ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผมนี่แหละคิม จอง-อิล

    ลำดับตอนที่ #6 : เด็กหอ-2

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 50


      บางครั้งผมสงสัยว่าปัญหาความขัดแย้งในโลกนี้จะไม่สามารถเจรจาพูดคุยกันได้จริงหรือ เป็นไปไม่ได้เลยหรืออย่างไรที่คนเราจะมีชีวิตอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน พบหน้ากันยิ้มแย้มให้กันและจากกันด้วยดี

                                       คิมจองอิลคิดในขณะวันที่เข้าโรงเรียนวันแรก
    ........................................................


    มันเหมือนกับภาพศิลปะตอนที่เธอหลบหมัดและลูกเตะของทั้งสองคนการเคลื่อนไหวของเธอแม่นยำและต่อเนื่องจนแทบกลายเป็นความอำมหิต คิมจองอิลรู้สึกแปลกๆทั้งที่เขาเข้ามาห้ามการต่อสู้แต่พอเห็นเธอต่อสู้แล้วเขากลับรู้สึกไม่อยากห้ามเธอศอกเข้าที่หน้าของคนที่ชกและใช้เท้าซ้ายเหยียบหัวเข่าของคนที่เตะกวาดล่างและใช้เท้าขวาเตะโดนดั้งจมูกด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ทั้งสองคนทรุดลงกับพื้นและแน่นิ่งเหมือนว่าวที่สายป่านขาดแต่

      คนที่โดนศอกเข้าไปไม่ยอมแพ้หลังจากที่ล้มลงที่พื้นแล้วก็พยายามลุกขึ้นเขาพยายามหันหน้าไปตามแรงศอกถึงทนศอกได้ แต่เธอยกขาขึ้นสูงและใช้ฝ่าเท้าตวัดเตะกลับมาที่ต้นคอทำให้ทรุดลงไปอีกครั้ง

      มันรวดเร็วมากเพราะดูเหมือนว่าเธอจะเลิกเล่นและเดินเข้าหากลุ่มผู้ชายที่ล้อมเธออยู่

    และซัดพวกเขาอย่างรวดเร็วและรุนแรงแต่เสื้อเธอกลับไม่เปื้อนแม้แต่เหงื่อ

      .."เอ่อถึงจะทำให้ภาพพจน์เราดูไม่ดีแต่ขอพูดหน่อยนะ" อยู่ๆ คิมแจกิวก็เอ่ยปากขึ้นมา ขณะที่พรรคจองกำลังขบกรามเพื่อระงับอารมณ์บางอย่างอยู่ "เมื่อกี้ตอนที่เธอตวัดเท้าเตะนายเห็นกางเกงในของเธอไหม" คิมแจกิวกล่าวด้วยความหื่น

     พรรคจองผงกศีรษะ"รู้สิ คิมแจกิวเพราะฉันกำลังดูการเคลื่อนไหวของเธออยู่ นักสู้ต้องมองสถานการณ์รอบข้างและคาดเดาการเคลื่อนไหวต่อไปใหได้ และจะไม่ละเลยรายละเอีดต่างๆหรอกนะ"




    คิมแจกิวคิดว่า นี่พรรคจองไม่รับมุขของเราเลยเรอะ อย่างนี้เราก็ดูเป็นคนลามกอยู่คนเดียวนะสิ พรรคจองนี่แย่จริงๆ ตอนนั้นไม่มีใครรู้ตัวว่าบทสนทนาของทั้งสองคน จะทำให้เกิดเรื่องราวอีกมากมายในอนาคต

       ไม่มีใครในกลุ่มนักเลงผู้ชายเหล่านั้นที่รับมือเธอได้เกินสามกระบวนท่า แต่พวกเขาก็ไม่หนีทั้งที่ฝีมือห่างกันมาก นั่นไม่ใช่ความย่ามใจเพราะการมีพวกมากกว่า แต่คนฝึกวิชาการต่อสู้ทุกคนมีความภาคภูมิใจในฝีมือของตนเอง

