป็นเหยื่อแล้วที่เหลือล่วงหน้าไปก่อนนี่มันก็แลโหดร้ายไปหน่อยนะ แต่ใครจะไปขดเฮียแกได้? มีหวังโดนเชือดไม่รู้ตัว
“งั้นก็ได้” ข้าตอบอย่างไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
“ก็ดี” พี่แกตอบ แต่แทนที่ทุกคนจะมุ่งหน้าไปก่อนกลับนั่งดูอยู่เฉยๆ โดยที่ไฟวัสต์ไม่ว่าอะไร ...
“ผลึกแก้ว” ข้าเรียกไอความเย็นให้มารวมกันที่ฝ่ามือ
“แล่เนื้อ” หลังข้าพูดจบแท่งน้ำแข็งนับพันก็พุ่งขึ้นมาจากดิน เสียบทะลุเหล่าซอมบี้น่าสงสารทั้งหลายจนตายคาที่ และหลังจากที่ตายก็ทิ้งร่องรอยว่าข้า โซว์ เฟย์วัส ไซเวียส ผู้นี้ได้สำแดงเดชที่นี้แล้วโดยเกิดผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่คล้ายแก้วที่ข้างในมีฝูงซอมบี้โดนแช่แข็งอยู่นั้นเอง
ปกติแล้วการร่ายเวทสาปแช่งหรือฆ่าอะไรสักอย่างต้องใช้เวลาในการสวดบทสวดนานเป็นชั่วโมงบางทีอาจเป็นวัน แต่ข้าไม่ใช่พวกไรสมองกระจอกพวกนั้นข้าร่ายเวทได้ดีกว่าเพียงจับจุดเล็กน้อยและใช้พลังธรรมชาติกับธาตุในกายช่วย การฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอมตะจึงไม่อยากเลยสำหรับข้า
“ที่นี้ช่วยอะไรอีอย่างนะโซว์” ไฟวัสต์ที่บิดขี้เกียจอวดกล้ามสวยพูดโดยไม่มองหน้าข้า
“จะอะไรก็เอาเถอะ ถึงเจ้าสั่งให้ข้าเอาหัวมุดดินทั้งชาติข้าก็ยอมทำ”
ไฟวัสต์ยิ้มกว้าง “ดีเลยงั้น ช่วยพูดตามที่เรฮันบอกทีนะ”
เจ้าสั่งข้าก็มีแต่ต้องทำไม่ใช่หรือไง?
“ที่นี้ใช้กำแพงเวทมายาเป็นผู้พิทักษ์ชั้นที่สอง” มิลเกลพูดยิ้มๆ แต่ข้าเหงื่อตก “รหัสผ่านมีสองชั้น” มิกเกลพูดต่อ “เรฮันบอกไปสิ” มิกเกลหันไปพูดกับเรฮัน เขาพยักหน้าเบาๆ
“ท่านต้องพูดว่า.....ด้วยน้ำเสียงดัดจริตด้วยนะขอรับ” เรฮันกระซิบบอกข้า
หมดกันน้ำเสียงสุดไพเราะที่ข้าภูมิใจ “จะลองดู” ข้าตอบก่อนสูดหายใจเข้า
ตอนนี้ข้ายื่นอยู่หน้ากำแพงเวทสูงใหญ่ซึ่งเป็นปราการที่สองก่อนเข้าถ้ำไนท์ทามนั้นแหละ “ท่านหัวหน้าดากร์คบลัดผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอเข้าไปหน่อยนะคร้าบ” ข้าแอ๊บเสี่ยงให้แหลมที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘รหัสผ่านถูกต้อง แสกนรหัสเสียง กรุณาพูดว่า อ๊างกำแพงเวทเก่งที่สุดเลย ด้วยขอรับ’ เสียงทื่อๆแบบหุ่นยนต์ตอบกลับมา
