ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เซียนเท้าเปล่า-3
โดยตอนเดินลมปราณนั้นศิษย์3คนจะมีวิธีการเดินลมปราณที่แตกต่างกัน จุ้ยไต้ ฉายาตัวปลา จะนอนเอาหลังแนบพื้น จุ้ยเช็ง ฉายาหางปลา จะเดินเป็นวงกลม แบบภิกษุที่ทำสมาธิ จุ้ยง้ำฉายาหัวปลาที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่จะนั่งขัดสมาธิบางทีก็เอาขาพาดคอเดินลมปราณตามแบบฤาษีดัดตน
ต้นตอของวิชาฝีมือของเซียนเท้าเปล่าคืออิทธิฤทธิ์ทะลักหลั่ง แต่วิชานี้เป็นวิชาชั้นสูงหากควบคุมได้ไม่ดี จะประดุจกับร่างกายเป็นชามใส่น้ำที่มีรูรั่ว ต่อให้มีน้ำหรือลมปราณสมบูรณ์แค่ไหน หากใช้วิชาไม่เชี่ยวชาญลมปราณก็จะเหือดแห้งด้วยความรวดเร็ว
จะมีผลทำให้ลมปราณสิ้นสูญพลังอ่อนด้อยกว่าคนที่ไม่มีวิทยายุทธเสียอีก
แต่หากฝึกปรือสำเร็จก็ไม่จำต้องพะวักพะวงกับการรั้งพลังหรือปลดปล่อยพลังปราณอีกต่อไป สามารถถ่ายทอดพลังสู่พื้นดินจู่โจมคนที่อยู่ห่างไกลจากตนเองนับสิบวา ผู้อาวุโสในอดีตที่ฝึกวิชานี้บางท่านใช้เป็นอุบายในการกำจัดคนของฝ่ายธรรมะโดยการซัดคนให้บาดเจ็บไม่ถึงตาย ให้พรรคพวกพากลับไปรักษาแต่พอถ่ายทอดพลังเข้าช่วยเหลือ พลังที่แฝงไว้ในร่างกายก็จะพลุ่งพล่านทันที ชักนำให้คนที่ช่วยเหลือตกตายไปพร้อมกัน หมายช่วยเหลือคนแต่ผลกลับกลายเป็นซ้ำเติม แต่วิชานี้ประหลาดนัก คนที่ถ่ายทอดพลังช่วยเหลือตาย หรือหากเป็นผู้มีพลังวัตรสูงก็อาจบาดเจ็บ แต่คนที่โดนอิทธิฤทธิ์ทะลักหลั่งไปแล้วร่างกายครึ่งซีกร่างจะเป็นอัมพาตหลังจากที่พลังที่แฝงไว้แสดงผล เป็นก็ไม่เป็นตายก็ไม่ตาย และความหวาดระแวงว่าจะมีการแฝงพลังลอบทำร้ายจึงมักไม่ใครเข้าไปถ่ายเทลมปราณช่วยเหลือผู้ที่ถูกลมปราณทะลักหลั่งอีก
ชาวยุทธทั่วไปจึงหวาดกลัววิชานี้มาก แต่เซียนเท้าเปล่าได้วิชานี้มาเช่นไรยังไม่ขอกล่าวถึง แต่ลูกศิษย์ทั้งสามคนฝึกพื้นฐานของลมปราณชนิดนี้ ขั้นเริ่มต้นจะไม่ต่างกับการใช้ลมปราณทั่วไปในเรื่องการเดินพลัง แต่ขั้นต่อไป ต้องรู้จักที่จะควบคุมพลังปราณของตนเองอย่างถ่องแท้ ดังนั้นศิษย์ทั้งสามคนจึงมีวิธีเดินพลังแตกต่างกัน โดยเซียนเท้าเปล่ากำชับลูกศิษย์ว่า หากฝึกยุทธไม่สูงพออย่างแสดงวิชานี้โดยพละการให้ตบตาชาวยุทธทั่วไปว่า เป็นวิชาสี่ตำลึงปาดพันชั่ง หรือวิชาที่หยิบยืมแรงกระแทกทำร้ายคู่ต่อสู้ทั่วไป