คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 100%
บทที่ 3
โครม! ซ่า!
“ เวรเอ๊ย! ฝนมาตกอะไรกันตอนนี้เนี่ย “ ฉันที่ตอนนี้วิ่งบนต้นไม้จากตำหนักตัวเองมายังตำหนักชินหยาง บ่นไปตลอดทาง
ทั้งยังบ่นไปตลอดทางที่ผ่านมา ให้ตายเหอะเง็กเซียนช่วยย! เมื่อกี้ฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลย
อยู่ดีๆก็ฝนมาตกเฉย แหม! เกือบหน้าแหกแล้วนะเมื่อกี้อ่ะ
“ เอาน่าๆเยว่หมิง เจ้าก็อย่าบ่นมากเลย รีบๆเหอะ
เดี่ยวก็ถึงตำหนักชินหยางของพี่สามจอมโหดแล้ว “ เขาเองก็หงุดหงิดไม่ใช่น้อยที่ต้องมาเที่ยววิ่งหนีคนในวังหลวง
หนำซ้ำยังมาต้องฟังเสียงบ่นของน้องสาวอีก ซวยกว่านี้มีอีกมั้ย?!
“ เหอะ! ใครถึงก่อนชนะ
ใครแพ้เลี้ยงอาหารสี่มื้อ(?)สองวัน “ ฉันพูดไม่จบก็รีบใส่สปีดวิ่งจ้ำไปอย่างเร็วและแน่นอนถึงตำหนักชินหยางภายในชั่วพริบตา
กร๊ากก ตรูชนะแล้วเว๊ยย
“ แฮ่กๆๆ ยะ เยว่หมิง จะ เจ้าขี้โกงนี่ “
อุ๊ย! พี่ชายฉันเปลี่ยนสถานะจาก ควาย กลายเป็น สุนัข แล้วเหรอนี่ แหม! ลิ้นห้อยเชียว มามะเดี๋ยวเจ๊เอาน้ำให้กิน
“ อ่ะ กินไปดิ น้ำอ่ะ “
ฉันยื่นถุงน้ำหนังสัตว์ให้พี่ชายกินด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“ ขอบใจ “
ฉันยิ้มหวาน แล้วพูดว่า “ ข้าว่าเจ้าขอบใจฟ้าเถอะที่ประทานน้ำมาให้เจ้า
ไม่ใช่ข้า...นะเซี่ย^^ “
อุ๊บ! พรวดดด!
“ เยว่หมิงงง! “
“ ฮ่าๆๆ เด็กโดนหลอก “ ฉันหัวเราะลั่นอย่างสนุกสนาน
แล้ววิ่งเล่นมั่วไปทั่วทั้งตำหนักชินหยาง จนกระทั่งตกค่ำ
ตุ๊บ!
“ เหนื่อยจัง
เซี่ย...เจ้ารู้มั้ยว่าตั้งแต่เด็กจนโตข้าพึ่งมีวันนี้ที่หัวเราะได้เต็มปากเต็มคำเชียวนะ
“
“ แล้วตอนเจ้าทำศึกล่ะ ข้าเห็นเจ้าก็หัวเราะนี่ “
“ นั่นมันหัวเราะเพราะข้ากำลังคลั่งต่างหาก หัวเราะด้วยความขมขื่น
หัวเราะเพราะข้ากำลังสมเพชตัวเองที่ต้องฆ่าคนเพื่อชัยชนะต่างหาก “ ฉันหันไปยิ้มให้พี่ชายที่ทำหน้าเข้าใจอยู่เนื่องๆ จึงพูดต่อ “ แต่หัวเราะที่เจ้าเห็นวันนี้คือหัวเราะจากหัวใจต่างหาก วันนี้ข้ามีความสุข
แม้จะมีความทุกข์ในวันข้างหน้าก็ตามเถอะ “
“ แล้วเจ้าเคยยิ้มให้เสด็จแม่และเสด็จพ่อรึเปล่า “
“ เคยสิ ตอนข้าอายุแปดขวบ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขที่สุด
เวลานั้นท่านแม่ยังเป็นเพียงพระสนมเอกที่อบอุ่นคอยเฝ้าดูแลข้าอย่างห่วงหา