“ฝันไปเถอะเจ้างี่เง่า อ่อ!วันนี้ข้ามีแขกนะ” ข้า (แบ๊วเสียง) พูดตอบ
‘ชิ รหัสเสียงถูกต้องเชิญเข้ามาขอรับ’
สิ้นเสียงข้าก็มองผลงาน(การดัดเสียง)อย่างพึงพอใจก่อนจะรีบร่ายเวทพรางตัวคลุมทุกตนแล้วเดินเข้าไปด้านในถ้ำทันที
ในถ้ำไนท์ทามมีคนเดินอยู่ไม่มากนักและแทบไม่มีปีศาจอยู่ ด้วยเวทพรางตัวของข้าทำให้ไม่มีใครเห็นพวกข้า และต่อให้ตั้งวงร้องโอเปร่าดังขนาดไหนก็ไม่มีใครได้ยินแน่นอน
“เฮคเตอร์อยู่ที่คุกใต้ดินชั้นแรก” เลย์ไลย์ที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น
ไฟวัสต์หันหน้าไปมอง “อยู่คนเดียว?” เขาถามสั้นๆ
“เปล่า ไม่ต้องห่วงน่า เจ้าได้ออกแรงจนเหงื่อออกอยากเปลี่ยนชุดอีกแน่” เลย์ไลย์อมยิ้มให้กับคำถามของไฟวัสต์ก่อนตอบ
พวกข้าเดินไปกันเรื่อยๆจนสุดทาง ก็พบบันไดแยกเป็นสี่ทาง ทางขึ้นสองทางลงอีกสอง
“ไปทางไหนล่ะที่นี้?” ข้าถามลอยๆ
“ทางลง เลือกสักทางเถอะ... แต่ข้าเลือกทางซ้าย” ไฟวัสต์ตอบกลับมา ข้าว่าความสุขุมของเจ้านี้ค่อยๆกลับมาเรื่อยๆ(พร้อมๆกับความกวนส้นที่น่าประเคนบาทาให้) ถ้ามีตัวอันตรายบุกเข้ามาข้ามั่นใจว่าไฟวัสต์จะเป็นคนออกคำสั่งคนแรก
ทุกตนไม่มีใครกล้าขัดใจพวกเราไฟวัสต์จึงเดินลงบันไดที่ไฟวัสต์เลือก ด้วยความที่ไฟวัสต์เป็นนักสู้บ้าพลังคลั้งการฆ่าตั้งแต่เกิด จมูกไฟวัสต์ย่อมไวต่อกลิ่นเลือดและหูไวต่อเสียงหายใจ เสียงในที่เงียบ จริงๆถ้าไฟวัสต์ต้องการแม้แต่เสียงหัวใจเต้นเขายังได้ยิน
เมื่อเราลงมาถึงปลายบันไดก็พบว่าคุกใต้ดินชั้นแรกเป็นห้องขังทรงกลมกินพื้นที่ทั้งชั้นพื้นห้องเป็นทางเดินแคบๆติดกำแพงซึ่งมีโครงกระดูกแขวนอยู่เป็นราวเหมือนร้านขายกระดูก บริเวณพื้นที่เหลือเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำสีดำไว้เต็มบ่อ มีบันไดลงไปสั้นใต้ดินที่สองอยู่อีกฟากของห้อง ร่างของเฮคเตอร์ถูกตรึงไว้ตรงกลางห้องด้วยโซ่อาคมสีเขียวขึ้นสนิมธรรมดา
“เราดำลงไปปลดโซ่ในน้ำก่อนค่อยขึ้นไปตัดโซ่ข้างบนที่หลังดีไหม?” ไคนาไมท์เสนอ
“ไม่ดีแน่” ไฟวัสต์ไม่รับความคิดนั้นไว้พิจารณาแม้แต่วินาทีเดียว
สายตาของปีศาจทั่วไปอาจมองไม่เห็นแต่ข้ากับไฟวัสต์เห็นชัดเจน ปลาปีรันย่าปีศาจยักษ์นับร้อยแหวกว่ายสายธารสีดำอย่าเงียบเชียบและไม่ทำพื้นน้ำสั่นไหวแม้แต่น้อย
