คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ถ้ำแซนกรีส (อีกครั้ง)
หลังจากที่ปู่เล่าความจริงให้ดีโน่รับฟังจนปริศนาและข้อสงสัยกระจ่างแล้ว ครอบครัวของดีโน่ก็กลับเป็นปกติ ดีโน่ยังคงเรียกหลานสาวของปู่ว่าแม่เหมือนเดิม และตั้งใจว่าสักวันเขาจะออกเดินทางเพื่อตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง แต่ปู่บอกว่าการเดินทางที่ดีโน่ต้องการนั้นมีอุปสรรคมากกว่าที่ดีโน่คิด โดยเฉพาะคนที่เป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มดราโกบลัดอย่างดีโน่ ดังนั้นปู่จึงขอให้ดีโนเรียนในดรากูนให้จบเสียก่อน เพราะจะช่วยให้ดีโน่มีความรู้และความสามารถในการควบคุมมังกรอยู่ในระดับที่น่าจะปลอดภัยจากอันตราย
“หมายความว่าผมต้องจบปีสามก่อนงั้นหรือครับ” ดีโน่ถาม
ปู่พยักหน้าแต่บอกเงื่อนไขให้ดีโน่เลือกอีกทางว่าจะอนุญาตให้ดีโน่เดินทางได้ทันที ถ้าผ่านการทดสอบจากเขา ดีโน่กลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงการทดสอบ เพราะการทดสอบแต่ละอย่างที่เขาเจอมาเมื่อเทอมที่แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นการทดสอบจากอดีตอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ดีโน่จึงต้องจำยอมรับข้อตกลงนี้อย่างไม่มีทางเลือก
“แล้ววันนี้จะออกไปไหนล่ะ” ปู่ถามเมื่อเห็นดีโน่แต่งตัวด้วยชุดเก่ง
“ผมจะพากรีสไปเยี่ยมบ้านครับ”
เด็กชายพูดก่อนจะวิ่งออกจากบ้านพร้อมมังกรขาวที่วิ่งตามออกไป
เด็กชายสองคนและมังกรสองตัวยืนอยู่หน้าถ้ำที่เคยเปรียบเสมือนบ้านผีสิงของหมู่บ้าน ‘ถ้ำแซนกรีส’ เจสันยืนใกล้ทีฟ์เปอร์เพราะยังเกรงกับตำนานที่คนในหมู่บ้านเล่าให้ฟังเสมอว่า ถ้ำแห่งนี้เป็นที่สถิตของปีศาจ เขาพยายามรวบรวมความกล้ามาตามคำชวนของดีโน่ที่บอกว่าจะพากรีสมาเยี่ยมบ้าน และอยากให้เจสันได้เห็นสภาพของถ้ำแซนกรีสที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ท่าทางของเจสันผิดกับดีโน่ที่ยืนคุยกับกรีสอย่างไม่มีทีท่าของความกลัวเลยแม้แต่น้อย
“พร้อมหรือยังเพื่อน” ดีโน่หันมาถามเจสันที่บอกว่าให้มาตอนกลางวันดีกว่าตอนกลางคืน
คล้ายกับว่าดีโน่ถามเจสันลอยๆ เพราะเมื่อเด็กชายถามเสร็จ ก็ดึงมือเด็กชายใส่แว่นเดินตรงเข้าถ้ำไปโดยไม่รอคำตอบใดๆทั้งสิ้น
ทางที่เคยมืดมิดกลับสว่างจนมองเห็นผนังรอบๆได้ เพราะดีโน่เตรียมคบไฟมาด้วย ดีโน่พยายามชวนเจสันคุยเรื่องต่างตลอดทางเพื่อให้เพื่อนรักของเขาผ่อนคลาย แต่ความพยายามนั้นเรียกได้ว่าไร้ผล เพราะเจสันมองเห็นทุกอย่างเหมือนตัวเขาหลุดเข้ามาในโลกวิญญาณ ทุกย่างก้าวที่เหยียบเจสันรู้สึกเหมือนกับก้าวไปบนดินที่สามารถดูดร่างของเขาจมลงไปได้ ทั้งๆที่ดีโน่บอกว่าเป็นเพราะพื้นถ้ำเป็นทราย แต่เจสันก็พยายามชวนให้ดีโน่เดินออก จนดีโน่ต้องใช้แผนสุดท้าย
