วันแห่งความหฤโหด - วันแห่งความหฤโหด นิยาย วันแห่งความหฤโหด : Dek-D.com - Writer

    วันแห่งความหฤโหด

    ถ้าคุณเป็นผู้หนึ่งต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิคุณจะรู้สึกอย่างไร?เรื่องราวของเด็กคนหนึ่งซึ่งถูกแต่งขึ้นผสมผสานกับเคล้าโครงแห่งความเป็นจริงอย่างลงตัวในแบบฉบับของDragonBoy

    ผู้เข้าชมรวม

    431

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    431

    ความคิดเห็น


    15

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ส.ค. 48 / 18:17 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      แสงแดดสาดส่องทั่วผืนแผ่นฟ้า ด้วยอำนาจแห่งแสงสว่าง ทำให้ความมืดมิดจางหายไป กลีบดอกไม้ ค่อยๆแง้มกลีบดอก ต้อนรับรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ เหล่าผีเสื้อบินมาดูดน้ำหวาน ยามเช้าจากเกสรดอกไม้นานาพันธุ์ ที่เรียงรายอยู่ตามชายหาด แสงแดดส่องกระทบผืนน้ำ สะท้อนแสงระยิบระยับ หากเปรียบที่นี้เป็นสรวงสวรรค์ ก็คงเป็นสวรรค์ที่มีอยู่จริง ภาพที่ประทับใจที่ได้เห็น ช่างควรค่าต่อการจดจำอย่างยิ่ง
                              
                                  ไม่ใกล้ไม่ไกลจากชายหาด มีหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ อยู่หมู่บ้านหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่แสนจะสงบร่มเย็น ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุข แต่แล้ววันนี้ก็มีอะไรบางอย่าง เป็นสัญญาณ ที่บ่งบอกถึงความผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น


                                  “นัสกับมาก่อน เดี่ยวลูก”
      เสียงสตรีวัยกลางคน ตะโกนออกมาจากบ้าน ไม้เก่าๆหลังหนึ่ง เธอต้องการเรียกเด็กชายคนหนึ่ง ที่กำลังวิ่งออกจากบ้านไป


                                  “ทำไมนะ ทำไม แม่จึงไม่เข้าใจเราเลย”
      นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ เด็กชายผู้นั้นคิดขณะที่วิ่ง ตรงออกจากหมู่บ้าน โดยไม่มีจุดหมาย แต่เขามิอาจรู้หรอกว่า อีกไม่นานจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้งยิ่งใหญ่ ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก และจะเปลี่ยนชะตาชีวิต ของเขาไปตลอดกาล


                                  เด็กหนุ่มวิ่งขึ้นรถสองแถว แล้วนั่งรถสองแถว เข้าไปยังตัวเมือง ด้วยความหวังที่ว่าอยากจะไปไกลๆบ้านสักพัก และหนีความรำคาญคำบ่นของ ผู้ที่เป็นมารดา


                                  เขาเข้าไปนั่งในร้าน กาแฟเล็กๆ ที่ดูไม่หรูหรามากนัก ซึ่งเป็นจุดที่เขานัด เพื่อนของเขา ออกมาเจอกัน แต่ตอนนี้เขามาก่อนเวลานัด เขานัดไว้ตอน 9โมงเช้า แต่มันพึ่งจะ 7 โมง เนื่องจากเขาทะเลาะกับแม่เมื่อเช้า จึงทำให้เขาต้องมานั่ง ฆ่าเวลาอีกตั้ง 2 ชั่วโมง


                                  “โกโก้ร้อน ที่สั่งได้แล้วนะครับ”
                                 พนักงานเสิร์ฟของร้าน นำโกโก้ร้อน ตามที่เขาสั่งมาเสิร์ฟให้ เขานั่งคนโกโก้ร้อน อยู่พักหนึ่ง เพื่อให้มันเย็นพอที่จะดื่มได้ โดยไม่ลวกปากเขา