“ข้าจัดการเองดีกว่า” ข้าบอกทุกตน
“ตามใจเจ้าเถอะ” ไฟวัสต์บอก
เมื่อได้รับอนุญาต ข้าก็ไม่รอช้าบินขึ้นไปหาเฮคเตอร์ “เลย์ไลย์ จัดการตัวที่อยู่ทางซ้ายใกล้บันไดทางลงให้ที่” ไฟวัสต์สั่งเมื่อปลาปีรันย่าตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาหมายจะงับข้า
‘ฟึบ’
เสียงปลาปีรันย่ายักษ์โดนตัดวิญาณออกจากร่าง
“ปลาในบ่อนี้รวมทั้งสิ้นร้อยเจ็ดสิบสองตัวหมดอายุไขแล้ว เนื่องด้วยเป็นปลาที่ฆ่าคนตามหน้าที่(ที่โดนยัดเยียด) จ้าวนรกจึงสั่งข้าว่าให้นำวิญาณไปพิพากษาว่าจะไปสวรรค์หรือนรก กรุณายอมให้จับแต่โดยดี” เมื่อเลย์ไลย์พูดจบ มิกเกลและเรฮันก็เรียกเคียวออกมา
ปลาปีรันย่าในบ่อหยุดการโจมตี ยมทูติทั้งสามใช้เวลาเสียววินาทีในการนำวิญญาณของปลาเหล่านั้นออกจากร่าง
“ไดนาไมท์ หินก้อนนั้นอยู่ฝั่งซ้ายมือของข้า” ไฟวัสต์ยังคงออกคำสั่งต่อไปเรื่อยๆ
“ปลดเฮคเตอร์ออมมาเลยโซว์ ใช้เวทบทที่ร้อยสิแปดที่นายเรียนรู้” ตาของไฟวัสต์เหม่อลอยและสว่างเป็นสีเหลือง แสดงให้เห็นว่าเขากำลังดึงภูมิความรู้มาจากเฮคเตอร์ ข้าร่ายเวทตามที่ไฟวัสต์สั่ง
‘กึก’
เสียงไดนาไมท์กดหินก้อนหนึ่งให้จมเข้าไปในผนัง
ครืน ๆ ๆ
เสียงกำแพงบีบอัดตัวเองเข้ามาเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ทุกคนร้องอย่างตระหนก
“กำแพงเวทน่ะ โซว์ท่องเวทบทที่พันแปดสิบเก้าที่เจ้าเรียนรู้มาพลางคิดถึงพวกเราทุกตนและที่ๆเฮคเตอร์โดนจับตัวมา” ไฟวัสต์สั่งอีกครั้ง อันตัวข้าก็มีแต่ต้องทำเท่านั้นล่ะ โอ้ยข้าแหละเพลีย!
หลังข้าร่ายเวทจบ เราก็ออกมาอยู่กันที่ที่เฮคเตอร์โดนจับตัว ข้าวางเฮคเตอร์ลงบนพื้นโดยให้หลังผิงกับต้นไม้ ตามร่างกายของเฮคเตอร์มีแผลเหวอหวะเต็มไปหมดเสื้อผ้าหลุดรุ่ยกล้ามเนื้อบางส่วนฉีกขาดและใบหน้ามีรอยฟกช้ำ คิ้วขมวดเข้าหากันดูทรมาน ริมฝีปากสีงามอ้าออกเพื่อช่วยหายใจ
“เฮคเตอร์” ข้าเรียกเขาเบาๆ และลองร่ายเวทเยี่ยวยาหลายบทซึ่งก็ไม่มีบทไหนได้ผลเลย
“โซว์หลบไป ข้าจะละลายลิ่มเลือดให้เฮคเตอร์ก่อน” ไฟวัสต์แตะหลังข้าเบาๆ
“เจ้าทำได้?” ข้าถาม
ไฟวัสต์หันกลับมามอง “เดียวก็รู้” เขาทำหน้าไม่พอใจแวบหนึ่งก่อนหันกลับไป... นี้ข้าทำอะไรผิดเนี่ย? ช่วงนี้เจ้าถึงได้อารมณ์แปรปรวนอย่างกับสตรี
‘พรึบ’
“เห้ย!”