ไม่ยอมปล่อยข้าห่างกายเลยสักนิด ต่างกับตอนนี้ที่เสด็จแม่เป็นถึงฮองเฮาแคว้นต้าผู้ยิ่งใหญ่
สตรีที่ใต้หล้าต่างเทิดทูน อ้อมกอดที่แสนเย็นชา ไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อน
ข้าไปรบไม่มีแม้แต่คำอวยพร มีแต่ผลักไสไล่ส่งต่างกับพี่ใหญ่ พี่รอง พี่สามและเจ้าที่ไปรบมักมีรอยยิ้ม
อ้อมกอดที่อบอุ่นมอบให้เสมอ
ต่างกับข้าที่ได้แต่เฝ้าดูในเงามืดด้วยความหนาวเหน็บเท่านั้น “
“ เยว่หมิง “
“ ข้าอิจฉาเจ้ามากรู้มั้ย...องค์ชายหกเซี่ยซาน
ทุกๆครั้งที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่กอดเจ้าหน่ะ มันทำให้ข้าอยากจะคว้าดาบมาทิ่มแทงหัวใจข้าดูว่ามันยังมีความรู้สึกอีกมั้ย
เพราะว่าภายในหัวใจข้ามันมีแต่เพียงความทุกข์ เศร้า หนาวเหน็บ ตัวคนเดียว
เหมือนกับชื่อข้าที่แปลว่าพระจันทร์ ต้องอยู่คนเดียวภายใต้ความมืดมน
แม้จะมีแสงสว่าง แต่ก็ไม่เหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างไสว ข้าหน่ะ
แม้จะดูร่าเริง...แต่ข้ากลับเหงามากนะ “ ฉันพูดไปน้ำตาคลอไป
ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเป็นองค์หญิงเยว่หมิงผู้เย็นชาเหมือนเดิม ต้องฆ่าฟันเพื่อชัยชนะ
และต้องเป็นคนที่น่าเกรงขามที่สุด ฉันจะทำความฝันของยัยองค์หญิงให้เป็นจริงให้ได้
“ ‘ น้องน้อย ‘ เจ้าจำคำนี้ได้มั้ยเยว่หมิง
ตอนเด็กๆเจ้าชอบให้พี่เรียกเจ้าอย่างนี้ แล้วเวลาเจ้าเรียกพี่เจ้าก็จะเรียกพี่ว่า
ม้าน้อย เห็นมั้ยเจ้าเองก็เปลี่ยนไป เคยได้ยินมั้ยเวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน “ มือใหญ่ที่แสนอบอุ่นของผู้ชายที่ได้ชื่อว่า เซี่ยซาน
กอบกุมมือเธอด้วยความอ่อนโยนไม่เสแสร้ง แม้กระทั่งดวงตา
“ เซี่ย “
“ น้องน้อยกลับวังหลวงเถอะ อย่าหนีเลย
กลับไปเล่าความจริงให้เสด็จแม่ฟังว่าทำไมเราถึงได้จูบกัน
อีกอย่างเจ้าเป็นถึงองค์หญิงใหญ่แคว้นต้า และจอมทัพหญิง
อย่าให้คนอื่นต้องมาหมิ่นเจ้าสิ ม้าน้อยเป็นห่วงเจ้าเสมอนะ อีกอย่างอย่าทำตัวเย็นชาสิ
ยิ้มหวานๆให้ม้าน้อยได้เห็นสักครั้งได้มั้ย “
“ ม้าน้อย “ ฉันยิ้มอ่อนๆให้กับพี่ชายสุดหล่อ
ก่อนจะคว้ามือของร่างสูงที่ยื่นมาให้
“ กลับวังหลวงกันนะน้องน้อย นับแต่วันนี้ไปพี่จะเป็นม้าน้อยให้เจ้าอีกครั้งหนึ่ง
“
เปรี้ยงง!
