ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรักจอมนางมารสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 หากต้องร้าย 100%

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 58


    บทที่ 4



     จิ๊บๆๆ จิ๊บๆๆ

      “ องค์หญิง! “

      “ องค์หญิงเพคะ! “

      “ องค์หญิงอยู่ไหนเพคะ! “

     เหล่าเสียงตะโกนเรียกหาบุคคลสำคัญจากเหล่านางกำนัลตั้งแต่ยามเช้าตรู่ เมื่อตื่นมาพบว่า เจ้านายตัวเอง ได้หายตัวไปจากตำหนักอย่างไร้ร่องรอย  ทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะพบเลยด้วยซ้ำ เหล่านางกำนัล ทหาร ขันที องค์รักษ์ เกือบร้อยต่างออกตามหาผู้เป็นนายแทบพลิกแผ่นดิน โดยหารู้ไม่ว่า บุคคลที่ตามหาอยู่กลับนอนหลับสบายในสวนดอกไม้เขตพระราชฐานอย่างสบายใจเฉิบ

      ไท่ซาน...เกิดอะไรขึ้น? “  บุรุษในชุดสีทองอร่ามลายมังกรหรือองค์รัชทยาททรงตรัสขึ้นมากับองค์รักษ์คนสนิทเมื่อเห็นเหล่านางกำนัล ทหาร ขันที ต่างตะโกนเรียกชื่อใครสักคน และทั้งยังตามค้นหาทุกซอกมุมของวังหลวงตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ

       “ ทูลองค์รัชทายาท องค์หญิงใหญ่ ต้า เยว่หมิง หายตัวไปจากตำหนักตั้งแต่เมื่อเมื่อคืนแล้วพะยะค่ะ เหล่าข้ารับใช้จึงออกตามหาพะยะค่ะ องค์รักษ์คนสนิทเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

       อ้อ! งั้นเหรอ... ไปสวนดอกไม้เขตพระราชฐานกันเถอะไท่ซาน องค์รัชทายาทคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างนึกอะไรออก ก่อนจะแปรเป็นใบหน้าเย็นชาเช่นเดิม

       พะยะค่ะรัชทยาท ราชองค์รักษ์ไท่ซาน และองค์รัชทายาท พูดเสร็จต่างใช้วรยุทธตัวเบาปรี่ไปยังสวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าศาลาภายในดอกไม้ แล้วสังเกตุเห็นหญิงสาวนอนหลับพิงเสาไม้ของศาลา ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในศาลา

      เจอกันอีกครั้งจนได้นะแม่ตัวแสบ องค์รัชทายาทยืนมองหญิงสาวที่หลับอย่างหมดสภาพ อย่างเอือมระอา แล้วถอดผ้าคลุมกันแดดออกมาสวมทับหญิงสาว ก่อนจะเข้าไปช้อนตัวแม่ตัวแสบสาวเข้าไปในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน แล้วเดินออกมานอกศาลา

      ไท่ซาน

     “ พะยะค่ะองค์รัชทยาท

     ไปแจ้งคนของนางว่าข้าเจอตัวนางแล้ว ให้กลับไปทำงานกันตามปกติ

     น้อมรับคำสั่งพะยะค่ะ องค์รักษ์หนุ่มเมื่อได้รับคำสั่งก็รีบใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปแจ้งคนขององค์หญิงใหญ่ตามคำสั่งของเจ้านายตน

     ทางด้านรัชทายาทก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักตน แล้วใช้เท้ายันประตูตำหนักเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเข้าไปยังห้องบรรทม แล้ววางหญิงสาวลงบนเตียงนอนอย่างอ่อนโยน แล้วปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าหวานที่หลับสนิท ที่มีเสียงหายใจสม่ำเสมอกัน แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหอบ เจือปนมากับลมหายใจ

     ชายหนุ่มจับข้อมือหญิงสาวมาตรวจชีพจร แต่ปรากฏว่าเขาพบว่า หญิงสาวตรงหน้ามีอาการป่วยเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และเมื่อเข้าฤดูหนาวนั้นอาการป่วยก็จะเริ่มแสดงออกมาทีละนิด อย่างตอนนี้ที่เริ่มแสดงอาการออกมาแล้ว ชายหนุ่มครุ่นคิดด้วยความเครียด หากว่าแม่ตัวแสบของเขาเป็นอะไรไปเขาคงอยู่ไม่ได้เป็นแน่แท้