                                   อยู่ๆนัสก็สังเกตเห็นความผิดปกติ อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น น้ำโกโก้ในถ้วยกาแฟเกิดกระเพื่อม จนกระเด็นหกออกมาจากถ้วยกาแฟ ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ที่เขานั่งเกิดสั่นไหว โคมไฟบนเพดานแกว่งไปแกว่งมา เขามองไปยังนอกถนน รถยนต์ต่างวิ่งชนกันอย่างสับสนอลหม่าน มีรถบรรทุกคันหนึ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้า เป็นเหตุให้เสาไฟฟ้า ล้มขวางทางจราจร แล้วตามมาด้วยรถเก๋ง ชนประสานงากันอย่างจัง เกิดไฟลุกท่วมทั้งคัน นัสเห็นคนที่ยังติดอยู่ในรถ ต่างดิ้นทุรนทุราย หาทางเอาชีวิตรอด ในไม่ช้ารถทั้งสองคัน ก็เกิดระเบิดขึ้นเป็นจุล เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท เศษชิ้นส่วนรถ กระเดนไปคนละทิศคนละทาง


                                  มีเศษชิ้นส่วนรถชิ้นหนึ่งพุ่งตรงมายังเขา นัสรีบหมอบลง ใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว เศษชิ้นส่วนนั้นพุ่งทะลุ บานกระจกร้านขายกาแฟ เป็นเศษแก้วแตกละเอียด จากนั้นพุ่งตรงเข้าใส พนักงานเสิร์ฟคนที่พึ่งมาเสิร์ฟโกโก้ ให้กับเขา ซึ่งยืนถือถาดกาแฟที่จะนำไปเสิร์ฟให้กับ ลูกค้าคนอื่น

              
                                  เขารีบปล่อยมือจากถาดนั้นทันที แล้วรีบหมอบลงกับพื้น ถาดที่ลอยอยู่บนเวหาตกลงมา พร้อมกับการกระแทก อย่างรุนแรงของชิ้นส่วนรถยนต์ กับผนังกำแพง ทำให้เด็กเสิร์ฟฝันหนีดีฝ่อ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


          
                                  “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
                                  เสียงเพื่อนของนัสถาม


                                  “เออ ดี”
                                  เพื่อนของเขาเห็นด้วย

                                  พวกเขาเปลี่ยนสถานที่คุยเป็น ร้านขายอาหารตามสั่งริมถนน ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากร้าน ขายกาแฟพอสมควร
      ในขณะที่พวกเขากำลัง นั่งคุยกันอยู่ ซึ่งเวลานั้นก็เป็นเวลา 9โมงครึ่ง โดยประมาณ นัสนั่งรอข้าวผัด ตามที่เขาได้สั่งไป ตาก็มองโทรทัศน์ที่อยู่ด้านหน้า


                                 “ขณะนี้มีรายงานข่าวด่วน เนื่องจากเมื่อช่วงเช้า เกิดเหตุแผ่นดินไหว ครั้งใหญ่ถึง สองครั้ง ซึ่งส่งอิทธิพลมาถึงประเทศไทย ขณะนี้เท่าที่ทราบเกิดคลื่นยักษ์สึนามิโถมเข้าใส่ชายหาด ฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย ทำให้มีผู้เสียชีวิต เป็นจำนวนมากขณะนี้เรายังไม่อาจ ทราบยอดผู้เสียงชีวิตที่แน่ชัดได้”


                                 “แม่  แม่  แม่เราล่ะ!”
                                 นั้นเป็นสิ่งเดียวที่นัส นึกถึงเมื่อได้ฟังข่าว คลื่นยักษ์สึนามิ เขารีบลุกออกไป อย่างไม่สนใจ เพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกัน มุ่งหน้าแต่จะกลับบ้าน


                                 รถสองแถวที่เขานั่งเข้าออกจากหมู่บ้าน มายังตัวเมือง หยุดเดินรถทันทีเนื่องจากถนนทุกสายถูกตัดขาด เขาจึงต้องวิ่งลุยน้ำที่ท่วมเจิ่งนอง ท้องถนนเข้าไปยังหมู่บ้าน หยาดเหงื่อไหลเป็นทางไม่หยุด แต่เราก็มิรู้จักเหนื่อยเช่นกัน ตอนนี้เขาปรารถนาอย่างเดี่ยวว่า ขอให้แม่เขารอดปลอดภัย


