ข้ามทะเลสู่เกาะสีชัง
เกาะที่ยังคงความงามเเห่งธรรมชาติไว้ ในฟางฝั่งทะเลตะวันออก
ผู้เข้าชมรวม
1,027
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
ว่าด้วยเรื่องเกะสีชัง ต้องทำสารคดีส่งอาจารย์ คิดได้ว่าไม่เคยมาเกาสีชังก็เรยถือโอกาสมาทำที่นี่ครับ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คงยากนักที่จะเห็นความงามของทะเล ขณะที่ดวงอาทิตย์สาดแสงผ่านผืนน้ำส่องเห็นเม็ดทรายสะท้อนให้เห็นถึงความสวยงามของท้องทะเลนั้นในชลบุรี เพราะอะไรที่ทำให้เรายากจะสัมผัสกับความงามของธรรมชาตินั้น
มนุษย์มีวิถีชีวิตที่ผูกพันธ์กับธรรมชาติมานาน ทุกสิ่งที่ทำล้วนต้องเกี่ยวข้องกับธรรมชาติเสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป วิวัฒนาการมากขึ้น จนเกิดการรุกล้ำธรรมชาติที่มากเกินไป จนทำให้ความผูกพันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติห่างกันมากไปด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการทำอุตสาหกรรมมาก และมีอาณาเขตติดกับทะเล เช่น จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หาดทรายที่เคยสวยงาม น้ำทะเลที่เคยใส่สะอาด ตอนนี้กลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง อันเป็นเพราะฝีมือมนุษย์อย่างเราๆนี่แหละ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ทุกๆแห่ง ที่ๆไม่ค่อยมีใครสนใจกันนัก จังหวัดชลบุรี ออกไปทาง อำเภอศรีราชา ยังมีหมู่บ้าน ชาวเกาะ กลุ่มคน ที่ยังรักษาความผูกพันธ์ที่ดีงามกับธรรมชาติไว้นับแต่อดีตสู่ปัจจุบัน ที่นั่นคือ “เกาะสีชัง”
จากที่ไม่คิดแล้วว่าในชลบุรียังจะมีน้ำทะเลใสๆผื้นทรายสะอาดสีขาวอยู่อีก วันนี้โชคดีที่ผมและเพื่อนๆอีกสาม มีโอกาสไปสัมผัส และเปลี่ยนทัศคติใหม่ๆ เก็บประสบการณ์ที่น่าประทับใจบนเกาะสีชังแห่งนี้
เกาะสีชังตั้งอยู่บริเวณตอนบนชองอ่าวไทยตรงกันข้ามกับอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ห่างกันประมาณ 12 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 7.9 ตารางกิโลเมตร เกาะสีชังมีบริวารน้อยใหญ่ 8 เกาะคือ เกาะขามใหญ่ เกาะ ขามน้อย เกาะปรง เกาะร้านดอกไม้ เกาะยาวท้าว เกาะค้างคาว เกาะท้ายตาหมื่นและเกาะสัมปันยื้อ การเดินทางไปเกาะสีชังทำได้โดยการไปลงรถที่สวนสาธารณะเกาะลอยแล้วนั่งเรือข้ามมายังเกาะ โดยเสียค่าบริการ เพียง 40 บาทสำหรับบุคคลทั่วไป 25 บาทสำหรับเด็กนักเรียนที่ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนมาและอาศัยอยู่บนเกาะ และ 10 บาทสำหรับนักเรียนที่ใส่ชุดนักเรียนมาและอาศัยอยู่บนเกาะ เท่านั้น ก็จึงถือว่าราคาไม่แพงน่ะครับ ถ้าเทียบกับ กับการนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามจาก จังหวัดสุราษฯไปสมุยอีกครับ แต่ว่า เรือเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากเกาะ คือเวลา 6โมงเย็นครับ ระวังเรื่องเวลาด้วยคับ เดี๋ยวติดเกาะจะแย่ นั่งเรือประมาณ 20 นาทีก็จะถึงเกาะ ในช่วงที่อยู่บนเรือนั้น ถ้ามองเข้ามาทางฝั่ง จะได้เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบของฝั่ง เห็นเส้นทาง ตึกราบ้านช่องความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยในแถวนั้น จากนั้น มองไปรอบๆก็จะเห็นเป็นพื้นน้ำทะเลสีฟ้าคราม เป็นคลื่นสาดกระทบกับแสงอาทิตย์ในยามบ่ายอย่างเป็นประกายสวยงาม จนอยากที่จะกระโจนลงน้ำไปแช่ให้ชุ่มชื่นร่างกายหลังจากที่ตากตระกรำลำบากเขี้ยวงานในช่วงก่อนสอบปลายภาคมากเลยครับ ในช่วงกลางทะเลจนถึงเกาะ ก็จะเห็น กลุ่มเรือ บรรทุกสินค้าและเรือที่ทำงานด้านอุตสาหกรรม ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไร อยู่เป็นระยะๆ เห็นแล้วดูเป็นระเบียบ เมื่อหยิบกล้องส่องไปบนเรือก็จะเห็นคนงานมากมาย ทำงานอยู่บนเรือนั้นๆ ก็อดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า คนงานเหล่านั้นกี่วันกี่สัปดาห์ถึงจะได้ขึ้นฝั่งซักครั้งนึง เมื่อเรือเทียบท่า ก็จะมีรถมากมาย ทั้งรถกระบะของทางโรงแรมดังๆบนเกาะมารอรับผู้โดยสาร รถมอเตอร์ไซรับจ้าง และรถสามล้อมาเตรียมบริการอย่างมากมาย และเป็นระบบระเบียบไม่แพ้ กับวินมอเตอร์ไซในกรุงเทพฯเลยครับ โดยที่ค่าบริการของรถ สามล้อ ก็คือ นั่งได้ 5 คน วนรอบเกาะเล็กหนึ่ง รอบ 150 บาท วนรอบเกาะใหญ่หนึ่งรอบ 250 บาท จะวนไปและแวะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่จำกัดเวลาที่เราจะทำกิจกรรม เช่น ถ้าเราจะลงไปถ่ายรูปชมวิว เค้าก็จะรอไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสร็จและจะพาไปจุดต่อไป คุ้มมากครับ และ ตั้งแต่ย่ำเท้าลงไปบนเกาะ บรรดาบริกรรับจ้างก็จะแห่กันมาต้อนรับและตีสนิทเรียกลูกค้ากันแทบทุกคน แต่ก็เป็นที่น่าประทับใจ คือกริยาท่าทางและคำพูดของบริกรบางคน พูดเหมือนกับว่าเรารู้จักกันมานาน พูดจาได้แบบน่าฟัง เหมือนสนิทกันแล้วก็ว่าได้ครับ ก็ถือว่าน่าประทับใจตรงที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในระดับนึงครับ ผมมากันครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของพวกผมก็ว่าได้จึงไม่มีใครรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะแห่งนี้มากนัก บอกได้เลยว่าไม่มีแผนอะไรเลย แต่ก็ไม่ยอมที่จะขึ้นรถรับจ้างเหล่านั้นให้พาเที่ยว เพราะอันเนื่องมาจาก อาการเมาเรือของพวกผม นั่งเรือกันมานานมึนมาก จึงอยากจะนั่งพักรับประทานอาหารพักผ่อนกันก่อนจึงเดินอย่างไร้จุดหมาย หาร้านอาหารไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ร้านอาหารหายากมาก ส่วนใหญ่ปิดกันหมดแล้ว ทั้งๆที่ในขณะนั้นเวลาเพียงแค่ 5โมงเย็นเท่านั้น ก็สอบถามได้ความว่า วันนั้นที่เกาะมีงานประเพณีประจำปีคืองาน“ย้อนยุครัชกาลที่๕”
