คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สิ่งเล็กน้อย
ดาดฟ้าตอนกลางคืน นั้นจะบอกว่าสวยงามกว่าตอนกลางวันก็ได้ เพราะมันมีหลายสิ่งที่ไม่น่าสวยงามนักเวลาตอนกลางวัน เช่นขยะ บางส่วนหรือ ขนนกและมูลต่างๆที่แม้ไตรภูมิและเพื่อนจะทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ยังมีขยะอยู่เสมอๆ
สิ่งต่างๆเหล่านั้นถูกปิดบังด้วยความมืดเวลากลางคืน
คืนนี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งเผยให้เห็นดวงจันทร์ ลมเย็นๆพัดมา ชวนให้ไตรภูมิ อยากเอาซออู้ หรือ หีบเพลงมาเป่าให้เข้ากับบรรยากาศยามนี้อย่างที่เคยทำจริงๆ
แต่นึกถึงเรื่องที่ต้องทำแล้วก็ได้ แต่ถอนใจ ทั้งที่ได้อารมณ์ดีขนาดนี้ แต่คนเราก็ต้องทิ้งสิ่งสุนทรีย์ไปทำสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมากกว่า ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ
ลมเย็นพัดมา ไตรภูมิ พยายามสูดลมหายใจให้เต็มปอด ขณะที่ จะเดินไปหยิบกระเป๋า ขณะแกล้งทำเป็นไม่เห็น ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงดาดฟ้า บังเอิญสิ้นดีที่ที่ ยืนอยู่ ดันเป็นที่เดียวกับไตรภูมิที่ เคยยืนอยู่ตรงนั้นก่อนจะถูกชายแก่เสียสติคนหนึ่งทำให้ตกลงไป
บังเอิญเข้าไปอีก ที่กระเป๋า อยู่ห่างจากขาของผู้หญิงคนนั้นไม่ถึงหนึ่งฟุต
ไตรภูมิ เดินไปหยิบกระเป๋าอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะหันหลังเดินจะออกไป
“เดี๋ยวสิ”
เสียงผู้หญิงร้องทักขึ้น
“ ฮือ อะไรหรือครับ”
ไตรภูมิตรวจดูข้าวของ อ..า สมุด กับหนังสือครบ ดีจริงและสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า
“จะไม่ถามหน่อยหรือว่าทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ “ เสียงผู้หญิงกล่าว
“ไม่หรอกครับ หากเธอ ยืนอยู่ตรงนั้นก็คงมีเหตุผลที่ดีใช่ไหมล่ะครับ ถ้าเป็นคนอ่อนแออย่างผมก็ว่าไปอย่าง แต่เธอเป็นคนเข้มแข็งนี่น่า” ไตรภูมิเตรียมจะเดินจากไปแต่แล้วก็หยุดลง เพราะ การเดินหนีไปเป็นการเสียมารยาท เขาก็เคยมีความรู้สึกที่คล้ายๆกันจนต้องออกมารับลม จึงไม่อยาก จะทำร้ายความรู้สึกคนอื่นแบบเดียวกับที่ตนเอง โดน ละเลย เขารู้มาว่าการเกลี้ยกล่อมนั้น หากเกลี้ยกล่อมว่า ถ้าเป็นอะไรไปคนอยู่ข้างหลังจะเสียใจ เธอ อาจจะตัดสินใจโดดลงไปทันทีเลยก็ได้ เพราะบางคน อยากตายเพื่อให้ตนเองเป็นเหตุให้คนข้างหลังต้องเสียใจที่ตนเองจากไป ต่างกับเขา ที่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะนั่นคือการไถ่บาปที่เขาได้สัญญากับเพื่อนไว้
“... จริงไหม รัตติกาล “ ไตรภูมิยิ้มไห้เธอ ไม่มีคำพูดที่ดีกว่านี้นอกจากรอยยิ้มที่เขาจะให้ได้ในสถานการณ์ เช่นนี้ เมื่อเจ้ายิ้มเจ้าก็จะได้รับรอยยิ้มตอบ
