คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ราตรี ตอนที่สี่
“อืมช่างคิดนี่ การให้พลังเทพที่ใกล้แหล่งกำเนิดตัวตนของนังหนูเป็นความคิดที่ดีและใช้ข้าที่มีพลังเทพจะสะดวกกว่า “ เทพารักษ์ชรากล่าวอย่างครุ่นคิด
(ปัญหานี้ลุงเทพารักษ์เอามาให้ผมตั้งแต่แรกเองก็ช่วยกันหน่อยสิเว๊ย)
“แต่มีปัญหานิดหน่อยนะข้าคงแบ่งพลังไม่ได้มากเพราะผู้ศรัทธาในตัวข้าน้อยลง แต่ก็คงให้อยู่ในร่างมนุษย์ได้สักพัก”
“เรื่องนั้นผมพยายามช่วยเองครับ ในการหาคนมาศรัทธาท่านเพื่อเพิ่มพลังให้ท่านมากขึ้น ขอเพียงลุงเทพารักษ์ช่วย(ในปัญหาที่ลุงเอามาให้ผมเอง)ก็เป็นบุญคุณมากแล้วครับ”
รักษาราตรีได้กับช่วยลุงเทพารักษ์และทำความสะอาดโรงเรียนไปด้วย ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว เวลาทำเรื่องดีๆแล้วเห็นคนอื่นมีความสุขเราก็ดีใจแล้ว
ไตรภูมิดีดลูกคิดรางแก้วในใจ แต่จากประสบการณ์ของเขา เขาสังหรณ์ว่าทมันต้องมีปัญหาตามมาแน่ๆ
เทพารักษ์จำเป็นต้องอาศัยพลังแห่งศรัทธาของมนุษย์ในการแสดงปาฏิหาริย์ในโลกแห่งวัตถุนี้ ยิ่งเชื่อมากศรัทธามากก็ยิ่งแสดงพลังได้มากขึ้น
“เอ็งนี่ท่าทางจะเป็นพวกที่ผ่านโลกนั้นมาแล้วสินะ” เทพารักษ์กล่าว
“ครับ”
“คนบางคนจะมีรัศมีในตัว คนบางคนรัศมีมืดเพราะทำบาปและความรู้สึกด้านลบเกาะกินคนบางคนรัศมีสว่างสดใสเพราะประกอบกรรมดี แต่เอ็งต่างออกไป สีวิญญาณของเอ็งเป็นสีดำสนิทที่ไร้ซึ่งแสงสว่างแต่ก็ส่องประกายยิ่งกว่าใครที่ข้าเคยเห็นมา เป็นสีของคนที่ไม่ลังเลในการกระทำของตนเลย”
“ล้อกันเล่นหรือเปล่าครับ ผมนี่แหละสงสัยในการกระทำของตนเองที่สุดเลย” ไตรภูมิรู้สึกขนลุกเวลาคุยกับเทพารักษ์ ไม่ว่าเขาทำท่าเฉยแค่ไหน แต่ที่เขาคุยด้วยคือตัวตนที่สามารถฆ่าเขาให้ตายได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือ และเป็นตัวตนที่มีดวงตาและการรับรู้ยิ่งกว่าจอมเวทย์ที่มีเพียงกายเนื้อ การโกหกต่อหน้าคนพวกนี้เป็นไปได้ยากมากเพราะพวกนี้สามารถมองการสั่นไหวการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึกของจิตวิญญาณได้
หากใครไม่เรียนการทำสมาธิและการปิดกั้นจิตใจก็จะถูกอ่านใจออกได้อย่างง่ายดายและถ้าอย่างนั้นหมายความว่าเวลาที่คุณเจรจากับตัวตนเช่นนี้คุแผนการที่คุณเตรียมไว้จะถูกรับรู้เวทมนตร์ที่คุณท่องจะถูกสกัด จิตวิญญาณของคุณจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมและจะพ่ายแพ้ไปเองโดยยังไม่ทันได้ต่อสู้ดังนั้น สมาธิจึงเป็นเรื่องสำคัญหากคุณต้องการเป็นจอมเวท ซึ่งไตรภูมิเคยพลาดท่าเสียทีมาแล้ว และคนเราจะมีโอกาสได้เรียนรู้จากความผิดพลาดสักกี่ครั้งกัน
การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ หรือตัวตนเช่นเทพารักษ์สนใจไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่คนเข้าใจ คุณเคยสนใจปลาที่อยู่ในแม่น้ำและจับมันขึ้นมาดูอย่างใกล้ชิด ทำให้ปลาหายใจไม่ออกเพราะไม่ได้อยู่ในน้ำ บางชนิดผิวหนังบางและอุณหภูมิของมือเราก็ร้อนจนปลาที่ตัวเย็นอยู่เสมอรู้สึกเจ็บปวด ที่เราทำไปไม่ใช่เพราะเจตนาร้ายแต่เพราะสนใจปลา
ตอนนี้ ก็เช่นกันเพียงแต่ผมเป็นปลาและเทพารักษ์กำลังจับผมไว้ในมือ
ต่อให้ตัวตนศักดิ์สิทธิมีเจตนาดีและพยายามให้พรตามที่มนุษย์ขอ
แต่ในโลกใบนี้นั้นความต้องการของมนุษย์ช่างลึกล้ำนัก
ไตรภูมิจึงค่อนข้างคิดว่าเทพารักษ์ท่านค่อนข้างรู้เรื่องนี้ดีถึงจะบ่นว่าท่านไม่ช่วยแต่โดยรวมแล้วท่านก็จัดการกับพวกวิญญาณตัวเล็กตัวน้อยไม่ให้รบกวนผมไปมากกว่านี้ก็ขอขอบคุณแล้ว
แต่ที่น่าโมโหคือเวลาจัดการกับตัวใหญ่ๆผมต้องจัดการคนเดียวเพราะไม่อย่างนั้นจะเสียสมดุลย์ซึ่งผมจะบ่นมากไปก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งผมใช้วิธีรุนแรงจนสิ่งปลูกสร้างบางแห่งหายไป ทำให้สมดุลของพื้นที่เสีย แต่ท่านก็ยังไม่ว่าอะไรเพราะท่านยังใจดีอยู่ (หรือแค่ไม่อยากยุ่งยากกันนะ)
เทพารักษ์ลูบเคราขาว นี่ก็อีกอย่างความจริงแล้วกายทิพย์ไม่จำเป็นต้องมีลักษณะบอกถึงอายุ แต่การปรากฏตัวตนอัตตาในโลกใบนี้ส่วนใหญ่จะปรากฎในรูปแบบที่สะดวกแก่การแสดงตนมากที่สุด ท่าทางท่านจะชอบ รูปปั้นที่ผมทำให้โดยการมีเคราและท่าทางแบบชายแก่ท่าทางภูมิฐาน แต่อย่าลืมความจริงที่ว่า ท่านคือสิ่งมีตัวตนในรูปแบบวิญญาณที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเติบโต หรือแก่ชราของกายเนื้อแบบเดียวกับมนุษย์แต่อย่างไร
“แล้วผมก็จะได้ช่วยให้ท่านเทพารักษ์มือหายบาดเจ็บด้วย”
เทพารักษ์ ชะงักค้างไปเล็กน้อยมือที่กลายเป็นสีดำหยุดนิ่ง
“ข้าก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เจ้ามีพลังแห่งความมืดสูงซะจน ร่างทิพย์ของข้าได้ผลกระทบ เจ้าเป็นพวก ... ติดต่อกับทางนั้นใช่ไหม” เทพารักษ์ชราใช้มือสีดำลูบคางอย่างครุ่นคิด
ไตรภูมิค่อยพยุงให้ราตรีลุกขึ้นพร้อมกับตอบว่า “ไม่เชิงหรอกครับเรียกว่าทางนั้นมายุ่งกับผม และเหตุการณ์ซวยๆหลายอย่างก็ประดังเข้ามาดีกว่า “
ใต้ค่ำคืนที่มีแสงสลัว ไตรภูมิงอนิ้วให้เป็นรูปเงากระต่ายพาดบนกำแพง และโดยไม่เปลี่ยนท่าทางของนิ้วแม้แต่น้อย เงาบนกำแพงก็เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นภาพเงาของเด็กคนหนึ่ง
มันเริ่มมาจากเด็กคนหนึ่งอยากรู้ว่า โลกใบนี้นั้นล้ำลึกแค่ไหนจำนวนของดาวบนฟากฟ้า ความลึกล้ำแห่งห้วงสมุทร จำนวนพืชพรรณและสัตว์ป่า ภพวิญญาณและมนุษย์ เด้กได้พยายามหาคำตอบจากโลกนั้น โลกที่เงาอาศัยอยู่ซับท้อนกับมนุษย์
