คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #246 : ☆ : มาทำความรู้จักกับน้องกระรอกกัน
กระรอก จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดลำตัวเล็ก ขนปุยปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย นัยนตากลมดำ หางเป็นพวงฟู จัดอยู่ในประเภทสัตว์ฟันแทะ
กระรอกอาจแบ่งได้เป็น 3 พวกใหญ่ ๆ ได้แก่ กระรอกต้นไม้ (tree squirrels) กระรอกดิน (ground squirrels) และ กระรอกบิน (flying squirrels)
วงศ์กระรอกมี วงศ์ย่อย 2 วงศ์ คือ Pteromyinae ได้แก่ กระรอกบิน และวงศ์ Sciurinae ได้แก่ กระรอกต้นไม้, กระรอกบิน, ชิพมั้งค์
นอกจากนี้แล้วยังมีสัตว์อีก 3 ชนิด ที่มีรูปร่างและลักษณะใกล้เคียงกับกระรอก จนอาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นกระรอกชนิดหนึ่งด้วย แต่ความจริงแล้ว ทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นสัตว์คนละอันดับกับกระรอกเลย ได้แก่
1 บ่าง (Cynocephalu variegatus) ซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับบ่าง
2 กระแต (Tupaiidae) เป็นสัตว์ในอันดับกระแต(order Scandentia)โดยเฉพาะ
กระแตดูเผิน ๆ คล้ายกระรอก แต่ไม่ใช่กระรอก ไม่ได้อยู่ในอันดับวานรแล้วด้วย ในปัจจุบันกระแตจัดอยู่ในอันดับกระแต กระแตมีปากยื่นยาวกว่ากระรอก มีฟันเล็กหลายซี่
3 ซูกาไกล์เดอร์ (Petaurus breviceps) หน้าตาและรูปร่างคล้ายกระรอกบินมาก แต่เป็นสัตว์ในอันดับ สัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องพวกเดียวกับโคอาล่า จิงโจในออสเตรเลีย
กระรอกต้นไม้ เป็นกระรอกที่มักพบเห็นได้บ่อยและคุ้นเคยกันดี มีหางยาวเป็นพวงสวยงาม มีกรงเล็บแหลมคม และมีใบหูใหญ่ บางชนิดมีปอยขนที่หู ส่วนกระรอกบินนั้น จะมีพังผืดข้างลำตัว สำหรับกางเพื่อร่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง มักเป็นหากินในตอนกลางคืน มีตาสะท้อนแสงไฟ กระรอกดิน มักจะมีรูปร่างสั้น และล่ำสันกว่ากระรอกต้นไม้ มีขาหน้าแข็งแรงใช้สำหรับการขุดดิน หางของกระรอกดินนั้นจะสั้นกว่าหางของกระรอกต้นไม้ และไม่ฟูเป็นพวงนัก และเช่นเดียวกับสัตว์ฟันกัดแทะชนิดอื่น ๆ กระรอกจะมีนิ้วเท้าหลังข้างละ 5 นิ้ว และ นิ้วเท้าหน้าข้างละ 4 นิ้ว ตรงส่วนที่น่าจะเป็นนิ้วโป้งจะกลายเป็นปุ่มนูน ๆ ซึ่งถูกพัฒนาให้เหมาะสำหรับจับอาหารมาแทะ
กระรอกมีขนาดใหญ่เล็กต่าง ๆ กันไปตามสายพันธุ์ และสามารถแบ่งตามขนาดได้ 3 กลุ่ม คือ ขนาดใหญ่ เช่น พญากระรอก ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยพบอยู่เพียง 2 ชนิด คือ พญากระรอกดำ (Ratufa bicolor) และพญากระรอกเหลือง (Ratufa affinis) ซึ่งได้ถูกขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ขนาดกลาง เช่น กระรอกหลากสี (Callosciurus finlaysoni) กระจ้อน (Menetes berdmorei) และ ขนาดเล็ก เช่น กระเล็น (กระถิก) ซึ่งเป็นกระรอกที่เล็กที่สุดที่พบในประเทศไทย