“นายพูดจริงหรือเปล่า!” เจสันถามเสียงดังเมื่อได้ฟังในสิ่งที่ดีโน่เล่า
ดีโน่รู้ว่าเจสันได้รับอิทธิพลในการทดลองค้นคว้ามาจากรุ่นพี่ผู้พิสมัยในรสชาติของกาแฟ ‘คาเฟย์ อีการัม’ หรือที่เพื่อนร่วมชั้นขนานนามให้ว่า คาเฟอีน เพราะเจสันเป็นผู้ช่วยเพียงคนเดียวของคาเฟอีน ดังนั้นดีโน่จึงยกเรื่องมังกรที่ทำจากไม้ที่เขาพบตอนเข้ามาครั้งแรกให้เพื่อนฟัง เพียงเท่านี้ความตื่นเต้นที่จะได้เห็นมังกรสายพันธุ์ใหม่ก็มาแทนที่ความกลัว จึงกลับกลายเป็นเจสันที่ชวนให้ดีโน่นำทางไปหามังกรไม้เสียเอง
“ถ้ารู้ว่านายจะเป็นแบบนี้ ฉันเล่าเรื่องนี้ให้นายฟังตั้งแต่แรกแล้ว” ดีโน่พูดเบาๆก่อนจะเดินนำหน้าเพื่อนรักลึกเข้าไป
เด็กทั้งสองเดินมาตามทางจนกระทั่งถึงห้องกว้างที่ดีโน่จำได้ว่า เป็นห้องที่เขาเจอกับมังกรไม้ เด็กชายชี้ให้เจสันดูร่องรอยของประตูที่มังกรไม้ฟาดพัง ทำให้เขาสามารถไปต่อได้ ดีโน่มองไปรอบๆห้องที่มีผนังสวยงามราวกับประดับด้วยเศษแก้ว พื้นที่ใสราวกับกระเบื้องไม่ปรากฏแม้แต่ร่องรอยของทรายแม้แต่น้อย สภาพห้องในตอนนี้ไม่แตกต่างไปจากตอนที่ดีโน่มาเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าดีโน่อาจเป็นคนแรกและคนเดียวที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ถ้ามังกรไม้ยังอยู่...ที่เดิม
“ไหนล่ะมังกรไม้ที่นายบอก” เจสันพูดพลางเดินสำรวจรอบห้องแบบไม่มีความกลัวหลงเหลืออยู่ ดีโน่มองไปรอบห้องซึ่งตอนนี้ไม่มีแม้แต่เศษไม้ของมังกรไม้ แต่ประตูที่ถูกฟาดด้วยหางของมังกรไม้ยังคงพังเหมือนเดิม ดังนั้นคิดได้อย่างเดียวว่ามีคนมาที่นี่และนำมังกรไม้ออกไป
“แล้วใครล่ะที่จะทำแบบนั้น” เจสันถาม
ดีโน่ส่ายหน้าเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนทำ และทำไปเพื่ออะไร แต่เด็กชายบอกให้ลองเข้าไปในห้องที่เขาเจอกรีสเผื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
“ไม่ใช่ว่านายหลอกฉันนะ” เจสันสะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจเป็นแผนการของดีโน่ที่กุเรื่องขึ้น
“ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไม” ดีโน่ตอบและเดินนำหน้าเจสันเข้าไปในประตูกลางที่เคยมีลวดลายเป็นส่วนลำตัวของมังกร
เด็กชายทั้งสองเดินมาหยุดตรงสถานที่แห่งความทรงจำอีกแห่งของดีโน่ ได้แก่ประตูขนาดใหญ่ที่มีอัญมณีสีเขียวประดับอยู่ตรงกลาง ดีโน่มองประตูบานนี้ที่เขาเคยเปิดมันออก เด็กชายมองไปยังใบหน้ามังกรที่มีดาบไขว้อยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บนบานประตูที่เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน ดวงตาของมังกรที่ดุดันราวกับมีชีวิตมองมายังเด็กชายทั้งสองคนเหมือนกับรู้ว่ามีผู้บุกรุก ทำให้เจสันชวนดีโน่เดินกลับ แต่เด็กชายผู้เป็นเจ้าของมังกรสีขาวกลับจ้องไปยังสัญลักษณ์นั่นอย่างไม่กระพริบตา
“ฉันนึกออกแล้ว!”