เนื่องจากวิชานี้หากใช้ไปจะมีการไหลของกระแสปราณที่เร็วกว่าปกติแม้มีพลังวัตรด้อยกว่าก็สามารถกระแทกผู้มีพลังวัตรสูงกว่ากระเด็นได้ เปรียบกับสายน้ำสองสายปะทะกันสายหนึ่งรวดเร็วรุนแรงกว่า ก็ย่อมกระแทกอีกสายเบนเบือนไป แต่กำลังที่ใช้ย่อมเกิดจากการสั่งสม หากใช้มากไป กำลังภายในจะสิ้นสูญเร็วกว่า ชาวยุทธปกติ การสั่งสมพลังนั้นไม่มีทางลัด จริงอยู่ย่อมมี วิชาบางวิชาดึงดูดพลังยุทธของคู่ต่อสู้หรือ ยาและสิ่งของวิเศษที่เพิ่มพูนลมปราณได้หลายสิบปี แต่สิ่งเหล่านั้นได้มาก็เหมือนกับคนยากจนที่ได้ลาภลอย ไม่รู้จักอย่างท่องแท้ว่าทรัพย์นั้นได้มาลำบากเพียงไร การใช้จ่ายก็ใช้อย่างไม่รู้ค่า ซึ่งตรงนี้จุ้ยเช็งที่มีนิสัยชอบทางลัดกล่าวว่า แต่นั่นก็ทำให้คนเราสร้างเนื้อสร้างตัวเร็วกว่าเดิมมิใช่หรือ คนที่ได้ลาภลอยมาก็ยังสร้างเนื้อสร้างตัวได้เร็วกว่าคนหาเช้ากินค่ำ และวรยุทธ หากต่อสู้หักหาญมันไม่มีโอกาสแก้ตัวว่าเพราะฝ่ายตรงข้ามฝึกมานานกว่า แต่ผู้พ่ายแพ้ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยความตายของตน
เซียนเท้าเปล่าได้ฟังก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า เจ้าช่างเหมือนอาจารย์ยามหนุ่มจริงๆ เจ้ามีพรสวรรค์และความอัจฉริยะที่สุดและสนใจใฝ่รู้ที่สุดเรื่องนี้แม้แต่ศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าก็ยอมรับ แต่ศิษย์ข้าเอ๋ย อย่างที่บอกเจ้ากล่าว ผู้พ่ายแพ้ต้องตอบแทนดวยความตาย การฝึกยุทธก็เช่นกัน หากผิดพลาดธาตุไฟแตก สมาธิไม่นิ่ง ลมปราณโคจรผิดแนวทางผลลัพธ์สำหรับเราชาวยุทธไหนเลยไม่เลวร้ายกว่าความตาย หาหนทางที่เก่งด้วยความรวดเร็วเป็นเรื่องดีศิษย์ข้า แต่อาจารย์ขอเตือนเจ้าไว้หนึ่งเรื่อง หากฝืนฝึกปรือไมใด้ก็อย่าฝ่าฝืน นี่เป็นผลจากนิสัยของเจ้าเอง เพราะเจ้าเรียนรู้เร็วกว่าคนทั่วไป อะไรที่คนทั่วไปใช้เวลานานเจ้าใช้เวลาชั่วพริบตา แต่เพราะเหตุนี้ทำให้เจ้าไม่รู้จักอุปสรรคหรือความติดขัด เวลาเผชิญปัญหา จะทำให้ เจ้าฝืนฝ่าไปโดยไม่คิดถึงขีดจำกัดของตนเองซึ่งเป็นทั้งข้อดีข้อเสียของเจ้าและเป็นข้อเสียของอาจารย์ด้วย
คนธรรมดาไม่มีความทรงจำอันล้ำเลิศเช่นเจ้า เซียนเท้าเปล่ากล่าวเช่นนี้แต่จุ้ยเช็งกลับบอกว่า ท่านอาจารย์นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจเหตุไฉน คนเราอ่านหนึ่งรอบกลับจำไม่ได้ทั้งที่ความจริงอ่านแค่รอบเดียวก็ควรจะจำได้หมดแล้วแท้ๆ