ร้านอาหารทั่วไปจึงปิดเร็วเป็นพิเศษ แต่จนแล้วจนรอด ก็หาร้านอาหารทานกันจนได้ และเมื่อทานกันอิ่มพักผ่อนเพียงพอสมองแจ่มใสพาให้คิดอะไรดีๆออก จึงได้ถามราคาของสามล้อที่ผ่านมาในขณะนั้นและก็ต่อราคาได้จนเหลือเพียง 200 บาท แต่เรามีเวลาถึงแค่เพียง6โมงเย็นเพราะเรือเที่ยวสุดท้ายจะหมด ก็ถือว่าคุ้มครับ เพราะ ถ้าเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ก็ คงไร้จุดหมายอยู่อย่างนั้น เกาะนี้ใหญ่มากๆ หากไม่นั่งรถสามล้อแล้วลำบากมากครับ คุณจะไม่รู้ข้อมูลและจะไม่สามารถไปยังที่ๆจะไปได้เลย
จากนั้นก็ได้ใช้ โชว์เฟอร์ก็ได้ พาไปยังจุดท่องเที่ยวที่แรก ก็คือ บริเวณริมหาด ที่มีน้ำทะเลใสๆ มองเห็นถึงเม็ดทรายข้างใต้ จะมีห้องพักให้เช่าก็อยู่ราคาประมาณ 600 บาท ต่อ คืน แต่ว่าจะเป็นห้องพัดลมไม่มีแอร์ เหมาะกับการพักผ่อนดื่มด่ำกับบรรยากาศริมทะเลสบายๆน่ะครับ
จุดต่อมา ก็คือ บริเวณวังเก่า ของ เสด็จพ่อ ร.๕ เป็นบริเวณที่ติดกับทะเล และ จัดงานประเพณี คืองาน ย้อนยุคนั่นเองหละครับ ก่อนทางเข้าวังเก่านั้นก็จะมี พิพิธภัณฑ์ชลทัศน์ถาน จะเป็นศูนย์วิจัยทางท้องทะเล ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจุดต่อมาก็คือช่อง อิศรริยาภรณ์ หรือ ช่องเขาขาดนั่นเอง เป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศ ชมทิวทัศน์และตกปลา มีบริเวณที่สวยมากๆครับขอเน้นตรงช่วงนี้ไว้ครับ เพราะสวยมากจริงๆ เป็นที่ๆประทับใจที่สุดเลยก็ว่าได้ มองไปข้างหลังเห็นภูเขามองไปข้างหน้าเห็นทะเล เห็นเส้นขอบฟ้า ความสวยงามของธรรมชาติ ที่มีอยู่ และเห็นได้จากเกาะแห่งนี้เท่านั้น และ ทำให้ผมรู้ว่า ถ้าเดินคงไม่มีทางมาถึงได้และไปได้ทั่วเกาะ เพราะมองจากมุมนี้ไป เกาะใหญ่มากๆ ครับ และ สะพานที่เชื่อมเราไปสู่ท้องทะเลและที่ตกปลา ก็คือ สะพานวชิราวุธ ตลอดความยาวของสะพานจะมีโคมไฟติดตลอดทางๆเป็นรูปปั้นสุพรรณหงส์คาบโคมไฟไว้ อย่างวิจิตรงดงาม
ถึงแม้บริเวณช่องเขาขาดจะติดกับทะเลที่สวยงาม เราก็ไม่สามารถที่จะลงไปถึงน้ำทะเลได้ เพราะว่าบริเวณช่องเขาขาดเป็นลักษณะที่เรียกว่า อ่าว ไม่มี หาด เชื่อมกับเกาะและทะเลเอาไว้ จึงได้เพียงชมวิวและตกปลาได้เท่านั้นครับ ถึงกระนั้นก็ยังสร้างความสุขให้กับพวกผมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เหมือนดั่งต้องมนตร์สะกดอยู่หละครับ และระหว่างที่จะไปจุดสุดท้ายที่เรามาถึงก็คือ เจ้าพ่อเขาใหญ่ ก็ได้พบเห็นทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยบนเกาะนั้น ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพประมง และ บริกรรับจ้าง มอเตอร์ไซ สามล้อ บริการ และที่รองลงมาคือ ค้าขาย และที่น่าแปลกใจก็คือตั้งแต่ มา ผมยังไม่เห็น เซเว่น อีเลฟเว่นเลย ผมถึงได้ถาม พี่คนขับรถดู ก็ได้คำตอบมาว่า บนเกาะนี้ยังไม่มีเซเว่นอีเลฟเว่น แต่ทางเซเว่นฯ ก็ได้มาจับจองเช่าพื้นที่ไว้ เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังมิได้ทำอะไรเลย เพียงแค่จองไว้เฉยๆในอัตราค่าเช่า เดือนละ ห้าหมื่นบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากเลยทีเดียว จากนั้นผมได้ถามถึง ความปลอดภัยบนเกาะ ซึ่งที่นี่ ไม่เคยมีอาชญากรรม ไม่มีขโมย วิ่งราว เกิดขึ้น พี่คนขับรถกล่าวว่า “ที่ไม่มีก็เพราะว่า รู้ๆกันอยู่แล้วว่า ทำแล้วก็ไปไหนไม่รอด สุดท้ายก็ต้องอยู่บนเกาะ” และเมื่อมาถึงจุดสุดท้าย คือ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ และข้างๆนั้นก็จะมีศาลเจ้าแม่กวนอิมอยู่ด้วย ที่นี้ ถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และนับถือของคนบนเกาะ ตลอดจนนักท่องเที่ยว ที่มาก็จะมากราบไหว้สะการะบูชา ทัวร์จีนก็จะมักจะมาลงที่นี่เป็นอันดับแรก
แต่ด้วยขณะนั้น จะหมดเวลาแล้วจึงไม่ได้เข้าไปสักการะเพียงแต่ชมโดยรอบเท่านั้น ข่วงกลับจะไปขึ้นเรือ ก็ผ่านโรงแรมอันดับหนึ่งของเกาะก็คือ โรงแรม สีชังพาเลส เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมาพักใช้บริการกัน โดยอัตราค่าบริการอยู่ที่ 800 บาทต่อ หนึ่งคือเป็นห้องแอร์ และอีกสถานที่พัก ที่นักท่องเที่ยวนิยมพักกันก็คือ ที่พักบนเรือกลางทะเล ไม่ทราบแน่ชัดว่าเรียกว่าอะไร ทราบข้อมูลว่า พักได้ไม่จำกัดคน คืนละ 1500 บาท อยู่บนเรือกลางทะเล แต่ก็ไม่ทราบว่า เป็นเรือลักษณะอย่างไร หากต้องการจะนั่งเรือเที่ยว ไปยังบริเวณโดยรอบของเกาะก็ทำได้โดยการเช่าเรือ บริเวณสะพานเทววงศ์ ชั่วโมงหละ400 บาท เมื่อถึงเวลากลับก็ตรงกับเวลาเรือออกเที่ยวสุดท้ายพอดี คือเวลา 6โมงเย็นพอดีครับ
ในขณะที่กำลังออกจากท่าไปสู่ฝั่งนั้น รู้สึกได้ว่ายังไม่อยากที่จะลาจากเกาะแห่งนี้ไป และอยากที่จะกลับมาใหม่ในเร็ววัน เหมือนต้องมนตร์สะกดจากธรรมชาติที่แสนงดงาม กับวิถีชีวิตของคนที่เรียบง่ายต่างจากคนในเมืองอย่างเราๆ อดคิดไม่ได้ว่าผู้คนที่อาศัยบนเกาะเหล่านั้น จะมีความสุขกับชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติที่งดงามเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน แต่ตอนนี้ทราบเพียงอย่างเดียว คือ เกาะสีชัง เปรียบดั่งไข่มุก ของจังหวัดชลบุรี ที่รักษาความงามระบบนิเวศน์ของธรรมชาติไว้อย่างหาที่สุดไม่
ผลงานอื่นๆ ของ ล้านคนล้านความคิด ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ล้านคนล้านความคิด
ความคิดเห็น