อาหาร ของกระรอกคือ ผลไม้ และ เมล็ดพืช เป็นหลัก แต่กระรอกก็ยังชอบกินแมลงด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะกระรอกขนาดใหญ่อย่างพญากระรอก นั้นบางครั้งก็ยังกินไข่นกเป็นอาหารอีกด้วย
กระรอกแป็นสัตว์ที่ออกหากินในตอนกลางวัน
(ยกเว้นตระกูลกระรอกบิน)
ส่วนใหญ่แล้ว จะออกหาอาหารในช่วงเช้ามืดหรือตอนเย็น
เราสามารถพบกระรอกอยู่เป็นกลุ่มได้ในต้นไม้ที่ออกผลมาก
มีความเชื่อกันว่ากระรอกตัวที่โตเต็มที่นั้นจะแบ่งเมล็ดพืชให้กับกระรอกที่ ยังเล็กอยู่
เชื่อกันว่ากระรอกนั้นจะซ่อนอาหาร อย่างเช่นผลไม้สุก ไว้ในรอยแตก หรือรอยแยกของกิ่งไม้
อาณาเขตของที่อยู่อาศัยของกระรอกที่ โตเต็มวัยนั้นอาจซ้อนเหลื่อมกัน แต่บริเวณที่เกิดการซ้อนเหลื่อมนี้อาจขยายอาณาเขตมากขึ้นเมื่อตัวเมียมีน้อยลง และอาจทำให้กระรอกมาเผชิญหน้ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้ กระรอกตัวที่เป็นเจ้าของอาณาเขตจะไล่กระรอกตัวอื่นไปจนกระทั่งกระรอกตัวนั้น ออกจากอาณาเขตของตนไป
หรือกระรอกตัวที่เป็นเจ้าของอาณาเขตอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลยแล้วใช้ชีวิตตามปกติต่อไป กระรอกตัวที่ปกครองเป็นใหญ่ในบริเวณนั้นจะยังคงอยู่โดยเฉพาะบริเวณที่ใช้เป็นที่หาอาหารประจำและมีกระรอกอยู่ทั้ง 2 เพศ ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิตของมัน
และแน่นอนว่าอาหารส่วนใหญ่ของกระรอกล้วนเกี่ยวกับต้นไม้ ทำให้กระรอกมักจะเก็บสะสมอาหารอยู่บนกิ่งไม้
กระรอกมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและอาหารตามฤดู ในฤดูหนาว กระรอกจะกินดอกที่ยังอ่อนๆ ของต้น ซึ่งจะออกดอกตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายนในปีถัดไป จากนั้นกระรอกจะเปลี่ยนมากินใบไม้ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคม และเมื่อถึงเดือนมิถุนายนกระรอกก็จะเริ่มกินผลไม้ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง กระรอกจะกินแมลงที่มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะมดที่กำลังกักตุนอาหารก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน
- อาหารที่เป็นสัตว์ : แมลง บางครั้งกระรอกจะกินแมลงเมื่อต้องการแร่ธาตุบางชนิด
- อาหารที่เป็นพืช : ได้แก่ ใบไม้ เมล็ดพืช ธัญพืช ผลไม้เปลือกแข็ง และผลไม้
- พฤติกรรมการหาอาหาร : มีการสะสมหรือซ่อนอาหารไว้กินในฤดูหนาว
หลังจากผสมพันธุ์แล้ว ในตอนแรกตัวเมียจะออกสำรวจหาบริเวณและสร้างรังในบริเวณที่เหมาะสมและค่อน ข้างปลอดภัย พฤติกรรมนี้จะพบมากที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่ตรงกับฤดูผสม พันธุ์ของกระรอก ภายในรังของกระรอกนั้นพบว่า แม่กระรอกสามารถให้กำเนิดลูกได้ครั้งละหลายตัว