                                 ภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็น เป็นภาพเศษซากไม้บ้างอิฐบ้าง ปรักหักพังอยู่เกลื่อนกลาด ไม่หลงเหลือชีวิต ให้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว ช่างไม่หลงเหลืออะไรเลย ที่จะบอกได้ว่าที่นี้เป็นหมู่บ้าน ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา มันยังคงเต็มไปด้วยสีสันรอยยิ้ม ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี้


                                นัสเดินมุ่งหน้าไปยังซากไม้ที่หลงเหลือยู่ เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นที่ๆเขามั่นใจว่า เขาเรียกที่นี้ว่า “บ้าน” หยาดน้ำตาไหลรินจากเบ้าตาของเด็กชายลงสู่น้ำทะเล ที่ยังคงท่วมอยู่แต่ไม่มากเท่าใดนัก มันไหลออกมาเป็นสายเหมือนสายธารา ที่ไหลไม่ยอมหยุด


                                “แม่ แม่ แม่ ผมขอโทษถ้าผมไม่น่าหนีออกไปเที่ยว ผมอาจจะช่วยแม่ไว้ได้”
                                 คำสำนึกผิดที่กลั่น ออกมาจากดวงใจที่บริสุทธิ์ ช่างเป็นคำที่ประทับใจ อะไรเช่นนี้ แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครได้ยิน รวมถึงผู้เป็นแม่ด้วย


                                นัสเดินร้องไห้โฮราวกับคนเสียสติ เขาเดินเข้าไปที่วัด ประจำหมู่บ้านเขา ซึ่งอยู่บนที่สูงและห่างจากชายหาดมากพอสมควร จึงไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย


                                เขาเดินเข้าไปในโบสถ์ ที่ซึ่งเขายังจำคำสอนของ ผู้เป็นมารดาได้ดี วัดนี้เป็นวัดที่แม่ของเขาชอบมาทำบุญ ทุกครั้งที่แม่เขามาทำบุญ ก็จะพาเขามาด้วย และจะพาเขามาไหว้ พระพุทธรูปในโบสถ์แห่งนี้ เพราะชาวบ้านแถบนี้เชื่อว่า พระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์


                                 “ทำไม  ทำไม  แม่ของผมนับถือบูชาพระองค์ มาทำบุญกราบไหว้ สักการะอยู่บ่อยๆแม่ผมแทบจะไม่เคยผิดศีลด้วยซ้ำ แล้วทำไมพระองค์จึงไม่ ปกป้องคุ้มครอง แม่ของผม ทำไมท่าน จึงไม่ปกป้องคุ้มครองคนที่นับถือไหว้สักการะพระองค์อยู่เป็นประจำ เล่าทำไม เพราะอะไร”
                                 นัสตะโกนโวยวายอยู่ต่อหน้าพระพุทธขนาดใหญ่ ด้วยความโมโหและโกรธแค้นเป็นที่สุด


                                 “ถ้าตอนนั้นผมรู้ว่าจะเกิดแบบนี้ ผมจะรีบกลับมาช่วยแม่ แม่จะได้ไม่เป็นอะไร แม่ผมขอโทษ ผมมันเป็นลูกไม่ดี”  

                                  แง้งง! แง้งง! แง้งง! ?!
                                  อยู่ๆเสียงระฆัง ก็ดังกังวานขึ้น จากทั่วทุกสาระทิศ เสียงของระฆังดังมาก จนแสบแก้วหูแล้ว ทำให้ปวดหัวมาก นัสฟุบตัวลงกับพื้นโบสถ์แล้วหมดสติไป

                                  ภาพเหตุการณ์ต่างๆ หลายร้อยหลายพันภาพ ต่างวนไปวนมา ในความมืดมิด ที่ดูแล้วยิ่งน่าปวดหัว อยู่ๆก็ปรากฏแสงสว่างวาบขึ้น


                                 “โกโก้ร้อน ที่สั่งได้แล้วนะครับ!”
                                 พนักงานเสิร์ฟของร้าน นำโกโก้ร้อนมาส่ง


                                 “น้องครับ น้อง”
                                 เสียงเรียก จากพนักงานเสิร์ฟทำให้นัส สะดุ้งหลุดจากภวังค์ทันที


                                 “โกโก้ร้อน ที่สั่งได้แล้วนะครับ”


                                 “ขอบคุณครับ”
                                 นัสรีบกล่าวขอบคุณ แล้วรับถ้วยกาแฟมาจากพนักงานเสิร์ฟ หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟเดินจากไป สายตาเขาจับจ้องที่นาฬิกาของร้านกาแฟ ที่แขวนเอาไว้ข้างฝาผนัง

                                
                                  “นี้เพิ่ง 7 โมง นี่เราย้อนเวลากลับมางั้นเหรอ!”


