คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : การประชุมอันวุ่นวาย
วันเวลาในโรงเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ผลัดกันทำงานมาหลายครา เด็กนักเรียนก็หมั่นฝึกฝนและขยันเรียนเพื่อเพิ่มพูนวิชาความรู้ จากความเหนื่อยล้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเคยชิน จากไม่ชอบเปลี่ยนเป็นสนใจ วิชาต่างๆที่นักเรียนท้อถอยคิดว่าไม่สามารถเรียนได้ หลังจากได้รับคำชี้แนะจากครูและกำลังใจจากเพื่อนๆ ทำให้สามารถเข้าใจและตามเพื่อนคนอื่นได้ทัน
“มากันครบหรือยังเนี่ย” แมรี่ถามพลางหันไปรอบเพื่อนับจำนวนเพื่อน
นักเรียนชั้นปีหนึ่งทุกคนมารวมกันหน้าโรงเก็บมังกร เพราะวันนี้เป็นวันกำหนดในการตัดสินใจว่าจะให้ใครเป็นตัวแทนของชั้นปีเพื่อเป็นสมาชิกหน่วยควบคุมเด็กนักเรียนแห่งดรากูน หลังจากฟังการอธิบายของเจสัน
เจสันตื่นเต้นไม่ใช้น้อย เพราะถึงแม้ว่าเขาจะถ่ายทอดในสิ่งที่ได้ฟังมาจากรุ่นพี่คาเฟอีนให้เพื่อนๆฟังว่าแทนที่จะแข่งกัน หากใช้วิธีส่งตัวแทนไปเป็นสมาชิกหน่วยจะทำให้รักษามิตรภาพของเพื่อนเอาไว้ อีกทั้งยังง่ายเวลาจะเสนอความคิดอะไรไปอีกด้วย แต่เขาไม่มั่นใจว่าตนเองจะมีความสามารถในการโน้มน้าวใจดีเท่ากับคาเฟอีนหรือไม่ ในทางกลับกันถ้าเพื่อนฟังแล้วไม่เห็นด้วยอาจทำให้มิตรภาพที่มีต่อกันขาดสะบั้นลงเลยก็เป็นได้
“รู้สึกจะขาดแค่อับดุลนะ” พัฟพ์บอกเมื่อเห็นว่ากลาเลนและซูซานเดินมาถึงแล้ว
“หมอนี่มาสายประจำเลย” แมรี่ฉุน
ระหว่างที่ทุกคนหาที่นั่ง กลาเลนและซูซานมาสมทบกับพวกดีโน่และถามว่าเริ่มการประชุมหรือยัง ดีโน่แซวว่ารออับดุลเพื่อนสนิทของกลาเลนอยู่ เด็กชายผมทองจึงหยิบก้อนหินก้อนเล็กๆและขว้างไปยังโคนต้นไม้ใหญ่
“อันตรายนะเพื่อน” อับดุลร้องขึ้นพร้อมก้อนหินในมือ
เพื่อนๆทุกคนตกใจเมื่อเห็นอับดุล และรู้ทันทีว่าอับดุลใช้การพรางจิต ทำให้เพื่อนบางคนไม่พอใจที่ใช้สิ่งที่เรียนมาเพื่อแกล้งคนอื่น
“ขอโทษๆ ฉันอยากลองวิชานี่นา” อับดุลขอโทษเพื่อนๆ และเดินมารวมกลุ่มกับดีโน่
“นายพรางจิตได้ตั้งแต่เมื่อไรน่ะ” เจสันถามเพราะตัวเขาเองยังไม่ผ่านการทดสอบของครูอาลเลย
“สามวันก่อน” อับดุลตอบ “โชคดีที่ได้กลาเลนสอนให้”
“ถ้าฉันรู้ว่านายจะเอามาใช้แกล้งคนอื่น ฉันคงไม่สอนให้นายหรอก”
อับดุลแซวว่าถ้าเขาไม่เห็นกลาเลนแอบสอนให้ซูซานสองต่อสอง กลาเลนเองคงไม่สอนให้เขาหรอก ทำให้เพื่อนๆแซวกลาเลนจนกลาเลนกับซูซานหน้าแดง เจสันถามกลาเลนว่าทำไมกลาเลนถึงรู้เรื่องวิชาศิลปะการต่อสู้ดีนัก เพราะมีกลาเลนเพียงคนเดียวที่สามารถหลบดาบของปารัสห้าตัวที่ฟาดใส่ได้หมด
