ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรักจอมนางมารสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 100%

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 58


    บทที่ 3

    โครม! ซ่า!

     เวรเอ๊ย! ฝนมาตกอะไรกันตอนนี้เนี่ย ฉันที่ตอนนี้วิ่งบนต้นไม้จากตำหนักตัวเองมายังตำหนักชินหยาง บ่นไปตลอดทาง ทั้งยังบ่นไปตลอดทางที่ผ่านมา ให้ตายเหอะเง็กเซียนช่วยย! เมื่อกี้ฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลย อยู่ดีๆก็ฝนมาตกเฉย แหม! เกือบหน้าแหกแล้วนะเมื่อกี้อ่ะ

     เอาน่าๆเยว่หมิง เจ้าก็อย่าบ่นมากเลย รีบๆเหอะ เดี่ยวก็ถึงตำหนักชินหยางของพี่สามจอมโหดแล้ว เขาเองก็หงุดหงิดไม่ใช่น้อยที่ต้องมาเที่ยววิ่งหนีคนในวังหลวง หนำซ้ำยังมาต้องฟังเสียงบ่นของน้องสาวอีก ซวยกว่านี้มีอีกมั้ย?!

     เหอะ! ใครถึงก่อนชนะ ใครแพ้เลี้ยงอาหารสี่มื้อ(?)สองวัน ฉันพูดไม่จบก็รีบใส่สปีดวิ่งจ้ำไปอย่างเร็วและแน่นอนถึงตำหนักชินหยางภายในชั่วพริบตา กร๊ากก ตรูชนะแล้วเว๊ยย

     แฮ่กๆๆ ยะ เยว่หมิง จะ เจ้าขี้โกงนี่

     อุ๊ย! พี่ชายฉันเปลี่ยนสถานะจาก ควาย กลายเป็น สุนัข แล้วเหรอนี่ แหม! ลิ้นห้อยเชียว มามะเดี๋ยวเจ๊เอาน้ำให้กิน

    อ่ะ กินไปดิ น้ำอ่ะ ฉันยื่นถุงน้ำหนังสัตว์ให้พี่ชายกินด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

    ขอบใจ

    ฉันยิ้มหวาน แล้วพูดว่า ข้าว่าเจ้าขอบใจฟ้าเถอะที่ประทานน้ำมาให้เจ้า ไม่ใช่ข้า...นะเซี่ย^^ “

     อุ๊บ! พรวดดด!

     เยว่หมิงงง! “

     ฮ่าๆๆ เด็กโดนหลอก ฉันหัวเราะลั่นอย่างสนุกสนาน แล้ววิ่งเล่นมั่วไปทั่วทั้งตำหนักชินหยาง จนกระทั่งตกค่ำ

     ตุ๊บ!

     เหนื่อยจัง เซี่ย...เจ้ารู้มั้ยว่าตั้งแต่เด็กจนโตข้าพึ่งมีวันนี้ที่หัวเราะได้เต็มปากเต็มคำเชียวนะ

     แล้วตอนเจ้าทำศึกล่ะ ข้าเห็นเจ้าก็หัวเราะนี่

     นั่นมันหัวเราะเพราะข้ากำลังคลั่งต่างหาก หัวเราะด้วยความขมขื่น หัวเราะเพราะข้ากำลังสมเพชตัวเองที่ต้องฆ่าคนเพื่อชัยชนะต่างหาก ฉันหันไปยิ้มให้พี่ชายที่ทำหน้าเข้าใจอยู่เนื่องๆ จึงพูดต่อ แต่หัวเราะที่เจ้าเห็นวันนี้คือหัวเราะจากหัวใจต่างหาก วันนี้ข้ามีความสุข แม้จะมีความทุกข์ในวันข้างหน้าก็ตามเถอะ