“ ท่านเป็นเช่นนี้จริงเหรอหมิงเอ๋อร์ หรือว่าเมื่อกี้ก็คือการแสดงกันแน่
ข้าไม่แน่ใจเลยจริงๆ “ นางเอ่ยกับตัวเองด้วยความไม่แน่ใจภายใต้เงามืด
ในอดีตท่านช่างร้ายกาจ จนข้ามิอาจรับมือได้
ใยตอนนี้ท่านช่างอ่อนโยนและอ่อนแอในคราวเดี๋ยวกัน บอกข้าสิหมิงเอ๋อร์ว่าท่านกำลังแสดงละครหลอกข้าอยู่
ข้ากลัวใจตัวเองจริงๆที่จะไม่ฆ่าท่าน
นางร่ำไห้ในใจด้วยความเจ็บช้ำ
ในอดีตนางถูกรังแกมามากมาย ในปัจจุบันนางขอทำท่านคืนแล้วกัน
แค้นที่นางมีต่อท่านขอชำระให้สิ้นภายในชาตินี้เสียแล้วกัน
หญิงสาวผู้เป็นเงาดำสะบัดชายเสื้อเดินโต้กระแสลมฝนไปอย่างไม่เกรงกลัวจนลับลาหายไปตามสายหมอก
ราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริง
ณ วังหลวง ตำหนักหยางเจียนหลง
“ องค์หญิงใหญ่และองค์ชายหกขอเข้าเฝ้าพะยะค่าาาา “ เสียงขันทีหน้าตำหนักร้องบอก
ร่างบางเพรียวระหงขององค์หญิงใหญ่หรือเยว่หมิง
และร่างสูงแกร่งขององค์ชายหกเจ้าสำอางหรือเซี่ยซานเดินเข้ามาภายในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
จนไม่สามารถเดาใจได้ถูกหรือแม้จะอ่านสีหน้าคงเป้นไปได้อยาก
“ ถวายบังคมเสด็จแม่และเสด็จพ่อเพคะ/พะยะคะ “
“ เสด็จพ่อ เสด็จแม่
ลูกจะมาขอโทษเพคะ “
“
ลุกขึ้นได้ “ ฮ่องเต้เป้นผู้รับสั่งให้ลูกทั้งสองลุกขึ้น
แต่คงไม่ทันความไวของฮองเฮาที่ปรี่ไปประชิดตัวลูกสาวคนโตด้วยความไว
เพี๊ยะ!
เสียงฝามือกระทบแก้มดังไปทั้งตำหนักจากฝีมือของฮองเฮาหรือผู้เป็นแม่ท่ามกลางพยานนับสิบคือเหล่านางกำนัล
ขันทีและทหารอย่างไม่สนใจหรือจะกลัวว่าลูกสาวจะโดนเก็บไปนินทาหรือไม่
“ เยว่หมิง นางลูกชั่ว! เจ้าทำข้าอับอายผู้คน!
“
ฉันตวัดสายตาไปมองผู้เป็นแม่ด้วยความสมเพชตัวเองและโกรธจัด
ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนคนไม่มีสติ
“ ฮ่าๆๆเสด็จแม่ท่านว่าข้าเป็นลูกชั่วงั้นหรือ
หึ! ถ้าข้าชั่วจริง ป่านนี้แคว้นต้าคงร้อนระอุเป็นไฟไปนานแล้ว!
ราชบัลลังค์ที่สั่นคลอน
แคว้นที่กำลังจะหายไปข้าก็ช่วยกู้มันขึ้นมาอีกครั้ง! นี่ข้ายังเป็นลูกชั่วของท่านอยู่สินะ
ข้าทำท่านอับอายงั้นหรือ? น่าสมเพช! แค่อุบัติเหตุแล้วนางกำนัลมาเห็น
แล้วมารายงานท่านนี่ข้าทำท่านอับอาย ทีท่านล่ะ! ตบข้าต่อหน้าข้าราชบริพานพวกนี้! มันจะไม่ยิ่งอับอายไปกว่าหรือ? “ ฉันตะคอกออกไปทั้งน้ำตา
เพล้ง!
ฉันคว้าแกกันดอกไม้ที่ฉันเคยแกะสลักมาให้เสด็จแม่ทิ้งลงพื้นก่อนจะขยี้มันด้วยเท้าของฉัน
แล้วหันไปพูดกับนางกำนัล ขันทีและทหาร “ พวกเจ้ารู้มั้ยเหล่าข้าราชบริพานเอ่ย...
พวกเจ้าก็เหมือนแจกันใบนี้ มีค่าแค่ตกแต่งยศฐาบรรดาศักดิ์เท่านั้น! เมื่อพวกเจ้าหมดค่า...ก็จะถูกทำลายทิ้ง! แล้วถูกเหยียบย่ำ!