สิ้นเสียงไฟลุกท่วมร่างเฮคเตอร์... ก็ตามมาด้วยเสียงอุทานอย่างตกใจของทุกตนยกเว้นไฟวัสต์
“พวกเจ้าจะตื่นเต้นอะไรนักหนา? ข้าแค่เผาลิ่มเลือดให้ละลายเลือดจะได้ไหลเวียนสะดวกขึ้นไง” ไฟวัสต์บอกตอบนิ่งๆ “เดียวไฟก็หยุดลุกแล้ว” เฮียแกพูดต่ออย่างไม่กลัวว่าไฟของตัวเองอาจฆ่าเฮคเตอร์ได้
และการที่ไฟวัสต์ไม่เคยพลาด เมื่อไฟหยุดลุกเฮคเตอร์ก็ไม่มีบาดแผลเหลืออีก เสื้อผ้ากลายเป็นชุดใหม่ และสีหน้าดูผ่อนคลายขึ้น “อีกไม่นานก็ฟื้นแล้ว” ไฟวัสต์กลับมานิ่งและเข้าถึงยากอีกครั้ง
“สายลม ท่านพ่อ ท่านอา? ท่านพี่ คำสั่ง? ทรมาน สิบสาม สองปี” เฮคเตอร์เพ้อคำพวกนี้ออกมาเบาๆ
“เจ้าถูกเสมอไฟวัสต์ ถึงจะแค่นิดหน่อยก็เถอะ” ข้าพูดตอนนั่งลงข้างๆไฟวัสต์
“ตอนนี้เราอยู่ในสงคราม” ตาของไฟวัสต์เป็นประกาย เขาไม่สนใจสิ่งที่ข้าพูดด้วยซ้ำ “เราถูกใครบางคนดึงเข้าเกมที่มีชีวิตน้องเป็นเดิมพันอยู่” ไฟวัสต์พูดต่อด้วยแววตากระหายเลือด “แล้วรู้ไหมอะไรตลก?” ข้าส่ายหน้า ไม่มีใครรู้หรอกว่าสงครามและสนามรบตลกอย่างไรนอกจากจ้าวแห่งสงครามอย่างไฟวัสต์ “จ้าวทั้งสาม เข้าร่วมเกมนี้ด้วยไงล่ะ” ไฟวัสต์หัวเราะเบาๆแล้วยิ้มกว้าง... ให้ตายเถอะข้าไม่เคยเห็นไฟวัสต์ดีใจที่จ้าวทั้งสามเห็นตรงกันมาก่อนเลยสักครั้ง
“งั้นวันนี้พักมันที่นี้แหละ” ข้าบอกทุกตน “ไฟวัสต์เขาเหนื่อยเต็มแก่แล้ว... แก่แล้วก็งี่แหละ” ข้าพูดประโยคหลังเบาๆ
“ได้ยินนะ” ไฟวัสต์พูดลอยๆ ข้าจะไม่นินทาเจ้าแบบออกเสียงอีกตลอดชีวิตไฟวัสต์ข้าขอสัญญา
ตกเย็นพวกเราก็หาของกินเล็กๆน้อยๆมากินกันรอเฮคเตอร์ฟื้น ซึ่งก็ไม่นานนักพอเขาฟื้นเขาก็ขอนอนเล่นและปฎิเศษการให้คำตอบของทุกคำถาม โดยที่ไม่มีใครกล้าขัดใจเฮคเตอร์ซะด้วยสิ
ส่วนของเฮคเตอร์
มาอยู่ที่นี้เฮคเตอร์ผู้นี้รู้สึกเหมือนโดนเอาโชคดีออกจากตัวไปหมด เรื่องเครียดๆถาโถมเข้ามาไม่หยุด หลังเข้ารับการสอบด่านนี้นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ได้กล่องมาจากพี่เลย์ไลย์ ได้ความสงสัยมาจากพี่ไฟวัสต์ ได้ความเจ็บปวดมาจากเสียงของจิตวิญญาณแห่งพฤกษา ได้รับการทรมานจากบุรุษนามเบ้งก้า เอาชีวิตวัยรุ่นผมคืนมาเถอะ!