     อู๋ฟาน... น้ำเสียงหวานที่แผ่วเบา ดังขึ้นมาเหมือนดั่งพิษไข้เริ่มทำงานลำดับแรกคือละเมอ

     เยว่เอ๋อร์ ข้าอยู่นี่แล้ว พักผ่อนเถอะนะ องค์รัชทายาทหรือต้า อู๋ฟานกุมมือหญิงสาวตรงหน้าไว้ไม่ห่างก่อนจะลูบหัวอย่างแผ่วเบา

     อู๋ฟาน อย่าทิ้งข้า... หญิงสาวที่เริ่มเพ้อ มีหยดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิท อย่าไป...ได้โปรด อย่าทิ้งข้า อึก... ข้าไม่เหลือใครแล้ว อย่า...ทิ้ง...ข้า มือเรียวที่พยายามไขว่คว้าอากาศถูกมือแกร่งคว้าไว้แล้วรวบร่างบางเข้ามาสวมกอดด้วยความทรมานที่เห็นตัวแสบของเขาต้องทนทุกข์ทรมาน

     เยว่เอ๋อร์ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป ข้าสัญญา...ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไปอีกแล้ว ต้า อู๋ฟานโอบกอดหญิงสาวไว้ไม่ห่างกาย ทั้งยังคอยปลอบโยนเมื่อหญิงสาวเพ้อเพราะพิษไข้ ทั้งยังคอยเช็ดตัวให้อย่างสม่ำเสมอ

     ฮ่องเต้เสด็จจจ เสียงขันทีประจำตำหนักตะโกนเสียงดังฟังชัด

     อู๋ฟานล่ะตัวจากหญิงสาว ก่อนจะลุกไปแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วเดินออกไปรับหน้า หน้าตำหนัก

     ถวายพระพรเสด็จพ่อ ขอให้เสด็จพ่ออายุยืนยาวเป็นหมื่นปี หมื่นๆปีพะยะค่ะ 

    ลุกขึ้นได้

     ขอบพระทัยเสด็จพ่อ เชิญเสด็จเข้าด้านก่อนดีกว่าพะยะค่ะ นี่ก็ใกล้ฤดูหนาวแล้ว ทรงรักษาพระวรกายด้วยสิพะยะค่ะ

     ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักพระทัย ก่อนจะชำเลืองตาไปมองบุตรชาย ข้าแก่แล้วนะอู๋ฟาน ข้าเป็นฮ่องเต้ แข็งแรงจะตายไป เจ้านี่ก็ขี้บ่นเหมือนคนแก่ขึ้นไปทุกวันแล้ว

     โถ่เสด็จพ่อ นี่ข้าพูดด้วยความเป็นห่วงท่านนะ! อย่าทรงตำหนิข้าสิ ต้า อู๋ฟานพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะยามที่อยู่กับผู้เป็นพ่อและน้องสาวตัวแสบ

     เจ้านี่นะอู๋ฟาน ทำยังไงเจ้าถึงจะโตบ้างเนี่ย หืม... ฮ่องเต้ทรงหยอกล้อกับบุตรชายที่ทำหน้าง้ำงอด้วยความเคืองพระทัย

      ข้าก็เป็นอย่างนี้เฉพาะอยู่กับเสด็จพ่อและน้องสาวตัวแสบของข้าเท่านั้นแหล่ะ คนอื่นน่ะ...หมดสิทธิ์! “

     “  เอาล่ะๆวันนี้ข้ามาก็มีเรื่องปรึกษากับเจ้านะสิอู๋ฟาน

     เรื่องอันใดพะยะค่ะเสด็จพ่อ

     “ เยว่หมิง

     “ นางทำไมหรือพะยะค่ะ

     เยว่หมิงตอนนี้เหมือนไม่ใช่นาง นางเหมือนไม่ใช่ลูกสาวที่แสนน่ารักของข้า เยว่หมิงนั้นเมื่อก่อนแม้นางจะเงียบขรึมแต่นางอ่อนโยน และใจดี ไม่คิดโกรธเคืองอันใดใคร ถึงแม้โกรธนางก็จะเก็บมันไว้ ต่างกับตอนนี้...นางเปิดเผยมากขึ้น นางไม่เงียบขรึ้มดั่งแต่ก่อน แต่นางกลับอำมหิต เหี้ยมโหด ฆ่าฟันผู้คนอย่างเลือดเย็น ความอ่อนโยนของนาง แม้แต่ข้าผู้เป็นพ่อยังไม่เคยเห็น ใบหน้านางข้ายังแทบจำไม่ได้ว่าเป็นเช่นไร ตลอดเวลานางจะใส่แต่หน้ากาก หากไม่ใส่หน้ากาก นางก็จะคลุมหน้า หนำซ้ำตอนนี้ นางยังพยายามที่จะบั่นทอนอำนาจข้า ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่านางคิดจะทำอะไร องค์ฮ่องเต้ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเครียดหนักกับลูกสาวสุดที่รัก ถึงกับมาปรึกษาลูกชายคนโปรดถึงที่ด้วยสีหน้าที่มีแต่ความกังวล