ดีโน่อุทานเมื่อนึกได้ว่าเขาเคยเห็นสัญลักษณ์แบบเดียวกับประตูนี้ที่ไหน เด็กชายเล่าว่าเคยเห็นสัญลักษณ์แบบเดียวกันนี้ที่บนเกราะของคุณอาอัศวินที่เขาเคยพบในความฝัน
“แล้วนายว่าสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันยังไง” เจสันถาม “อัศวินกับประตู...”
ดีโน่ส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน จากนั้นเด็กชายจึงเอื้อมมือไปสัมผัสกับอัญมณีเขียวบนประตู ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่เขาใช้ตอนแรก
“ตึง”
แทนที่เมื่อมือของเด็กชายสัมผัสกับประตูแล้วจะสามารถเปิดประตูได้เหมือนครั้งที่แล้ว กลับมีสิ่งที่เด็กทั้งสองกำลังตามหาปรากฏขึ้นมาแทน
“มังกรไม้ที่นายพูดถึงใช่ตัวนี้หรือเปล่า” เจสันถามเพื่อนรักโดยที่สายตาของเขายังจับจ้องอยู่กับมังกรที่ทำจากไม้ทั้งตัว ที่ปรากฏขึ้นมาจากพื้นเมื่อสักครู่
ดีโน่พยักหน้าและมองมังกรไม้ที่ตอนนี้ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขา โดยรวมแล้วรูปร่างและขนาดของมันไม่ต่างจากเดิมเท่าไรนัก หากจะมีบางอย่างแปลกไปคือมันไม่เข้ามาโจมตีเขาเหมือนครั้งที่แล้ว เจสันลองเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อสังเกตมังกรแบบใหม่
“เจสันระวัง!” ดีโน่ร้องบอกเมื่อเห็นว่าตรงดวงตาของมังกรเปล่งแสงออกมา
เสียงคำรามของมังกรไม้ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่หยุดนิ่งมานาน หางอันทรงพลังที่ดีโน่จำได้ดีฟาดออกมาเกือบถูกเจสันถ้ากรีสไม่พุ่งไปชนเจสันเซออกไป ทำให้กรีสรับหางของมังกรไม้เข้าไปเต็มๆ
เจสันที่เซถอยออกมารีบถอยไปยืนข้างๆดีโน่ และควบคุมทีฟ์เปอร์ให้ออกมายืนคู่กับกรีส เพื่อรับศึกกับศัตรูข้างหน้า
“นายบอกว่าครั้งที่แล้วนายหยุดมันได้ยังไงนะ”
ดีโน่มองไปยังประตูบานใหญ่ด้านหลัง และไม่คิดว่าคราวนี้มังกรไม้จะฟาดประตูให้พังลงได้ เด็กชายเริ่มประมวลความคิดว่าต้องมีคนเข้ามาในถ้ำแซนกรีสหลังจากเขา และนำมังกรไม้มาไว้ที่นี่เพื่อไม่ให้มีคนสามารถผ่านเข้าประตูได้
“แล้วคราวนี้เราจะทำยังไง” เจสันถามอีก
ดีโน่มองไปยังมังกรสีขาวและสีฟ้าที่ยืนข้างหน้าก่อนที่จะตอบเจสันด้วยความมั่นใจ
“คราวที่แล้วฉันมาตัวคนเดียวยังผ่านไปได้เลย คราวนี้มีกรีสกับนายมาด้วยจะกลัวอะไรล่ะ”
กรีสกับทีฟ์เปอร์หลบหางของมังกรไม้ที่ฟาดลงมาตรงกลางไปคนละด้าน แต่ดีโน่ต้องยอมรับว่ามังกรไม้คราวนี้มีความรวดเร็วมากกว่าแต่ก่อน เพราะกรีสถูกหางของมังกรไม้ที่ฟาดมาใหม่เข้าไปเต็มๆ ส่วนทีฟ์เปอร์ก็ไม่ต่างจากกันเพราะเมื่อหางนั่นฟาดกรีสเสร็จก็สะบัดกลับมาถูกทีฟ์เปอร์ด้วย
