ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกยุทธจักร

    ลำดับตอนที่ #3 : เซียนเท้าเปล่า-2

    • อัปเดตล่าสุด 9 มิ.ย. 50


      เรื่องราวหลังจากนั้นไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นดังขึ้นสักเท่าใด หากแต่มีน้อยคนนักที่รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้เดียวกับเซียนเท้าเปล่าในเวลาต่อมา เนื่องจากเซียนเท้าเปล่าได้นัดแนะกับนายอำเภอในละแวกนั้นมาจับกุมผู้ที่ยอมจำนน
    นายอำเภอก็ได้บัญชาการอย่างห้าวหาญโดยมีองครักษ์นับ100คนล้อมเป็นชั้นๆ
    และอยู่ห่างจากหุบเขาของ7เสือไปไกลหลายลี้ และได้เตรียมม้าไว้ผลัดเปลี่ยนตามรายทาง
      (แม้นายอำเภอจะขลาดเขลา แต่การที่นายอำเภอจัดองครักษ์เป็นรูปยันต์แปดทิศ และใช้คนปลอมเป็นตัวเองอยู่กึ่งกลางที่นั้นส่วนตนเองปลอมเป็นเด็กเลี้ยงม้าที่จะไปถึงม้าเป็นคนแรกหากเกิดอะไรขึ้น และการเตรียมม้าไว้เปลี่ยนตามรายทางพร้อมกับเตรียม เชือกดักม้าไว้ ก็นับว่านายอำเภอผู้นี้ถนัดในด้านพิชัยสงครามพอสมควร และการที่แม้จะขลาดเขลาต่อ7เสือแต่การที่ฝึกทหารของตนให้ดำเนินการตามแผนของตนได้ก็นับว่าเป็นเจ้านายที่เก่งไม่น้อย



       และนายอำเภอก็นำทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากค่ายโจรนั้นเป็นสินน้ำใจแก่ผู้มีอำนาจในเมืองหลวง(และบางส่วนเก็บไว้กับตนเองและบางส่วนก็เก็บคืนส่งให้ทางการและบางส่วนก็แบ่งคืนให้กับชาวบ้าน และสมาชิกค่ายโจรที่ยอมจำนนคนไหนที่ไม่สมัครใจก็พยายามให้ลงโทษสถานเบา คนไหนเป็นโจรโดยสันดานก็ลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งผู้วรยุทธสูงไม่ยอมให้ลงโทษแน่นอน โดยนายอำเภอเกลี้ยกล่อมให้คนมีวรยุทธสูงเข้าทำงานกับตนเองและปล่อยบางคนที่ไม่สมัครใจไป



      เด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจกับพฤติกรรมของนายอำเภอที่เป็นคนที่ยักยอกทรัพย์สิน แต่นายอำเภอกลับตอบกลับเด็กหนุ่มว่าเจ้าไม่เข้าใจหลักการรับราชการไปแล้ว ขุนนางตงฉินในประวัติศาสตร์ตายไปเพราะไม่รู้จักปรับตนให้เหมาะสมยึดมั่นกับความคิดของตนฝ่ายเดียว เจ้าลองคิดดูหากข้าไม่จ่ายเงินให้แก่เบื้องบน ย่อมมีผู้ริษยาผลงานในครั้งนี้ซึ่งเป็นผลร้ายต่อข้า แล้วเจ้าคิดหรือว่าเงินเดือนของนายอำเภอจะพอกินพอใช้ ข้ายังต้องเป็นที่พึ่งพิงของเหล่าลูกน้องที่อดอยากเนื่องจากการรีดภาษี และเงินที่ได้มาข้าก็เอามาเลี้ยงดูลูกน้องและชาวบ้านที่เร่ร่อนและยากจน ข้ายอมปรับตัวตามสถานการณ์ไม่ต้องการเพาะสร้างศัตรูโดยการทำตนให้โดดเด่นเกินไปและไม่ต้องการยึดหลักธรรมจนหลงลืมสิ่งที่ตนเองควรทำ คนทั่วไปมองว่าขุนนางมีกังฉินกับตงฉิน ข้าว่าคำนั้นเหลวไหล สำหรับข้าแล้วข้าขอใช้ทั้งความดีและความเลวปกครองคน

       เด็กหนุ่มนิ่งเงียบงันไปแล้วกล่าวก่อนที่จะจากไปว่า  "หากมีวันใดที่ท่านปล่อยให้ความเลวครอบงำวันนั้นข้าจะมาหาท่านอีกครั้ง ข้าดีใจที่ท่านยังมีความดีในตัวแต่ข้าไม่อยากเห็นท่านตกพลัดไปในความชั่ว" เสร็จแล้วก็พุ่งกายจากไป

     นายอำเภอพึมพำว่า "ข้าก็หวังเช่นนั้น"