     แล้วเจ้าเคยยิ้มให้เสด็จแม่และเสด็จพ่อรึเปล่า

     เคยสิ ตอนข้าอายุแปดขวบ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขที่สุด เวลานั้นท่านแม่ยังเป็นเพียงพระสนมเอกที่อบอุ่นคอยเฝ้าดูแลข้าอย่างห่วงหา ไม่ยอมปล่อยข้าห่างกายเลยสักนิด ต่างกับตอนนี้ที่เสด็จแม่เป็นถึงฮองเฮาแคว้นต้าผู้ยิ่งใหญ่ สตรีที่ใต้หล้าต่างเทิดทูน อ้อมกอดที่แสนเย็นชา ไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อน ข้าไปรบไม่มีแม้แต่คำอวยพร มีแต่ผลักไสไล่ส่งต่างกับพี่ใหญ่ พี่รอง พี่สามและเจ้าที่ไปรบมักมีรอยยิ้ม อ้อมกอดที่อบอุ่นมอบให้เสมอ ต่างกับข้าที่ได้แต่เฝ้าดูในเงามืดด้วยความหนาวเหน็บเท่านั้น

     เยว่หมิง

     ข้าอิจฉาเจ้ามากรู้มั้ย...องค์ชายหกเซี่ยซาน ทุกๆครั้งที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่กอดเจ้าหน่ะ มันทำให้ข้าอยากจะคว้าดาบมาทิ่มแทงหัวใจข้าดูว่ามันยังมีความรู้สึกอีกมั้ย เพราะว่าภายในหัวใจข้ามันมีแต่เพียงความทุกข์ เศร้า หนาวเหน็บ ตัวคนเดียว เหมือนกับชื่อข้าที่แปลว่าพระจันทร์ ต้องอยู่คนเดียวภายใต้ความมืดมน แม้จะมีแสงสว่าง แต่ก็ไม่เหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างไสว ข้าหน่ะ แม้จะดูร่าเริง...แต่ข้ากลับเหงามากนะ ฉันพูดไปน้ำตาคลอไป ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเป็นองค์หญิงเยว่หมิงผู้เย็นชาเหมือนเดิม ต้องฆ่าฟันเพื่อชัยชนะ และต้องเป็นคนที่น่าเกรงขามที่สุด ฉันจะทำความฝันของยัยองค์หญิงให้เป็นจริงให้ได้

     “ ‘ น้องน้อย เจ้าจำคำนี้ได้มั้ยเยว่หมิง ตอนเด็กๆเจ้าชอบให้พี่เรียกเจ้าอย่างนี้ แล้วเวลาเจ้าเรียกพี่เจ้าก็จะเรียกพี่ว่า ม้าน้อย เห็นมั้ยเจ้าเองก็เปลี่ยนไป เคยได้ยินมั้ยเวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน มือใหญ่ที่แสนอบอุ่นของผู้ชายที่ได้ชื่อว่า เซี่ยซาน กอบกุมมือเธอด้วยความอ่อนโยนไม่เสแสร้ง แม้กระทั่งดวงตา

     เซี่ย

     น้องน้อยกลับวังหลวงเถอะ อย่าหนีเลย กลับไปเล่าความจริงให้เสด็จแม่ฟังว่าทำไมเราถึงได้จูบกัน อีกอย่างเจ้าเป็นถึงองค์หญิงใหญ่แคว้นต้า และจอมทัพหญิง อย่าให้คนอื่นต้องมาหมิ่นเจ้าสิ ม้าน้อยเป็นห่วงเจ้าเสมอนะ อีกอย่างอย่าทำตัวเย็นชาสิ ยิ้มหวานๆให้ม้าน้อยได้เห็นสักครั้งได้มั้ย

     ม้าน้อย ฉันยิ้มอ่อนๆให้กับพี่ชายสุดหล่อ ก่อนจะคว้ามือของร่างสูงที่ยื่นมาให้

     กลับวังหลวงกันนะน้องน้อย นับแต่วันนี้ไปพี่จะเป็นม้าน้อยให้เจ้าอีกครั้งหนึ่ง

     

    เปรี้ยงง!