จุ้ยเช็งยังเด็กเกินไปในตอนนั้น ที่รู้ว่าพรสวรรค์ที่เขามีอยู่เหนือกว่าคนทั่วไป ความทรงจำของผู้คนที่อ่านผ่านตาไม่ลืมเลือนผ่านหูสามารถจดจำนั้น หากเทียบกับจุ้ยเช็งแล้วความสามารถเหล่านั้นกลับไม่สามารถเทียบได้
มีอยู่คราหนึ่งจุ้ยเช็งแอบฟังศิษย์พรรคกระยาจกสอนเพลงไม้ตีสุนัขกัน จุ้ยเช็งเกิดนิสัยคึกคะนองของทารกได้เอาสายทองแดงและกระบอกทองเหลืองลอบพันตรงต้นไม้ที่เห็นฝึกสอนกันอยู่ โดยผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ฝึกฝีมือของพรรคกระยาจก สังเกตเห็นจุ้ยเช็งมาด้อมมองอยู่จึงไล่ไปจุ้ยเช็งไม่ยอมแพ้จะแอบฟังให้จนได้ จึงลอบสังเกตสถานที่ไว้และหาสายทองเหลืองมาวางไว้ตอนกลางคืน วันถัดมาจึงสามารถแอบฟังได้สำเร็จในภายหลัง เซียนเท้าเปล่าสอนจุ้ยเช็งว่า การฝึกยุทธมีข้อถือสาว่าห้ามแอบรับฟัง ตอนนี้เจ้ายังเด็กอาจไม่มีคนถือสา แต่หากอายุมากขึ้นแล้ว เขาอาจจะทำลายวรยุทธของเจ้าซะก็ได้
เรียนถามท่านอาจารย์ วรยุทธทั่วแผ่นดินนั้น เป็นของชาวยุทธทุกท่าน ที่สั่งสมกันมาก็จริง แต่เรื่องของการฝึกปรือนั้น เป็นของตัวผู้ที่ฝึกเอง หากทำลายวรยุทธ ไยไม่สมเหตุสมผลแล้ว หากจะทวงถามฝีมือกลับคืนจริงเหตุไฉนไม่ใช้วิธีทำลายความทรงจำที่ได้วรยุทธไป
.....จุ้ยเช็งมีนิสัย ช่างสงสัยช่างซักถามหากมีเรื่องสงสัยเขาจะถามทันที ดังนั้นแม้เขาจะเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น เขาก็จะลองวิธีการฝึกในรูปแบบใหม่อยู่เสมอ ทำให้วรยุทธด้อยกว่าศิษย์พี่ทั้งสองคน เพราะยังไม่มีใจจดจ่อแน่วแน่ในวิชาที่ฝึกปรือนั่นเอง ซึ่งนี่ก็เป็นลักษณะของจุ้ยเช็งที่ทำให้พี่ใหญ่เช่นจุ้ยง้ำทั้งเอ็นดูและอดขุ่นเคืองอยู่บ้างไม่ได้ หากคิดว่า เจ้าตัวเล็กผู้นี้หากขยันฝึกปรือตามแนวทางของคนทั่วไป หรือขยันฝึกยุทธได้สักครึ่งหนึ่งของคนธรรมดา ก็คงจะเก่งเกินกว่าเขาไปแล้ว จุ้ยง้ำคิดดังนั้นจึงเหมือนกับอาจารย์คนที่สองของจุ้ยเช็งที่พยายามฝึกสอนให้ศิษย์ผู้น้องของเขาเก่งกาจเหนือเขาไปให้ได้ แม้ยามเคี่ยวเข็ญจุ้ยเช็งจะโวยวายว่า ทำไมไม่ไปฝึกจุ้ยไต้แบบเดียวกับที่ฝึกกับเขา จุ้ยง้ำกล่าวว่า เพราะจุ้ยไต้พยายามเป็นสามเท่าของคนทั่วไปอยู่แล้ว
จุ้ยง้ำจึงเปรียบได้กับอาจารย์อีกคนของจุ้ยเช็ง ที่เซียนเท้าเปล่ามักดูศิษย์จากที่ไกลๆ แต่จุ้ยง้ำจะพยายามเคี่ยวเข็ญจุ้ยเช็งให้ขยันฝึกวิชามากกว่าเดิม