ในธรรมชาติ นั้น กระรอกมีศัตรูคือสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก เช่น อีเห็น ชะมด พังพอน แมวป่า รวมทั้งเหยี่ยว นอกจากนี้ กระรอกอาจถูกคนจับมาขายหรือฆ่าทิ้งเนื่องจากทำลายผลผลิตของเกษตรกร โดยเฉพาะกระรอกที่ไปอาศัยในสวนปาล์ม
กระรอกมีลักษณะโครงสร้างของขากรรไกรที่คล้ายกับบรรพบุรุษ กระโหลกกว้างจนถึง Zygomatic plate เพื่อเป็นจุดยึดเกาะของ lateral branch ของกล้ามเนื้อ masseter มีจุดเริ่มจากสันนูนด้านข้างของกระดูกrostrum (กระดูกจะงอยปาก) ที่เรียกว่า masseteric tubercle ใน intraorbitalforamenไม่ได้ขยายใหญ่พื่อส่งผ่านกล้ามเนื้อ เหมือนพวก myomorphous(หนู mice และหนู rat) และ hystricomorphous (หนู cavy และหนูตะเภา)
กระรอก นั้นมีลักษณะร่างกายหลักๆ 3 แบบ คือ กระรอกต้นไม้ กระรอกดิน และกระรอกบิน กระรอกต้นไม้ จะมีหางยาวเป็นพวงกรงเล็บที่แหลมคมและมีหูขนาดใหญ่บางพันธุ์ที่ปลายหูมีขน เป็นพู่
กระรอกบินมีผิวหนัง ที่ปกคลุมด้วยขนยื่นออกจากลำตัวยาวจากข้อมือจนถึงข้อเท้าเพื่อให้สามารถ ร่อนไปมาระหว่างต้นไม้ได้
กระรอกดินนั้นโดยทั่วไปมีลักษณะแข็งแรงกว่ากระรอกต้นไม้และมีขนที่สั้นกว่า มีขาหน้าที่แข็งแรงไว้สำหรับขุด มีหางที่มีลักษณะเป็น fur และไม่เป็นพวงเหมือนกระรอกต้นไม้
กระรอกมีลักษณะเหมือน สัตว์ฟันแทะอื่นๆ คือมีนิ้วเท้า 5 นิ้วในเท้าหลัง และ 4 นิ้วในเท้าหน้า ซึ่งมีการพัฒนาเป็นอุ้งเท้าเป็นอย่างดี กระรอกมีขนาดตั้งแต่เท่าหนู อย่างเช่นกระรอกปิกมี่แอฟริกา ( Myosciurus pumilio ) ไปจนถึงไปจึงถึงพวกขนาดใหญ่อย่างมาร์มอทและวูดชัค (genus Marmota ) กระรอกนั้นกะโหลกศีรษะกับจะงอนปากสั้นและมีรูปร่างโค้ง ส่วน postorbital process มีการพัฒนาดี และมีระยะห่างระหว่าง orbital กว้าง กระดูกแก้มยาวถึง frontals เพดานปากค่อนข้างสั้นและกว้าง ฟันกรามอยู่ระดับเดียวกัน Bullae มีขนาดใหญ่แต่ไม่ขยาย สูตรฟันของ sciurids คือ 1/1, 0/0, 1-2/1, 3/3= 20 -22, premolar อาจมีขนาดเล็กและมีรูปร่างเหมือนหมุด ยังคงหลงเหลือฟัน cheekteeth มีรากฟันที่พัฒนาเป็นอย่างดีเป็นแนวขวาง
สำหรับกระรอกที่พบใน ประเทศไทยนั้น ตัวเต็มวัยส่วนใหญ่มีขนาดลำตัวที่วัดรวมส่วนหัวและลำตัวประมาณ 200 มม.มีกรงเล็บที่แข็งแรงทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้า กรงเล็บนี้กระรอกใช้เกาะกิ่งไม้และลำต้นขณะวิ่ง ทำให้สามารถวิ่งไปตามต้นไม้ได้ มีตาขนาดใหญ่และโปน ทำให้มองเห็นชัดเจนและสามารถแยกแยะวัตถุ ุโดยเฉพาะแนวตั้งได้ดีความสามารถนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสัตว์ที่ใช้ ชีวิตส่วนใหญ่บนต้นไม้ ด้วยตำแหน่งของตาทำให้พวกมันสามารถมองเห็นด้านหน้า ด้านหลัง ด้านบนและด้านล่างได้โดยไม่ต้องหมุนศีรษะ ช่วยให้สามารถสำรวจและระวังอันตรายได้ ดวงตาของกระรอกมี conecell ในเรตินาอยู่มากทำให้ สามารถมองเห็นสีในเวลากลางวันได้
...สายพันธุ์กระรอก...