     ท่านเป็นเช่นนี้จริงเหรอหมิงเอ๋อร์ หรือว่าเมื่อกี้ก็คือการแสดงกันแน่ ข้าไม่แน่ใจเลยจริงๆ นางเอ่ยกับตัวเองด้วยความไม่แน่ใจภายใต้เงามืด ในอดีตท่านช่างร้ายกาจ จนข้ามิอาจรับมือได้ ใยตอนนี้ท่านช่างอ่อนโยนและอ่อนแอในคราวเดี๋ยวกัน บอกข้าสิหมิงเอ๋อร์ว่าท่านกำลังแสดงละครหลอกข้าอยู่ ข้ากลัวใจตัวเองจริงๆที่จะไม่ฆ่าท่าน

     นางร่ำไห้ในใจด้วยความเจ็บช้ำ ในอดีตนางถูกรังแกมามากมาย ในปัจจุบันนางขอทำท่านคืนแล้วกัน แค้นที่นางมีต่อท่านขอชำระให้สิ้นภายในชาตินี้เสียแล้วกัน

     หญิงสาวผู้เป็นเงาดำสะบัดชายเสื้อเดินโต้กระแสลมฝนไปอย่างไม่เกรงกลัวจนลับลาหายไปตามสายหมอก ราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริง

     

     ณ วังหลวง ตำหนักหยางเจียนหลง

     องค์หญิงใหญ่และองค์ชายหกขอเข้าเฝ้าพะยะค่าาาา เสียงขันทีหน้าตำหนักร้องบอก

     ร่างบางเพรียวระหงขององค์หญิงใหญ่หรือเยว่หมิง และร่างสูงแกร่งขององค์ชายหกเจ้าสำอางหรือเซี่ยซานเดินเข้ามาภายในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จนไม่สามารถเดาใจได้ถูกหรือแม้จะอ่านสีหน้าคงเป้นไปได้อยาก

     ถวายบังคมเสด็จแม่และเสด็จพ่อเพคะ/พะยะคะ

     “ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกจะมาขอโทษเพคะ

      ลุกขึ้นได้ ฮ่องเต้เป้นผู้รับสั่งให้ลูกทั้งสองลุกขึ้น แต่คงไม่ทันความไวของฮองเฮาที่ปรี่ไปประชิดตัวลูกสาวคนโตด้วยความไว

     เพี๊ยะ!

     เสียงฝามือกระทบแก้มดังไปทั้งตำหนักจากฝีมือของฮองเฮาหรือผู้เป็นแม่ท่ามกลางพยานนับสิบคือเหล่านางกำนัล ขันทีและทหารอย่างไม่สนใจหรือจะกลัวว่าลูกสาวจะโดนเก็บไปนินทาหรือไม่

     เยว่หมิง นางลูกชั่ว! เจ้าทำข้าอับอายผู้คน! “

     ฉันตวัดสายตาไปมองผู้เป็นแม่ด้วยความสมเพชตัวเองและโกรธจัด ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนคนไม่มีสติ

     “ ฮ่าๆๆเสด็จแม่ท่านว่าข้าเป็นลูกชั่วงั้นหรือ หึ! ถ้าข้าชั่วจริง ป่านนี้แคว้นต้าคงร้อนระอุเป็นไฟไปนานแล้ว! ราชบัลลังค์ที่สั่นคลอน แคว้นที่กำลังจะหายไปข้าก็ช่วยกู้มันขึ้นมาอีกครั้ง! นี่ข้ายังเป็นลูกชั่วของท่านอยู่สินะ ข้าทำท่านอับอายงั้นหรือ? น่าสมเพช! แค่อุบัติเหตุแล้วนางกำนัลมาเห็น แล้วมารายงานท่านนี่ข้าทำท่านอับอาย ทีท่านล่ะ! ตบข้าต่อหน้าข้าราชบริพานพวกนี้! มันจะไม่ยิ่งอับอายไปกว่าหรือ? ฉันตะคอกออกไปทั้งน้ำตา

     เพล้ง!