จุ้ยเช็งนั้นจึงทั้งเคารพและเกรงกลัวในพี่ใหญ่ผู้นี้มาก กับอาจารย์บางครั้งจุ้ยเช็งยังไม่ค่อยเชื่อฟัง แต่กับพี่ใหญ่บางอย่างเขายังไม่กล้าทำเกินเลยไป
แต่กระนั้นจุ้ยเช็งก็มักแหย่ศิษย์พี่ใหญ่อยู่เสมอๆ
ต้นตอของวิชาฝีมือของเซียนเท้าเปล่าคืออิทธิฤทธิ์ทะลักหลั่ง แต่วิชานี้เป็นวิชาชั้นสูงหากควบคุมได้ไม่ดี จะประดุจกับร่างกายเป็นชามใส่น้ำที่มีรูรั่ว ต่อให้มีน้ำหรือลมปราณสมบูรณ์แค่ไหน หากใช้วิชาไม่เชี่ยวชาญลมปราณก็จะเหือดแห้งด้วยความรวดเร็ว
จะมีผลทำให้ลมปราณสิ้นสูญพลังอ่อนด้อยกว่าคนที่ไม่มีวิทยายุทธเสียอีก
แต่หากฝึกปรือสำเร็จก็ไม่จำต้องพะวักพะวงกับการรั้งพลังหรือปลดปล่อยพลังปราณอีกต่อไป สามารถถ่ายทอดพลังสู่พื้นดินจู่โจมคนที่อยู่ห่างไกลจากตนเองนับสิบวา ผู้อาวุโสในอดีตที่ฝึกวิชานี้บางท่านใช้เป็นอุบายในการกำจัดคนของฝ่ายธรรมะโดยการซัดคนให้บาดเจ็บไม่ถึงตาย ให้พรรคพวกพากลับไปรักษาแต่พอถ่ายทอดพลังเข้าช่วยเหลือ พลังที่แฝงไว้ในร่างกายก็จะพลุ่งพล่านทันที ชักนำให้คนที่ช่วยเหลือตกตายไปพร้อมกัน หมายช่วยเหลือคนแต่ผลกลับกลายเป็นซ้ำเติม แต่วิชานี้ประหลาดนัก คนที่ถ่ายทอดพลังช่วยเหลือตาย หรือหากเป็นผู้มีพลังวัตรสูงก็อาจบาดเจ็บ แต่คนที่โดนอิทธิฤทธิ์ทะลักหลั่งไปแล้วร่างกายครึ่งซีกร่างจะเป็นอัมพาตหลังจากที่พลังที่แฝงไว้แสดงผล เป็นก็ไม่เป็นตายก็ไม่ตาย และความหวาดระแวงว่าจะมีการแฝงพลังลอบทำร้ายจึงมักไม่ใครเข้าไปถ่ายเทลมปราณช่วยเหลือผู้ที่ถูกลมปราณทะลักหลั่งอีก
ชาวยุทธทั่วไปจึงหวาดกลัววิชานี้มาก แต่เซียนเท้าเปล่าได้วิชานี้มาเช่นไรยังไม่ขอกล่าวถึง แต่ลูกศิษย์ทั้งสามคนฝึกพื้นฐานของลมปราณชนิดนี้ ขั้นเริ่มต้นจะไม่ต่างกับการใช้ลมปราณทั่วไปในเรื่องการเดินพลัง แต่ขั้นต่อไป ต้องรู้จักที่จะควบคุมพลังปราณของตนเองอย่างถ่องแท้ ดังนั้นศิษย์ทั้งสามคนจึงมีวิธีเดินพลังแตกต่างกัน โดยเซียนเท้าเปล่ากำชับลูกศิษย์ว่า หากฝึกยุทธไม่สูงพออย่างแสดงวิชานี้โดยพละการให้ตบตาชาวยุทธทั่วไปว่า เป็นวิชาสี่ตำลึงปาดพันชั่ง หรือวิชาที่หยิบยืมแรงกระแทกทำร้ายคู่ต่อสู้ทั่วไป เนื่องจากวิชานี้หากใช้ไปจะมีการไหลของกระแสปราณที่เร็วกว่าปกติแม้มีพลังวัตรด้อยกว่าก็สามารถกระแทกผู้มีพลังวัตรสูงกว่ากระเด็นได้ เปรียบกับสายน้ำสองสายปะทะกันสายหนึ่งรวดเร็วรุนแรงกว่า ก็ย่อมกระแทกอีกสายเบนเบือนไป แต่กำลังที่ใช้ย่อมเกิดจากการสั่งสม หากใช้มากไป