      คนที่ข้านับถือที่สุดคือเซียวเหอต้นราชวงศ์ฮั่น หาใช่งักฮุยที่ยึดแต่คุณธรรมของตน จนลืมคุณธรรมเพื่อราษฎรทั้งแผ่นดิน ข้า เซียวอี้ซัว เป็นนายอำเภอในที่นี้ หน้าที่ของข้าคือบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาราษฎ์ เซียวเหอ ใช้อุบายกว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านในราคาถูก ทำลายชื่อเสียงตนเองจนชาวบ้านสาปแช่ง เพื่อไม่ให้บารมีของตนเหนือกว่าฮั่นเกาจู่ หากคิดเป็นขุนนางตงฉิน ต้องเจ้าเล่ห์พอ ยิ่งขุนนางกังฉินเจ้าอุบายเพียงใดขุนนางตงฉินต้องใช้สติปัญญาตามให้ทัน ทั้งช่วยชาวบ้านได้และตนเองอยู่ในตำแหน่ง

     ภายหลังเซียวเหอยอมคืนที่ดินให้ชาวบ้านโดยใช้ชื่อเล่าปัง เล่าปังได้ชื่อเสียง ชาวบ้านได้เงินจากที่เซียวเหอซื้อไปตอนแรกและได้ที่ดินคืนมาฟรีๆ เซียวเหอบรรเทาความเดือดร้อนจากการที่เล่าปังเกณฑ์คนไปทำสงครามได้ และรอดจากการถูกฆ่าแบบหานซิ่น

      การมีชื่อเสียงดีงามเกินไปหาใช่เรื่องดีไม่ เซียวเหอจึงยินยอมทำลายชื่อเสียงของตนเองในฐานะ ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ช่วยเหลือชาวบ้านไป จึงสามารถรอดจากเงื้อมมือเล่าปังที่ประหารฆ่าขุนพลซึ่งร่วมก่อตั้งราชวงศ์ งักฮุย ก็ประสบอยู่ในฐานะเฉกเช่นกัน หากงักฮุย หาทางทำให้ตนเองไม่เปล่งประกายเหนือโอรสสวรรค์ แผ่นดิน นี้คงไม่สูญเสียคนดีไปอีกคน เซียวเหอฆ่าชื่อเสียงของตน จึงยังมีชีวิตอยู่ 
    ชั่วชีวิตงักฮุย แบกสิ่งที่สลักหลังอยู่ว่า แทนคุณบ้านเมืองอยู่บนหลังแต่มิอาจวางลง จึงต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าหากกล่าวอ้างว่า เพื่อให้ประชาชนปฎิบัติตามกฎหมายไม่กระด้างกระเดื่องต่อโอรสสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นใช้วิธีเฉกเช่นเซียวเหอมิสมบูรณ์พร้อมทุกฝ่ายกว่าหรือ?
     
      การเสียชีวิตเพื่อสนองโอรสสววรรค์ของงักฮุยรังแต่ทำให้คนคลางแคลงต่อโอรสสวรรค์และสงสัยต่อหลักยุติธรรมของฟ้า นั่นย่อมมิใช่ผลที่งักฮุยต้องการ แล้วงักฮุยเหตุไฉนจึงทำเช่นนั้น? ข้าคงมิอาจเข้าใจได้จริง
      เซียวอี้ซัวยืนเอามือไพล่หลัง ถอนหายใจและมองจันทราหลังจากใช้สายตามองส่งเด็กหนุ่มเท้าเปล่านั้นหายลับไปกับจันทรายามราตรี
     
     พลาง เหม่อมองดวงโคมที่ส่องอยู่ในสวนหลังบ้าน แมงเม่าบินเข้าหาโคมไฟ แม้มันจะรู้ว่าไฟจะเผาตัวมันยังคิดบินเข้าหาไฟอยู่อีกกระนั้นหรือ?
      เซียวอี้ซํวดีดนิ้วอย่างไร้เสียง ปราณแหวกอากาศ ไปยังดวงโคมนั้น ไฟในโคมดับลง ใบหน้าของเซียวอี้ซัวก็อยู่ในเงามืด มืดมิดอย่างยิ่ง



       .................................................
    "อาจารย์ยังไม่ถึงอีกหรือ ข้าไม่มีอาหารตกถึงท้องมาครึ่งชั่วยามแล้ว" จุ้ยไต้ เด็กหนุ่มร่างใหญ่แต่ใบหน้ากลมป้อม มีเนื้อ จมูกสีแดงเล็กน้อย ตาสุกใสผู้หนึ่งร้องถามอาจารย์ของเขา ฝ่ามือของเขาหนาและโตตามตัวไหล่บ่ากว้างกว่าคนทั่วไปจนดูสูงใหญ่ อายุ18ปีแล้ว แต่ยังติดนิสัยของทารกในบางอย่าง

     เขากำลังเคี้ยวรากไม้สีเขียว เพื่อช่วยให้ฟันเขาได้เคี้ยวอยู่เสมอ เขามีความอยากกินมากกว่าเด็กทั่วๆไป แต่เขาก็อดอาหารได้นานกว่าคนทั่วไปเช่นกัน เป็นศิษย์ที่นอนสมบุกสมบันและมีความอดทนสูง เขาเป็นผู้มีพลังปราณลึกล้ำที่สุดในศิษย์ทั้งสามคน ข้างเอว ของเขาคาดไว้ด้วยอาวุธที่ใหญ่และกว้างเกินไปที่จะเป็นกระบี่และและสั้นกว่าดาบทั่วไป

