คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ผนึกมังกร
วิชาแรกในเช้าวันที่สองของภาคปลายคือวิชาที่นักเรียนหลายคนเฝ้ารอ ครูมาธาร์เดินเข้ามาในห้องเรียนทรงสโลปที่มีครูผู้สอนเป็นศูนย์กลาง นักเรียนทุกคนเตรียมอุปกรณ์การบันทึกไว้บนโต๊ะ และพร้อมจะจดทุกอย่างที่ครูมาธาร์บอก ซึ่งเป็นภาพที่ครูวัยย่างห้าสิบประทับใจมาก
“ครูดีใจมากเลยนะที่เห็นพวกเธอกระตือรือร้นมากขนาดนี้”
สาเหตุที่ทุกคนสนใจวิชานี้มาก เพราะวิชา ‘การผนึกมังกร’ ถือได้ว่าเป็นหัวใจของผู้ใช้มังกร ไม่มีผู้ใช้มังกรคนไหนที่ผนึกมังกรไม่ได้ ดังนั้นถ้าไม่สามารถผนึกมังกรได้ หมายความว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะจบการศึกษาจากดรากูน คำสั่งสอนเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ปกครองของเด็กๆสอนสั่งกันมา ทำให้นักเรียนชั้นปีหนึ่งตั้งใจเรียนวิชานี้มากเป็นพิเศษ
ครูมาธาร์เริ่มต้นการสอนโดยการร่ายภาษาแปลกๆเพื่อเรียกเหล่า ‘ปารัส’ มังกรน้อยที่มีหน้าที่รับใช้ต่างๆภายในโรงเรียนออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมบนโต๊ะ ซึ่งพวกเด็กนักเรียนเคยเห็นภาพนี้มาแล้วเมื่อเทอมที่ผ่านมา แต่คราวนี้การปรากฏตัวของปารัสสร้างความตื่นเต้นให้กับเหล่าเด็กหนุ่มสาวไม่ใช่น้อย เมื่อนึกถึงว่าสักวันพวกเขาจะสามารถทำแบบนี้ได้
ปารัสนับสิบตัวบินไปรอบๆห้องเรียนและทยอยส่งอัญมณีสีเขียวให้แก่เด็กนักเรียนคนละชิ้น เมื่อทุกคนได้รับมรกตเป็นที่เรียบร้อย ปารัสทุกตัวคล้ายกับถูกดูดเข้าไปในกล่องแบบเดิม จากนั้นครูมาธาร์จึงเก็บกล่องนั้นเข้ากระเป๋า
“เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะ” ครูผู้สอนถามความรู้สึกของลูกศิษย์เมื่อเห็นการผนึกและปลดปล่อยมังกรแบบใกล้ชิด
ภายในชั่วโมงแรกของการเรียนวิชาสำคัญ ครูมาธาร์ได้อธิบายเกี่ยวกับทฤษฏีต่างๆ เพื่อให้การผนึกมังกรผ่านไปได้โดยดี โดยครูผู้สอนบอกว่าการผนึกมังกรจำเป็นต้องอาศัยอัญมณี ดังนั้นมรกตที่ครูมอบให้ถือว่าเป็นของขวัญและบททดสอบในเวลาเดียวกัน เพราะนักเรียนมีหน้าที่ผนึกมังกรของตนลงในมรกตเม็ดนั้นก่อนจะจบภาคเรียน
จากนั้นครูมาธาร์จึงสอนเคล็ดในการผนึกมังกร เพื่อให้นักเรียนสามารถไปซ้อมกันได้ทุกเวลาที่ว่าง และเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการผนึกมังกร
“ขนาดของมังกรมีผลหรือเปล่าครับ” อับดุลยกมือถามเป็นคนแรก เพราะค่อนข้างกังวลกับขนาดของอัลห์ที่ใหญ่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ก็มีบ้างจ้ะ แต่มังกรระดับปีหนึ่งน่าจะสามารถผนึกลงมรกตได้อยู่แล้ว” ครูมาธาร์ตอบ และอธิบายเพิ่มว่ามังกรบางชนิดที่มีอำนาจมาก ต้องอาศัยอัญมณีที่มีคุณค่าเพียงพอจึงสามารถผนึกมังกรตัวนั้นได้ รวมทั้งอัญมณีที่มีค่าจะสามารถผนึกมังกรได้หลายตัว “อย่างปารัสนี่ มรกตเม็ดเดียวสามารถผนึกได้เป็นสิบตัวเลยนะ”