กระรอก (Squirrel) จัดเป็นสัตว์ในกลุ่มฟันแทะ (Rodent)มีลักษณะเด่นก็คือมีฟันหน้าที่ใหญ่ และแข็งแรง อยู่สองคู่ อยู่ด้านบนหนึ่งคู่ และด้านล่างอีกหนึ่งคู่ ไม่มีฟันเขี้ยว ฟันของสัตว์พวกนี้มีการงอกยาวขึ้นเรื่อยในทุกวัน ดังนั้นมันจึงจำเป็นต้องกัดแทะของแข็งทุกวันเพื่อให้เกิดการสึกกร่อน มิฉะนั้นฟันจะงอกยาวเกินไป ในธรรมชาติอาศัยอยู่ตามต้นไม้ บางครั้งอาจพบหากินอยู่ตามพื้นบ้าง กินพวกผลไม้ ใบไม้ ยอดไม้ รวมทั้งแมลงต่างๆ กระรอกที่สามารถพบได้ในประเทศไทย สามารถแบ่งได้เป็น สองกลุ่มใหญ่ๆดังนี้คือ กระรอก และกระรอกบิน ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างแค่บางชนิด กระรอกที่พบ ได้แก่
1. พญากระรอกดำ (Black giant squirrel)
2. กระรอกท้องแดง (Pallas squirrel)
3. กระรอกหลายสี (Variable squirrel)
4. กระรอกปลายหางดำ (Grey-bellied squirrel)
5. กระรอกดินแก้มแดง (Three-striped ground squirrel)
กระรอกบินมีลักษะที่แตกต่างออกไปคือ จะมีแผ่นหนังยื่นออกมาจากลำตัวยาวถึงแขน และขา ซึ่งแผ่นหนังที่ยื่นออกมานั้น จะทำให้กระรอกบินสามารถร่อนอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานานกว่ากระรอกธรรมดา
กระรอกบินที่พบ ได้แก่ ..
1. พญากระรอกบินหูแดง (Red giant flying squirrel)
2. กระรอกบินเท้าขน (Hairy-footed flying squirrel)
3. กระรอกบินแก้มสีแดง (Red-cheeked flying squirrel)
อย่างไรก็ตามการจำแนกชนิดของกระรอกบินนั้นทำได้ยาก เนื่องจากวงศ์ย่อยนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก แม้แต่ในกลุ่มนักวิชาการเองก็ยังถกเถียงกันในเรื่องนี้
การแยกชนิดของกระรอก ..
