คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องของเซียนเท้าเปล่า-1
ได้มี7เสือกวางไซ กลุ่มโจรที่คอยดักปล้นชิงตามรายทาง สร้างความหวาดหวั่นแก่หมู่พ่อค้าวาณิชย์ ปล้นสดมภ์และเข่นฆ่าไม่ไว้ชีวิชผู้ใด พี่ใหญ่ของ7โจรนี้ เป็นศิษย์สายนอกของตึกฝนดาบตระกูลแพ้ จึงมีเพลงกระบี่สูงเยี่ยมยิ่ง และแอบขโมยฝึกระฆังทองคุ้มกายแห่งเส้าหลิน ถึงด่านที่เจ็ด ระดับที่แม้โจมตีอัณฑะหรือนัยน์ตาก็ไม่เป็นปัญหา เคยมีกระบี่บินฮูเอ๋อ หัวหน้าสาขาฝ่ายนอกของตระกูลแพ้ ตามล่าศิษย์ทรยศผู้นี้ ใช้ท่ากระบี่โบยบิน ซัดสังหารจากระยะ10วา แต่กลับทำอะไรคนผู้นี้ไม่ได้ ไม่มีใครทราบการต่อสู้แน่ชัดว่าเป็นอย่างไร แต่ที่ทุกคนรู้กันดีคือในวันรุ่งขึ้นหลังจากฮูเอ๋อไปท้าประลองศีรษะของเขา และศิษย์ของเขาอีก11คน ได้ถูกนำมากองไว้ที่หน้าสำนัก นับแต่นั้น7เสือก็ได้เหิมเกริมยิ่งขึ้น ปล้นชิงหนักเข้าไปอีก
แต่พอเผชิญกับเด็กที่เพิ่งออกท่องยุทธจักรคนหนึ่ง ที่ครอบครัวถูกเข่นฆ่าล้างตระกูลจึงชิงชังผู้ร้ายที่สุด ได้บุกขึ้นเขาถิ่นของ7เสือเพียงลำพัง พี่ใหญ่ของเจ็ดเสือเห็นว่าเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แทบหัวเราะเยาะ แต่มันก็นับเป็นผู้เยี่ยมยุทธรู้อยู่ว่า
ค่ายโจรของตนเฝ้าด้วยยอดฝีมือวิชาตัวเบาที่มักเชียวชาญการสดับฟัง แต่กลับไม่สามารถฟังวิชาตัวเบาของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ จึงได้เกลี้ยกล่อม ว่าด้วยความสามรถของเจ้า ไยต้องมาเป็นศัตรูกัน ภูเขานี้ใหญ่พอที่จะให้เราและเหล่าพี่น้องแบ่งกันครอบครอง
พี่ใหญ่แห่งเจ็ดเสือกล่าวเช่นนั้นมีวัตถุประสงค์สองประการคือ หนึ่งหากเกลี้ยกล่อมได้จริง ก็นับว่าได้มือดีมาเพิ่ม สองคือถ้าเกลี้ยกล่อมไม่ได้ แต่ก็ทำให้มันทีความคิดต่อสู้ลดทอนลงนับว่า เพิ่มโอกาสได้ชัยอีกหนึ่งส่วน คนอยู่ในยุทธจักรนอกจากมีสิ่งที่เชื่อมั่นได้คือฝีมือที่เข้มแข็งยังต้องอาศัยสติปัญญาที่เฉียบคม
ชายหนุ่มนั้นกลับก้มศีรษะคารวะแล้วยื่นเงื่อนไขให้สลายค่ายโจร ยกเลิกการปล้นชิง มอบตัวต่อทางการ มิเช่นนั้นยากหลีกเลี่ยงการต่อสู้
ชายหนุ่มผู้นั้นไม่สวมใส่รองเท้า แต่ฝ่าเท้าของเขากลับขาวนวลยิ่ง แม้เสื้อจะมีรอยประแต่กลับให้ความรู้สึกที่สะอาดแก่ผู้พบเห็น