      "เจ้าตัวใหญ่เอ๊ย ถ้าเจ้ากินเช่นนี้ต่อไป ถ้าเกิดทางข้างหน้าเกิดกันดารขึ้นมา เราไม่อดอาหารกันแย่หรือ " คนที่แทรกเสียงของจุ้ยไต้ขึ้นมา คือ จุ้ยเช็ง ฉายาหางปลา ฝีมืออ่อนด้อยที่สุดในศิษย์ทั้งสาม แต่แม้แต่จุ้ยง้ำ ฉายาหัวปลาที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ก็ยอมรับในใจว่า จุ้ยเช็งเป็นคนที่มีอัจฉริยะภาพที่สุดในหมู่ พี่น้องทั้งสามคน แต่ มีข้อเสียก็คือความสนใจที่หลากหลายเกินไป ชอบใช้เครื่องทุ่น แรง หาหนทางที่สั้นที่สุดเพื่อบรรลุวิชา วิชาที่จุ้ยง้ำใช้เวลาฝึกปรือทั้งกลางวันและกลางคืนสองสัปดาห์ จุ้ยเช็งใช้เวลาฝึกเพียงสองวัน แต่การฝึกยุทธขั้นสูงต้องอาศัยความขยันฝึกปรือ เนื่องจากเรียนรู้เร็วเกินไปทำให้เขาขาด ความพยายาม ทำให้ไม่สามรถสู้กับศิษย์อีกสองคนได้ แต่นิสัยเช่นนี้ของเขา ทำให้เขาเรียนรู้สิ่งที่เขาสนใจได้หลากหลายกว่า พี่น้องอีกสองคน กล่าวคือ จุ้ยเช็งสนใจพวกกลไกกับดัก คิดประดิษฐ์เครื่องจักรที่ทอผ้าได้เร็วกว่าทอด้วยมือตนเองโดยอาศัยวัวลากให้เครื่องจักรเดิน  หรือกังหันและสายพานที่วิดน้ำเข้าบ้านจากที่ไกลๆ แต่วิชาฝีมือต้องอาศัยความพากเพียรที่แท้จริงไม่มีช่องทางให้ใช้วิธีลัดและใส่ใจทบทวนจึงจะสำเร็จได้ แต่จุ้ยเช็ง ไม่ได้ทุ่มเทพรสวรรค์ให้กับวิชาฝีมือทั้งหมด  เขาจึงมีฝีมืออ่อนด้อยที่สุดทั้งกระบวนท่าหรือพลังปราณ

      ส่วนจุ้ยง้ำศิษย์พี่ใหญ่ต่างออกไปเขาพากเพียรฝึกปรือสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าบุคคลทั่วไป วิชาฝีมือ เขาอ่านผ่านตาไม่กี่ครั้งก็จำได้ ที่ต่างกับจุ้ยเช็งคือ เขาทุ่มเท หาความลึกล้ำในกระบวนท่า ทำให้เขามีเพลงยุทธสูงที่สุดในศิษย์สามคน

     แต่คนที่มีพลังปราณลึกล้ำที่สุดกลับเป็นจุ้ยไต้ฉายาตัวปลาเนื่องจากเขาสติปัญญาด้อยที่สุดในหมู่ ศิษย์พี่น้องกระบวนท่า ศิษย์พี่ศิษย์น้องฝึกด้วยความรวดเร็ว เขากลับตามไม่ทัน ดังนั้นเขาจึงฝึกพื้นฐานอย่างหนักแน่นมีความมานะพยายามมากกว่าคนทั่วไป ฝึกกำงภายนอกหลังจากร่างกายอ่อนล้า ฝึกพลังปราณหลังจากลมปราณแห้งเหือดและท้องว่างเปล่าในตอนเช้า ฝึกสัมผัสรับรู้โดยปิดกั้นดวงตาและหู ฝึกท่ายืน โดย ยืนอยู่กลางน้ำที่ไหลเชี่ยว เดินพลังปราณโดยใช้หลังทาบกับพื้นดิน เขาสติปัญญาจำกัดกว่าพี่น้อง แต่เขาคิดวิธีเดินพลังจากท่านอนได้ โดยนอนหงายกางมือกางเท้าแผ่นหลังทาบกับพื้นดิน หายใจเข้าหน้าท้องยุบ หายขใจออกหน้าท้องนูน เนื่องจาก ฝึกท่าพื้นฐานมากกว่าคนอื่น เขาจึงเข้าใจลักษณะเฉพาะมากกว่า และคิดค้นการใช้ชีวิตไปพร้อมกับการฝึกร่างกาย
    เช่นการเคี้ยวรากไม้เพื่อฝึกฟันกราม ทรายและเกลือถูตัวเพื่อฝึกผิวหนังเป็นต้น โดยอาจารย์ จะมาสอนและตอบข้อสงสัยประจำวัน แต่วิธีฝึกท่านจะแนะนำแต่พื้นฐานให้เท่านั้น ส่วนที่เหลือให้ไปฝึกฝนต่อกันเอง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×