ช่วงพักกลางวันของวันนี้โรงอาหารแทบจะว่างเปล่า เพราะทุกคนรีบทานอาหารให้เสร็จ เพื่อจะได้มีเวลาทดสอบการผนึกมังกรมากยิ่งขึ้น
ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างหนาวเนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เด็กนักเรียนหลายคนพยายามทำตามที่ได้รับการสอนมา เพื่อผนึกมังกรของตนลงมรกตที่ได้รับ กลุ่มของอังเดรพยายามบังคับให้มังกรของตนลงอัญมณีทั้งที่เหล่ามังกรนั้นไม่ค่อยพอใจนัก ต่างจากกลุ่มของดีโน่และซาร่าที่เริ่มต้นด้วยการเล่นกับมังกรเพื่อให้เกิดการผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติมากที่สุด
“กรีสโตขึ้นมากเลยนะ” ซาร่าทักเมื่อเห็นมังกรขาวที่เดินมาหาดีโน่ผู้เป็นเจ้านาย
“นีโอเรย์เองก็เหมือนกันนะ” ดีโน่พิจารณามังกรสีเหลืองที่รูปร่างสวยงามราวกับเป็นพาหนะของเชื้อพระราชวงศ์ คอที่เรียวงามเหมือนกับได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดี กล้ามเนื้อส่วนต่างๆไม่มีแม้แต่ไขมันให้เห็น ซาร่าบอกว่าเธอดูแลนีโอเรย์ไม่มากเท่าไร แต่ที่นีโอเรย์รูปร่างแบบนี้ อาจเป็นเพราะสายพันธุ์ของมังกร ‘อบาโทส’ ซึ่งเป็นมังกรพิษ เพราะมังกรสายพันธุ์นี้จะมีความพิเศษตรงที่สามารถขจัดของเสียออกจากร่างกายได้เร็วกว่ามังกรสายพันธุ์อื่น
ส่วนอับดุลที่ค่อนข้างหนักใจเรื่องขนาดที่ใหญ่โตของ ‘อัลห์’ ก็นั่งปรับทุกข์กับแมรี่ เพราะมังกรของแมรี่เองก็เป็นสายพันธุ์ผสมแบบเดียวกับอัลห์ เด็กทั้งสองมอง อัลห์และไรโอ ที่นอนพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่อย่างสบายอารมณ์ โดยไม่รับรู้ถึงความทุกข์ของผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย
“เธอคิดว่าจะผนึกไรโอลงในมรกตนี้ได้ไหม” อับดุลถามแมรี่ทั้งที่นั่งเหม่อมองมังกรสีน้ำตาลเข้มของตนเอง ที่มีขนาดใหญ่กว่ามังกรของคนอื่นหลายเท่า
“ฉันก็ไม่แน่ใจนะ” แมรี่ตอบพลางถอนหายใจเมื่อเห็นมังกรสีม่วงที่มีขนาดเล็กกว่าอัลห์ไม่เท่าไร
“พวกเธอกำลังมีปัญหาอะไรกันอยู่หรือเปล่า”
เด็กทั้งสองสะดุ้งเนื่องจากได้ยินเสียงที่ไม่ค่อยคุ้นหูนัก ซึ่งเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ข้างหลังเด็กทั้งคู่คือ ‘ไลม์’ นักเรียนชั้นปีสามผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ เพราะเป็นถึงหัวหน้าหน่วยควบคุมเด็กนักเรียน เมื่อเห็นรุ่นพี่ที่พึ่งพาได้พวกดีโน่จึงเดินเข้ามาทักทายรุ่นพี่ไลม์ทันที