พี่ใหญ่แห่งเจ็ดเสือรู้ว่า เด็กผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่หากตนเองฉีกหน้าลงมือก่อนออกจะเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ยังมีนี่เป็นค่ายโจรที่ตนเป็นพี่ใหญ่ก็จริงแต่หากรับบาดเจ็บ ไยไม่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คิดคดหยิบฉวย ตนเองจึงไม่ยอมเป็นคนโฉดเขลาเช่นนั้น
จึงสั่งให้ลุกน้องออกไปต่อสู้ แต่ชายหนุ่มนั้นกลับมีไหวพริบดีชิงกล่าวว่าถ้าเช่นนั้น ชิงความเป็นหัวหน้าค่ายโจรแห่งนี้กันเถิด แม้ว่าสัจจะต่างจะไม่ใคร่จะรักษากัน แต่การไม่รักษาสัจจะนั้นกลับมีราคาค่างวดของมัน
คำกล่าวของเด็กหนุ่มนั้น ตีได้ตรงจุดยิ่งเนื่องจากค่ายโจรตัดสินกันด้วยวรยุทธที่ตนมาเป็นหัวหน้าได้เนื่องจากใช้กำลังที่เหนือกว่าให้ลูกน้องปฏิบัติตาม ตามกฏของค่ายหากมีกรณีพิพาทให้ตัดสินกันด้วยวรยุทธยามท้าประลองหากมีคนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจะไม่ผุกใจอาฆาต กฏเช่นนี้ตราไว้เพื่อความเป็นระเบียบขององค์การ โดยการประลองนั้นต้องทำอย่างเปิดเผยต่อหน้าพี่น้องในค่ายทุกคน ส่วนจะใช้อาวุธชนิดใดหรือแม้แต่ยาพิษก็ตามไม่ถือเป็นสิ่งต้องห้าม
การฆ่าคนในยุทธจักรไม่ว่าเป็น หอก ดาบ ฝ่ามือ หรือยาพิษไยมิใช่เป็นเฉกเช่นเดียวกัน
พี่ใหญ่ได้รำเพลงดาบ คารวะสุราแห่งตระกูลแพ้กระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าพื้นฐานที่ใช้หยั่งตื้นลึกหนาบางของศัตรู อาจมีบางคนโฉดเขลาจนคิดว่าเป็นท่าตามมารยาท ผายลม ดาบเดียวก็ บั่นคอคนได้นับเป็นการคารวะอันใด ถ้าเจ้าหนุ่มนี่คิดว่าเป็นการคารวะละก็ ภายในสามกระบวนอย่างน้อย ใช้ลมปราณคุ้มครองกายช่วยต้องตัดแขนมันได้หนึ่งข้าง
ตรามธรรมเนียมยุทธภพจะแสดงท่าคารวะก่อนในการประลองและให้อีกฝ่ายแสดงท่าคารวะ พี่ใหญ่แห่ง7เสือคิดจะล่อให้เด็กหนุ่มแสดงท่าคารวะตอบเพื่อช่วงชิงเป็นฝ่ายรุก ยอดฝีมือชิงชัย ถูกชิงโอกาสรุกไป ก็นับว่าย่ำแย่นัก
เพลงดาบฟันขวาง แฝงกระบวนท่าที่จะวกลับมาฟันจากล่างขึ้นบน ปกติท่าที่ฟันจากด้านล่างหรือผ่าอัณฑะแม้แต่ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมก็ไม่นิยมใช้กันเพราะจะเสื่อมเสียเกียรติภูมิ
พี่ใหญ่คำนวณว่าเก็กน้อยนี้ต้องถอยหลบไปด้านหลังหรือต้องแสดงฝีมือประจำตัวออกมา มิคาดว่าเพลงดาบกลับถูกตัวของเด็กหนุ่มทำให้กระบวนท่าตามหลังไม่อาจใช้ออก