     ฉันคว้าแกกันดอกไม้ที่ฉันเคยแกะสลักมาให้เสด็จแม่ทิ้งลงพื้นก่อนจะขยี้มันด้วยเท้าของฉัน แล้วหันไปพูดกับนางกำนัล ขันทีและทหาร พวกเจ้ารู้มั้ยเหล่าข้าราชบริพานเอ่ย... พวกเจ้าก็เหมือนแจกันใบนี้ มีค่าแค่ตกแต่งยศฐาบรรดาศักดิ์เท่านั้น! เมื่อพวกเจ้าหมดค่า...ก็จะถูกทำลายทิ้ง! แล้วถูกเหยียบย่ำ! ซ้ำเติม! เหมือนกับแจกันใบนี้ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตากวาดมองไปทั่งห้อง

     ข้าเป็นสตรีจะมีงานรบเหนือหน้าเหนือตาบุรุษไม่ได้ พวกพี่ชายข้าที่ได้ออกรบออกศึกเพียงเล็กๆ ต่างกับข้าที่ถูกส่งไปศึกใหญ่ เหมือนส่งไปตายมากกว่ารบเสียอีก ข้าไปออกรบ...คำอวยพรสักคำยังไม่มี! ต่างกับพี่ชายที่มีคำอวยพรมากมายเหลือล้น! พวกเจ้าว่ามั้ยเหมือนข้าโดนลำเอียงอยู่ หึ! “

     ฉันย่างก้าวไปหาเสด็จแม่ช้าๆด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีแม้แต่ความรักที่เคยมีให้ ไม่มีแม้แต่ความร่าเริง เหลือแต่เพียงปีศาจหลับไหล ที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยความอาฆาตแค้น

     ฉันยกยิ้มราวกับผู้ชนะ ก่อนจะปักดาบลงตรงหน้าเสด็จแม่ด้วยความรุนแรงจนด้ามดาบหักลง

    เคร้ง!

     “ ข้าไม่เคยลำเอียงกับผู้ใด ข้ามีแต่ให้เสมอ ใยมีแต่ผู้คนคิดจะแสวงหาผลประโยชน์จากข้าจริงนะ ฉันถอนหายใจ ใครอยากอยู่กับข้าให้เก็บข้าวของมา ใครไม่อยากข้าก็ไม่บังคับ... เพียงแต่ว่า...หากพ้นค่ำคืนนี้ไปพวกเจ้าจะเป็นศัตรูกับข้า! “

    ปัง!

     “ บัดสบ! เยว่หมิงเจ้าคิดจะก่อกบฏรึไงห้ะ! “ องค์ฮ่องเต้ที่ทนดูต่อไม่ได้ ตะคอกออกมาด้วยความโกรธจัด

     เสด็จพ่อเพคะ ทรงรักษาพระวรกายด้วยสิเพคะ เดี๋ยวก็ทรงประชวร...ตาย! หรอกนะเพคะ หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์อยู่เสมอ อ้อ! นี่มันไม่ใช่การก่อกบฏหรอกนะ ฉันคลี่ยิ้มปีศาจ

     แต่มันคือการบั่นทอนอำนาจต่างหาก! หม่อมฉันขอตัวลา ฉันหันหลังเดิน จนไปหยุดที่เซี่ยซาน พี่ชายผู้จงรักพักดี

     ม้าน้อย...เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ฉันระบายยิ้มจริงใจและอ่อนโยนให้ผู้เป้นพี่ชาย

     ม้าน้อยจะทิ้งน้องน้อยได้อย่างไร

     ฉันยื่นมือไปกุมมือใหญ่ของพี่ชายมาจับไว้ แล้วยิ้มจนตาหยี ก่อนจะก้าวออกจากตำหนักไปอย่างไม่แยแส

     

    ภายในตำหนักหยางเจียนหลงที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน

     ฮือออ ข้าทำอะไรผิดพลาดลงไปหรือฝ่าบาท ลูกหมิงถูกได้คิดจะบั่นทอนพวกเรา ข้าทำอะไรผิด ฮองเฮาที่เมื่อครู่ทรงช็อกทรุดตัวลงไปร่ำไห้ปานใจจะขาด

     “ เฮ้อ ซือเซียนเจ้าเดินหมากผิดไปเสียแล้ว เยว่หมิงนางไม่ใช่หมากที่จะบังคับได้ง่ายๆ ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจด้วยความเครียด