“กรีสโตขึ้นมากเลยนะ” ไลม์บอกเมื่อทักทายรุ่นน้องจนครบ “แบบนี้ถือได้ว่าเป็นมังกรชั้นเลิศทีเดียว”
ดีโน่รู้สึกเขินพอสมควรเมื่อมีคนชมมังกรของตน และไม่ลืมทีจะถามเกี่ยวกับเคล็ดลับในการผนึกมังกรหลังจากไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกันแล้ว
ไลม์เดินมานั่งบนก้อนหินใหญ่เพราะรู้ว่าต้องพูดคุยกันนานพอสมควร จากนั้นจึงเล่าว่าการผนึกมังกรคือการช่วยให้ผู้ใช้มังกรสามารถไปไหนมาไหนร่วมกับมังกรของตนได้สะดวก เพราะนับวันมังกรที่เลี้ยงไว้จะมีขนาดใหญ่โตขึ้น มังกรบางสายพันธุ์มีขนาดมากกว่า 100 คานาเสียด้วยซ้ำ ทำให้การเดินทางไปพร้อมกับผู้ใช้เป็นเรื่องยาก รวมทั้งการผนึกมังกรยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงระดับของผู้ใช้มังกร กล่าวคือการจะเป็นผู้ใช้มังกรหรือที่เรียกกันว่า ‘ดรากอนมาสเตอร์’ ที่เก่งกาจนั้นขึ้นอยู่กับมังกรที่ผนึก โดยสามารถแบ่งได้สองลักษณะคือ ดรากอนมาสเตอร์ที่มีมังกรผนึกไว้มาก กับอีกจำพวกที่มีมังกรในผนึกน้อยบางครั้งมีเพียงตัวเดียว แต่มังกรตัวนั้นถือว่าเป็นมังกรระดับเทพ
“มังกรระดับเทพ” เด็กบางคนที่นั่งฟังอยู่ทวนคำที่เพิ่งได้ยิน
รุ่นพี่ปีสามพยักหน้า พร้อมอธิบายต่อว่า ‘มังกรระดับเทพ’ คือมังกรที่เปี่ยมไปด้วยพลังและอำนาจ ซึ่งเป็นการยากที่จะมีดรากอนมาสเตอร์คนไหนผนึกไว้ได้
“พี่เคยเห็นมังกรระดับเทพไหมครับ” ดีโน่ถาม
ไลม์ยิ้มเล็กน้อยก่อนบอกว่าเคย แต่รุ่นพี่ผมเกรียนไม่ยอมบอกว่าเคยเห็นที่ไหน ถึงแม้ว่ารุ่นน้องจะตื้อสักเพียงใดก็ตาม จนไลม์ต้องเปลี่ยนเรื่องว่าจะพูดถึงเคล็ดลับในการผนึกมังกร จึงสามารถทำให้รุ่นน้องเงียบเสียงลงได้
“พวกเธอรู้คำพูดในการผนึกมังกรแล้วใช่ไหม”
รุ่นน้องทุกคนพยักหน้า เพราะเพิ่งเรียนจากครูมาธาร์มาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ไลม์จึงให้ทุกคนวางอัญมณีที่ได้มาไว้บนฝ่ามือ และร่ายคาถาที่ได้เรียนมา เมื่อทุกคนทำตามก็รู้สึกได้ว่าเกิดกระแสลมบางๆขึ้น
“ลมนั่นแหละคือสิ่งที่ใช้ในการผนึกมังกร” รุ่นพี่ปีสามยิ้มเมื่อเห็นรุ่นน้องทำสำเร็จ “แต่สังเกตเห็นไหมว่า ลมที่พวกเธอสร้างขึ้นมามีแรงดูดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
เด็กๆเห็นด้วยกับคำพูดของรุ่นพี่ เพราะแรงลมขนาดนี้ไม่เพียงพอแม้แต่จะดูดฝุ่นเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะแรงลมจะมากขึ้นตามความตั้งใจของพวกเธอนั่นแหละ” ไลม์บอก “ข้อสำคัญอีกข้อคือ มังกรจะยอมถูกผนึกต่อเมื่อ มังกรตัวนั้นยอมรับดรากอนมาสเตอร์ผู้นั้นแล้ว”