เกิดความรู้สึกเหมือนกับฟันปุยนุ่น พี่ใหญ่จำได้ว่าท่านปรมาจารย์แห่งตระกูลแพ้ เคยแสดงดาบผ่าเหล็กกล้าที่อยู่ชั้นบนของเต้าหู้โดยเหล็กกล้าขาด แต่เต้าหู้ไม่ขาด ตั้งแต่นั้นตนก็ฝึกการควบคุมพลังอย่างดี เห็นตนโผงผางฟาดดาบราวกับไม่รั้งรอไว้แท้จริงสามารถหยุดได้ทุกเมือ่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ คุมแรงดาบที่อยู่ในมือมิได้นับเป็นยอดนักดาบอันใด
"ท่านฝึกฟันเหล็กกล้าได้แต่ยังฝึกไม่ถึงขั้นฟันเส้นผม" เด็กน้อยนั้นกลับยิ้มดูถูกร่างกายของเด็กน้อยราวกับดูดติดดาบดาบเหมือนฟัถูกแต่กลับไม่ถูก ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ตนอัดอั้นใจยิ่งแม้จะฝึกควบคุมพลังรั้งวพลังได้แต่ตนไม่เคยรู้สึกเหมือนถูกหยามเช่นน้มาก่อน
"เพ้ย เจ้าเด็กโอหังหากกล้าก็มาสู้กันตัวต่อตัว" แสดงท่าทีเหมือนโกรธ แต่คำพูดแฝงพลังราชสีห์คำราม เสียงเพ้ยกลับดังยาวนานกว่าคำว่าตัวกลับจบก่อนนับเป็นการรบกวนสมาธิได้อย่างหนึ่ง
เด็กหนุ่มกลับตบมือด้วยจังหวะช้าเร็วไม่เท่ากัน พี่ใหญ่กลับถูกเสียงปรับมือควบคุมจิตใจไว้ แต่อาศัยสำนึกสังหารในดาบ เรียกจิตใจฮึดสู้ขึ้น
พี่ใหญ่กลับกลิ้งตัวกับพื้นใช้เพลงดาบเลียดดินยอดวิชาออกมา แม้จะเสื่อมเสียหน้าแต่นี่ก็นับว่าเป็นไม้ตายที่แท้
ดาบจะวกไปทางดินรวบรวมกำลังมากที่สุด และถ้าคู่ต่อสู่หลบหนีก็มีท่าตามหลัง หากคู่ค่อสู้ถอยออกไปก็นับว่าบรรลุผลของท่านี้แล้ว
เด้กน้อยนั้นชักกระบี่ไม้ข้างเอาออกมาจี้เข้าที่กลางหลัง จู่โจมภายหลังกลับถึงก่อน
ในที่สุดก้หลงกลแล้ว ระฆังทองของข้าฝึกถึงด่านที่เจ็ดหากในมือเจ้าเป็นกระบี่วิเศษก็ว่าไปอย่างแต่กระบี่ไม้นี้ไม่สามรถเจาะพลังคุ้มกายของข้าได้หรอก
แต่พอกระบี่ไม้สัมผัสที่หลังพี่ใหญ่ก็ได้เกิดความตระหนกขึ้น
อะไรกันไม่รู้สึกอะไรเลย คนธรรมดายังทำได้เจ็บกว่านี้
กระบี่ที่จี้มาที่หลังไม่ทำให้รู้สึกอะไรกลับสร้างความตื่นตัวให้พี่ใหญ๋ถอนกระบวนท่ากลับมาวกดาบปกป้องตนเองไว้ และใช้ลมปราณสำรวจร่างกายตนเอง
"อิทธิฤทธิ์ทะลักหลั่ง เจ้ามีความสัมพันธ์อันใด กับพรรคมหาฤทธา" นั่นเป็นหลักวิชาชั่วร้ายแขนงหนึ่งที่ฝังปราณไว้ในตัวคู่ต่อสู้ ขณะที่คู่ต่อสู้ยังไม่รู้ตัว และพอปะทะกันอีกครั้งอย่างหักโหมจะกระตุ้นปราณในร่างให้แสดงผล ยอดฝีมือปะทะกัน การเดินลมปราณติดขัดแม้เพียงพริบตาเดียวก็ถึงชีวิตได้