“เอ่อ...” กลาเลนอึกอัก แต่ยังไม่ทันที่จะตอบอังเดรก็ตะโกนแทรกขึ้นมา
“มากันครบแล้วนะ เมื่อไรจะเริ่มสักที”
เจสันเดินมาอยู่หน้ากลุ่มเพื่อนๆ และถามว่าหลังจากเขาให้เวลาคิดเรื่องส่งตัวแทนเป็นสมาชิกแทนการแข่งแย่งกันเอง ทุกคนมีความเห็นว่าอย่างไร เมื่อได้ฟังคำตอบว่า ‘ตกลง’ เด็กชายแทบทรุดลงนั่งเหมือนกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอก จากนั้นจึงให้ทุกคนเสนอชื่อสมาชิกห้าคนเพื่อเป็นตัวแทนของนักเรียนชั้นปีหนึ่งไปเป็นสมาชิกของหน่วยควบคุมเด็กนักเรียนแห่งดรากูน
ระหว่างที่นักเรียนร่วมสามสิบคนเริ่มปรึกษากันว่าจะส่งใครไปเป็นตัวแทน มินเนียนก็เสนอแรกขึ้นมาทันที
“อังเดร ยาห์โลฟ ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าท่านผู้นี้อีกแล้ว”
อังเดรลุกขึ้นเพื่อรับเสียงปรบมือ แต่กลับไม่มีใครปรบมือเลยสักคนเดียว ทำให้เด็กชายอ้วนไม่พอใจ
“ทำไมพวกนายไม่ตบมือ! หรือพวกนายคิดว่ามีใครเหมาะสมไปกว่าพวกฉันสี่คนอีก!”
จากคำพูดของอังเดรทำให้ทุกคนเข้าใจทันทีว่าอังเดรคิดจะเอาพวกตนเองทั้งสี่คน เป็นตัวแทนของชั้นปีหนึ่ง ทำให้เกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อย ก่อนที่กลุ่มของเจสันจะลุกขึ้นมาห้ามศึก
“อังเดร...วันนี้ฉันขอเถอะ” เจสันพยายามพูดดีกับอังเดรทั้งๆที่รู้ว่าอาจไม่เกิดประโยชน์
ถึงแม้ว่าเด็กชายผู้ดีจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่หลังจากที่อาศัยอยู่ในโรงเรียนประจำมานานพอสมควร ทำให้เขาเริ่มปรับตัวในการอยู่กับคนหมู่มากได้มากขึ้น อังเดรเดินกลับไปนั่งในที่ของตน ทำให้เจสันเป่าลมออกจากปากเพราะโล่งอกที่ไม่เกิดเรื่อง จากนั้นจึงบอกกับอังเดรว่าการส่งตัวแทนควรแบ่งเป็นกลุ่มๆ ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะส่งตัวแทนเข้าไปทุกคน แรกๆอังเดรทำท่าจะไม่พอใจและมินเนียนห้ามเอาไว้และให้ดูแนวโน้มของคนอื่นก่อนว่าเป็นอย่างไร
“ผมว่าความจริงลูกพี่ไม่ต้องเข้าไปเป็นเองก็ได้” มินเนียนบอก “บางทีการเป็นสมาชิกหน่วยอะไรนั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้”
“แกหมายความยังไง” อังเดรถามพลางแกะขนมที่พกมาใส่ปาก
“ลูกพี่ลองคิดดูนะ รุ่นพี่ที่ชื่อโวสต์เป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโรงเรียน และผมได้ยินว่าเขาเป็นสมาชิกของหน่วยควบคุมอยู่เหมือนกัน ถ้าลูกพี่เขาไปเป็นสมาชิก ก็เหมือนกับไปอยู่ใต้อาณัติเขาน่ะสิ” มินเนียนอธิบาย