      เสด็จพ่อ ข้าว่าท่านต้องปรับความเข้าใจกับเยว่หมิงใหม่ เยว่หมิงนางมีปมในใจอย่างหนึ่งนะพะยะค่ะ คือนางไม่ใช่บุตรชาย แต่นางเป็นสตรี นางอยากให้ท่านหายกังวลกับตัวนาง บางครั้งนางอาจจะน้อยใจได้ที่ท่านทรงหวงแหนลูกชายมากกว่านาง

     อู๋ฟานเอ๋ย...คนที่เจ้าสมควรตำหนิคือฮองเฮา นางทรงลำเอียงที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว ข้าเองก็จนปัญญาที่จะรั้งนางไม่ให้ทำอะไรผิดพลาดไป

     เสด็จพ่อทรงอย่ากังวลไปเลย เยว่หมิงนางเอาตัวรอดเก่ง ข้าเชื่อว่านางรู้อะไรผิด อะไรถูก

     งั้นข้ากลับก่อนนะรัชทายาท ไว้จะมาหาบ่อยๆ ฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังเจือความกังวลอยู่

     “  ลูกไม่ส่งนะพะยะค่ะ

      แล้วแต่เจ้าเลยอู๋ฟาน ฮ่าๆๆ ฮ่องเต้ทรงหัวเราะออกมาราวกับระบายความในใจ

     หลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับ เขาก็มุ่งหน้าไปยังเตียงนอน แต่กลับไม่พบหญิงสาวดั่งที่ควรจะเป็น เหลือแต่เพียงเตียงนอนว่างเปล่า

     อู๋ฟานทรุดนั่งลงบนเตียงนอนด้วยความหมดแรง จนกระทั่งความทรงจำในอดีตทะลักย้อนกลับมา สมัยที่เขาเป็นเพียงองค์ชายน้อย บุคคลที่สนิทด้วยที่สุดคือ เยว่เอ๋อร์ นางเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา แต่ความผิดพลาดของเขาคือการที่ทำให้รัชทายาทพระองค์ก่อนถูกปลดและประหาร โดยการนำเสด็จพ่อไปหารัชทายาทที่ตำหนักเย็นของพระสนมที่ถูกเรียกว่า กบฏ จนถูกพบและปลดจากตำแหน่งกลายเป็นนักโทษประหารอีกคน หลังจากนั้นมาเยว่เอ๋อร์ก็จงเกลียดจงชังเขามาตลอด

     

    ตุ๊บ!

    ฉันทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยสภาพอันอนาถเพราะว่าฉันเดินโซซัดโซเซมาจากตำหนักรัชทายาทองค์ปัจจุบันหรือตำหนักอู๋ฟานหลง ด้วยสภาพไม่สมบูรณ์สักเท่าไหร่ ด้วยเฉพาะขาที่เป๋ไปข้างนึง เพราะตกต้นไม้ที่ปีนออกมาจากตำหนัก ใบหน้าซีดเซียวของฉันทำให้เหล่านางกำนัลหลายที่คนที่เห็นสภาพฉันตอนนี้ ถึงกับเรียกหมอหลวงมานับสิบเพื่อที่จะมาตรวจร่างกายฉัน โห่วววว!