กระรอก สามารถแยกชนิดได้จากขนาด รูปร่างและสี ชนิด ความยาวหัว-ตัว(เซนติเมตร) ความยาวหาง(เซนติเมตร) น้ำหนัก(กรัม) สีขน
กระรอกดำ 35 44 1300 หัว สีดำ แก้ม คอ คาง สีส้ม หลัง สีน้ำตาลเข้ม หาง สีดำ
กระรอกท้องแดง 21 18 280 ตัว หาง สีน้ำตาล หลัง แถบสีดำ
กระรอกหลายสี 21 23 - มีหลายสี ตังแต่สีขาวจนถึงดำ ซึ่งอาจมีหลายสีในตัวเดียวก็ได้
กระรอกปลายหางดำ 22 24 300 ตัว น้ำตาลปนเขียว หาง มีลายดำเป็นป้องๆ
กระรอกแก้มแดง 18 15.8 - แก้ม ท้อง สีน้ำตาลแดง ตัว สีเทาเข้ม หาง สีดำ ใต้หาง สีน้ำตาลแดง
กระรอก บินหูแดง 43 50 - ตัว สีน้ำตาลแดง หู สีดำ ปลายหาง สีดำ
กระรอกบินเท้า ขน 22 15 - หลัง สีน้ำตาลแดง หาง แบน โคนหาง สีเทาอ่อน ปลายหาง สีน้ำตาลแดง
กระรอกบินแก้มสีแดง 13 12 - แก้ม สีน้ำตาลส้ม หลัง สีน้ำตาลแดง หางแบนคล้ายขนนก หางช่วงต้น สีดำ ปลายหาง สีขาว
พญากระรอกดำ (Black Giant Squirrel)
พญากระรอกเหลือง (Cream-colored Giant Squirrel)
กระรอกหลากสี ( Variable Squirrel,Callosciurus finlaysoni bocourtl)
ภาค ต่างๆ ของประเทศไทย
กระรอกสามสี (Prevost's Squirrel)
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
กระรอกท้องแดง (Belly-Banded Squirrel)
เป็นกระรอกขนาดกลาง มีจำนวนชนิดย่อยถึง 6 ชนิด ส่วนชนิดนี้พบได้ทางภาคเหนือ ภาคกลาง ลงมาถึง จ.เพชรบุรี และทางภาคใต้
กระรอกดินหลังลาย (Three-striped Ground Squirrel)
กระรอกข้างลายท้องแดง (Plantain Squirrel)
กระรอกหางม้าเล็ก (Slender Squirrel)
กระรอกหางม้าใหญ่ (Horse-tailed Squirrel)
Shrew-faced Ground Squirrel (Left) and
Common Tree Shrew (Right) for comparison.
กระรอกหน้ากระแต (Shrew-faced Ground Squirrel)
กระรอกดินแก้มแดง (Red-cheeked Squirrel)
เป็นกระรอกขนาดกลาง มีขนสีเทา มีแก้มและขนที่ใต้หางสีแดงปน น้ำตาล ชอบหากินตามพื้นดิน พบได้ทั่วประเทศ ยกเว้นภาคอีสาน
กระจ้อน หรือ กระรอกดินข้างลาย
(Indochinese Ground Squirrel, Berdmore's Ground Squirrel, Menetes berdmorei)
เป็นกระรอกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง พบเห็นได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย และทุกสภาพภูมิประเทศ แม้แต่ในสวนใจกลางเมือง ไม่ชอบอยู่อาศัยในป่าดิบทึบ ชอบหากินอยู่ตามพื้นดิน มีลำตัวสีน้ำตาลมีแถบสีดำสลับสีอ่อนอยู่ด้านข้างลำตัว มีความยาวเต็มที่รวมหาง ประมาณ 20 เซนติเมตร
กระเล็น (กระถิก) ขนปลายหูยาว (Tamiops rodolphei)
เป็นกระรอกขนาดเล็ก อาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง เช่น ป่าดิบแล้ง และเต็งรัง หากินตามต้นไม้สูง พบทางภาคอีสานและทางตะวันออก