                                  “ไม่ได้แล้วต้องรีบไปช่วยแม่ ก่อนที่แผ่นดินจะไหว และเกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้น”
                                   เขาพูดบอกกับตัวเองแล้วรีบลุกจะออกจาร้านกาแฟไป แต่เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เขาจึงรีบกลับมาหาพนักงานเสิร์ฟ ที่พึ่งจะเสิร์ฟโต๊ะเขาไป



                                 “ต้องการจะรับอะไรเพิ่มดีครับ?”
                                  พนักงานเสิร์ฟถามนัส


                                 “ไม่ล่ะครับ เอออีกประมาณ 5-10นาที คุณต้องไม่ยืนอยู่ตรงนี้นะครับ เพราะมันอันตราย”
                                 นัสพูดพร้อมชี้ไปที่จุดที่เขาจำได้ว่า ชิ้นส่วนรถพุ่งตรงมาเกือบ กระแทกพนักงานเสิร์ฟคนนี้เข้าอย่างจัง พอพูดจบเขาก็รีบเดินออกไป ทิ้งเอาไว้แต่ความงุนงง ของพนักงานเสิร์ฟที่มีต่อคำพูดของเขา

                        
                                  พอเขาเดินออกไปได้ซักพักหนึ่ง ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น เกิดรถชนกันอย่างสับสนอลหม่าน เหมือนยังกับในตอนแรกไม่มีผิด แต่ตอนนี้นัสไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เขารีบนั่งรถสองแถวกลับหมู่บ้านทันที


                                  แต่ก็ไปด้วยความล่าช้าเพราะ เหตุที่แผ่นดินไหวทำให้รถชนกัน เต็มไปหมดกีดขวางเส้นทางจราจร แทบทุกเส้นทาง รถขับได้ไม่ทันใจเขา นัสจึงกระโดดลงจากรถที่กำลังติดแงก แล้วรีบวิ่งไปเพื่อให้ถึงหมู่บ้าน


                                   เมื่อเขามาถึงหมู่บ้านทุกอย่างยังคงปกติดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารีบบอกผู้ใหญ่บ้านถึงเรื่องคลื่นยักษ์สึนามิ แต่กลับไม่มีใครเชื่อเขาเลย แม้แต่คนเดี่ยว ตอนนี้เขาผิดหวังมากแต่ก็รีบ กลับไปที่บ้านเพื่อจะได้ไปบอกแม่ให้รีบหนี
        


                                   “แม่ครับๆ รีบหนีเร็วเข้า เดี่ยวจะมีคลื่นยักษ์สึนามิ โถมเข้าใส่หมู่บ้านเรา และมันจะกลืนทุกสิ่งไปหมดนะครับ แม่เร็วๆรีบหนีเร็ว”


                                    “อะไรเนี้ยนัส ลูกดูหนังฝรั่งมากไปรึเปล่า คลื่นยักษ์สึนามิ สึนามิอะไรมันไม่มีหรอก”
                                    ผู้เป็นมารดาพูดบอกลูกชาย ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้เขาหมดหนทางที่จะทำให้แม่เชื่อ


                                     “แม่ครับ เรื่องเมื่อเช้าผมขอโทษนะครับ ผมไม่น่าทำให้แม่ต้องเหนื่อยหน่ายใจเลย”
      เขาซบลงบนตักของผู้เป็นแม่ ทำให้ผู้เป็นแม่อึ้งทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เอามือลูบหัวลูกชายที่ตนรัก


                                    “ลูกคิดได้ก็ดีแล้ว แม่ดีใจมาเลยนะเนี่ย ที่ลูกของแม่สำนึกผิดได้”
      ผู้เป็นแม่พูดด้วย น้ำเสียงปลื้มปิติที่ลูกสำนึกผิดได้ เธอจึงก้มมองดูลูกชายของเธอ ด้วยความเอ็นดู เธอสังเกตเห็นหยดน้ำตาของบุตรชาย