อังเดรคิดตามและเห็นด้วยกับความคิดของมินเนียน แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องการให้มีคนในกลุ่มของตนไปเป็นสมาชิกอยู่ด้วยเหมือนกัน หลังจากที่ตกลงกันอยู่พักใหญ่ อังเดรจึงตัดสินใจเสนอชื่อ...ไทนี่ ไดร์เวอร์
นอกจากไทนี่ยังมีคนอื่นเสนอชื่อ ซาร่า และเพื่อนร่วมชั้นอีกสองคน ทำให้เหลือที่ว่างอีกเพียงที่เดียว
“แล้วอีกหนึ่งคนล่ะ” เจสันถามเมื่อเห็นว่าการเสนอชื่อหยุดลง
“เจสัน โอวาล่า!” ชื่อสุดท้ายถูกพูดออกมาจากปากเพื่อนแทบทุกคน ทำให้เด็กชายที่ยืนอยู่หน้ากลุ่มน้ำตาคลอด้วยความปิติที่เพื่อนๆให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้
เมื่อได้ตัวแทนทั้งห้าคนแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นขั้นตอนต่อไปคือทุกคนต้องช่วยกันให้ท้งห้าคนสามารถผนึกมังกรลงในอัญมณีให้สำเร็จ เพื่อให้มีสิทธิ์ผ่านการทดสอบและได้เป็นสมาชิกของหน่วยตามที่ทุกคนคาดหวังไว้
“นายผนึกมังกรได้หรือยัง” ดีโน่ถามเจสัน
เด็กชายใส่แว่นส่ายหน้า และมองไปยังมังกรสีฟ้าที่เล่นกับมังกรสีขาวของดีโน่อย่างสบายอารมณ์ เจสันลองวางอัญมณีสีเขียวที่ได้รับมาจากครูมาธาร์และร่ายคาถาเพื่อผนึกมังกร จากนั้นจึงบังเกิดลมหมุนเล็กๆขึ้นจากอัญมณี แต่แรงของลมนั้นไม่เพียงพอที่จะเรียกทีฟ์เปอร์มาผนึกไว้ได้ มังกรสีฟ้าได้แค่หันไปตามแรงลมที่ทำได้เพียงสะกิดเรียกเท่านั้น
“ฉันลองแล้วทำได้แค่นี้เอง” เจสันบอก “ทั้งๆที่ฉันใช้วิธีเดียวกันก็ผนึกปารัสได้นะ”
เจสันลองอัญมณีเล็กที่ตนใช้ผนึกปารัสตัวหนึ่งตอนเรียนวิชาของครูมาธาร์ ดีโน่บอกว่ายังมีเวลาอีกมาก อีกทั้งทุกคนบอกว่าจะช่วยกัน รับรองว่าเจสันต้องสามารถผนึกทีฟ์เปอร์ได้แน่นอน
“กั๊กๆๆ แค่ผนึกมังกรยังทำไม่ได้แล้วจะทำอะไรกิน หนูๆทั้งหลาย” ชายสวมเสื้อผ้าสกปรก ผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง หัวเราะเสียงดังมาจากกบนต้นไม้
นักเรียนชั้นปีหนึ่งจำนวนไม่น้อยที่จำได้ว่าชายคนนี้คือ ‘เรแวน’ รุ่นพี่ปีสอง เป็นหนึ่งในพรรคพวกของโวสต์ เรแวนกระโดดลงมาจากต้นไม้สูงและเดินโซเซตรงมายังกลุ่มรุ่นน้องที่เริ่มมีท่าทีวิตกว่าชายคนนี้มีจุดประสงค์อะไร
“รุ่นพี่มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ” เจสันถาม
เรแวนมองไปรอบๆด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่มีใครรู้ว่ารุ่นพี่คนนี้คิดอะไรอยู่
“ฉันมาคิดถึงความหลังไม่ได้หรือไง” เรแวนก้มหน้าลงมาตอบ ทำให้หัวหน้าชั้นปีต้องเบือนหน้าหนีเพราะทนกลิ่นปากรุ่นพี่ไม่ไหว
เรแวนเปิดประตูโรงเก็บมังกรของนักเรียนปีหนึ่งเข้าไปโดยไม่บอกเกล่า เหล่ามังกรที่อยู่ในห้องหันมาทางประตูและกรูเข้ามาหาเจ้านายของตนทันที
