คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : วันหนึ่งในชีวิต
หือ ทำไม ผมถึงทำราวกับว่าสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตของผมน่ะ เหรอ นอกจากที่ผม มีนิสัยชอบความสบเรียบร้อยและการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีแล้วตามแบบหนังสือ สปช ที่สอนไว้ว่า ในเหตุการณ์ ต่างๆไม่ว่า จะไฟไหม้ โดนงูกัด ประสบอุบัติเหตุขาหัก สิ่งแรกที่ต้องทำเหมือนกันคือมีสติ
ก็มีบางเรื่องที่เกิดกับผมในวัยเด็กบางเรื่องที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้อยู่ แต่ จะว่าไปมันก็มีบางเรื่องที่อยู่ก่อนหน้านั้นไปอีก ตอนผมประมาณห้าขวบ ผม เป็นเด็กคนหนึ่งที่ไป “เที่ยว” กับกลุ่มเพื่อนในป่าเขา...
ผมชักจะนอกเรื่องเกินไปแล้ว ขอเล่าตอนสรุปเลยละกัน คนในกลุ่มตะโกนขึ้นมาว่าผีหลอกเว๊ย ทำให้ทั้งกลุ่มนั้นวิ่งหนีไปตามคนที่ตะโกนขึ้นมาแล้วเด็กทั้งกลุ่ม ก็ หนีไป พร้อมกันทิ้งให้ผมเดินอยู่คนเดียว ตอนหลังผมสอบถามกับผู้ใหญ่ ก็รู้ว่า คนที่ตะโกนนั้นแค่หลอกเพื่อแกล้งเด็กๆเล่นเท่านั้น ทำให้ผม คลายความสงสัยไปได้ ว่าทำไมเขาถึงตะโกนว่าผีหลอกเว๊ย แล้วจึงวิ่งไปทาง หญิงสาวใส่ชุดไทยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นมะขาม (จากการที่ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมโดยเทียบจากความทรงจำ แล้ว กับสภาพชุด น่าจะประมาณ อยู่ช่วงยุคทวาราวดี อันมีลักษณะจำเพาะบางประการที่แตกต่างไปจาก ชุดไทยที่ใช้ในปัจจุบัน อันมีลักษณะของสมัยคุปตะอยู่เป็นอันมาก) เพราะคนที่ตะโกนนั้นล้อเล่นนั่นเอง ทำให้ผมโล่งใจไปได้
ผมเป็นคนขี้ขลาดมากที่สุดในกลุ่ม เพราะเวลาไปแถวนั้นมักจะโดน ลุงคนหนึ่งถือไม้ตะพด คอยตีหัวผมเวลาเดินล้าหลังทุกที ได้ยินพ่อแม่เด็กบางคนเล่าว่าแถวนั้นมีคุณหลวงท่านหนึ่งสมัยโบราณที่คอยหวงข้าวของมากจนเป็นที่เลื่องชื่อ คอยไล่คนออกมาเพื่อจะคอยเฝ้าข้าวของ เป็นที่หลอกหลอนแม้จะตายไปแล้ว ผมพบว่า ข่าวนั้นมีมูลความจริงอยู่น้อยมาก
อย่างแรก เขามีบรรดาศักดิ์เป็นคุณพระต่างหาก
อย่างที่สอง ที่เขาหวงไม่ใช่ข้าวของแต่เป็นกล้วยไม้ต่างหาก ที่ห่วงที่สุดน่าจะเป็นพวกต้นไม้กลัวเด็ก หลายคนมาหักกิ่งไม้เล่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมค้นได้ทีหลังจากความทรงจำ
อย่างที่สาม เขาคอยตีหัวได้ แต่กับคนที่มี สัมผัส รุนแรงเท่านั้นเอง ไม่ใช่กับคนทั่วไป