     ท่านหมอ องค์หญิงทรงประชวรเป็นอะไร? หลางเฟยที่มีหน้าที่คอยดูแลฉันห่างๆอย่างห่วง เอ่ยถามท่านหมอด้วยน้ำเสียงร้อนรน

     องค์หญิงทรงไม่เป็นอะไรมาก แค่ไข้หวัดธรรมดาพะยะค่ะ อาจจะเป็นเพราะฤดูหนาวเริ่มมาเยือน ร่างกายเลยปรับสภาพไม่ทัน ทำให้อุณหภูมิธาตุไฟเข้าแทรกได้พะยะค่ะ

     อืม... ออกไปได้แล้ว หลางเฟย... ฉันพลิกตัวอันหลังนอนด้วยสีหน้าอิดโรย

     “ เพคะ

     ส่งท่านหมอให้ดี แล้ววันนี้ทั้งวันไม่ต้องให้ใครเข้ามายุ่งกับข้า ห้ามทุกคนเข้ามาด้านใน ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป อ้อ! จัดหานางกำนัลมาห้าคน คอยจุดไฟกำยานกลิ่นบัวห้าทิศของตำหนักไว้ด้วย ส่วนเจ้าหลางเฟย วันนี้เจ้าไปพักผ่อนเถอะตามหาข้าทั้งคืนไม่ใช่เหรอ ไปนอนเถอะ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย แล้วให้ไปฉีกยิ้มเล็กๆอย่างหมดแรงให้กับหลางเฟย ก่อนจะสะบัดมือให้ออกไปได้

     องค์หญิง แต่ข้าเป็นห่วงท่าน

     “ หลางเฟย

     “ แต่...

     “ ข้าบอกว่าออกไปได้แล้ว! “ ฉันลุกคว้าหมอนมาใบนึงปาไปหาหลางเฟยด้วยอารมณ์โมโห หงุดหงิด ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนบนเตียงอย่างแรง

     เพล้ง!

    ฉันลุกขึ้นไปหยิบแจกันใกล้มือมาปาเพื่อระบายอารมณ์ แต่ดูเหมือนยิ่งหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิม เลยทำให้อาละวาดไปทั้งวัน ทั้งฟัดข้าวของเงินทองทุกสิ่งที่ขวางหน้าเรียกว่าอาวุธชั้นดี ยิ่งวันนี้ไม่ต้องพูดถึงในตำหนักเลย มีแต่เสียงข้าวของแตกดังทั้งวัน จนปัจจุบันหกโมงเย็นแล้วถึงจะหยุดเพราะไม่มีของให้ทำลายอีกต่อไปแล้ว

     ฉันหยุดหอบทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า จนมีความทรงจำที่เรียกว่า ไม่คิดลืม ผุดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

     อดีตรัชทายาท...ข้าคิดถึงเจ้า เจ้ากล้าดียังไงทิ้งข้าไป...เจ้าผู้ชายปลิ้นปล้อน

     หมิงเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว... น้ำเสียงร่าเริง ดั่งพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างดังก้องไปทั้งหัวสมอง ราวกับความฝันเป็นจริงอีกครั้ง ข้ารักเจ้ารัชทายาท

     รัชทายาท... รัชทายาท! เจ้าอยู่ไหน! “ ฉันลุกขึ้นมาวิ่งตามหาเสียงเรียกที่ดังก้องไปทุกทิศ ตอนนี้สมองฉันสั่งการอย่างเดียวคือ หารัชทายาทให้เจอ

     หมิงเอ๋อร์ข้าอยู่นี่! มาเร็วๆมาจับข้าให้ได้ ฮ่าๆๆ ใบหน้าอ่อนโยนปรากฏรอยยิ้มกว้างอย้างมีความสุขสกาวราวดวงอาทิตย์ยามเช้า รัชทายาทใยเจ้าถึงดูมีความสุข ชีวิตชีวากว่าข้าเล่าเจ้าคนบ้า!

     “ ได้ ได้! ข้าจะจับเจ้ารัชทายาท! “ ฉันพูดไปทั้งน้ำตา ก่อนจะวิ่งไปกอดร่างสูงแต่กลับคว้าได้เพียงลม ก่อนร่างสูงสง่าที่เคยเห็นจะหายไปเหมือนเพียงฝัน... หากนี่เป็นฝัน คงเป็นฝันที่มีความสุขที่สุด เจ้าคนปลิ้นปล้อน เจ้าชอบหลอกข้าจริงๆ

     ฮ่าๆๆๆ หยางหมิงเจ้าหลอกข้าอีกแล้ววว!! อึก! เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว ฉันเงยหน้าขึ้นไปเพื่อสกัดกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา ก่อนจะตัดสินใจไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และแต่งหน้าแต่งตัวใหม่ให้งดงาม

     หลังจากที่ฉันแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ออกมาส่องกระจกเช็คความเรียบร้อยของตัวเอง ก่อนจะยกยิ้มอ่อนๆ ใบหน้าที่สวมใส่หน้ากากตลอดเวลา คงถึงเวลาที่จะถอดมันแล้ว แค้นครั้งนั้นข้าจะไม่มีวันอภัย! ข้าจะแก้แค้นจนชีพสลายตายไป