                                    “ร้องไห้ทำไมล่ะลูก? ทำยังกับแม่จะตายยังงั้นแหละ”
                                    ผู้เป็นแม่ถามลูกชาย ที่กำลังร้องไหอยู่ราวกับจะเป็นจะตาย และไม่รู้ด้วยเหตุผมอันใดทำไม อยู่ๆน้ำใสๆ ก็ไหลรินจากเบ้าตาของเธอ ก็ไหลออกมาเป็นสายไม่ยอมหยุด เหมือนกับผู้เป็นแม่จะรู้ถึงอนาคตของตัวเอง


                                   “นั้นๆนั้นอะไรนะ!”
                                    เสียงชาวบ้านตะโกนกันให้ลั่น เมื่อได้เห็นคลื่นยักษ์กำลังเข้ามาใกล้จวนจะถึงหมูบ้าน


                                  “แม่ครับรีบหนีเร็ว!”
                                  นัสพูดขณะพลางจูงมือผู้เป็นแม่วิ่งหนี คลื่นยักษ์ที่กำลังเข้ามาใกล้ทุกขณะ


                                   แต่แล้วคลื่นยักษ์ก็โถม เข้าใส่ชายฝั่งซึ่ง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังมีชาวบ้านบางคนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกคลื่นยักษ์กลืนกินลงทะเลไป แล้วก็พัดพาเอาบ้านเรือน พังเสียหายไปตามๆกัน ทะเลที่เคยดูสงบบัดนี้ไม่ต่าง อะไรไปจากมัจจุราชร้ายที่บ้าคลั่ง และพร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้พินาศเป็นหน้ากลอง



                                   นัสกับแม่ของเขาวิ่งหนีอย่าง ไม่คิดชีวิตแต่ก็มิอาจหนีเงื้อมมือของมัจจุราชร้าย ที่สวมบทบาทโดยธรรมชาติได้ คลื่นยักษ์โถมเข้าใส่พวกเขาอย่างจัง

        
                                  เศษไม้แหลมชิ้นหนึ่ง พุ่งเข้าหาแม่ของเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแล็บ


                                 “ไมมมมมมมมมมม่!”
                                 นัสรีบเอาตัวเข้ารับแทนแม่เขาในทันที ท่อนไม้แหลมพุ่งเสียบทะลุไหลปลาร้า โลหิตสีแดงฉาน ไหลออกมาจากบาดแผล ประกอบกับความเค็มของน้ำ ยิ่งเพิ่มความเจ็บเป็นเท่าทวีคูณ


                                แต่นัสยังคงมีสติอยู่ เขาไม่ปล่อยให้ตัวเขากับแม่ ลอยตามกระแสน้ำไปเป็นแน่ จึงพยามควานหาอะไรเป็นหลักที่ยึด แล้วเขาก็จับต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง เป็นที่ยึดได้สำเร็จ ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับมือแม่ของเขาไว้แน่นๆ
      ด้วยเหตุที่กระแสน้ำ มันแรงมาก ประกอบกับบาดแผลที่ได้รับ เป็นแผลลึก และอยู่ในน้ำเค็ม ซึ่งเจ็บปวดเป็นสองเท่า ทำให้มือข้างที่ยึดต้นมะพร้าวเอาไว้ เริ่มหมดแรง แล้วจวนจะหลุด


                               “นัสปล่อยมือแม่เถอะลูก”
                               แม่ของเขาพูดกับเขาเสียงสั่น


                               “ไม่ นัสไม่ยอมเสียแม่ไปยังไงก็ไม่ปล่อย”
                               ผู้เป็นแม่ได้ยินดังนั้น ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า ด้วยความชื่นใจที่ลูกชาย ได้แสดงความรักแม่ออกมา แต่เธอก็รู้ดีว่า หากยังเป็นยังนี้ ต่อไปจะตายกันหมดทั้งสองคน


                                “นัส”
                               เธอเรียกชื่อลูกชายของเธอ เป็นครั้งสดท้าย เมื่อลูกชายของเธอหันหน้ามา