ผมเติบโตมาอย่างเด็กทั่วไป แม้จะมีจิตแพทย์บางท่านไม่เห็นด้วยก็ตาม ไม่ใช่อย่างในภาพยนตร์ที่จะโดนจับขังเพราะอยู่ในโรงพยาบาลบ้าเพราะเห็นอะไรแปลกๆ และไม่เป็นที่หวาดกลัวของเพื่อนๆเพราะการที่มองเห็นและสัมผัสกับสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านั้น
เพื่อนของผมบางคนที่กลัวผมยืนยันเรื่องนั้นได้ว่า ไม่เคยกลัวผมเพราะสาเหตุที่ผมมองเห็นหรือสามารถสัมผัสเรื่องเหนือธรรมชาติแน่นอน (พวกนั้นยืนยันอย่างหนักแน่นแม้จะไม่ยอมสบตาผมขณะที่พูดก็ตาม)
ผมคิดว่าผมจัดการเรื่องราวแบบนี้ได้ค่อนข้างดีทีเดียวล่ะ แม้อาจจะไม่ดีในบางแง่ต่อคนอื่นก็ตาม เช่นตอนนี้ถ้าผมพูดโต้ตอบไปผมคิดได้เลยว่า คนที่มาเห็นผมตอนนี้ ต้องคิดว่า ผมบ้าพูดคนเดียวแน่นอน ดังนั้น ผมจึงยกสายโทรศัพท์ และหูฟังมาไว้ที่หัวเผื่อ ฉุกเฉินที่คนมาเห็นว่า ผมกำลังคุยโทรศัพท์ แบบใช้หูฟังอยู่ แม้จะตบตาคนช่างสังเกตจริงๆไม่ได้ แต่อาศัยความมืด หรือ การทำท่าทางกลบเกลื่อน ก็น่าจะพอ หยุดการสันนิษฐานของคนทั่วไปอยู่ที่ระดับแค่สงสัยและปล่อยผ่านไปเท่านั้นก็นับว่าดีที่สุดแล้ว
...ไงครับ” ไตรภูมิตอบขณะที่เอาสายโทรศัพท์มาติดไว้ที่หู
“ไม่ล่ะข้าไม่เชื่อหรอก ข้าไม่ยอมพลาดอีกครั้งแน่เพราะคนที่จะทำอย่างเจ้ามีอารมณ์ แปรปรวนและมีแนวโน้มที่จะทำอย่างเดิมอีก ถึงปากบอกว่าไม่ แต่ ห้วงอารมณ์อันสับสนของเจ้าทำให้เจ้าอาจจะมีแนวคิดเช่นนั้นได้อีกเมื่อเวลามาถึงอีกครั้ง”
เทพารักษ์ เอ่ยอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ที่ดูมนุษย์มามากมายการวินิจฉัยของท่านเทพารักษ์แทบไม่ผิดพลาด
อึม ไตรภูมิอึ้งไปเล็กน้อย จากคำพูดนั้น มีส่วนของความจริงใจอยู่ในคำพูดนั้นทำให้ไตรภูมิไม่อยากตัดรอน และไม่อยากเสียเวลาต่อไป เพราะ เขาจะไม่มีเวลารีดเสื้อและเตรียมบทเรียนเอาในคืนนี้ถ้ายังเอ้อระเหยอยู่
“ เอาอย่างนี้สิครับ มาประนีประนอมกันก็ได้ ตามผมไปสักพักดูอาการผมสักพักก็ได้ว่าผมพูดจริงหรือ เปล่า เพราะการฆ่าตัวตายไม่ใช่แค่ที่ดาดฟ้า แต่ถ้าคิดจริง ๆบนถนนก็ทำได้ เราพบกันครึ่งทางด้วยวิธีนี้ดีกว่านะครับ”
ไตรภูมิไม่อยากเสียเวลาต่อไปอีกอยากจะรีบไปเอากระเป๋า ที่ “ลืม” ไว้ เต็มแก่แล้ว จะได้จบเรื่องวุ่นๆซะที
อ๊ะ อา
ไตรภูมิเปิดประตู เข้าไป โดย ไม่รอฟังคำตอบของชายชรา และได้รับรู้ถึงความซวยของตนเองที่รอดจากปัญหาเรื่องหนึ่งก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ตามมา
.........................
ความคิดเห็น