     ฉันปลดหน้ากากออกมาอย่างแผ่วเบา เผยให้เห้นใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าอายุ ดวงตาราวพญาหงส์ ริมฝีปากราวกับลูกพีช ใบหน้าดูมีน้ำมีนวล จริงสินะหยางหมิง...เจ้าชอบมาขอดูใบหน้าข้าประจำนี่

     ฉันลุกขึ้นอย่างเต็มตัว เสื้อผ้าอาภรล้วนป็นของชั้นดีจริงๆ หึ! ชุดสีแดงเพลิงปักลายดอกหมู่ตัน เผยให้เห็นไหล่ขาวเนียน เครื่องประดับบอกยศ ถึงเวลาเริ่มเดินหมากของเราแล้ว

     ฉันเดินออกไปหน้าตำหนักก่อนจะเหาะไปยังสวนดอกไม้เขตพระราชฐานอย่างรวดเร็ว พอถึงที่หมายฉันเลือกที่จะหยุดตรงสวนกุหลาบของอดีตรัชทายาทที่ชอบที่สุด ฉันเลือกที่จะร่ายรำท่ามกลางดอกไม้

    .... ถึงแม้จะสูญเสียไปแล้ว แต่ท่านยังคงไม่ลืม

     หัวใจที่งดงามได้เริ่มเต้นเป็นครั้งแรก

     รอยยิ้มของท่านแพรวพราวดั่งหิ่งห้อยในความฝัน

     เปี่ยมเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อข้า

     น่าเสียดายที่กระแสธารแห่งเวลาทำให้เราต้องแยกจากกัน

     ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ในวันที่พรากจากกันวันนั้นคงมีเพียงแต่ความเฉยชา

     คำสัญญาของท่านเป็นเพียงภาพลวงตา

     ความอ้างว้างเดียวดายทวีขึ้นอีกครา....

     ฉันใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงเหาะขึ้นไปร่ายรำบนอากาศอย่างสวยงามซึ่งมีเหล่าผีเสื้อนับร้อยมาบินล้อมฉันไว้ ทั้งกลีบดอกไม้โปรยปรายลงมา นั้นทำให้ดูเหมือนกับว่าฉันเป็นเทพธิดาลงมาร่ายรำเล่น

      ชวี๋เจี๋ยแม่นางคนนั้นเป็นใคร บุรุษรูปสง่างามในชุดเกราะหยุดมองหญิงสาวที่ร่ายรำและขับร้องด้วยท่าทางสง่างามราวเทพธิดา จนเขาไม่อาจจะนิ่งเฉยได้ แม้เขาจะไม่ค่อยชอบสตรีสักเท่าไหร่ แต่ทำไมเห้นนางแล้วเหทมือนหัวใจจะหยุดเต้นลง

     ทูลท่านแม่ทัพหลี่เหวินอี้ แม่นางผู้นั้นคงจะเป็นนางสนมของฮ่องเต้ก็ได้พะยะค่ะ ชวี๋เจี๋ยหรือองค์รักษ์คนสนิทของแม่ทัพใหญ่แคว้นหลี่

      งั้นเหรอชวี๋เจี๋ย น่าเสียดายจริงที่บุปผางามต้องมาร่ายรำเพียงลำพังในกรงทองอันงดงาม นางเองคงจะเป็นเช่นเขาที่ถูกเรียกตัวให้มาคัดเลือกเป็นของราชวงศ์ เขาเดิมทีเป็นรัชทายาทแคว้นหลี่และยังเป็นแม่ทัพของแคว้น จนวันหนึ่งได้รับราชโองการจากเสด็จลุงหรือฮ่องเต้นั่นแหล่ะ เนื้อความว่าให้มาคัดเลือกเป็นราชบุตรเขยหรือสามีขององค์หญิงใหญ่

     หืม...ท่านแม่ทัพปกติพระองค์ไม่สนใจอิสตรีไม่หรือพะยะค่ะ ชวี๋เจี๋ยเอ่ยมาอย่างสนใจ หากจะดีไม่น้อยว่าแม่นางที่ร่ายรำอยู่ไม่ใช่ผู้หญิงของฮ่องเต้เช่นนั้นเขาคงวางแผนจับคู่กับแม่ทัพของเขาแล้วก็ได้

     ไม่รู้สิ หัวใจข้าเหมือนใจหยุดต้น

     ท่านแม่ทัพข้าว่าท่านคงจะหลงรักนางเข้าเต็มๆแล้ว

    งั้นหรือชวี๋เจี๋ย

    ตุ๊บ!