ผมอาบน้ำโดยใช้น้ำจากผลของต้นบลับบลับ ต้นบลับบลับเป็นพืชที่ออกผลเป็นน้ำสะอาดและมันส่งเสียงบลับลับเวลาที่ออกผลมันจึงได้ชื่อแปลกๆแบบนี้มา ผมสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเพราะนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าป่ามาแล้วได้อาบน้ำ ผมเปลี่ยนชุดเป็นชุดนักเรียนตามเดิมแต่ไม่ใส่เน็คไทและใส่กางเกงขาสั้นแทนกางเกงนักเรียน หลังแต่ตัวเสร็จกิจกรรมเดียวที่ผมทำได้ก็คือนอน แม้ผมจะไม่ง่วงเลยสักนิด
ผมตื่นเช้ามาด้วยความงัวเงีย และดื่มแค่น้ำเป็นอาหารเช้าเท่านั้น พวกผมออกเดินทางกันอย่างรีบร้อนเพราะ ‘ป่า’ กำลังจับตามองพวกเราอยู่ แต่ผมไม่คิดว่าผมดูแย่ขนาดที่ต้นไม้คิดว่าเป็นปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักหรอกนะ
การเดินทางวันนี้ไม่มีอะไรมาก ไม่เจออะไรอันตราย เวลากลางวันหมดลงอย่างรวดเร็ว อาหารแทบไม่มี และที่ดูแย่ที่สุดต้นไม้เติบโตอย่างรวดเร็วผืนป่าขยายตัวออกไปเร็วมาก พี่ไฟวัสต์บอกว่ามันอาจก่ออันตรายได้ให้ทุกคนระวังตัวให้มาก
ยามเย็นเมื่อท้องฟ้าเริ่มเป็นสีแดงเสียงกรีดร้องดังระงมทั่วป่าสายลมพัดบาดเฉือนเนื้อของทุกคนในกลุ่มจนมีแผลบาดลึกทั่วร่างยกเว้นผมและยมทูติทั้งสามที่ไม่มีผลกระทบคือไม่มีบาดแผลอะไรเกิดขึ้นบนตัวเลย
“สายลมนรกโลกันต์?” พี่ไฟวัสต์เลิกคิ้วพูดเป็นเชิงถามแบบลอยๆ
“ใช่ นี้คือสายลมนรกโลกันต์ สายลมที่เป็นพิษกับวิญญาณทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่พืชไม่มีผลกับยมทูติและ... ทายาทแห่สายลม” พี่เลย์ไลย์ตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “สายลมนรกโลกันต์มีความคิดเป็นของตัวเอง มีเจ้าของคือจ้าวนรกผู้เดียว แต่จะสร้างเองก็ไม่เกินความสามารถของปีศาจที่มีพืชเป็นพวก” พี่เลย์ไลย์พูดต่อในขณะที่พี่มิกเกลและพี่เรฮันแผ่ไอดำกางอาเขตยมทูติป้องกันคนที่เหลือ
เมื่อสายลมสงบ... ศพก็เกลื่อนซากศพมหาศาลที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนย้อมผืนป่าเป็นสีแดงฉาน ทั้งซากศพสดๆ ทั้งโครงกระดูกแบบที่ครบทั้งตัวหรือแบบกะโหลกเพียวๆ เศษซากเนื้อสดที่กระจุยกระจายไม่เป็นที่ เครื่องในห้อยอยู่กับต้นไม้ หัวที่กลิ้งไปมาบนพื้น เฮคเตอร์จะเป็นลม! ผมรู้สึกคลื่นไส้มากจนทนไม่ไหว
“เฮคเตอร์ หลับตานะ ใจเย็นๆ เมื่อกี่มันแค่ฝันร้าย จับมือข้าไว้” โซว์พูดปลอบผม มันไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าการอ้วกพุ่งลงไปบนซากใครก็ไม่รู้ ผมส่งมือเย็นๆของตัวเองไปให้โซว์จับ เขาลูบหลังมือผมเบาๆเป็นการปลอบ
‘แซ่ก ๆ ๆ’
เสียงของต้นไม้ต่างดูดเลือดที่นองไปทั่วบริเวณ กระดูกถูกบดขยี้ก่อนที่จะโดนต้นไม้แปลกๆดูดซึมไป บางต้นถึงขนาดตบตีกันเพื่อแย่งซากเนื้อ ภาพเขย่าขวัญพวกนี้ไม่ได้มีให้ดูบ่อยๆและผมก็ไม่อยากดูเสียด้วยสิ
ยมทูติทั้งสามหน่อของเราตัดสินใจกางอาเขตเวทกันอีกครั้ง “นี้ไม่ใช่สายลมนรกโลกันต์แล้ว นี้น่ะมันสายลมโศกนาฏกรรมชัดๆ” พี่มิกเกลพูดขึ้น ยมทูติทั้งสามจึงคุยกันถึงเรื่องนี้จนผืนป่ากลับมาเป็นปกติ
“ต้องรีบหาทางออกแล้วล่ะ” พี่ไมท์คลาสส์บอกทุกคน
“คืนนี้พักผ่อนกันก่อนเถอะ” พี่ไฟวัสต์ยิ้มกว้าง “ข้าจะเฝ้ายามให้เอง” พี่แกพูดด้วยแววตาสดใสที่ดูน่ากลัวสุดๆ
“ไม่ข้าไม่ให้เจ้าเฝ้ายามคนเดียวแน่ อย่างน้อยข้าก็ต้องกางเขตเวทให้เจ้า!” พี่เลย์ไลย์สวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“แล้วแต่” พี่ไฟวัสต์ตอบเรียบๆ
พี่เลย์ไลย์รีบกางอาเขตเวทยมทูติออกเพื่อให้คนที่เหลือพักเอาแรง คาดว่าจะติออยู่ในป่านี้อีกนานครับ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ(ถึงผมจะไม่รู้ก็เถอะว่าพวกคุณเป็นใคร!)