0-2 สัปดาห์ช่วงนี้ลูกกระรอกจะตัวแดงๆ จนถึงเริ่มไม่แดง แล้วก็จะยังไม่มีลายให้เห็นนัก
2-3 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นสีของผิวหนังซึ่งจะเป็นบริเวณที่ ขนจะขึ้นเป็นลาย
3-4 สัปดาห์ เริ่มมีขึ้นเป็นสีๆขึ้นบริเวณที่เป็นลาย ของผิวหนังในตอนแรก
5-6 สัปดาห์ ขนจะเริ่มปุกปุย ทั้งลำตัวและ ที่หาง และตาเริ่มจะเปิด เมื่ออายุได้ 6-7สัปดาห์ (สำหรับกระรอกพันธุ์ตัวใหญ่ก็จะโตช้ากว่ากระรอกพันธุ์ตัวเล็กๆ)**ในที่นี้ เป็นเกลย์สแควรอล หรือกระรอกสีเทา ของต่างประเทศ
10 สัปดาห์ขึ้นไปกระรอกสามารถกินอยากอื่นได้บ้างแล้วนอกจากนม แต่ก็ยังต้องกินนมเสริม
5 เดือน กระรอกโตเต็มวัย
กลุ่มกระรอกต้นไม้ ทั้งหมด 13 ชนิด
- พญากระรอกดำ (Ratufa bicolor)
- พญากระรอกเหลือง (Ratufa affinis)
- กระรอกข้างลาย ท้องแดง (Callosciurus notatus)
- กระรอกข้างลาย ท้องเทา (Callosciurus nigrovittatus)
- กระรอกท้องแดง (Callosciurus erythraeus)
- กระรอกหลากสี (Callosciurus finlaysoni)
- กระรอกปลายหางดำ (Callosciurus caniceps)
- กระรอกสามสี (Callosciurus prevostii)
- กระรอกหางม้าใหญ่ (Sundasciurus hippurus)
- กระรอกหางม้าเล็ก (Sundasciurus tenuis)
- กระรอกหางม้าจิ๋ว (Sundasciurus lowii)
- กระเล็นขนปลายหู ยาว (Tamiops rodolphei)
- กระเล็นขนปลายหู สั้น (Tamiops mcclellandi)
กลุ่มกระรอกดิน มี 4 ชนิด
- กระจ้อน (Menetes berdmorei)
- กระรอกหน้ากระแต (Rhinosciurus laticaudatus)
- กระรอกลายแถบ (Lariscus insignis)
- กระรอกดินแก้มแดง (Dremomys rufigenis)
กลุ่มกระรอกบิน มี 12 ชนิด
- พญากระรอกบินหูดำ (Petaurista elegans)
- พญากระรอกบินหูแดง (Petaurista petaurista)
- พญากระรอกบิน หูดำหางเข้ม (Petaurista philippensis)
- พญากระรอกบินสีดำ (Aeromys tephomelas)
- กระรอกบินเล็ก แก้มขาว (Hylopetes phayrei)
- กระรอกบินเล็กเขา สูง (Hylopetes alboniger)
- กระรอกบินแก้มสี แดง (Hylopetes spadiceus)
- กระรอกบินแก้มเทา (Hylopetes lepidus)
- กระรอกบินจิ๋ว ท้องขาว (Petinomys setosus)
- กระรอกบินจิ๋ว มลายู (Petinomys vordermanni)
- กระรอกบินเท้าขน (Trogopterus pearsoni)
- กระรอกบินสีเขม่า (Pteromyscus pulverulentus)
(โดย เพ็ญพิชญา เตียว )
พญากระรอกดำ หรือ กระด่าง จัดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ แต่โชคดีสามารถนำมาเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว โดยหากดูแลให้ดีจะมีอายุถึง 10 ปี ...
