คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : in the pale moon light ตอนที่หนึ่ง
Ever dance with the devil in the pale moon light?- joker
Operation pale moon light
เป้าหมายหลัก กำจัดต้นตอของความวุ่นวาย
เป้าหมายรอง ช่วยชีวิตคนให้ได้มากที่สุด
อุปกรณ์ ถุงมือไหมพรม
เข็มขัดเอนกประสงค์
ผู้ร่วมปฏิบัติงาน ราตรี
เจ้าของภารกิจและหน่วยสอดแนม เทพารักษ์ กัลป์ยา ณ(ยาวประมาณสามบรรทัด)... แก่นธรรม
โดยความคิดเห็นส่วนตัวผมว่างานนี้ให้ควรให้ภารโรงมาจัดการซะมากกว่า แต่ดูจากชีพจรที่น้อยลงเรื่อยๆ หากปล่อยช้ากว่านี้หน่อยต่อให้ช่วยได้ก็อาจสมองตาย ช้าไม่ได้แล้ว เขาค่อยเขียนรายงานให้ ภารโรงที่หลังละกัน ตอนนี้ จัดการเท่าที่ทำได้ก่อน และเขาก็แจ้งเหตุไปแล้วด้วยว่าให้ส่งคนมาพยาบาลคนเจ็บ ตอนนี้ เป็นเวลาที่ต้องตั้งสมาธิกับงานตรงหน้า
ใจจริงเขาอยากจะช่วยปฐมพยาบาลคนบาดเจ็บก่อนที่จะไปจัดการกับตัวต้นตอ แต่ ปฐมพยาบาลความหมายก็ตามตัว ปฐมพยาบาลจนกว่าจะถึงมือหมอ ต้องทำการรักษาไปเรื่อยๆจนกว่ามีวิธีการที่ดีกว่า
ซึ่งตอนนี้เขาไม่มี วิธีที่ดีที่สุดคือรีบจัดการปัญหาให้เร็วที่สุดเท่านั้นเอง และภาวนาให้พลังชีวิตในร่างกายมนุษย์ค่อนๆรักษาตัวของพวกเขาเอง
ไตรภูมิค่อยๆเลื่อนเงาไปข้างรอบข้างและดูดกลืนคำสาปที่หนาแน่นอยู่เข้ามาในตนเอง
อากาศราวกับมีหลุมกลืนบรรยากาศที่อึดอัดจนหายใจไม่ออกออกไปจนเกือบหมด
ไม่ไหวแฮะ ใช้วิธีนี้เดี๋ยวเราจะเผลอดูดพลังชีวิตคนที่อยู่แถวนี้ซะเอง
ไตรภูมิสายตาสว่างเป็นแสงสีทองแวบหนึ่งกวาดตามองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เปรี๊ยะ
ราวกับเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักเกินไป ไตรภูมิต้องกุมศีรษะตนเองและเข่าทรุดลงเนื่องจากทรงตัวไม่อยู่
สายตาพร่าเลือน ริมฝีปากแห้งผาก สมองทำงานหนักเกินไปและขาดพลังงานสินะเรา ไตรภูมิวิเคราะห์อาการของตนเองอย่างใจเย็น
บ้าเอ๊ยไม่น่าเปิดดูถึงระนาบมิติที่ เจ็ดเลย ร่างกายยิ่งไม่พร้อมอยู่ทั้งที่แค่ระนาบที่สามและสี่ก็น่าจะพอแล้วแท้ๆ
โลกนี้มีระนาบมิติเหนือกว่าที่ตาของเรามองเห็นมากนัก ตัวตนเบื้องสูงยิ่งเปลี่ยนแปลงเบื้องต่ำได้อย่างสบายมือ เขาเคยมั่นใจในฝีมือของตนเอง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพเจ้าแล้วพลังที่มนุษย์รู้สึกว่ามหาศาลก็เป็นได้แค่หิ่งห้อยริบหรี่ที่อยู่ต่อหน้าดวงอาทิตย์ มนุษย์สามารถสัมผัสพลังเวทย์ได้และใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพเจ้าที่มีตัวตนเป็น