      ชายใส่ชุดเคนโด้ฟาดดาบไม้ไปที่หญิงสาว แต่เธอเตะสกัดไปที่ข้อมือของเขาทำให้ดาบไม้กระเด็นจากมือ และจะเตะซ้ำเข้าที่ใบหน้าของชายที่ใส่ชุดเคนโ แต่ชายที่ใส่ชุดเคนโด้ได้ยกมีดสั้นที่ทำจากไม้ขึ้นมากันไว้ก่อนแล้ว ถ้าหากหญิงสาวยังเตะมายังใบหน้าของเขามีดสั้นถูกเอ็นร้อยหวายของเธอ ศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่การปะทะด้วยกำลังแต่ยังเป็นการประลองไหวพริบบางครั้งยุทธวิธีก็เป็นสิ่งที่ตัดสินผลแพ้ชนะนอกจากกำลัง คนใส่ชุดเคนตโด้แสดงให้เห็นว่าตนเอง ไม่ใช่คนที่ใช้แต่กำลังโดยปราศจากการวางแผน เพราะการฝึกดาบจะต้องฝึกให้เกิดสมาธิ สมาธิจะก่อให้เกิดสติปัญญา

      เขายังคิดว่าหากเธอเปลี่ยนเป้าหมาย วกมาเตะท่อนล่างของเขาจะปามีดสั้นออก และใช้มือรับมีดที่ปาออกไปถ้าเธอหลงป้องกันมีด เขาก็จะใช้มือดาบที่ฝึกฝนมาปักเข้าที่คอหอยของเธอ  และใช้ศอกกระแทกที่ลิ้นปี่ คนมักเข้าใจว่าเขาฝึกแต่การใช้อาวุธแต่การใช้อาวุธนั้นต้องควบคุมตนเองให้ได้ก่อน



    เขานึกถึงการฝึกสมาธิโดยการจ้องเปลวเทียนมันเป็นการสร้างกลอุบายทางจิตใช้เพื่อการรวบรวมสมาธิ เขามั่นใจว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาสามารถรับการตอบโต้ทุกรูปแบบของเธอได้ เขามีหลักการในการต่อสู้ว่า ไม่มีการต่อสู้เช่นไรที่ไม่ยุติธรรม เพราะยอดฝีมือที่แท้จริงต้องชนะได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ตาม แต่

     เขาคำนวณผิดพลาดแล้วเธอเตะมาก็จริง แต่ระยะห่างจากที่เขาคำนวณไว้ เนื่องจากเธอสะบัดรองเท้าผ้าใบออกมารบกวนสายตาของเขา เขาปามีดออกไปป้องกันรองเท้าผ้าใบชั่วขณะนั้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆแค่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีที่เขาเน้นความสนใจไปที่รองเท้ามากกว่าทำให้สายตาของเขาคลาดจากเธอไป เขาจินตนาการขึ้นอย่างรวดเร็วและหันกลับไปและใช้มือดาบโจมตีเธอแต่ โชคร้ายที่เขาคำนวณว่าเธอจะโจมตีมาจากทางไหน

      เขาคาดการณ์ด้วยความรวดเร็วว่าเธอหลอกสายตาเขาและโจมตีจากจุดบอดของเขา คือทางหลังใบหูข้างขวาโดยการพลิกตัวเตะและถ้าเขาเร็วกว่านี้ผลก็คงเปลี่ยนไป และตอนที่เขาจะหันกลับไปโจมตีเธอนั้นเหมือนเพิ่มแรงโจมตีให้เธอ

     เขาคิดขณะดูพื้นดินที่ค่อยๆเลื่อนมาหาใบหน้าของเขาเนื่องจากเขาไม่มีแรงทรงตัวอีกต่อไปแล้ว  เรายังฝึกไม่พอ และหน้าของเขาก็คว่ำลงกับพื้นดิน

     เหตุการณ์ที่บรรยายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นติดต่อกันในเวลาไม่ถึง1นาทีแต่มีการคำนวณและวางแผนมากมายในช่วงนั้น