กำลังภายในจะสิ้นสูญเร็วกว่า ชาวยุทธปกติ การสั่งสมพลังนั้นไม่มีทางลัด จริงอยู่ย่อมมี วิชาบางวิชาดึงดูดพลังยุทธของคู่ต่อสู้หรือ ยาและสิ่งของวิเศษที่เพิ่มพูนลมปราณได้หลายสิบปี แต่สิ่งเหล่านั้นได้มาก็เหมือนกับคนยากจนที่ได้ลาภลอย ไม่รู้จักอย่างท่องแท้ว่าทรัพย์นั้นได้มาลำบากเพียงไร การใช้จ่ายก็ใช้อย่างไม่รู้ค่า ซึ่งตรงนี้จุ้ยเช็งที่มีนิสัยชอบทางลัดกล่าวว่า แต่นั่นก็ทำให้คนเราสร้างเนื้อสร้างตัวเร็วกว่าเดิมมิใช่หรือ คนที่ได้ลาภลอยมาก็ยังสร้างเนื้อสร้างตัวได้เร็วกว่าคนหาเช้ากินค่ำ และวรยุทธ หากต่อสู้หักหาญมันไม่มีโอกาสแก้ตัวว่าเพราะฝ่ายตรงข้ามฝึกมานานกว่า แต่ผู้พ่ายแพ้ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยความตายของตน
เซียนเท้าเปล่าได้ฟังก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า เจ้าช่างเหมือนอาจารย์ยามหนุ่มจริงๆ เจ้ามีพรสวรรค์และความอัจฉริยะที่สุดและสนใจใฝ่รู้ที่สุดเรื่องนี้แม้แต่ศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าก็ยอมรับ แต่ศิษย์ข้าเอ๋ย อย่างที่บอกเจ้ากล่าว ผู้พ่ายแพ้ต้องตอบแทนดวยความตาย การฝึกยุทธก็เช่นกัน หากผิดพลาดธาตุไฟแตก สมาธิไม่นิ่ง ลมปราณโคจรผิดแนวทางผลลัพธ์สำหรับเราชาวยุทธไหนเลยไม่เลวร้ายกว่าความตาย หาหนทางที่เก่งด้วยความรวดเร็วเป็นเรื่องดีศิษย์ข้า แต่อาจารย์ขอเตือนเจ้าไว้หนึ่งเรื่อง หากฝืนฝึกปรือไมใด้ก็อย่าฝ่าฝืน นี่เป็นผลจากนิสัยของเจ้าเอง เพราะเจ้าเรียนรู้เร็วกว่าคนทั่วไป อะไรที่คนทั่วไปใช้เวลานานเจ้าใช้เวลาชั่วพริบตา แต่เพราะเหตุนี้ทำให้เจ้าไม่รู้จักอุปสรรคหรือความติดขัด เวลาเผชิญปัญหา จะทำให้ เจ้าฝืนฝ่าไปโดยไม่คิดถึงขีดจำกัดของตนเองซึ่งเป็นทั้งข้อดีข้อเสียของเจ้าและเป็นข้อเสียของอาจารย์ด้วย
คนธรรมดาไม่มีความทรงจำอันล้ำเลิศเช่นเจ้า เซียนเท้าเปล่ากล่าวเช่นนี้แต่จุ้ยเช็งกลับบอกว่า ท่านอาจารย์นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจเหตุไฉน คนเราอ่านหนึ่งรอบกลับจำไม่ได้ทั้งที่ความจริงอ่านแค่รอบเดียวก็ควรจะจำได้หมดแล้วแท้ๆ
จุ้ยเช็งยังเด็กเกินไปในตอนนั้น ที่รู้ว่าพรสวรรค์ที่เขามีอยู่เหนือกว่าคนทั่วไป ความทรงจำของผู้คนที่อ่านผ่านตาไม่ลืมเลือนผ่านหูสามารถจดจำนั้น หากเทียบกับจุ้ยเช็งแล้วความสามารถเหล่านั้นกลับไม่สามารถเทียบได้