     ร่างบางหยุดร่ายรำและทยานลงมายืนบนพื้นดินด้วยท่าทางสง่างามเช่นเคย ดวงตากลมตาที่ดูเหมือนมีมนต์สะกดค่อยๆชำเลืองมายังจุดกำเนิดเสียงอย่างช้าๆ

      มาหาข้ามีอะไรงั้นรึ... ฉันคลี่ยิ้มอย่างแผ่วเบา หรือพวกเจ้าจะมาให้คำตอบกับข้า

     บุรุษและอิสตรีทั้งคู่ต่างมีสีหน้าไม่พอใจ แต่ยังคงสงวนท่าทีไว้เช่นเคย หากกระทำการบุ่มบ่ามไปคงไม่เป็นผลดี คงรั้นแต่จะมีสิ่งแย่ๆเข้ามาอีกมากมายก่ายกอง

     พวกเราสองพี่น้องตอบตกลง องค์หญิงห้าต้าไป๋หูพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ว่าภายในใจอยากจะตะปปคอหญิงสาวตรงหน้าแล้วฆ่าทิ้งอย่างเลือดเย็นก็ตาม

     โอ๊ะ! พวกเจ้ามาให้คำตอบข้าเร็วเสียจริง ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงไม่ลูกไม้กับข้าหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าคง...ฉันเว้นคำพูดก่อนจะใช้วิธีเท้ามารเพียงก้าวเดียวไปหาสองพี่น้องเลขห้า แล้วบีบคอทั้งสองคนจนเท้าลอยไม่ติดพื้น

     ฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดทิ้งตั้งแต่ตอนนี้! “ จิตสังหารรุนแรงถูกขับออกมาเพียงชั่วพริบตา เหล่านักฆ่าชุดดำหล่นร่วงลงมาจากต้นไม้นับสิบคนราวกับเศษใบไม้

     แค่กๆ

     ปะ ปล่อยข้า! เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำกับพวกเราอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะฟ้องฮ่องเต้! “ องค์ชายห้าถึงกับหน้าซีดขาวราวกระดาษเมื่อรู้ว่าเท้าตัวเองได้อยู่สูงขึ้นเรื่อยๆกว่าน้องสาว ทั้งน้ำหนักการบีบยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆราวกับว่าหากยังไม่ยอมอีก พวกเขาคงได้ตายเป็นผีเฝ้าสวนดอกไม้นี่แน่!

     เหิมเกริมยิ่งนักพวกเจ้าสองพี่น้อง! คิดเหรอว่าข้าจะกลัวฮ่องเต้! ขนาดเจ้าที่เป็นถึงแม่ทัพผู้เกรียงไกรข้ายังไม่กลัว! หากพวกเจ้าสองพี่น้องเลขห้าไม่มีประโยชน์ต่อข้า ข้าคงไม่ปล่อยพวกเจ้าลอยนวลถึงวันนี้หรอกนะ! อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันอยู่ หากพวกเจ้าตายขึ้นมา ข้าก็สามารถแก้ต่างให้ตัวเองได้ ฉะนั้นสำนึกเอาไว้ว่าข้าเว้นชีวิตพวกเจ้าไว้! “

     พะ พี่หญิงใหญ่ ปล่อยพี่ฟานเฉียนเถิด ขะ ข้า อึก! ข้าขอร้อง! “ องค์หญิงห้าที่ถูกคลายแรงบีบออกจากคอ แต่ยังคงไม่มากนัก เอ่ยขอร้องผู้เป็นพี่สาวด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นให้ไว้ชีวิตพี่ชายที่รักที่สุด

     ฉันหรี่ตามองแววตาของไป๋หู แค่ดูเพียงแวบเดียวก็รู้ว่ารักพี่ชายมากแค่ไหน แต่(ไอ้)พี่ชายนี่สิ หยิ่งผยอง โอหัง เห็นแก่ตัว ไม่ทราบว่ามันมีค่าตรงไหนวะ?!

     ฉันปลดมืออกจากรอบคอทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว แต่เลือกที่จะคว้าเอวของไป๋หูมาแทน ดูก็รู้ว่าแม่องค์หญิงห้านี่มีดีแค่เท้าไว ข่าวไวที่เหลือย่ำแย่ วรยุทธยังอ่อนหัดนักต่อให้ซ่อนเร้นเท่าใดก็รู้

     อั่ก!