     เธอยังยิ้มแย้มและดูงดงามเช่นเดิมแม้จะอยู่ในภาวะเช่นนี้ คิมจองอิลรู้สึกร้อนในท้องขึ้นมา ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะเขาหยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้

      ไม่ว่าใครจะรับบาดเจ็บก็ตามแม้เขาจะเป็นคนไม่ดีก็ไม่ใช่สิ่งที่คิมจองอิลรับได้

     ขณะที่เธอปัดมือและจับกระโปรงให้เรียบร้อยหลังจากคว่ำทุกคนที่รุมล้อมไปหมดแล้ว

    ก็หันมาทางพวกเขาสามคน เธอใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากและพูดว่า

      "ชู่อย่ารบกวนพวกเขากำลังนอนกลางวัน" จัดผมให้ไปด้านหลัง  "หรือพวกนายจะมาร่วมวงด้วยก็ไม่ขัดข้องนะ "เธอยิ้มทำให้ใบหน้าที่สวยงามของเธอดูสว่างไสวและงดงามขึ้น แต่สภาพความจริงที่ว่าเธอเป็นคนที่ซัดผู้ชายกว่าสิบคนจนล้มลงคนเดียว ทำให้คิมจองอิลรู้สึกกลัวขึ้นมา

     คิมแจกิวต่างออกไป เขากลัวจนขากรรไกรสั่นแต่ก็พูดออกมาว่า "ไม่ล่ะครับนอนกลางวันตอนนี้เดี๋ยวนอนกลางคืนไม่หลับ"ยิ้มแห้งๆพร้อมกับถอยหลังหนีไปเล็กน้อย

    "และตอนนี้ผมก็กลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้วอย่าขู่ผมอีกเลยครับ " คิมแจกิวมีคติว่ากลัวก็ส่วนกลัว พูดก็ส่วนพูด เขาเป็นคนมีหลักการว่า จะไม่สู้เพราะกลัวได้อย่างไร แต่การต่อสู้ของเขาอยู่ในรูปแบบต่างจากคนทั่วไปเท่านั้นเอง นี่เองคือสาเหตุที่เขากล้าถามกล้าโต้แย้งและโดนดุเอาอยู่บ่อยๆ

      "เราไม่อยากมีเรื่องอะไรหรอกนะครับ" คิมจองอิลกล่าวกับเธอขณะตรวจดูสภาพบางคนที่นอนอยู่กับพื้น "การใช้กำลังแก้ปัญหาไม่ได้หรอกนะครับ" และสบสายตากับเธอ ไม่ใช่อย่างดุดันหรือเต็มไปด้วยความโกรธแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจที่บริสุทธิ์และไม่สั่นคลอน

      "แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น" พรรคจองกล่าวและใช้เท้าซ้ายของเขายันไปที่ระดับทรวงอกของเธอ "และอยากรู้ด้วยว่านอนกลางวันแล้วจะเป็นอย่างไร

    สายตาของเธอเปล่งประกาย เหมือนแมงมุมที่มองเห็นเหยื่อเวลาที่ติดเส้นใย มอญยัน หลักเป็นท่าที่ใช้ในการหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ "



    "คุยกันดีๆก็เข้าใจกันได้แล้วแท้ๆ จะหาเรื่องกันอีกทำไมฟะพรรคจอง" คิมจองอิลตะโกนห้ามด้วยความตกใจ แต่พรรคจองยังโจมตีต่อไป เขาเหมือนจะเดาได้ว่า เธอจะหลบท่ามอญยันหลักได้ล่วงหน้าเลยสืบเท้าเข้ามาครึ่งก้าวยกขาขึ้นสูงกว่าเดิมจากอยู่ระดับอก กลายเป็นอยู่ระดับศีรษะ แล้วตวัดตบลงมาด้วยท่า บาทาลูบพักตร์