สิ่งที่เขาอยากได้ ก็มีเพียงรอยยิ้มและคำขอบคุณเท่านั้นเอง
รัตติกาล เมฆศิรินทร์ หญิงสาวที่ผมยาวถึงกลางหลัง จากการที่ไตรภูมิจำได้ มันน่าจะผิดระเบียบโรงเรียนที่กำหนดให้ นักเรียนหญิงไว้ผมได้แค่ยาวประบ่าเท่านั้น แต่กฎ กับการบังคับใช้ ก็คนละเรื่องกัน ถ้าทุกคนอยู่กันอย่างสันติ จะลืมตาข้างหลับตาข้างก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนั่นคือความคิดของไตรภูมิ
หญิงสาวจัดว่าหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง นอกจากเก่งด้านการเรียนแล้ว ยังมีชื่อเสียงในด้านกิจกรรมของโรงเรียนด้วย แถมยังเก่งกีฬาอีกต่างหาก ก็นับว่ามีความสามารถรอบด้านเลยทีเดียว ข้อดีของไตรภูมิ คือเขาเลือกที่จะมองเห็นข้อดีของคนอื่น และเลือกเก็บสิ่งดีๆไว้ในหัวใจ
“ ฮืม เธอรู้จักชื่อของฉันด้วยเหรอ “ หญิงสาวกล่าวอย่างสงสัย
“ผมก็รู้เท่าที่รู้ครับ ไม่มีอะไรพิเศษ “ ไตรภูมิกล่าวขณะที่ต้องกลั้นอารมณ์เต็มที่ ไม่ให้ โมโห เพราะเสียงของเทพารักษ์ บอกว่า เจ้าต้องเกลี้ยกล่อมเธอ ให้ได้นะ และก็พล่ามพรรณนา ถึงบาปบุญคุณโทษ เกี่ยวกับชีวิตไปไม่มีหยุด เขากระซิบในใจว่า ทำไม ถึงไม่ไปห้ามเธอเองล่ะ มาบอกผมทำไม อีกฝ่ายก็ตอบว่า ก็ข้าสัญญาว่าจะติดตามคุ้มครองเจ้าแล้วนี่น่า เลยปรากฏ ไปให้คนอื่นที่พลังจิตอ่อนด้อยกว่าเจ้าไม่ได้ และอีกอย่างรู้สึกว่าข้าจะบาดเจ็บตอนที่ไปช่วยเจ้าน่ะเลยเสียพลังไปมาก ถึงคนที่สัมผัสแรงจะสัมผัสตัวตนเช่นพวกข้าได้ดีไม่ต่างอะไรกับพวกกายเนื้อก็จริงมีแต่เจ้านี่แหละที่แทบรู้สึกว่า เจ้ามองพวกเราไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา ซึ่งสิ่งนั้นนั่นแหละทำให้เจ้าแปลกๆไปจากคนจากธรรมดา
ผมไม่อยากโดน สิ่งประหลาดมาว่าว่าผมประหลาดหรอกนะ
“หือเธอพูดว่าอะไรนะ”
ชะอุ๊ย ผิดช่องทางสื่อสาร ไตรภูมิหน้าแดงที่แม้จะระวังอย่างดีแล้วแต่ก็พลาดจนได้
รัตติกาล ได้หันหน้าเข้าหา ทางตึกแล้วไม่ได้ มองไปทางข้างนอกอีก ใบหน้ารูปไข่ของเธอ แฝงแววสงสัยไว้
(อืมที่เราทำเมื่อกี้ อาจจะดีก็ได้ นะ เธอจะได้มีเรื่องอื่นให้คิด จะได้ไม่คิดที่จะทำอะไรไม่ดี อีก ไม่อย่างนั้น คงโดน เทพารักษ์บ่นหูชาแน่)
“ ตัวเธอ เหม็นจังนะ ไปทำอะไรมาล่ะนี่”
อ๊ะ ไตรภูมิหน้าแดงขึ้นไปอีก สาเหตุหนึ่งที่เขา แอบขึ้นมาบนตึกไม่อยากให้ใครเห็นก็เรื่องนี้แหละ ต่อให้ตัดเรื่องกลิ่นปากที่ไม่ได้แปรงฟันมานานกว่าสามสิบหกชั่วโมงหรือเสื้อผ้าที่ไม่ได้ซัก หรือเหงื่อไคลต่างๆ แล้ว ยังมีปัสสาวะจากตอนที่ฝึกวิชาอีกต่างหาก ไตรภูมิคิดว่าแม้เขาจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรอาจเป็นเพราะชินกลิ่นแต่คนอื่นต้องรู้แน่ๆ ทั้งที่ความจริงเขา แม้จะไม่คิดว่าตนเองสำอาง แต่อย่างน้อย ก็เป็นคนที่รักษาความสะอาดล่ะ