     “ เจ้าได้ยินที่นางพูดหรือไม่ เจ้าใช้ความเป็นแม่ผิดพลาดไป นางต้องการมาขอโทษเจ้าแต่เจ้ากลับไม่ฟังนางเลยสักนิด นางพูดก็ถูกของนางนะซือเซียน เจ้าไม่เคยให้พรนางยามออกรบ เจ้าส่งนางไปออกรบอกศึกเฉพาะศึกใหญ่ๆ ต่างกับลูกๆเราที่เป็นชาย เจ้ากลับส่งพวกเขาไปออกรบเล็กๆเท่านั้น เจ้าใช้ความรักลูกผิดไปแล้วนะซือเซียน

     “ ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องทำเช่นไรดี

     ปล่อยไปก่อน เห็นทีเราต้องให้ลูกๆพูดคุยกันเอง เรื่องนี้เราไม่สมควรยุ่ง

     

     ตำหนัก ซินเหยียนเยว่

     ม้าน้อยจ๋าาาา ฉันลากเสียงยาวเฟื้อยย ทั้งยังเอาใบหน้าอันงดงามของตัวเองไปสีกับหลังของคุณพี่ชายที่นั่งอันหลังอ่านหนังสืออย่างสงบ

     มีอะไรหรือน้องน้อยถึงได้อ้อนม้าน้อยขึ้นมาล่ะ ใบหน้าหล่อละมุนขององค์ชายหกที่มักมีแต่ความเจ้าเล่ห์ แต่เวลานี้มีแต่ความอ่อนโยน และดวงตาที่มักหลี่อยู่เสมอกลับมีแต่เงาสะท้อนน้องสาวคนสวย

     โห่ ม้าน้อยก็...

     โอ๋เอ๋ๆ อย่างอนสิน้องน้อย

     ฮ่าๆๆ ม้าน้อยจ๋าา น้องน้อยอยากให้ม้าน้อยช่วยรวบรวมกำลังพลของเหล่าบรรดาพี่น้องหน่อยสิ ได้มั้ยเพคะ...

     หืม... น้องน้อยพูดจริงเหรอ ใบหน้าอ่อนโยนฉายแววประหลาดใจ ม้าน้อยนึกว่าน้องน้อยพูดเล่นๆเท่านั้นเอง อืม... ยังไงก็ตามเดี๋ยวม้าน้อยจะช่วยนะ มือใหญ่ดำสนิทขยี้ลงบนเส้นผมสี้ดำสนิทของน้องสาวตัวแสบอย่างหมั่นเขี้ยว

     เย้! ดีใจจังเลยย ม้าน้อยใจดีที่ซู๊ดด ฉันกระโดดขึ้นไปเกาะคอคุณพี่ชายที่แสนตั้ลร้าก(ภาษา

    วิบัติมาแล้ว)

     ฮ่าๆๆๆม้าน้อยใจดีอยู่แล้ว แถมยังสง่างามองค์อาจอีกด้วย

     ฉันเบ้ปากอย่างเอือมระอา เหรอเพคะม้าน้อยยย

     

     

     ตำหนักฟานปิงเฉียน

    ไป๋หู เจ้าว่าไงกับข่าวลือพวกนี้ บุรุษหน้าตาคมคายที่มีตำแหน่งเป็นถึงองค์ชายห้า เอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้ายากที่จะคาดเดา

     อิสตรีร่างบางที่เกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงนอนอันนุ่มนิ่ม ผงกหัวขึ้นมายิ้มด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ ข่าวจากนางกำนัลตำหนักเสด็จแม่เชื่อถือได้ที่สุด พี่ห้า...ท่านยอมรู้ดีคนตำหนักท่านแม่เกือบครึ่งล้วนถูกข้าซื้อไว้หมดแล้ว มีอะไรที่จะทำให้ท่านไม่เชื่อบ้างงง องค์หญิงห้าต้า ไป๋หูหรือจิ้งจอกขาวของหน่วยนักล่า(ข่าว) เด้งตัวขึ้นมาจ้องหน้าผู้เป็นพี่ชายด้วยความเจ้าเล่ห์

     ไป๋หูน้อย ถึงเจ้าจะเป็นหน่วยล่าข่าว แต่เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกรึไง ที่อยู่ดีๆลูกสาวคนโปรดจะโกรธจัดจนขนาดลุกขึ้นบั่นทอนอำนาจเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ทั้งๆที่แม่ก่อนนางออกจะเชื่องและเชื่อฟังซ่ะขนาดนั้น หนำซ้ำยังมีข่าวลือหนาหูว่า องค์หญิงใหญ่เยว่หมิงอิจฉาพี่น้อง กันเอง