ส่วนใหญ่จะใฃ้ในการควบคุมสมาชิกในพรรคไม่ให้กระด้างกระเดื่อง ภายใต้เปลือกนอกของการทะลวงจุดชีพจรที่ช่วยเพิ่มพูนพลังฝีมือ เมื่อจ่ายออกไปก็มั่นใจว่าต้องได้กลับคืนไม่มีผู้ใดที่คิดทำการค้าที่ขาดทุน
ระฆังทองขั้นที่เจ็ด ฝึกปรือจนร่างกายเหลือ แค่จุดชีพจรเดียวที่เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แต่กระบี่ไม้ที่จี้มาให้ความรู้สึกว่าที่จี้มาเป็นจุดอ่อนของระฆังทอง
พี่ใหญ่ขบกรามกรอดตัดสินใจใฃ้3กระบวนที่จู่โจมสัมพันธ์ออกมา ปรมาจารย์เคยห้ามไว้ว่าหากฝึกระฆังทองไม่ถึงด่านที่เก้าอย่าใช้ท่านี้ออกมาแต่ว่า หากแพ้ต่อหน้าลูกน้องในค่ายต่อให้เด็กน้อยนี่ไว้ชีวิตก็ไม่มีทางควบคุมลูกน้องในค่ายได้อีกแล้ว
ปักดาบ ทิ้งดาบ หัตถ์ดาบ สามกระบวนท่าจู่โจมสัมพันธ์ เฉกเช่นผู้กล้าฟันแขนมือกระบี่ทิ้งกระบี่ คิดดิ้นรนจากจุดอับเพื่อหวังรอดชีวิต
พี่ใหญ่ปักดาบลงพื้นทำลายสภาวะที่เด็กหนุ่มสร้างขึ้นและชักนำพลังของอิทธิฤทธิทะลักหลั่งลงสู้พื้นดิน และทิ้งดาบลงกับพื้นใช้สภาวะดาบที่สั่งสมมากระแทกทำร้ายเด็กหนุ่ม
รัศมีดาบนั่นไร้สภาพแต่ก็มีอำนาจทำลายล้างจน ลูกน้องที่ชมดูอยู่ด้านข้างก็รู้สึกได้
เด็กหนุ่มกวาดแขนเสือ้อย่างแผ่วพริ้วคราหนึ่ง ทำลายสภาวะดาบที่พี่ใหญ่เปล่งออกมาไป
กระบวนท่ายังไม่ถึงที่สุดพี่ใหญ่หันหลังเปิดช่องโหว่เต็มไปหมด จุดบริเวณหลังสำคัญยิ่งการเปิดช่องโหว่ขนาดนี้ ต้องคิดว่าเป็นกระบวนท่าล่อให้โจมตีแน่นอน
พี่ใหญ่เห็นเด็กหนุ่มไม่หลงกลเข้ามาโจมตีก็ลอบยิ้มเยาะในใจ ฉวยโอกาสที่ไม่โจมตีนั้นสร้างสภาวะจู่โจมที่แข็งแกร่งขึ้นแม้เพียงเป็นเวลาชั่ววูบจากท่าทิ้งดาบ ปักดาบถึงหัตถ์ดาบ แต่พี่ใหญ่ก็ยอดเยี่ยมยิ่งใช่สภาพการณ์นั้นสร้างโอกาสให้ตนแสดงฝีมือได้โดยไม่ถูกเด็กหนุ่มชักจูงได้เป็นครั้งแรก
หัตถ์ดาบถึงคอเด็กหนุ่มนั้นหึ ลมปราณปุยนุ่นที่เจ้าใช้พัวพันดาบข้าในคราวแรกใช้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอกถ้าเจ้ายังมั่นใจเช่นนั้นหัวเจ้าหลุดจากบ่าแน่
หัตถ์ดาบมีอาณุภาพร้ายกาจแม้ยังไม่ถึงคอของเด็กหนุ่มก็เกิดรอยแผลกรีดที่คอจนเลือดไหลซึม จนมือถึงคอของเด็กหนุ่มพี่ใหญ่มั่นใจว่าตนรอดจากอิทธิฤทธิ์ทะลักหลั่งแน่นอน เนื่องจากขับออกไปพร้อมกับท่าปักดาบแล้ว