ภาพเด็กวิ่งเล่นตามท้องถนน เด็กเห็นเงามีมากกว่าจำนวนคนแบบเขา บ้างก็แอบซ่อนตามที่มืดมิดบ้างก็อยู่ตามที่อันสว่างไสว โลกแห่งเงาที่ทับซ้อนกับโลกใบนี้ แต่เด็กคนนั้นก็ปฏิบัติกับโลกจริงและโลกเงาอย่างไม่แตกต่างกัน และอยากเรียนรู้ทั้งหมดของสรรพสิ่ง
เงาเด็กค่อยๆเปลี่ยนไปและโดย เงาเด็กเริ่มโตขึ้นเล็กน้อย
วันหนึ่งเด็กพบแหวนวงหนึ่งและได้เป็นเพื่อนกับเงาที่อยู่ในแหวน โดยเพื่อนขอให้เด็กคนนั้นพาตนกลับบ้านสู่ดินแดนแห่งเงา เด็กก็ทำตาม แต่ ด้วยความคิดของเด็กที่อยากช่วยเหลือเพื่อนเด็กแทบไม่รู้เลยว่าการส่งเพื่อนกลับบ้านั้น แทบทำให้ตนกลายเป็นเงาไปด้วย
เงาเด็กนั้นคลืบคลานบนพื้นดิน แขนขาไร้เรี่ยวแรงปัสสาวะเรี่ยราด เดินไม่ตรงทางแทบลืมวิธีการกลืน กินนอนขับถ่าย เหมือนไม่ใช่ร่างตัวเอง
เงาของเด็ก ดิ้นทุรนทุราย
แต่เขาก็ค่อยๆยืนหยัดขึ้นและรักษาตัวเองจนกระทั่ง สามารถเดินตามปกติได้อีกครั้ง แต่แทบเสียความสามารถของเงาไปจนหมด
เงาเด็กกลับมาวิ่งโลดแล่นบนกำแพง
ทำได้แค่ เล่นกลเล็กน้อยอย่างตอนนี้เท่านั้น
เงาบนกำแพงกลายเป็นริ้วสีดำหลายสิบสายเลื้อยไปที่มือกลายเป็นสีดำของเทพารักษ์และค่อย ดูดกลืนสีดำในมือของเทพารักษ์ เข้าสู่ความมืดของเงาไตรูมิ
หลังจากมือของเทพารักษ์รอยสีดำหายไปเงาของไตรภูมิก็หดกลับที่เดิม
“ขอโทษครับผมน่าจะช่วยตั้งแต่แรก พอดีเราคุยเรื่องอื่นกันอยู่ผมเลยลืมนึกไปว่าท่านอาจจะไม่สะดวกที่มีความมืดไปเจือปนในกายทิพย์ของท่าน” เงาของไตรภูมิค่อยหดกลับหลังจากกลืนกินความมืดในร่างของเทพารักษ์แล้ว มือของเทพารักษ์ก็ค่อยสว่างและมีรัศมีอีกครั้ง
ไตรภูมิกล่าวอย่างยิ้มแย้มหลังจากที่เงากลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว เทพารักษ์ท่านนี้เป็นคนใจดีมากปกติ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิถ้าบาดเจ็บแม้ผู้ทำจะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็จะโดนลงโทษอยู่ดี เช่นทำให้ภูเขาไฟระเบิดเกิดโรคระบาด และดอกไม้เหี่ยวเฉา พืชผลทางการเกษตรเสียหายอย่ามองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับประเทศที่ชาวบ้านส่วยใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตรในสมัยโบราณแล้ว การทำให้พืชผลเสียหายเทียบเท่าได้กับการฆ่าชาวบ้านทั้งเป็นให้อดตายกันอย่างช้าๆและเกิดการปล้นชิงตามมา เป็นผลจากการลงโทษแค่พืชผลเกษตรเสียหายอย่างเดียว ดังนั้นคนสมัยก่อนที่พึ่งพาฟ้าฝนและธรรมชาติจึงเคารพและหวาดกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเจ้าที่เป็นอย่างมาก
“ ฮะ ฮ่า เจ้านี่จริงๆเลยนะ “ เทพารักษ์หัวเราะอย่างร่าเริง “ “ขอบใจเจ้ามาก ท่าทางเราสองคนจะได้คบหากันอีกยาว”
“เอ่อ ครับ”
ตอนนั้นไตรภูมิไม่รู้หรอกว่าคำพูดนั้นจะถูกต้องตรงเผงทีเดียว
ความคิดเห็น