     จริงเหรอพี่ห้า อืมม...ข้าคิดว่าน่าจะมีส่วน งั้นเรามาทำให้พี่เยว่หมิงมีความสุขดีมั้ยพี่ห้า ร่างบางกระโดดลงจากเตียงนอนผู้เป้นพี่ชายแล้วใช้วิชาตัวเบาถลาเข้าไปหา จนผู้เป็นพี่ถึงกับผงะ

     ไป๋หูน้อย ข้าขอร้องเจ้าหล่ะ อย่ามาแบบนี้ ข้าตกใจ

     “ ข้าสวยใช่มั้ยล่ะเพคะพี่ห้า ฮ่าๆๆ

     เปล่าข้ากลัวใบหน้าอันขาววอกของเจ้า นี่เจ้าแอบไปกินไฮเตอร์มารึไงเนี่ยไป๋หู ขาวเหมือนผีดิบเลยนะนั่น

     เสด็จพี่องค์ชายห้าฟานเฉียน! นี่ท่านว่าข้าเป็นผีดิบงั้นเหรอห๊าาาาา

    องค์หญิงใหญ่เยว่หมิง และองค์ชายหกเซี่ยซานเสด็จพะยะค่าาาาา เสียงขันทีหน้าตำหนักร้องลั่น

     สองศรีพี่น้องหมายเลขห้าหันหน้ามามองกันโดยไม่ได้นัดหมาย

     เวรแล้วไง! “ สองศรีพี่น้องหมายเลขห้าหันหน้ามาสบตากันโดยทันที

     

     

     ฉันเดินเคียงคู่มากับองค์ชายหกเซี่ยซานเข้ามาภายในตำหนักฟานปิงเฉียนด้วยสีหน้ายากที่จะคาดเดา ก่อนจะเดินไปในภายในตำหนักอย่างช้าๆ ทั้งยังกวาดสายตาประเมิณตำหนักขององค์ชายห้าฟานเฉียน นักรบผู้เกรียงไกร

     “ ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่พะยะค่ะ/เพคะ

     “ ลุกขึ้นได้ ฉันพูดอนุญาตตามธรรมเนียมก่อนจะหยุดมองาสองพี่น้องหมายเลขห้าด้วยสายตาเยือกเย็น องค์ชายห้า ต้า ฟานเฉียน และ องค์หญิงห้า ต้า ไป๋หู พวกเจ้ารู้มั้ยว่าข้ามาหาพวกเจ้าเพราะอะไร

    เอ่อ ไม่ทราบพะยะค่ะ องค์ชายห้าที่แม้จะได้ฉายานักรบผู้เกรียงไกร ยังต้องอกสั่นขวัญผวาอย่างนิดหน่อย ด้วยสายตาที่เยือกเย็นและไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ถูกขององค์หญิงผู้นี้ แม้เขาจะทราบมาบ้างว่า องค์หญิงใหญ่เยว่หมิงผู้นี้ เป็นถึงจอมทัพหญิงฝีมือหาใครเปรียบ สามารถปราบกบฏได้รวดเร็วกว่ากำหนดจากสี่เดือนเหลือเพียงเดือนครึ่งเท่านั้น ทั้งความเหี้ยมโหดยังมากล้น จนไม่ศัตรูหน้าไหนกล้าทำอศึกด้วยอีก

     ฉันเหยียดยิ้ม ดวงตาประกายความเจ้าเล่ห์ออกมา ข้าแค่ต้องการ...พันธมิตร เท่านั้นเอง! “ ฉันขยับริมฝีปากเล็กได้รูปอย่างรู้สึกสนุก เป็นคำว่า  ตาย ออกมาให้พี่น้องหมายเลขห้าได้รับรู้ว่าถ้าไม่ยอมจำนนต่อฉันมีแต่ความตายเท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับ

    ดวงตากลมโตขององค์หญิงห้าเบิกกว้างตกใจ อ่ะ เอ่อ ข้าว่าเรายืนคุยกันตรงนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่านะ หญิงสาวพูดด้วยความร้อนรน

     งั้นเชิญองค์หญิงใหญ่เสด็จเข้าไปข้างในก่อนเถอะพะยะค่ะ

     ฉันยกยิ้มอ่อนๆก่อนจะเดินเข้าไปด้านในด้วยใบหน้านิ่งๆตามเดิม ฉันเดินตามสองพี่น้องเลขห้าที่เดินเข้าไปยังด้านในตำหนักที่อยู่ส่วนลึกสุด คาดว่าน่าจะเป็นห้องประชุมลับของเหล่าองค์ชาย องค์หญิงที่นิยมรวมกลุ่มกัน เหมือนเช่นพี่น้องเลขห้าทั้งสองคน

     และที่ฉันรู้มาอีกอย่างคือ หากฉันสามารถนำพี่น้องเลขห้าเข้าพวกได้ ก็เท่ากับว่าฉันสามารถยึดกองทัพฝั่งเหนือและใต้ได้แล้ว ซึ่งทหารฝั่งทิศเหนือและทิศใต้โดยรวมแล้วมีทหารกว่าสองแสนนาย ส่วนฉันเองก็ควบคุมทหารทิศตะวันตกซึ่งมีทหารเยอะที่สุด คือ สามแสนนาย เยอะกว่าชาวบ้านเขาสองเท่า โดยปกติผู้ควบคุมทิศจะได้รับทหารในกองทัพเพียงหนึ่งแสนนาย แต่บังเอิญว่าฉันดันมีบุญคุณกับคนมากมาย หรือจะเรียกว่าเกือบทั้งเมืองเลยก็ได้ จึงยอมสละชีวิตตัวเองติดตามฉันเข้ากองทัพ ดังนั้นฉันจึงมีคนมากกว่าปกติไง จะบอกอะไรให้อีกอย่างหนึ่งคือ ทหารของฉันหนึ่งคนสามารถล้มคนได้ห้าสิบคน ง่ายๆก็คือห้าสิบต่อหนึ่งนั่นแหละ

     องค์หญิงใหญ่พะยะค่ะ เหตุใดพระองค์จึงคิดสานสัมพันธ์ไมตรีกับพวกเราสองพี่น้อง ต้า ฟานเฉียนเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

     ฉันหัวเราะเบาๆก่อนจะสะบัดมือให้ม้าน้อยสุดน่ารักที่ไม่มีตัวตนอยู่ชั่วคราวให้ออกไปก่อน เมื่อเห็นว่าม้าน้อยที่น่ารักออกไปแล้วฉันจึงหันหน้ากลับมาเล่นงานสองพี่น้องโดยปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรงให้อกสั่นเล่นๆอย่างอารมณ์ดี

     ข้าน่ะเป็นมิตรกับทุกคน ยกเว้นแต่...กับพวกคนที่ไม่มีสมองไว้ไตร่ตรองว่านาทีนี้ควรทำอะไรมากที่สุด

     “ องค์หญิงทรงตอบไม่ตรงคำถามนะพะยะค่ะ

     เอ๋? งั้นเหรอ...ที่ข้าตอบไม่ตรงคำถาม หึ! “

    ... แม่ทัพผู้เจนจัดในการรบกลับหน้าดำหน้าแดงกับนิสัยเสียๆขององค์หญิงใหญ่ของแคว้น ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นจอมทัพผู้เหี้ยมโหดมานั่งก่อกวนโทสะตัวเองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

     องค์หญิงใหญ่ทรงโปรดอภัยให้เสด็จพี่ห้าด้วยเพคะ เสด็จพี่คงไม่ได้ตั้งหรอก(มั้ง)เพคะ องค์หญิงจิ้งจอกต้า ไป๋หูถึงกับอยากจะเป็นลมไปเสียดื้อๆกับนิสัยขององค์หญิงขี้แกล้งตกหน้า หากไม่นับเรื่องจิตสังหารที่ฆ่าคนตายได้เมื่อครู่เมื่อกี้ด้วย นี่ขนาดขู่นะเนี่ยยังเล่นซ่ะเกือบตาย ถ้านางคิดจะฆ่าจริงๆคงเพียงชั่วพริบตาเดียวละมั้งเนี่ย หญิงสาวถึงกับกุมขมับต่อหน้าคนทั้งสองด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าข่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่า นางกำลังจะบ้าตายจริงๆแล้วนะ!