ซ้ำเติม! เหมือนกับแจกันใบนี้ “ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตากวาดมองไปทั่งห้อง
“ ข้าเป็นสตรีจะมีงานรบเหนือหน้าเหนือตาบุรุษไม่ได้
พวกพี่ชายข้าที่ได้ออกรบออกศึกเพียงเล็กๆ ต่างกับข้าที่ถูกส่งไปศึกใหญ่
เหมือนส่งไปตายมากกว่ารบเสียอีก ข้าไปออกรบ...คำอวยพรสักคำยังไม่มี! ต่างกับพี่ชายที่มีคำอวยพรมากมายเหลือล้น! พวกเจ้าว่ามั้ยเหมือนข้าโดนลำเอียงอยู่
หึ! “
ฉันย่างก้าวไปหาเสด็จแม่ช้าๆด้วยสายตาเย็นชา
ไม่มีแม้แต่ความรักที่เคยมีให้ ไม่มีแม้แต่ความร่าเริง เหลือแต่เพียงปีศาจหลับไหล
ที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยความอาฆาตแค้น
ฉันยกยิ้มราวกับผู้ชนะ ก่อนจะปักดาบลงตรงหน้าเสด็จแม่ด้วยความรุนแรงจนด้ามดาบหักลง
เคร้ง!
“ ข้าไม่เคยลำเอียงกับผู้ใด
ข้ามีแต่ให้เสมอ ใยมีแต่ผู้คนคิดจะแสวงหาผลประโยชน์จากข้าจริงนะ “ ฉันถอนหายใจ “ ใครอยากอยู่กับข้าให้เก็บข้าวของมา
ใครไม่อยากข้าก็ไม่บังคับ...
เพียงแต่ว่า...หากพ้นค่ำคืนนี้ไปพวกเจ้าจะเป็นศัตรูกับข้า! “
ปัง!
“ บัดสบ! เยว่หมิงเจ้าคิดจะก่อกบฏรึไงห้ะ!
“ องค์ฮ่องเต้ที่ทนดูต่อไม่ได้ ตะคอกออกมาด้วยความโกรธจัด
“ เสด็จพ่อเพคะ ทรงรักษาพระวรกายด้วยสิเพคะ เดี๋ยวก็ทรงประชวร...ตาย!
หรอกนะเพคะ หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์อยู่เสมอ อ้อ! นี่มันไม่ใช่การก่อกบฏหรอกนะ “ ฉันคลี่ยิ้มปีศาจ
“ แต่มันคือการบั่นทอนอำนาจต่างหาก! หม่อมฉันขอตัวลา “
ฉันหันหลังเดิน จนไปหยุดที่เซี่ยซาน พี่ชายผู้จงรักพักดี
“ ม้าน้อย...เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ “ ฉันระบายยิ้มจริงใจและอ่อนโยนให้ผู้เป้นพี่ชาย
“ ม้าน้อยจะทิ้งน้องน้อยได้อย่างไร “
ฉันยื่นมือไปกุมมือใหญ่ของพี่ชายมาจับไว้
แล้วยิ้มจนตาหยี ก่อนจะก้าวออกจากตำหนักไปอย่างไม่แยแส
ภายในตำหนักหยางเจียนหลงที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน
“ ฮือออ ข้าทำอะไรผิดพลาดลงไปหรือฝ่าบาท ลูกหมิงถูกได้คิดจะบั่นทอนพวกเรา
ข้าทำอะไรผิด “ ฮองเฮาที่เมื่อครู่ทรงช็อกทรุดตัวลงไปร่ำไห้ปานใจจะขาด
“ เฮ้อ ซือเซียนเจ้าเดินหมากผิดไปเสียแล้ว
เยว่หมิงนางไม่ใช่หมากที่จะบังคับได้ง่ายๆ “ ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจด้วยความเครียด
“ เจ้าได้ยินที่นางพูดหรือไม่
เจ้าใช้ความเป็นแม่ผิดพลาดไป นางต้องการมาขอโทษเจ้าแต่เจ้ากลับไม่ฟังนางเลยสักนิด
นางพูดก็ถูกของนางนะซือเซียน เจ้าไม่เคยให้พรนางยามออกรบ