“ไม่น่าเชื่อว่าทำจากไม้เลยนะ” เจสันพูดเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของมังกรไม้ พลางเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาเพราะการควบคุมมังกร
ดีโน่จับจ้องไปยังมังกรไม้ที่ฟาดหางไปมาเพื่อหาวิธีตอบโต้ พลางควบคุมกรีสให้หลบการโจมตีไปด้วย ทางด้านเจสันก็ไม่ได้เหนื่อยน้อยไปกว่ากัน และอาจจะเหนื่อยมากกว่าเพราะทีฟเปอร์มีร่างกายใหญ่กว่าและเคลื่อนไหวช้ากว่ากรีส จึงทำให้พลาดถูกหางของมังกรไม้เข้าเต็มๆ แต่โชคดีที่เจสันควบคุมให้ทีฟ์เปอร์กลายร่างเป็นน้ำ ซึ่งเป็นความสามารถของทีฟ์เปอร์ที่เป็นมังกรสายพันธุ์ผสมได้ทันท่วงที ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีนั้น
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ดีโน่ถามเมื่อเห็นทีฟ์เปอร์โดนฟาด
“อืม...โชคดีที่กลายเป็นน้ำได้ทัน” เจสันตอบหลังจากเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งใจที่ตัดสินใจได้ทันเวลา
เด็กชายทั้งสองไม่ยอมให้มังกรของตนถูกทำร้ายฝ่ายเดียว มีหลายครั้งที่มังกรไม้ถูกหางของกรีสและการพุ่งชนของทีฟ์เปอร์เข้าเต็มๆ แต่ไม่ว่ามังกรทั้งสองตัวจะตอบโต้ด้วยวิธีใด ก็ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมังกรไม้ได้ เจสันและดีโน่บังคับให้มังกรของตนถอยออกห่างจากมังกรไม้ เมื่อเด็กชายทั้งสองและมังกรสองตัวห่างจากมังกรไม้ราวสามคานา มังกรไม้ก็ยืนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะไล่ตามเด็กทั้งสองออกมา เจสันทดลองโดยการเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าวๆ เมื่อห่างจากมังกรไม้ประมาณสามถึงสี่ก้าวมังกรไม้ก็เริ่มขยับทำให้เขาต้องถอยกลับมา
“มันไม่ทำร้ายเราถ้าเราไม่เข้าไปในอาณาเขตของมัน” เจสันบอกและเสนอว่าควรกลับออกไปข้างนอก เพราะได้เห็นในสิ่งต้องการมากพอสมควรแล้ว
ดีโน่มองไปยังอัญมณีที่ส่องประกายอยู่กลางประตูบานใหญ่เบื้องหน้า และเกิดความคิดว่าถ้าเขากลับออกไปอาจไม่ได้รู้เรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวกับชีวิตของเขา แต่ที่สำคัญคือเขาไม่ต้องการที่จะหนี ทั้งๆที่เขาเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาแล้ว
“งั้นก็ตามใจนาย” เจสันพูดกับเพื่อนรักและเอื้อมมือมาแตะที่บ่าของดีโน่ “ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าทางต่อไปจะเป็นยังไง”
ดีโน่ประทับใจในตัวเพื่อนรักของเขามากที่ไม่ทอดทิ้งกัน สายตาของเด็กชายพยายามมองหาวิธีที่จะสามารถผ่านมังกรไม้นี้ไปได้ ทันใดนั้นก็พลันเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่บนประตู คำพูดของอาจารย์ใหญ่ที่บอกเกี่ยวกับความสามารถของกรีสก็แทรกเข้ามาในห้วงความคิดของเด็กชาย
ความคิดเห็น