มันเป็นความบรรลัยของด่านทดสอบจริงๆ ผมคิด ช่วงนี้เราดำเนินชีวิตด้วยตารางกิจกรรมแสนกน้าเบื่อ ตื่นเช้าดื่มน้ำเดินลุยป่า ตอนเที่ยงนั่งพักดื่มน้ำเดินลุยป่า ช่วงเย็นเดินลุยป่าดื่มน้ำและต่อจากนี้แหละเวลาสนุก(หรอ?) ป่าเริ่มฆ่าปีศาจที่หลงเข้ามาอีกนับไม่ถ้วนสองยมทูติแฝดกางเขตอาคมในช่วงแรกก่อนที่พี่เลย์ไลย์จะจัดการต่อกับพี่ไฟวัสต์ในครึ่งคืนหลัง ในจำนวนพวกนี้น่าจะมีนักเรียนอยู่ไม่มากก็น้อยผมอยากรู้มากว่าทางโรงเรียนจะแจ้ง(แก้ตัว)กับผู้ปกครองนักเรียนที่ตายไปอย่างไร
“ป่านี้มันบ้าไปแล้ว!” พี่มิกเกลที่สดใสอยู่ตลอดพูดโดยที่ใบหน้าไม่เหลือรอยยิ้ม พี่เขากวาดเคียวสีชมพูใสติดริบบิ้นรูปโบว์สีแดงในมือไปมาอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เขาอยู่ในเครื่องแบบของยมทูติพร้อมออกทำงาน ชายผ้าคลุมที่ชมพูหมนหมองไหวพลิ้วตามจังหวะการขยับของพี่เขา
“สายลมก็เหมือนกันถามอะไรก็ไม่ตอบ เหมือนว่ากลายเป็นหุ่นชักไปแล้วเลย” พี่เรฮันก็บ่นโดยคงความนิ่งสงบไว้เช่นเดิมรายนี้ก็เปลี่ยนมาใส่ชุดพร้อมออกทำงานเหมือนกัน ผ้าคลุมสีเทาเรียบนิ่งไม่ขยับแม้ว่าเจ้าของจะหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาไปหลายรอบฮูดที่ตอนแรกใส่อยู่ดีๆเลือนตกไปข้างหลัง เคียวสีเทาอันใหญ่เบ้อเริ่มถูกใช้เหมือนมันไม่มีน้ำหนัก
ยมทูตินี้... ไม่ชอบใส่ฮูดกันหรือไงนะ? ตอนแรกๆก็ใส่กันดีๆอยู่หรอกแต่พอหลุดก็ไม่คิดจะเอามาใส่อีกแถมยังพายายามช่วยกันตัดให้ขาดอีก ปล่อยประเดนนี้ไปเพราะมันไม่เกี่ยวกับการหาทางออก
หลังเที่ยงคืนสายลมนรกโลกันต์ก็สลายไปเอง และแล้วเราก็ผ่านไปอีกหนึ่งคืนมรณะ ท้องฟ้าคืนนี้ไม่ได้เป็นสีดำเหมือนอย่างเคยแต่กลับเป็นสีแดงขุ่น
ครูไลฟ์ติดต่อมาครั้งหนึ่ง เธอบอกว่าโรงเรียนแห่งนี้โดนคลุมไว้ด้วยโดมเวทขนาดยักษ์ผู้ที่อายุเกินแปดร้อยปีเข้าไม่ได้และต่ำกว่าแปดร้อยปีก็ออกไปไม่ได้เหมือนกัน ให้พวกเรารักษาชีวิตเอาไว้ก่อน ป่าและทะเลสาบที่นี้ติดกับนอกโรงเรียนน่าจะมีสัตว์อะไรหลงเข้ามาให้เราเอาไปกินได้บ้าง
ทุกคนดูเหนื่อยมาก(ยกเว้นพี่ไฟวัสต์ที่แลร่าเริงสุดๆ)ก็ไม่รู้ว่าจะทนกันได้อีกนานเท่าไหร่เพราะน้ำและอาหารหายากขึ้นเรื่อยๆแถมบางครั้งสายลมก็พัดมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย แต่ยังไงถ้าอยากมีชีวิตก็คงต้องทน
.........