“ เอ่อ เผอิญผม ก็รับลมแบบเธอ นั่นแหละ แต่พลาดตกลงไป ก็ เลยมีสารรูปอย่างนี้น่ะครับ “ ไตรภูมิบอกความจริงไป แต่ก็ อย่างเคยไม่มีใครเชื่อ
“นี่เธอ ตั้งใจจะล้อฉันเล่นหรือไงกัน “ คิ้วเรียวของเธอ ขมวด แต่ก็ ดีไปอย่างถ้าโกรธได้ก็นับว่าดี ถ้าหากใครโกรธผมแล้วทำให้ ลืมความเศร้าไปด้วยผมก็พร้อมจะยอมเสียสละ ... ถ้าไม่มากเกินไปนะ
“ไม่ได้ล้อเล่นครับ ผมพูดความจริงแต่ดันไม่มีใครเชื่อเลยสักคน เธอก็คงรู้สึกว่าไม่เคยมีใครเข้าใจสินะ ก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของผมนี่นา” ไตรภูมิเอ่ย ด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่เธอ รู้จักชื่อฉันได้ยังไงกัน ล่ะ “
“ ก็ไม่ยากนี่ครับ ชื่อของเธอ ก็ ค่อนข้างดังในแวดวงของการศึกษา เหมือนกันนี่นา ทั้ง การสอบคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และการอ่านวรรณคดีอังกฤษ และเธอ ก็มีชื่อในหนังสือ หมวดนิยายที่ยืมหนังสือในห้องสมุดด้วย โดยเฉพาะหมวดภาษาศาสตร์ และวรรณกรรม ผม อ่านเจอชื่อเวลาใช้เวลา ว่างในห้องสมุดน่ะครับ” ไตรภูมิตอบไปตามตรง
คนที่อ่าน ตรงกับเขาเมื่อเขาลองค้นชื่อดูตามบัตรห้องสมุดเก่าๆมีประมาณ 5 คน มี ภูมินทร์ ดุจตะวัน อัครเดช สายธาร กับ รัตติกาล สี่รายชื่อแรกเป็นพวกหลายปีที่แล้ว มีรัตติกาลกับอีกสองสามคนที่อ่านได้ใกล้เคียงกันกับไตรภูมิ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไร สำหรับไตรภูมิ มันก็แค่การอ่าน แก้เบื่อ การทดลองแล้วนำความรู้มาต่อยอดเผยแพร่ได้สินั่นคือของจริง
“ อ๋อ เธอ เป็นพวกที่เขาเรียกว่า สโตลกเกอร์ สินะ “ หญิงสาวหยุดไปครู่หนึ่ง “ พวกที่ชอบไล่ตามคนที่ชอบ และคอยศึกษาเรื่องราวต่างๆของคนคนนั้น”
“ พวกชอบตามตื้อหรือครับ ไม่ใช่หรอกครับ ถ้า ให้ผมจัดประเภทของตนเองคงเป็นพวก ซีกเกอร์มากกว่า และอีกอย่างนะครับ ข้อมูลที่ผมบอกมันเป็นข้อมูลที่ใครๆก็อ่านเจอครับถ้าหนังสือที่เราอ่านมีคนอ่านน้อยจริงๆ”
ไตรภูมิกล่าวอย่างสุภาพ พร้อมกับเอานิ้วโป้งกับนิ้วหัวแม่มือตั้งฉาก แขนเหยียดตรงส่องไปยังดวงจันทร์ เมื่อคำนวณจากตำแหน่งดวงจันทร์ แล้ว จะทำให้รู้เวลาคร่าวๆ บางครั้งดีกว่า นาฬิกาดิจิตอลเพราะวิธีนี้ จะพอคำนวณเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและเวลาที่แสงสว่างจะเริ่มเพิ่มขึ้นเมื่อไรด้วย มีประโยชน์มากเวลาไม่มีนาฬิกา หรือต้องการตรวจสอบทิศทาง
“เอ๋ ไม่น่าเชื่อเลยนะ ถ้าอย่างนั้นลองทายสิ ว่าฉัน ไปทำอะไรมาบ้างวันนี้ ถ้าเธอ เป็นคนที่ช่างสังเกตในเรื่องเล็กน้อยๆขนาดผ่านตามาแวบเดียวยังไม่ลืมนี่ “
รู้สึกเหมือนเธอกำลังสนุกกับการคุยกับเขาเลยแฮะ ถ้ามีเวลาเขาก็อยากคุยด้วยอยู่หรอกแต่ว่านะ ...