เจ้าส่งนางไปออกรบอกศึกเฉพาะศึกใหญ่ๆ ต่างกับลูกๆเราที่เป็นชาย
เจ้ากลับส่งพวกเขาไปออกรบเล็กๆเท่านั้น เจ้าใช้ความรักลูกผิดไปแล้วนะซือเซียน “
“ ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องทำเช่นไรดี “
“ ปล่อยไปก่อน เห็นทีเราต้องให้ลูกๆพูดคุยกันเอง เรื่องนี้เราไม่สมควรยุ่ง “
ตำหนัก ซินเหยียนเยว่
“ ม้าน้อยจ๋าาาา “ ฉันลากเสียงยาวเฟื้อยย
ทั้งยังเอาใบหน้าอันงดงามของตัวเองไปสีกับหลังของคุณพี่ชายที่นั่งอันหลังอ่านหนังสืออย่างสงบ
“ มีอะไรหรือน้องน้อยถึงได้อ้อนม้าน้อยขึ้นมาล่ะ “ ใบหน้าหล่อละมุนขององค์ชายหกที่มักมีแต่ความเจ้าเล่ห์
แต่เวลานี้มีแต่ความอ่อนโยน และดวงตาที่มักหลี่อยู่เสมอกลับมีแต่เงาสะท้อนน้องสาวคนสวย
“ โห่ ม้าน้อยก็... “
“ โอ๋เอ๋ๆ อย่างอนสิน้องน้อย “
“ ฮ่าๆๆ ม้าน้อยจ๋าา
น้องน้อยอยากให้ม้าน้อยช่วยรวบรวมกำลังพลของเหล่าบรรดาพี่น้องหน่อยสิ
ได้มั้ยเพคะ... “
“ หืม... น้องน้อยพูดจริงเหรอ “ ใบหน้าอ่อนโยนฉายแววประหลาดใจ
“ ม้าน้อยนึกว่าน้องน้อยพูดเล่นๆเท่านั้นเอง อืม...
ยังไงก็ตามเดี๋ยวม้าน้อยจะช่วยนะ “ มือใหญ่ดำสนิทขยี้ลงบนเส้นผมสี้ดำสนิทของน้องสาวตัวแสบอย่างหมั่นเขี้ยว
“ เย้! ดีใจจังเลยย ม้าน้อยใจดีที่ซู๊ดด “ ฉันกระโดดขึ้นไปเกาะคอคุณพี่ชายที่แสนตั้ลร้าก(ภาษา
วิบัติมาแล้ว)
“ ฮ่าๆๆๆม้าน้อยใจดีอยู่แล้ว แถมยังสง่างามองค์อาจอีกด้วย “
ฉันเบ้ปากอย่างเอือมระอา “ เหรอเพคะม้าน้อยยย “
ตำหนักฟานปิงเฉียน
“ ไป๋หู
เจ้าว่าไงกับข่าวลือพวกนี้ “ บุรุษหน้าตาคมคายที่มีตำแหน่งเป็นถึงองค์ชายห้า
เอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้ายากที่จะคาดเดา
อิสตรีร่างบางที่เกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงนอนอันนุ่มนิ่ม
ผงกหัวขึ้นมายิ้มด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ “ ข่าวจากนางกำนัลตำหนักเสด็จแม่เชื่อถือได้ที่สุด
พี่ห้า...ท่านยอมรู้ดีคนตำหนักท่านแม่เกือบครึ่งล้วนถูกข้าซื้อไว้หมดแล้ว
มีอะไรที่จะทำให้ท่านไม่เชื่อบ้างงง “ องค์หญิงห้าต้า
ไป๋หูหรือจิ้งจอกขาวของหน่วยนักล่า(ข่าว)
เด้งตัวขึ้นมาจ้องหน้าผู้เป็นพี่ชายด้วยความเจ้าเล่ห์
“ ไป๋หูน้อย ถึงเจ้าจะเป็นหน่วยล่าข่าว แต่เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกรึไง
ที่อยู่ดีๆลูกสาวคนโปรดจะโกรธจัดจนขนาดลุกขึ้นบั่นทอนอำนาจเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ทั้งๆที่แม่ก่อนนางออกจะเชื่องและเชื่อฟังซ่ะขนาดนั้น
หนำซ้ำยังมีข่าวลือหนาหูว่า องค์หญิงใหญ่เยว่หมิงอิจฉาพี่น้อง กันเอง “