“นี่ ข้าขอออกไปช่วยลูกชายข้าไม่ได้หรอ?” ท่านจักพรรดิปีศาจแลนซ์อ้อนวอนองครักษ์ฝ่ายซ้ายของตน
“ไม่ได้ขอรับ ก่อนที่ท่านจะห่วงองค์ชาย รบกวนห่วงตัวเองก่อนนะขอรับ” ปีศาจที่เป็นองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายตอบ
“แต่... ” ยังไม่ทันที่จักพรรดิปีศาจจะโต้เถียง ร่างอรชอนอ่อนช้อยก็เดินเข้าห้องมาด้วยท่าทางและทรวดทรงที่บาดใจชายทั้งหลาย
“เอาน่าแลนซ์เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงลูกๆไปหรอก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ขณะเดินมาหาแลนซ์ที่ถูกโซ่ตรึงไว้กับเก้าอี้ในห้องส่วนตัว
“เจ้าจะบ้าหรอ? นั้นลูกนะลูก!” ท่านจักพรรดิปีศาจดิ้นแด่วๆเถียง
“แลนซ์! นี่เจ้าไม่ไว้ใจลูกหรอ? ‘เฮคเตอร์’ ไม่เป็นไรหรอกน่า ‘โซว์’ กับ ‘ไฟวัสต์’ ก็อยู่ด้วยนะ! เจ้าจะเครียดทำไม?” หญิงสาวพูด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แต่ข้าว่า... ข้าว่าข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนะว่าอย่าทำร้ายแลนซ์อีก! แลนซ์เจ็บข้าก็เจ็บ ข้าปวดแลนซ์ก็ปวด” หญิงสาวหันไปทางองครักษ์ฝ่ายซ้ายของแลนซ์
“ท่าน ‘รูกซ์’ ครับ ข้าว่าท่านควรเลิกแปลงเป็นหญิงสาวได้แล้วนะขอรับ ท่านแลนซ์เขาไม่ห่วงอะไรนอกจากโดดงานกับองค์ชายหรอก” องตรักษ์ฝ่ายซ้ายบอกเบื่อๆ
“ไม่! วันนี้ข้ากลับเป็นชายไม่ได้! ข้าพนันกับจ้าวสวรรค์เอาไว้!” จ้าวนรกรูกซ์ในร่างหญิงสาวตวาดทันที
จักพรรดิปีศาจแลนซ์ส่ายหน้าอย่างปลงตกกับความบ้าบอของคนรอบตัว “แล้วเมื่อไหร่ข้าถึงจะหลุดจากเจ้าโซ่นี้เสียที!?” จักพรรดิปีศาจบ่นอย่างไม่จริงจัง “ข้าได้โดนโกรธแน่ๆ” ท่านจักพรรดิปีศาจพูดต่ออย่างเลือนลอย
ท่านจักพรรดิปีศาจแลนซ์ทำอะไรไม่ได้นอกจากทนฟังเสียงหวานๆของจ้าวนรกรูกซ์เถียงอยู่กับองครักษ์ฝ่ายซ้ายของตนไปพักใหญ่
.........
บทนี้เป็นบทที่ค่อนข้างยาวในความคิดของเรานะคะ(ใช้พื้นที่ราวๆเก้าหน้ากระดาษเอสี่เว้นขอบแบบปานกลาง) สูบพลังไปเยอะอยู่ไม่น้อยเลย
ปล.ช่วงนี้กำลังติดทำเกมทายใจทำมาสองเกมแล้ว(มันเป็นการผ่อนคลายช่วงกำลังพิมพ์นิยายที่ดี?) ใครอยากเล่นก็ลองแวะไปดูที่My.ID(เดียวมีป็อบอับขึ้นกดได้เลยจ้า)ของมูนได้นะคะ ^ ^ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและให้กำลังใจค่ะขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ!
GoldMoon(ผู้ว่างมาก)
ความคิดเห็น