    ข้ามีจิตเมตตา ย่อมอภัยให้แก่กันและกันได้เสมอน้องห้า ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าถามว่าเหตุใดข้าถึงคิดสานสัมพันธ์พวกเจ้า คำตอบสั้นๆคือ อำนาจ! ไงล่ะ คิดดูให้ดีๆแล้วกัน ข้ามีทหารกว่าสามแสนนาย ทั้งยังองค์รักษ์ฝีมือดีนับพัน เจ้าคิดดูให้ดีๆเป็นครั้งสุดท้ายว่าเจ้าเลือกจะอยู่หรือไป อ้อ! ไม่สิ...ต้องบอกว่าเจ้าจะอยู่กับข้าหรือไม่ ข้ามีข้อเสนอดีๆให้เจ้าคือ...หนึ่ง ตกลง! สอง ไม่ปฏิเสธ! สาม ข้ายินดียิ่ง! เลือกมาหนึ่งอย่าง แล้วพรุ่งนี้ข้ารอ...นะ ฉันพูดเสร็จแล้วสะบัดชายเสื้อเดินออกไป โดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย

     ทางด้านพี่น้องหมายเลขห้าที่กำลังครุ่นคิดด้วยความเคร่งเครียด

     ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่านางจะกล้ามาเล่นงานเราถึงตำหนัก ซ้ำยังให้ตัวเลือกที่เรียกกว่า บังคับ! มาทั้งนั้น! จะเลือกข้อไหนก็มีค่าเท่ากัน ชายหนุ่มถึงกับอยากตายขึ้นมาทันใด เมื่อนึกถึงเสนอแต่ล่ะข้อที่หญิงสาวเสนอมาให้

     พี่ห้า ข้าว่าตอนนี้เราคงจะกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดานเสียแล้ว ยากนักที่จะหลีกเลี่ยง ทางที่ดีเราควรร่วมมือกับนางเสีย เพื่อความอยู่รอดของพวกเรา จิ้งจอกสาวขมวดคิ้วเรียวด้วยความกังวล ทั้งหางตาด้านขวายังคงกระตุกราวกับบอกเหตุหากว่านางไม่ทำตามจะเกิดอะไรขึ้น

     ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่ายังมีคนคิดเล่นหมากกับเสด็จพ่อ

     ข้าก็คิดเช่นกันพี่ห้า

     

     

    ค่ำคืนหนึ่งผ่านไป...ดวงใจไหวหวั่น

    พยายามไขว่คว้ายศฐาบรรดาศักด์

    สังหารผู้คนนับไม่ถ้วนถูกตีตราว่า...อำมหิต

    มีชิวิตดั่งความมืดถูกตราตรึงในความผิด

    จบสิ้นชีวิตหากพลาดผิดเพียงก้าวหนึ่ง

     ฉันนั่งอ่านบันทึกของยัยองค์หญิงด้วยใบหน้าเฉยชา ในศาลาท่ามกลางสวนดอกไม้เขตพระราชฐาน ซึ่งตอนนี้เป็นยามเช้ามืดหรือตีห้านั่นเอง ด้วยความรักสงบจึงแอบออกมาคนเดียว กับโคมไฟนำทางดวงเล็กๆดวงนึง

    ฉันคิดมาเสมอว่าตัวเองน่าสงสารและสมเพชที่สุดแล้ว แต่เมื่อเจอยัยองค์หญิง ฉันคงต้องยอมแพ้ ยัยนี่น่าสงสารกว่าฉันมาก ฉันปิดบันทึกแล้วเก็บมันเข้าช่องลับแขนเสื้อ ฉันเอนหลังไปพิงกับเสาของศาลาแล้วหลับตาพักผ่อนด้วยอาการผ่อนคลาย ก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลียและอ่อนล้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×