ไลม์ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะขอตัวไปเตรียมตัวเรียนวิชาในช่วงบ่าย
เนื่องจากตามตารางเรียนที่ได้รับแจกมาไม่มีวิชาเรียนในช่วงบ่าย ทำให้นักเรียนชั้นปีหนึ่งมีเวลาว่างทำกิจกรรมได้ตามสะดวก กลุ่มของซาร่าขอตัวไปห้องสมุดเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับการผนึกมังกรกรเพิ่มเติม โดยมีอับดุลกับกลาเลนพ่วงไปด้วย ส่วนเจสันกับดีโน่ถูกมอบหมายแกมบังคับว่าให้ไปถามรุ่นพี่ดูจะง่ายกว่า เนื่องจากทั้งสองคนรู้จักรุ่นพี่มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ดังนั้นเจสันและดีโน่จึงคิดถึงรุ่นพี่ปีสอง...คาเฟอีน
ภายในห้องทำงานของคาเฟอีนที่อยู่ชั้นใต้ดินของโรงเรียน เจสันกับดีโน่ช่วยกันเก็บเศษกระดาษตามพื้นที่มีมากมายมหาศาล เจสันบอกดีโน่ว่าก่อนกลับบ้านเขาแน่ใจว่าได้ทำความสะอาดจนหมดแล้ว หมายความว่าตลอดสองอาทิตย์รุ่นพี่คาเฟอีนไม่ได้กลับบ้าน และอยู่ที่โรงเรียนเพื่อทำให้ห้องมีสภาพเป็นแบบเดิม
“รุ่นพี่ของนายนี่เขาเขียนอะไรมากมายกันแน่นะ” ดีโน่ถามพลางคลี่กระดาษใบหนึ่งออกดู
“นายอ่านไม่ออกหรอก” เจสันบอก “ไม่มีคนธรรมดาคนไหนอ่านลายมือของรุ่นพี่คาเฟอีนออก”
ดีโน่ถึงกับตาลายเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกระดาษ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นตัวหนังสือหรือเป็นรูปวาด เพราะการลากดินสอยาวเป็นเส้น บ้างก็วกไปมาจนไม่น่าเรียกว่าเป็นการเขียนเสียด้วยซ้ำ ทำให้เด็กชายขยำกระดาษกลับสู่สภาพเดินและโยนลงตะกร้าผงตรงมุมห้อง
เมื่อเสร็จสิ้นจากการเก็บขยะภายในห้องแล้ว เด็กชายทั้งสองจึงเปิดประตูเพื่อเข้าสู่ห้องทำงานจริงของคาเฟอีน แต่แทนที่ทั้งคู่จะพบภาพของรุ่นพี่ผมกระเซิงวุ่นอยู่กับหลอดทดลองต่างๆบนโต๊ะ ทั้งสองคนกลับพบกับคาเฟอีนที่สวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงลายพราง รองเท้าบู๊ต และกำลังเก็บข้าวชองลงในกระเป๋าสะพายไม่ขนาดกลาง
“อ้าว...พวกนายนี่เอง” คาเฟอีนทักเมื่อเห็นรุ่นน้องทั้งสอง พร้อมทั้งเป่าทำความสะอาดแว่นกันแดดที่นำออกมาจากในลิ้นชัก
เด็กชายทั้งสองถามว่าคาเฟอีนจะไปไหนจึงแต่งตัวแบบนี้ รุ่นพี่เปิดกาแฟกระป๋องและยกซดก่อนจะบอกว่าตัวอย่างเลือดที่เขารวบรวมไว้ขาด ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางไปเก็บตัวอย่างเลือดเพิ่ม
“พวกนายสนใจจะไปกับฉันไหมล่ะ” คาเฟอีนชวน
คำตอบที่ออกมาจากปากของรุ่นน้องทั้งสองแบบไม่ต้องคิดมากคือ ‘ไป’ จากนั้นทั้งสามจึงเดินขึ้นมาข้างบนเพื่อเตรียมตัวเดินทาง
ความคิดเห็น