“ เอ่อ เป็นคำถามกับดักหรือเปล่าครับที่พูดนี่ ถ้าผมตอบถูกก็บอกว่าผมเป็นสโตลกเกอร์ จริงๆ เพราะรู้ว่าตลอดวันทำอะไร ถ้าผม ตอบผิด ก็กลายเป็นว่าผมโกหก เพราะไม่รู้”
“ ผู้ชายอะไรคิดมากจัง มิน่าถึงยังไม่มีแฟน “ อั๊ก คำพูดของเธอ แทงเข้าที่ใจของไตรภูมิอย่างจัง จนเขาน้ำตาไหลออกมานิดหนึ่ง บ้าเอ๊ย ย้ำอยู่ได้
“ ก็ได้ครับ ขอโทษด้วยนะครับ ถ้าผมทายผิด.... แต่ผม ไม่ทราบจริงๆว่า เธอ ไปห้างอะไรกันแน่ระหว่าง เซนต์ ปิแอร์หรือ คาโรล์ เพื่อ หาของขวัญให้กับ ...เอ่อ ตรงนี้ผมก็ไม่รู้อีกนะแหละว่าจะเรียกว่าอะไร เพื่อนชาย แฟน หรือ อดีตแฟน ก่อนที่จะพบเขาที่หลังโรงเรียนเวลาเที่ยงคืนเพื่อ เซอร์ ไพรซ์วันเกิด ก่อน จะถูก เอ่อ ..ตรงนี้ผมก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่า เขาบอกเลิกเธอบอกเลิก หรือ ต่างฝ่ายต่างบอกเลิก..แล้วก็ เอ่อ โอ๊ยเจ็บ “
ไตรภูมิกุมหัวของตนเอง เพราะตอนที่เขากำลังพูดอยู่ เขากำลังหลับตาเพื่อรวบรวมหลักฐานในหัว ลืมตาขึ้นจึงสังเกตว่า รัตติกาลได้ออกมาห่างจากรั้วแล้ว และกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ไม่เกิน สามฟุต หือ เธอปารองเท้าแล้วค่อยเดินมาหาเรา หรือ เดินมาหาเราก่อนค่อยปารองเท้านะ ข้อเท็จจริงที่เขามั่นใจได้ในตอนนี้มีเพียงแค่ ที่ตรงนี้ มีการปารองเท้า และการเดินเข้ามาหาเกิดขึ้นเท่านั้นและมัน เจ็บพอสมควรเลยล่ะ
ที่ไตรภูมิยังอ่อนหัดคือเรื่องประสาทสัมผัสรอบข้างถ้าอยู่ในภาวะปกติ เขาคงได้ยินเสียงลมที่วัตถุฝ่าอากาศหรือ เสียงเดินเข้ามาใกล้แล้ว แต่เมื่อใช้สมาธิมากเกินไป ก็ จะเกิดกรณีอย่างนี้ขึ้น
“ เธอ รู้อะไรหา ถึงพูดอย่างนี้ เธอรู้อะไร เธอจะไปรู้อะไรกัน ถึงพูดอย่างนั้น “ ไตรภูมิรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากน้อยครั้งนักที่จะมีใครตะโกนใส่เขาอย่างนี้
“ใช่ครับผมจะไปรู้อะไร ผมเห็นด้วยกับเธอเต็มที่เลย” ไตรภูมิหน้าเขียวขณะที่ถูกบีบคอเสื้อ และเขย่าไปมา สมกับที่เป็นนักกีฬาแรงข้อมือมีมากใช้ได้เลย แต่นี่ไม่ใช่เวลามาชมคนอยู่นา คนที่ถูก เขย่าคอเสื้อนะมันผมนะ
“ครับผม ไม่รู้อะไรแม้แต่นิดเดียวเลยครับ กรุณาเอามือปล่อยคอเสื้อผมได้แล้วครับ”
แต่ท่าทางเธอจะไม่ฟังแฮะ ไม่รู้ว่าเพราะเขา พูดถูก หรือเพราะพูดผิด เขาก็ไม่อยากจะตัดสินจากการอนุมานแต่ฝ่ายเดียวของตนเอง จนกว่าจะมีหลักฐานอันแน่ชัดกว่านี้มาสนับสนุนการอนุมานของตนเอง