     “ แค่นี่ถึงกับกระอั่กเลือดแล้วหรือองค์ชายฟานเฉียน อ่อนหัดจริงๆข้านึกไม่ออกจริงๆว่าท่านได้รับประทานฉายาจากฮ่องเต้ได้ยังไง หึ! “

     เจ้า! “ ร่างสูงปรี่เข้ามาหวังจะฆ่าหญิงสาว แต่กลับมีดาบมาสกัดเอาไว้

    เคร้ง!

    ท่านเป็นบุรุษมิควรรังแกสตรี ทางด้านหลี่เหวินอี้ที่ทนดูไม่ได้จึงรีบเข้ามาสกัดเอาไว้

    เจ้าเป้นใครช่างกล้าหาญยิ่งนัก! เจอหน้าข้าที่เป็นองค์ชายห้ายังไม่ทำความเคารพอีก

    ข้าองค์รัชทายาทแคว้นหลี่ มีนามว่าหลี่ เหวินอี้พะยะค่ะองค์ชายห้า

    จะ เจ้า องค์ชายห้าฟานเฉียนเบิ่งตาค้างกว้าง

    พรึ่บ!

    ชั่วพริบตาร่างสูงใหญ่ขององค์ชายลงไปสลบแน่นิ่งในอ้อมกอดของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง นั่นคือหลางเฟยนั่นเอง

     ขออภัยเพคะองค์หญิงที่หม่อมฉันมาช้า พระองค์ทรงมาไม่บอกกล่าวกันเลย ทั้งยังทรงลืมหน้ากากไว้ที่ตำหนักด้วยเพคะ หลางเฟยย่อกายถวายพระพรหญิงสาวก่อนจะยืนหน้ากากทองที่ปิดทั้งใบหน้าให้หญิงสาว ในวันนี้นางใส่ผ้าคลุมหน้าสีแดงเลือดตามคำสั่งผู้เป้นนายก่อนออกจากตำหนัก ทั้งยังกำชับให้นางกำนัลทุกคนใส่เช่นกัน

     ฉันหยิบหน้ากากมาสวมด้วยความเบื่อหน่าย ในเมื่อเกมส์จบก็คงพอรู้ผลแล้ว ฉันคลี่ยิ้มก่อนหันไปย่อกายถวายพระพรแด่ผู้มาใหม่อย่างรัชทายาทแคว้นหลี่อย่างนอบน้อม

     ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะช็อกเมื่อจับใจความได้ว่า หญิงสาวที่เขาคิดว่าเป็นสนมกลับกลายเป็นผู้ที่เขาต้องมาคัดเลือกเป็นราชบุตรเขยหรือสามีให้ ทั้งคำเล่าลือต่างๆนาๆยังเป็นจริงดั่งตาเห็น นางเหี้ยมโหด อำมหิต ฆ่าได้กระทั่งพี่น้องหากขัดผลประโยชน์นาง แม้เขาจะแสนเกลียดชังยามได้ยินคำเล่าลือ แต่เมื่อเจอตัวจริงเขากลับคิดว่านางกำลังเล่นละครเป็นตัวร้าย ทั้งๆที่แววตาลึกๆของนางยังคงสั่นไหวอยู่ นางยังคงรักพี่น้องเพียงแต่นางทำไปเพื่ออะไรกัน นางทำอะไรกันแน่นะ

      ถวายพระพรองค์รัชทายาทแคว้นหลี่ หม่อมฉันต้า เยว่หมิง พระธิดาลำดับที่หนึ่งเพคะ

     ลุกขึ้นเถอะ เขาสั่งหญิงสาวทั้งยังเข้าไปพยุง เจ้าเป็นใครกันแน่ เขากระซิบกับหญิงสาว

    ขอบพระทัยองค์รัชทายาท หม่อมนั้นโง่เขลา ไม่เข้าใจคำถามของพระองค์ที่ถามว่าหม่อมฉันเป็นใคร หม่อมฉันคงตอบได้แต่ว่า หม่อมฉันเป็นองค์หญิงใหญ่เพียงเท่านั้น ขอบพระทัยที่กรุณา หม่อมฉันทูลเพคะ นางพูดรัวแล้วถวายพระพรออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินถอยหลังออกไปช้าๆ