“พวกนายยังมีมังกรอยู่ในโรงเก็บมากขนาดนี้เลยหรือ”
เจสันและดีโน่สงสัยในคำพูดของเรแวน เรแวนส่ายหน้าและเดินพานักเรียนปีหนึ่งกลุ่มใหญ่มายังด้านหลังของโรงเก็บมังกร ซึ่งเป็นโรงเก็บมังกรของนักเรียนชั้นปีสอง ถึงแม้ว่าจะใกล้กันเพียงไม่กี่ก้าว แต่นักเรียนชั้นปีหนึ่งไม่เคยเดินผ่านมายังโรงเก็บมังกรของรุ่นพี่เลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะมีมังกรที่โตเต็มที่หลุดออกมาข้างนอก
“พี่พาพวกผมมาที่นี่ทำไมครับ” ดีโน่ถาม
“ก็พาพวกนายมาเปิดหูเปิดตาไงล่ะ” เรแวนพูดพลางเปิดประตูบานใหญ่เพื่อให้รุ่นน้องได้เห็นบรรยากาศภายใน
เมื่อนักเรียนชั้นปีหนึ่งเห็นภาพภายในโรงเก็บมังกรของรุ่นพี่ทำให้พวกเขาถึงกับตะลึง เพราะภาพภายในต่างกับความคิดของพวกเขาราวฟ้ากับดิน แทนที่จะมีมังกรตัวเขื่องเดินไปมา กลับมีเพียงมังกรตัวเล็กๆไม่กี่ตัว และมังกีตัวใหญ่ที่ดูแก่ชราตัวหนึ่งที่นอนหมอบอยู่ตรงมุมห้อง
“นั่นคือมังกรที่แก่จนไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร” เรแวนอธิบายพลางเดินเข้าไปพิงหัวมังกรเหมือนเป็นผนังเก่าๆด้านหนึ่ง “รู้สึกยังไงกันบ้างล่ะ”
“มังกรของรุ่นพี่ไปไหนกันหมดครับ” ดีโน่ถาม
เรแวนล้วงเอาสร้อยคอที่มีอัญมณีเป็นเครื่องประดับออกมาจากเสื้อ และบอกว่ามังกรของพวกเขาอยู่ที่นี่
“รุ่นพี่ปีสองทุกคนผนึกมังกรเป็นทั้งนั้นแหละ เวลานี้เมื่อปีที่แล้วพวกเรากำลังแข่งกันว่าใครผนึกมังกรได้เร็วกว่ากัน”
นักเรียนปีหนึ่งรู้สึกว่ากำลังถูกรุ่นพี่ดูถูก ทำให้นักเรียนบางคนไม่พอใจและทำท่าจะเถียงแต่กลับถูกดีโน่ห้ามไว้ก่อน
“พวกผมก็กำลังหมั่นฝึกฝนอยู่นี่ครับ”
“ไม่อยากนึกเลยว่าพวกเธอจะฝึกให้ห้าคนนั้นเข้ามาเป็นสมาชิกของหน่วยควบคุมได้ยังไง”
“รุ่นพี่รู้!” ดีโน่อุทาน
เรแวนบอกว่าเขานอนเล่นอยู่บนต้นไม้ และได้ยินที่พวกรุ่นน้องปรึกษากันทุกอย่าง นอกจากนี้เรแวนยังสรุปให้ฟังว่าคงลำบากไม่ใช่น้อยที่จะให้คนไร้พรสวรรค์ฝึกให้สำเร็จ
“เพื่อนผมไม่ใช่คนไร้พรสวรรค์!” กลาเลนตะโกนออกมาจากกลุ่ม ทำให้รุ่นพี่ลุกออกจากหัวมังกร และเดินฝ่ากลุ่มนักเรียนปีหนึ่งตรงไปยังรุ่นน้องผมทองผู้กล้าหาญ
“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”
แรงกดดันที่มาจากรุ่นพี่ทำให้นักเรียนบางคนต้องเบือนหน้าหนี แต่ไม่ใช่กลาเลน เด็กชายผมทองสูดหายใจลึกก่อนจะทวนประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่ให้ฟังอีกครั้ง ทำให้รุ่นพี่ปีสองเกาหัวและยิ้มตรงมุมปาก
ความคิดเห็น