เด็กหนุ่มชกหมัดอย่างรวดเร็วที่ยอดอกของพี่ใหญ่รุนแรงรวดเร็วฉับไว สมชื่อหมัดอสนีบาต
หัตถ์ดาบยังไม่ทันฟันเข้าไปในลำคอ หมัดก็กระทบถูกตัวพี่ใหญ่ก่อน พี่ใหญ่กระอักโลหิตล้มลง
ฉับพลันมีธนูดอกหนึ่ง ทวนด้ามหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่ง แส้สายหนึ่ง เม็ดบัวหนามลูกหนึ่งและกล้องยา จี้เข้ามาที่เด็กหนุ่มอย่างพร้อมเพรียงที่ ขมับ หัวไหล่ หน้าอก ข้อเท้าทั้ง2ข้าง และท้ายทอย อย่างพร้อมเพรียงอย่างยิ่งราวกับนัดแนะกันไว้
หกเสือ ได้ฉวยโอกาสที่เด็กหนุ่มคนนั้นรู้สึกถึงชัยชนะเข้ามาโจมตี หกเสือรู้ดีว่าเวลาที่คนเราย่ามใจในชัยชนะ จะเป็นเวลาที่เปราะบางที่สุด ความที่กรำศึกมามากทำให้รู้หลักเหตุผลว่าหากไม่จู่โจมในตอนนี้นั้น โอกาสจะไม่มาเยือนอีกเป็นครั้งที่สอง หกเสือรู้ว่าหากปล่อยให้เด็กหนุ่มสร้างสภาวะข่มขวัญโอกาสชนะจะยิ่งลางเลือน ดังนั้นแม้ยามปกติหกเสือจะระแวงซึ่งกันและกัน แต่ชั่วเวลานั้นกลับทุ่มเทฝีมืออกอย่างสุดกำลังสำเร็จล้มเหลว เดิมพันในพริบตานั้น
แต่ ธนูชนกับเม็ดบัวหนาม ดาบพันกับแส้ ทวนชนกับกล้องยารู้ตัวอีกทีหกเสือก็กระอักโลหิตล้มลงกับพื้น และพี่ใหญ่ขบคิดอย่างว่องไว ว่าหากเด็กนี่เป็นเพียงเด็กพึ่งฝึกยุทธชั้นสูงสำเร็จมันต้องตายแน่นอน เนื่องจากข้าซุ่มมือเกาทัณฑ์ทั้งสิบหกคนไว้ในห้อง ประจำอยู่ตามค่ายกลสี่สัณฐาน ซ้อนกัน สี่สี่สิบหก และกวาดต้อนมือดีจากตึกอสนีบาตสกุลลุ้ย โดยแอบโรยผงอสนีบาตไว้ และจ้างหน่วยงานสกุลปันมาขุดทางลับไว้สำหรับหนี ถ้าบุกมาหนึ่งคนตายหนึ่งคนบุกมาร้อยตายร้อย
แต่ทว่า ทุกคนที่ยืนอยู่ในห้องโถงเมื่อชั่วยามก่อนกลับล้มลงกับพื้น "อิทธิฤทธิ์ ทะลักหลั่งอันยอดเยี่ยม วันนี้ข้ายอมพ่ายแพ้ แต่ข้าไม่เชื่อว่าฝีมือข้าจะสู้เจ้าไม่ได้ ข้าแพ้ให้กับสติปัญญาของเจ้า " สำหรับพี่ใหญ่นี่ถือเป็นคำชมเพราะสิ่งที่พี่ใหญ่เชื่อมั่นยิ่งกว่าพลังฝีมือคือไหวพริบของตนเอง
เด็กหนุ่มประสานมือคารวะ"ฝีมือของข้าพเจ้ายังอ่อนหัดนักที่ได้ชัยมาเพราะฉวยโอกาสลอบทำร้าย แต่ก็ต้องขอให้ท่านอภัยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากถูกระเบิดด้วยอัสนีบาตสกุลลุ้ย" ต่อตอนสองครับ
ความคิดเห็น