     เหวินอี้ด้วยความยังค้างคาใจเขาจึงใช้วิชาตัวเบาเข้าไปคว้าตัวหญิงสาวมา จนหมุนไปรอบๆทั้งสองจ้องตากัน ด้วยสายตาต่างความหมาย คนหนึ่งหัวใจเหมือนจะหยุดเต้น อีกคนมีเพียงความเฉยชา

     ราวกับเวลาถูกหยุดไว้เพียงเท่านี้ หัวใจที่ด้านชาต่อความรักถูกกระตุ้นให้เต้นอย่างรุนแรง หัวสมองที่คิดแต่เรื่องรบ ฆ่าฟัน และอื่นๆ กลับกลายเป็นภาพบุรุษซ้อนทับกัน รอยยิ้มสดใส ร่าเริง ของเขาทั้งสองชั่งเหมือนกันจริง

     เคร้ง!

     หน้ากากหลุดร่วงสู่พื้นเกิดเสียง เรียกสติทั้งสองคน เยว่หมิงได้สติก็ดันตัวออกห่างจากชายหนุ่ม แล้วก้มไปหยิบหน้ากาก แต่บังเอิญความคิดนี้ดันตรงกันกับชายหนุ่ม และหลางเฟย จนเกิดสงครามประสาทขนาดย่อมๆ

     ทั้งสามคนต่างเงยหน้าขึ้นมาดูโฉมหน้าผู้ที่หยิบหน้ากากทอง คนแรกเยว่หมิง แววตาปรากฏแต่เพียงความแปลกใจ ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์อย่างรัชทายาทเหวินอี้ ปรากฏแต่เพียงรอยยิ้มบางเบา ส่วนหลางเฟยนั้นละมือออกจากหน้ากากแล้วกลับไปยืนด้านหลังหญิงสาว

     ขอบพระทัยรัชทายาทเพคะ หากพระองค์ยังคงค้างคาใจ งั้นหากพระองค์ทรงว่างก็สามารถไปที่ตำหนักหม่อมฉันได้เพคะ ฉันพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่ยิ้มอ่อนๆตามมารยาทเท่านั้น

     เจ้าแย่งคำพูดข้าไปเสียแล้วองค์หญิง เหวินอี้พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ

     หึ! หม่อมฉันไม่บังอาจหรอกรัชทายาท

     “ นี่หน้ากากของเจ้า.... องค์หญิงใหญ่ต้า เยว่หมิง เขานำกากไปสวมที่ใบหน้าหญิงสาวอย่างแผ่วบา ทั้งยังล้อเลียนนางด้วยน้ำเสียงขำขันอีกด้วย

    *************************************************

    สวัสดีค่าา มาอัพให้แล้วน้าาา ดองไว้นานเกิน 555 ที่จริงตอนนี้แต่งค้างไว้ที่ 90% เป้นอาทิตย์แล้ว แต่ไม่ได้อัพสักที เห็นว่าเหลืออีก 10% เลยคิดว่ามาอัพให้จบเลยดีกว่า><  ตอนนี้ไรต์ใส่เพลงไปด้วยนะค้าา อย่ารำคาญเพลงน้าา เพราะว่าเพลงมีความหมายกับเนื้อร้องท่อนหนึ่งที่นางเอกเราร้อง ต้องฟังเพื่ออรรถรสด้วยน้ะเออ^^ เดียวไรตืมาอัพเพิ่มอีกน้าา รักรีดเดอร์ทุกคนจ้าา

    29 พ.ค. 2558 เวลา 24:12 น.

    มาต่อจนครบ 100% แล้วล่ะน้อออ อ่านกันแล้วงงใช่มั้ยล่ะ อันนี้ไรต์แต่งยังงงเองเลยย ???????? ไรต์โคตรพลาดเลยที่ไม่ได้วางพล็อตเรื่องให้มั่นคงวตั้งแต่แรก ไรต์คิดว่าหลังจบตอนที่ 5 จะรีไรท์ดีมั้ยอ่า ถามความคิดคนอ่านหน่อยกลัวว่าถ้าเปลี่ยนเนื้อเรื่องแล้วพอมาอ่านใหม่แล้วมันจะสะดุดอ้ะ ถ้ายังไงก็ช่วยๆกันติชมคอมเม้นได้น้า เพราะว่าไรต์เองต้องการคอมเม้นไปปรับปรุงนิยายเหมือนกัน นักอ่านีบกวนออกจากเงามาสู่แสงสว่างหน่อยน้าาา????????????????????

    1 มิ.ย. 2558 เวลา 19:20 น.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×