สภาพโดยทั่วไปของสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ตำบลภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายของพรรณพืช สัตว์ป่านานาชนิด อาทิ นก ไก่ฟ้าพญาลอ เก้ง ไก่ป่า สัตว์ป่าหายากอีกมากมาย ในจำนวนนี้จะมี พญากระรอกดำ รวมอยู่ด้วย
นายทักษิณ อาชวาคม หัวหน้าสถานีวิจัยฯบอกกับ "หลายชีวิต" ว่า พญากระรอกดำ (Black Giant Squirrel) หรือที่บางคนเรียกว่า "กระด่าง" ทางภาคใต้เรียก "พะแมว" เป็นสัตว์กลุ่มเลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในกลุ่มฟันแทะ มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มกระรอกด้วยกัน มีถิ่นอาศัยอยู่ในเนปาล อัสสัม พม่า จีนตอนใต้ เกาะไหหลำ อินโดจีน มาเลเซีย สุมาตรา ชวา และบาหลี ประเทศไทยจะพบมากทางภาคใต้ ในป่าดงดิบ ตามต้นไม้สูง ยอดไม้ที่รกทึบ โดยเฉพาะแหล่งที่มีลำห้วย
...มีความปราดเปรียวว่องไว ใช้เวลาส่วนใหญ่อาศัย อยู่ตามต้นไม้ บางครั้งอาจพบหากินอยู่ตามพื้นบ้าง นอนในรังเสมอไม่ว่าจะมีหรือไม่มีลูกอ่อนก็ตาม โดยใช้กิ่งกับใบไม้มาขัดสานเป็นที่อยู่คล้ายรังนกขนาดใหญ่ไว้หลายแห่ง แต่จะอาศัยอยู่รังไหนก็แล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์ของป่าบริเวณนั้น หากเห็นคนหรือสัตว์อื่นก็จะส่งเสียงร้อง สามารถกระโดดบนยอดไม้ได้ไกลถึง 22 ฟุต ออกหากินตัวเดียว ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์ ในเวลากลางวันและหลับพักผ่อนในเวลากลางคืน ซึ่ง อาหารของมันจะเป็นใบไม้ ยอดไม้ ผลไม้ แมลงต่างๆ รวมทั้ง ไข่นก ซึ่งเป็นของที่มันโปรดสุด เสน่ห์ของกระรอกฯ นอกจากหางที่มีลักษณะเป็นพวงยาวใหญ่ สีดำแล้ว หลายคนบอกว่าอยู่ที่ฟันหน้า ซึ่งมีขนาดใหญ่ แข็งแรง
โดยอยู่ ด้านบนหนึ่งคู่ ด้านล่างอีกหนึ่งคู่ ไม่มีเขี้ยว ฟันจะงอกยาวขึ้นเสมอ ทำให้พวกมันต้องกัดแทะของแข็งทุกวันเพื่อให้เกิดการสึกกร่อน กันไม่ให้ฟันงอกยาวเกินไป ขนและหางด้านบนมีสีดำสนิท ส่วนบริเวณแก้มและท้องสีจะเหลือง บางตัวอาจมีสะโพก เท้าหน้ามี 4 นิ้ว เท้าหลังมี 5 นิ้ว เล็บยาวและโค้งช่วยในการยึดเกาะต้นไม้
...ตัวโตเต็มที่วัดความยาวลำตัวและหัวได้ 33-37.5 ซม. หาง 42.5-46 ซม. น้ำหนัก 1-1.6 กก. เพศเมียมีเต้านม 3 คู่ จับคู่เมื่ออายุได้ 2 ปี ใช้เวลาตั้งท้อง 28 วัน ตกลูกครอกละ 1-2 ตัว ในวัยละอ่อนจะกินนมแม่ เริ่มจะออกซุกซนอยากเผชิญสู่โลกกว้างเพียงลำพัง เมื่อฟันคู่หน้าเริ่มงอก
ปัจจุบัน สถานะของพญากระรอกดำในธรรมชาติ สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) จัดให้อยู่ในสถานะใกล้ สูญพันธุ์ (Endangered) แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่เวลานี้สามารถนำมาเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว และ...หากดูแลอย่างดีพวกมันจะมีอายุยืนยาวถึง 10 ปี.
อ้างอิง
1 http://www.infoforthai.com/forum/topic/3860
2 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%81
3 http://en.wikipedia.org/wiki/Anathana
4 http://en.wikipedia.org/wiki/Tupaiidae
5 http://student.nu.ac.th/aomtato/web/Index.html
6 http://www.ma-tang.com/bbs/
7 http://www.thairath.co.th/content/edu/29950
8 http://www.verdantplanet.org/animalfiles/treeshrew_%28Scandentia%29.php
9 http://forums.212cafe.com/jungle/board-1/topic-42-1.html
10 http://chm-thai.onep.go.th/chm/Dry/bdd_animal09.html
ความคิดเห็น