“ จริงเหรอพี่ห้า อืมม...ข้าคิดว่าน่าจะมีส่วน
งั้นเรามาทำให้พี่เยว่หมิงมีความสุขดีมั้ยพี่ห้า “ ร่างบางกระโดดลงจากเตียงนอนผู้เป้นพี่ชายแล้วใช้วิชาตัวเบาถลาเข้าไปหา
จนผู้เป็นพี่ถึงกับผงะ
“ ไป๋หูน้อย ข้าขอร้องเจ้าหล่ะ อย่ามาแบบนี้ ข้าตกใจ “
“ ข้าสวยใช่มั้ยล่ะเพคะพี่ห้า
ฮ่าๆๆ “
“ เปล่าข้ากลัวใบหน้าอันขาววอกของเจ้า “ นี่เจ้าแอบไปกินไฮเตอร์มารึไงเนี่ยไป๋หู
ขาวเหมือนผีดิบเลยนะนั่น
“ เสด็จพี่องค์ชายห้าฟานเฉียน! นี่ท่านว่าข้าเป็นผีดิบงั้นเหรอห๊าาาาา
“
“ องค์หญิงใหญ่เยว่หมิง
และองค์ชายหกเซี่ยซานเสด็จพะยะค่าาาาา “ เสียงขันทีหน้าตำหนักร้องลั่น
สองศรีพี่น้องหมายเลขห้าหันหน้ามามองกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ เวรแล้วไง! “
สองศรีพี่น้องหมายเลขห้าหันหน้ามาสบตากันโดยทันที
ฉันเดินเคียงคู่มากับองค์ชายหกเซี่ยซานเข้ามาภายในตำหนักฟานปิงเฉียนด้วยสีหน้ายากที่จะคาดเดา
ก่อนจะเดินไปในภายในตำหนักอย่างช้าๆ
ทั้งยังกวาดสายตาประเมิณตำหนักขององค์ชายห้าฟานเฉียน นักรบผู้เกรียงไกร
“ ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่พะยะค่ะ/เพคะ “
“ ลุกขึ้นได้ “ ฉันพูดอนุญาตตามธรรมเนียมก่อนจะหยุดมองาสองพี่น้องหมายเลขห้าด้วยสายตาเยือกเย็น
“ องค์ชายห้า ต้า ฟานเฉียน และ องค์หญิงห้า ต้า ไป๋หู
พวกเจ้ารู้มั้ยว่าข้ามาหาพวกเจ้าเพราะอะไร “
“ เอ่อ ไม่ทราบพะยะค่ะ “
องค์ชายห้าที่แม้จะได้ฉายานักรบผู้เกรียงไกร
ยังต้องอกสั่นขวัญผวาอย่างนิดหน่อย
ด้วยสายตาที่เยือกเย็นและไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ถูกขององค์หญิงผู้นี้
แม้เขาจะทราบมาบ้างว่า องค์หญิงใหญ่เยว่หมิงผู้นี้
เป็นถึงจอมทัพหญิงฝีมือหาใครเปรียบ สามารถปราบกบฏได้รวดเร็วกว่ากำหนดจากสี่เดือนเหลือเพียงเดือนครึ่งเท่านั้น
ทั้งความเหี้ยมโหดยังมากล้น จนไม่ศัตรูหน้าไหนกล้าทำอศึกด้วยอีก
ฉันเหยียดยิ้ม ดวงตาประกายความเจ้าเล่ห์ออกมา “ ข้าแค่ต้องการ...พันธมิตร เท่านั้นเอง! “ ฉันขยับริมฝีปากเล็กได้รูปอย่างรู้สึกสนุก เป็นคำว่า “ ตาย “ ออกมาให้พี่น้องหมายเลขห้าได้รับรู้ว่าถ้าไม่ยอมจำนนต่อฉันมีแต่ความตายเท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับ
ดวงตากลมโตขององค์หญิงห้าเบิกกว้างตกใจ
“ อ่ะ เอ่อ ข้าว่าเรายืนคุยกันตรงนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่
เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่านะ “ หญิงสาวพูดด้วยความร้อนรน
“ งั้นเชิญองค์หญิงใหญ่เสด็จเข้าไปข้างในก่อนเถอะพะยะค่ะ “