พลังเวทย์แล้ว ก็เป็นได้แค่เด็กอมมือ การที่ไตรภูมิสุภาพกับเทพารักษ์และตัวตนอื่นๆนั้นมีเหตุผลของมันอยู่และการที่มนุษย์บางทีต้องใช้วิธีบูชายัญเพื่อผนึกเทพเจ้าเอาไว้ก็มีเหตุผลของมันอยู่เช่นกัน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ในการเอาตัวรอดของเขาบางครั้งต้องรวมการระเบิดภูเขาเผากระท่อมไปด้วยเพราะเทพเจ้าที่อยู่ติดกับที่ดินได้รับพลังงานจากพลังชีวิตของโลก หากเสียที่ดินไปก็แทบหมดพลัง นี่คือสาเหตุที่ดินแดนที่เสียเทพเจ้า อาจจะพินาศสิ้น
โชคดี ที่ไตรภูมิคิดวิธีในทางตรงกันข้ามออก เมื่อเราสู้พลังของเทพเจ้าไม่ได้ ก็ทำลายดินแดนที่เทพเจ้านั้นอยู่ซะ ไม่ให้เหลืออะไรอีกต่อไป เป็นวิธีเรียบง่ายได้ผล แต่ไม่ค่อยมีคนทำ ปัญหามีสองสามข้อคือ หนึ่งมันเหนื่อย สองมีข้าวของบางอย่างอยู่ในที่ดินแถวนั้น สามคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่อยู่ในดินแดนแถบนั้นจะพลอยเสียชีวิตไปด้วย แต่
หากมันช่วยไม่ให้ภัยพิบัติที่มากกว่านั้นตามมาคุณว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่า แม้ว่าบางทีสิ่งที่ต้องสูญเสียเพื่อชัยชนะมีมากเกินไปจนบางครั้งเราแทบไม่รู้สึกว่ามันต่างกับการพ่ายแพ้เลย
สายตาที่มองหลายระนาบของไตรภูมิกวาดมองไปรอบพื้นที่ ติดตามเส้นสายของเวทย์ที่เคยร่ายแถวนี้แทบทั้งหมด ชั่วแวบเดียวที่แววตาของไตรภูมิเปล่งแสงสีทองจากการใช้พลังเวทย์ในการมองระนาบที่สูงขึ้นไป ทำให้เขา คาดเดาได้คร่าวๆว่า ผู้ใช้เวทย์ที่ก่อปัญหาตอนนี้ อยู่ที่ไหน โดยตามสายใยเวทย์มนตร์ไป
ซึ่งจอมเวทย์มือฉมังจริงๆจะมีวิธีตัดการตามจับสายใยเวทย์เหล่านี้ แต่ จอมเวทย์ที่ฉมังยิ่งกว่า จะใช้วิธีตามรอยจากระนาบมิติที่เหนือขึ้นไป ทำให้ จอมเวทย์ที่ระดับต่ำกว่าแทบไม่มีทางหนีจากจอมเวทย์ที่อยู่เหนือกว่าได้เลย ซึ่งผมรู้มาว่ามีผู้ใช้วิชาเวทย์บางตระกูลสามารถมองระนาบที่เหนือขึ้นไปได้จนสามารถมองผ่านระนาบของเวลาได้ ผมทำไม่ค่อยได้หรอก มันใช้พลังงานความคิดมากเกินไป ซึ่งบางครั้งผมได้ข่าวลือมาว่ามีบางคนที่สามารถมองเห็นถึงจุดจบของสรรพสิ่ง (น่าจะอยู่แถวระนาบมิติที่เก้าส่วนเวลาอยู่ประมาณระนาบมิติที่แปด ตามทฤษฎีมีสิบเอ็ดระนาบที่ซ้อนทับกันอยู่ ไตรภูมิพิสูจน์ว่ามีอยู่จริงได้แค่ระนาบที่สิบ) ส่วนสภาพจิตใจของคนมีความสามารถนั้นตามข่าวลือคนนั้นได้ควักลูกตาตนเองออกมาและยอมใช้ชีวิตแบบคนตาบอด