                               “แม่รักลูกนะ จะไม่มีอะไรมาพรากเราสองคน ให้จากกันได้ ถึงแม้มันจะเป็นความตายก็ตาม มันก็พรากไปได้เพียง แค่ร่างกายหาใช่พรากจิตใจไปได้ไม่ แม่จะยังอยู่กับลูกตลอดไป อยู่ภายในกล่องแห่งความทรงจำเล็กๆ ที่เรียกว่าหัวใจตลอดไป”
                               เธอพูดจบพร้อมปล่อยมือจากลูกชาย พร้อมด้วยดวงหน้า ที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา
      ร่างของเธอก็โดนคลื่นยักษ์ดูด กลืนไปหายไปกับสายน้ำ


                               “ไมมมมมมมมมมมม่!”

                               ภาพเหตุการณ์มากมายหลายร้อยภาพ พุ่งออกมาจากคลื่นยักษ์ที่กลืนแม่เขาเข้าไป มันต่างวนไปวนมา เล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายร้อยหลายพันครั้ง อยู่ๆก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นในบัดดล


                               “ที่นี้ที่ไหนเนี่ย”
                               นัสพูดกับตัวเองด้วย เขาพยายามตั้งสติ และทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น


                              “โยมได้เห็นแล้วใช้ไหมล่ะ ใช่ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ ถึงแม้โยมจะสามารถย้อนเวลาได้ก็ตาม ผลของมันก็ยัง คงเป็นเช่นเดิม และไม่ว่าโยมจะย้อยเวลาไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง ผลของมันก็จะยังคงเป็นเช่นนี้เหมือนเดิม รู้ไหมว่าทำไม?”
                               พระภิกษุสงฆ์ชราภาพรูปหนึ่งเดินเข้า มาภายในโบสถ์ แล้วพูดถามนัส นัสส่ายหัวเมื่อไม่ทราบคำตอบ


                               “ก็เพราะมันเป็นลิขิตจากสวรรค์ ที่กำหนดมาให้แล้ว ว่ามนุษย์เราเกิดมาล้วนต้องตาย หามีใครอยู่ค้ำฟ้าไม่ จะช้าจะเร็วขึ้นก็แล้วแต่เวรกรรมของแต่ละคน เปรียบโลกนี้ให้เหมือนห้องรอคอย ขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ซึ่งทุกคนมาใช้กรรมของแต่ละคน แต่ที่ต่างจากห้องรอคอยทั่วไปก็คือ ในห้องรอคอยนี้เปี่ยมไปด้วยสายสัมพันธ์ และสายใยแห่งความรัก ซึ่งมันลึกซึ้งเกินกว่าอำนาจจากสรวงสวรรค์ จะกำหนดได้ เจ้าหนุ่มเจ้ารู้ไหมว่า การที่เจ้าได้ย้อนเวลากลับไปนั้นเจ้าได้ทำอะไรที่แตกต่าง ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของมันจะยังคง เหมือนเดิมก็ตาม รู้ไหมว่าอะไร?”
                                พระภิกษุสงฆ์ชราภาพตั้งคำถามนัสอีกครั้ง เป็นครั้งที่สอง แต่นัสก็ไม่ทราบคำตอบอีกเช่นเคย


                               “อย่างน้อยแม่ของเจ้าก็ตายอย่างภาคภูมิใจ และเธอก็เผชิญกับความตาย อย่างกล้าหาญที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ และเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ปลื้มปิติในตัวลูกชาย เท่านั้นก็เกินพอแล้ว ชีวิตเก่าชีวิตหนึ่ง ยอมตายเพื่อให้ชีวิตใหม่ อยู่รอดและเจริญเติบโตต่อไป อนิจจาอนิจจังมนุษย์นะ มนุษย์”
                                พระภิกษุสงฆ์ชราภาพพูดจบ แล้วก็เดินจากไปจนลับสายตา ทิ้งไว้แต่คำถามคาใจของนัสที่ว่า


                               “แล้วเมื่อไรการเวียนว่ายตายเกิดจะจบลงเสียที”

                               ก็ยังเป็นคำถามที่คงไม่มีใครสามารถตอบได้ แม้แต่สวรรค์เองก็ตาม

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×