ฉันยกยิ้มอ่อนๆก่อนจะเดินเข้าไปด้านในด้วยใบหน้านิ่งๆตามเดิม
ฉันเดินตามสองพี่น้องเลขห้าที่เดินเข้าไปยังด้านในตำหนักที่อยู่ส่วนลึกสุด
คาดว่าน่าจะเป็นห้องประชุมลับของเหล่าองค์ชาย องค์หญิงที่นิยมรวมกลุ่มกัน
เหมือนเช่นพี่น้องเลขห้าทั้งสองคน
และที่ฉันรู้มาอีกอย่างคือ
หากฉันสามารถนำพี่น้องเลขห้าเข้าพวกได้
ก็เท่ากับว่าฉันสามารถยึดกองทัพฝั่งเหนือและใต้ได้แล้ว
ซึ่งทหารฝั่งทิศเหนือและทิศใต้โดยรวมแล้วมีทหารกว่าสองแสนนาย
ส่วนฉันเองก็ควบคุมทหารทิศตะวันตกซึ่งมีทหารเยอะที่สุด คือ สามแสนนาย
เยอะกว่าชาวบ้านเขาสองเท่า โดยปกติผู้ควบคุมทิศจะได้รับทหารในกองทัพเพียงหนึ่งแสนนาย
แต่บังเอิญว่าฉันดันมีบุญคุณกับคนมากมาย หรือจะเรียกว่าเกือบทั้งเมืองเลยก็ได้
จึงยอมสละชีวิตตัวเองติดตามฉันเข้ากองทัพ ดังนั้นฉันจึงมีคนมากกว่าปกติไง
จะบอกอะไรให้อีกอย่างหนึ่งคือ ทหารของฉันหนึ่งคนสามารถล้มคนได้ห้าสิบคน
ง่ายๆก็คือห้าสิบต่อหนึ่งนั่นแหละ
“ องค์หญิงใหญ่พะยะค่ะ
เหตุใดพระองค์จึงคิดสานสัมพันธ์ไมตรีกับพวกเราสองพี่น้อง “ ต้า
ฟานเฉียนเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ฉันหัวเราะเบาๆก่อนจะสะบัดมือให้ม้าน้อยสุดน่ารักที่ไม่มีตัวตนอยู่ชั่วคราวให้ออกไปก่อน
เมื่อเห็นว่าม้าน้อยที่น่ารักออกไปแล้วฉันจึงหันหน้ากลับมาเล่นงานสองพี่น้องโดยปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรงให้อกสั่นเล่นๆอย่างอารมณ์ดี
“ ข้าน่ะเป็นมิตรกับทุกคน
ยกเว้นแต่...กับพวกคนที่ไม่มีสมองไว้ไตร่ตรองว่านาทีนี้ควรทำอะไรมากที่สุด “
“ องค์หญิงทรงตอบไม่ตรงคำถามนะพะยะค่ะ
“
“ เอ๋? งั้นเหรอ...ที่ข้าตอบไม่ตรงคำถาม หึ! “
“ ... “ แม่ทัพผู้เจนจัดในการรบกลับหน้าดำหน้าแดงกับนิสัยเสียๆขององค์หญิงใหญ่ของแคว้น
ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นจอมทัพผู้เหี้ยมโหดมานั่งก่อกวนโทสะตัวเองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ องค์หญิงใหญ่ทรงโปรดอภัยให้เสด็จพี่ห้าด้วยเพคะ
เสด็จพี่คงไม่ได้ตั้งหรอก(มั้ง)เพคะ “ องค์หญิงจิ้งจอกต้า
ไป๋หูถึงกับอยากจะเป็นลมไปเสียดื้อๆกับนิสัยขององค์หญิงขี้แกล้งตกหน้า
หากไม่นับเรื่องจิตสังหารที่ฆ่าคนตายได้เมื่อครู่เมื่อกี้ด้วย
นี่ขนาดขู่นะเนี่ยยังเล่นซ่ะเกือบตาย
ถ้านางคิดจะฆ่าจริงๆคงเพียงชั่วพริบตาเดียวละมั้งเนี่ย
หญิงสาวถึงกับกุมขมับต่อหน้าคนทั้งสองด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าข่าย
เพื่อแสดงให้เห็นว่า นางกำลังจะบ้าตายจริงๆแล้วนะ!