โชคดีที่ไตรภูมิพอควบคุมพลังของตนเองได้ ไตรภูมิได้มองผ่านระนาบที่เจ็ดที่ตัวตนของปีศาจหรือเทพมักจะปรากฏ “ร่างจริง” ณ ระนาบนี้ แม้จะปลอมตัวได้ในระนาบอื่น เหตุผลที่จอมเวทย์ที่เก่งในระดับหนึ่งมองตัวตนของปีศาจชั้นสูงไม่ออกเพราะ ปีศาจ หลอกตา การมองในระนาบความเป็นจริงที่ห้าที่จอมเวทย์ส่วนใหญ่ใช้มองกันอยู่ได้ (ปกติแว่นอาคมใช้มองได้ถึงระนาบที่สี่ คนที่มองผ่านได้ถึงระนาบที่ห้าต้องผ่านการฝึกฝนมาในระดับหนึ่ง ระดับหนึ่งที่ว่าก็เช่น นั่งสมาธิในถ้ำมือและหุบเขาวงกตที่มีผีลักซ่อนคอยบังตา ไปตามหาเข็มที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกของเขาวงกตที่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามทางน้ำใต้ดิน และมีพวกสัตว์เลื้อยคลานที่คอยกลืนเข็มเข้าไป ผู้ฝึกตาทิพย์ต้องตามร่องรอยของสายสัมพันธ์ให้เจอและตามเข็มกลับมาให้ได้ ซึ่งนั่นก็คือการฝึกที่ไตรภูมิเคยฝึกมา )
แต่นั่นมันอดีตไปแล้วตอนนี้ร่างกายของเขาบอกได้คำเดียวว่าอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมเอาซะเลย วงจรเวทกระจัดกระจาย กระดูกและกล้ามเนื้ออ่อนแอลงจากความคึกคะนองของเด็กที่คิดว่าตนทำได้ทุกอย่างทำให้ต้องชดใช้อย่างแพงแสนแพงด้วยร่างกายของตนเอง
สายตาของเขาพร่ามัวไปชั่วครู่ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ถ้ามีเวลา เขาจะไม่ใช้วิธี มองผ่านสายใยวิญญาณเด็ดขาด การตามรอยด้วยวิธีการทางที่วิทยาศาสตร์สบายกว่ากันเยอะ แต่ ตอนนี้เวลาไม่มีแล้ว เขาต้องรีบจัดการเรื่องให้เสร็จก่อนที่เหตุการณ์จะมีผู้เคราะห์ร้ายมากกว่านี้
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะนายท่าน สีหน้าไม่ดีเลย”
ราตรีถามเขาอย่างห่วงใย
“เปล่าหรอก ใช้พลังเยอะไปนิดน่ะ ผมเห็นคนก่อเหตุแล้วอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้เท่าไร แต่มีการกั้นอาณาเขตอาคมไว้เล็กน้อย ผ่าไปได้ ไม่ยากแต่ ผมกลัวจะมีกลุ่มอื่นที่จะทำอย่างเราเหมือนกันมายุ่งด้วยน่ะสิ ยิ่งไม่ค่อยมีแรงอยู่ด้วย” ไตรภูมิเอามือปิดหน้าและนวดขมับตัวเองเบาๆเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดตามวิธีที่แป๊ะสอนมาเรื่องการกดจุดชีพจร แต่ก็อย่างที่กำชับเอาไว้ การนวดผ่อนคลาย เพื่อ “บรรเทา” ความเจ็บเท่านั้น การจะ “รักษา” ต้องใช้ระยะเวลา ตอนนี้ ขอเพียงแค่เรายังยืนได้จนกลับไปพักที่บ้านได้ก็พอละนะ ไตรภูมินึกอยู่ในใจ