ความคิดของเขาเริ่มจากสังเกตใบหูของเธอ องค์ประกอบเล็กน้อยนั้นคือสิ่งที่สำคํญที่สุดในการตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกจากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อย่างแรกน้ำหอม และกลิ่นที่ติดเสื้อผ้า มีห้างประมาณห้าแห่งในเมืองที่ใช้กลิ่นนี้ และมีสองแห่งที่จะโปรยผงสีทอง ที่ติดอยุ่กับหลังใบหูของเธอ ที่เป็นส่วนที่ถ้าไม่อาบน้ำก็จะล้างไม่ออก เซนต์ปิแอร์ จะโปรยกระดาษชนิดนี้อยู่หน้าห้าง แต่ คาร์ โรว์ จะโปรยกระดาษเช่นนี้ตรงร้านขายนาฬิกาที่เป็นร้านที่จะขายของสั่งทำพิเศษในโอกาสพิเศษเท่านั้น (ตรงนี้น่าจะเป็นนาฬิกาทำมือของผู้ชายเพราะเซนต์ปิแอร์ น่าจะเป็นแบบของผู้หญิงมากกว่า แต่นี่คือความเห็นส่วนตัวไม่เข้าข่ายการพิจารณาจึงตัดออกไปจากความคิด) ... ดินสีแดงที่ติดอยู่ปลายเท้าเป็นดินของจอมปลวกที่ขึ้นอยู่หลังอาคารเรียน....
แต่ก็อย่างที่ว่าผมเป็นคนอ่อนหัดและไม่ค่อยจะฉลาดนัก ดังนั้นการที่สันนิษฐานผิดพลาดหรือไม่รู้อะไรหลายๆเรื่องจึงเป็นเรื่องธรรมดา ผม แค่ตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไปทั้งหมดจนเหลือสิ่งที่เป็นไปได้เท่านั้น นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมจะพูดออกไป
ฟังจากเสียงสะอึกสะอื้นตอนที่เธอ ตะโกนเสร็จแล้วร้องไห้ตอนนี้ ถ้ามีคนมาเห็นมีหวังเข้าใจผิดแหงๆ ทำไมเรานี่ซวยได้ทุกทีเลยฟะ
จากที่กระชากคอเสื้อของไตรภูมิ พร้อมกับตะโกนใส่ แต่ผ่านไปสักพัก กลายเป็นร้องไห้ตรงทรวงอกไตรภูมิได้อย่างไรก็ไม่ทราบ
กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาจากปลายผมของเธอ ทำให้ไตรภูมิรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า ไตรภูมิรู้สึกหน้าของตนเองน่าจะแดงขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุเมื่ออยู่ใกล้ๆเธออย่างนี้
แผ่นหลังของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่ใช้คอเสื้อของเขาร้องไห้อยู่ เขาละงงจริงๆ ทีตอนแรกไม่ร้องที่มีคนมาพูดด้วยก็ร้องไห้ราวกับมีคนกดสวิทช์... บางทีนี่ก็คือนิสัยผู้หญิงละมั้ง
ทันใดในหัวเขาก็คิดถึงภาพของตา ที่สอนเขาตอนยังเด็กๆ เป็นเช้าที่ตา ไปตีรันฟันแทงกับนักเลงต่างบางที่มาเกี้ยวสาวรำวงกัน ว่า หลานเอ๊ยตาจะบอกหลานวิธีแก้ปัญหาในการพูดจากับผู้หญิงนะ ว่าจะพูดอย่างไรเมื่อเธอโกรธหรือสงสัยเรา
ขณะนั้นผมกำลังงงอยู่เพราะกำลังปั้นตุ๊กตาดินเหนียวอยู่ตรงลานบ้าน ส่วนตานอนหน้าตาฟกช้ำอยู่ (ซึ่งส่วนใหญ่ของบาดแผลไม่ใช่ฝีมือนักเลงต่างบางแน่ๆ)
วิธีแก้ไขคือ ไม่พูดอะไรเลย
เอ ตา กำลังจะสอนปรัชญาเซนกับผมอยู่หรือเปล่านี่
ที่ว่าด้วยความว่างการตอบปัญหาด้วยการไม่ตอบ
ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้นั้นทำให้ผมซาบซึ้งในหลักคำสอนของตาและปรัชญาเซนขึ้นมาทันที
...................
ความคิดเห็น