“ ข้ามีจิตเมตตา
ย่อมอภัยให้แก่กันและกันได้เสมอน้องห้า
ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าถามว่าเหตุใดข้าถึงคิดสานสัมพันธ์พวกเจ้า คำตอบสั้นๆคือ อำนาจ!
ไงล่ะ คิดดูให้ดีๆแล้วกัน ข้ามีทหารกว่าสามแสนนาย
ทั้งยังองค์รักษ์ฝีมือดีนับพัน เจ้าคิดดูให้ดีๆเป็นครั้งสุดท้ายว่าเจ้าเลือกจะอยู่หรือไป
อ้อ! ไม่สิ...ต้องบอกว่าเจ้าจะอยู่กับข้าหรือไม่
ข้ามีข้อเสนอดีๆให้เจ้าคือ...หนึ่ง ตกลง! สอง ไม่ปฏิเสธ!
สาม ข้ายินดียิ่ง! เลือกมาหนึ่งอย่าง
แล้วพรุ่งนี้ข้ารอ...นะ “ ฉันพูดเสร็จแล้วสะบัดชายเสื้อเดินออกไป
โดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย
ทางด้านพี่น้องหมายเลขห้าที่กำลังครุ่นคิดด้วยความเคร่งเครียด
“ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่านางจะกล้ามาเล่นงานเราถึงตำหนัก
ซ้ำยังให้ตัวเลือกที่เรียกกว่า บังคับ! มาทั้งนั้น! จะเลือกข้อไหนก็มีค่าเท่ากัน “ ชายหนุ่มถึงกับอยากตายขึ้นมาทันใด
เมื่อนึกถึงเสนอแต่ล่ะข้อที่หญิงสาวเสนอมาให้
“ พี่ห้า ข้าว่าตอนนี้เราคงจะกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดานเสียแล้ว
ยากนักที่จะหลีกเลี่ยง ทางที่ดีเราควรร่วมมือกับนางเสีย เพื่อความอยู่รอดของพวกเรา
“ จิ้งจอกสาวขมวดคิ้วเรียวด้วยความกังวล
ทั้งหางตาด้านขวายังคงกระตุกราวกับบอกเหตุหากว่านางไม่ทำตามจะเกิดอะไรขึ้น
“ ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่ายังมีคนคิดเล่นหมากกับเสด็จพ่อ “
“ ข้าก็คิดเช่นกันพี่ห้า “
“ ค่ำคืนหนึ่งผ่านไป...ดวงใจไหวหวั่น
พยายามไขว่คว้ายศฐาบรรดาศักด์
สังหารผู้คนนับไม่ถ้วนถูกตีตราว่า...’ อำมหิต ‘
มีชิวิตดั่งความมืดถูกตราตรึงในความผิด
จบสิ้นชีวิตหากพลาดผิดเพียงก้าวหนึ่ง “
ฉันนั่งอ่านบันทึกของยัยองค์หญิงด้วยใบหน้าเฉยชา
ในศาลาท่ามกลางสวนดอกไม้เขตพระราชฐาน ซึ่งตอนนี้เป็นยามเช้ามืดหรือตีห้านั่นเอง
ด้วยความรักสงบจึงแอบออกมาคนเดียว กับโคมไฟนำทางดวงเล็กๆดวงนึง
ฉันคิดมาเสมอว่าตัวเองน่าสงสารและสมเพชที่สุดแล้ว
แต่เมื่อเจอยัยองค์หญิง ฉันคงต้องยอมแพ้ ยัยนี่น่าสงสารกว่าฉันมาก
ฉันปิดบันทึกแล้วเก็บมันเข้าช่องลับแขนเสื้อ
ฉันเอนหลังไปพิงกับเสาของศาลาแล้วหลับตาพักผ่อนด้วยอาการผ่อนคลาย
ก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลียและอ่อนล้า
ความคิดเห็น