“ขออภัยนะคะนายท่าน แต่ทำไมนายท่านไม่ดูดพลังชีวิตของคนที่อยู่ที่นี่ละคะเท่านี้ก็สามารถฟื้นฟูพลังได้แล้ว” ราตรีเอ่ยอย่างสงสัย การกินพลังชีวิตผู้ที่อยู่ในอาณาเขตเป็นเรื่องธรรมดาของเธอ แลกกับการที่เธอให้เรื่องที่คนในอาณาเขตสมปรารถนาเป็นเรื่องที่ทำได้เป็นปกติ และเพื่อปกป้องชีวิตคนจำนวนมากกว่า การที่คนส่วนน้อยจะสังเวยก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่างที่สมัยก่อนเธอได้รับชีวิตเครื่องสังเวยจากผู้ที่บูชาเธอ เพื่อปกป้องมนุษย์จากภัยร้ายแรงยิ่งกว่านั้น ภัยร้ายแรงที่ชาวบ้านจะสูญเสียยิ่งกว่า
หญิงพรหมจรรย์เก้าสิบก้าคนที่นำมาสังเวย
ความต้องการของคนหมู่มากย่อมสำคัญกว่าความอยู่รอดของคนส่วนน้อยหรือคนใดคนหนึ่ง renegade
ราตรีตัวแข็งค้าง ร่างกายขยับไม่ได้ หลังจากพูดจบ เธอรู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่ราวกับจะฉีกร่างกายเธอเป็นชิ้นๆ เธอสบตาไตรภูมิพบว่า แววเหนื่อยล้าหายไป แววตาของเขา ไม่ได้เปล่งแสงสีทองหรือสีแดงของความโกรธ แต่ กลายเป็นสีดำอันมืดมิดที่ไร้ประกายของชีวิต เมื่อสบตา ทำให้เธอราวกับตกไปในหล่มลึก
เสียงของไตรภูมิเรียบเย็น
“ใช่ถูกต้องแล้ว นั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดจริงๆ ลดความสูญเสียของฝ่ายเราโดยให้มีผู้เสียหายน้อยที่สุด” ราตรีหายใจได้อีกครั้งหลังจากแววตาของไตรภูมิกลับมาเป็นปกติ
แต่การแก้ปัญหาน่ะไม่ได้มองแค่ตรงนั้นหรอกนะ หากเราเสียสละคนเพื่อผลลัพธ์มากเกินไปละก็ เราจะไม่รู้สึกว่าเราชนะอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่เราทำได้ แต่อยู่ทีวิธีที่เราไปถึงเป้าหมายด้วยparagon
หากผมรีบพวกเขาอาจจะไม่ตาย แต่ หากผม ดูดพลังชีวิตไปล่ะก็ ต้องมีคนสมองตาย หรือหากร่างกายอ่อนแอก็ตายไปเลยแน่ๆ
และที่สำคัญ “
แววตาของไตรภูมิกลับมาเป็นปกติแต่นั่นทำให้คำพูดต่อไปยิ่งน่าตกใจ
“ผมกลัวว่าผมจะสนุกกับการดูดพลังชีวิตมากเกินไปน่ะสิ”
ไตรภูมิเอ่ยอย่างร่าเริง
ลึกๆแล้วในจิตใจทุกคนเป็นคนดียกเว้นผมที่ไม่ใช่ คำพูดของราตรีช่างยั่วยวนจิตใจของไตรภูมิที่จะดูดพลังชีวิตของคนที่นอนอยู่ให้เหลือแต่ซากที่แห้งผากและร่างกายที่กลายเป็นฝุ่นผง ความคิดเช่นนั้น ทำให้ไตรภูมิเผลอยิ้มที่มุมปาก
ไม่ได้หายใจลึกๆ ที่เราฝึกสมาธิมาก็เพื่อควบคุมจิตใจฝ่ายต่ำ ผู้ที่หลงไปกับความอยากจะตายเพราะความอยากของตน ทำใจให้เข้มแข็งไว้
นั่นคือสาเหตุที่เราฝึกสมาธิจิตมาตลอดไม่ใช่เหรอ เพราะมันคอยคุมอารมณ์ใฝ่ต่ำของเรา ไม่ให้หลงใหลไปกับทางเลือกที่ง่ายดาย
ความคิดเห็น