มีอยู่คราหนึ่งจุ้ยเช็งแอบฟังศิษย์พรรคกระยาจกสอนเพลงไม้ตีสุนัขกัน จุ้ยเช็งเกิดนิสัยคึกคะนองของทารกได้เอาสายทองแดงและกระบอกทองเหลืองลอบพันตรงต้นไม้ที่เห็นฝึกสอนกันอยู่ โดยผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ฝึกฝีมือของพรรคกระยาจก สังเกตเห็นจุ้ยเช็งมาด้อมมองอยู่จึงไล่ไปจุ้ยเช็งไม่ยอมแพ้จะแอบฟังให้จนได้ จึงลอบสังเกตสถานที่ไว้และหาสายทองเหลืองมาวางไว้ตอนกลางคืน วันถัดมาจึงสามารถแอบฟังได้สำเร็จในภายหลัง เซียนเท้าเปล่าสอนจุ้ยเช็งว่า การฝึกยุทธมีข้อถือสาว่าห้ามแอบรับฟัง ตอนนี้เจ้ายังเด็กอาจไม่มีคนถือสา แต่หากอายุมากขึ้นแล้ว เขาอาจจะทำลายวรยุทธของเจ้าซะก็ได้
เรียนถามท่านอาจารย์ วรยุทธทั่วแผ่นดินนั้น เป็นของชาวยุทธทุกท่าน ที่สั่งสมกันมาก็จริง แต่เรื่องของการฝึกปรือนั้น เป็นของตัวผู้ที่ฝึกเอง หากทำลายวรยุทธ ไยไม่สมเหตุสมผลแล้ว หากจะทวงถามฝีมือกลับคืนจริงเหตุไฉนไม่ใช้วิธีทำลายความทรงจำที่ได้วรยุทธไป
.....จุ้ยเช็งมีนิสัย ช่างสงสัยช่างซักถามหากมีเรื่องสงสัยเขาจะถามทันที ดังนั้นแม้เขาจะเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น เขาก็จะลองวิธีการฝึกในรูปแบบใหม่อยู่เสมอ ทำให้วรยุทธด้อยกว่าศิษย์พี่ทั้งสองคน เพราะยังไม่มีใจจดจ่อแน่วแน่ในวิชาที่ฝึกปรือนั่นเอง ซึ่งนี่ก็เป็นลักษณะของจุ้ยเช็งที่ทำให้พี่ใหญ่เช่นจุ้ยง้ำทั้งเอ็นดูและอดขุ่นเคืองอยู่บ้างไม่ได้ หากคิดว่า เจ้าตัวเล็กผู้นี้หากขยันฝึกปรือตามแนวทางของคนทั่วไป หรือขยันฝึกยุทธได้สักครึ่งหนึ่งของคนธรรมดา ก็คงจะเก่งเกินกว่าเขาไปแล้ว จุ้ยง้ำคิดดังนั้นจึงเหมือนกับอาจารย์คนที่สองของจุ้ยเช็งที่พยายามฝึกสอนให้ศิษย์ผู้น้องของเขาเก่งกาจเหนือเขาไปให้ได้ แม้ยามเคี่ยวเข็ญจุ้ยเช็งจะโวยวายว่า ทำไมไม่ไปฝึกจุ้ยไต้แบบเดียวกับที่ฝึกกับเขา จุ้ยง้ำกล่าวว่า เพราะจุ้ยไต้พยายามเป็นสามเท่าของคนทั่วไปอยู่แล้ว
จุ้ยง้ำจึงเปรียบได้กับอาจารย์อีกคนของจุ้ยเช็ง ที่เซียนเท้าเปล่ามักดูศิษย์จากที่ไกลๆ แต่จุ้ยง้ำจะพยายามเคี่ยวเข็ญจุ้ยเช็งให้ขยันฝึกวิชามากกว่าเดิม
จุ้ยเช็งนั้นจึงทั้งเคารพและเกรงกลัวในพี่ใหญ่ผู้นี้มาก กับอาจารย์บางครั้งจุ้ยเช็งยังไม่ค่อยเชื่อฟัง แต่กับพี่ใหญ่บางอย่างเขายังไม่กล้าทำเกินเลยไป
แต่กระนั้นจุ้ยเช็งก็มักแหย่ศิษย์พี่ใหญ่อยู่เสมอๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น