     เธอตกใจและทำหน้าดีใจมากขึ้นกว่าเดิมที่มีคนต่อสู้ด้วย เธอชอบความรู้สึกตื่นเต้นที่หาไม่ได้จากสภาวะปกติ เป็นความรู้สึกที่คนอย่าง คิมจองอิลไม่เข้าใจเลย ชกไปมาก็เจ็บตัวกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครที่ต่อสู้แล้วจะไม่ถูกชกเลยหรอกนะ ทำไมเราต้องทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดด้วยทำให้คนอื่นรู้สึกในสิ่งที่เราไม่อยากให้ตนเองรู้สึก หมัดกระทบหน้าคนอื่นเป็นความยินดีไปได้อย่างไรกัน ชกคนอื่นหมัดตนเองก็ต้องเจ็บดังนั้นตอนฝึกต่อสู้ พ่อของคิมจองอิลจึงสอนวิธีกำหมัดให้ถุกต้องเพื่อไม่ให้นิ้วของคิมจองอิลต้องหักไปจากการชกที่ผิดวิธี

     

      เธอหลบท่าบาทาลูบพักตร์แล้วเข้าคลุกวงในอย่างรวดเร็ว การเตะสูงมีข้อดีตรงที่โจมตีได้ไว และถ้าโดนจุดสำคัญของคู่ต่อสู้ด้วยความรุนแรงพอก็จะทำให้การต่อสู้จบลงด้วยความรวดเร็ว

       

      แต่มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียโดยเฉพาะในเพศชาย การเตะสูงอาจโดนจับขาเอาไว้ได้หรือเป็นการเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้โจมตีจุดตายของผู้ชายที่อยู่ตรงหว่างขา ด้วยแรงกระแทกเพียงเล็กน้อยเคยมีรายงานว่า มีคนเสียชีวิตเพราะโดนโจมตีที่จุดนี้มาแล้ว

      พอเธอรุกเข้ามาและเล็งใส่จุดนั้น พรรคจองพลิกเอวทีหนึ่งและตวัดขากลับมาด้วยท่าจระเข้ฟาดหางแต่เธอหลบได้ฝ่าเท้าของเขาฉี่ยวศีษะของเธอไปแต่เขาไม่ยอมแพ้ งอเข่าอีกครั้งเพื่อเกียวคอเธอ มวยไทยก็มีท่าทุ่มและรัดเช่น แต่เธอกลับถอยออกไปด้านข้าง

    ทำให้แผนแรกที่พรรคจองวางไว้ต้องเสียเปล่า ด้วยท่านี้ทำให้พรรคจองปิดจุดตายได้โดยการหันสะโพกให้แต่ก็เป็นการเปิดหลังให้โจมตีเช่นกัน

     

     

    ศอกของพรรคจองไม่โดนหน้าของหญิงสาวเพราะมีมือหนึ่งรับไว้ หมัดของหญิงสาวก็ไม่ถูกกลางหลังพรรคจองเพราะมือของคนคนเดียวกัน

     

     แต่สองคนก็ไม่ยอมหยุดพรรคจองสะบัดหลังมืออีกข้างหนึ่งเพราะเห็นว่าหญิงสาวก็ยังไม่หยุดเช่น หญิงสาวสืบเท้ามาครึ่งก้าวและใช้ศอกกระแทกคนที่เอามือรับหมัดเธอไว้และเตรียมงอเข่าเพื่อเตรียมกระทุ้งเข่าใส่พรรคจองต่อไป

     

     หยุดซะทีเถอะ คิมจองอิลนั่นเอง เขาเอาตัวเข้ามาขวางคนที่กำลังทะเลาะกัน ตอนแรกเขาไม่กล้าเข้าไปขวางเพราะยังไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูกผิด และฝ่ายผู้ชายก็มีมากกว่า ฝ่ายหญิง แต่ตอนนี้เขารู้เหตุผลของการทะเลาะกันแล้วว่ามันไร้สาระ

     

     ขณะหลังหมัดของพรรคจองมาที่ศีรษะด้านหลังของคิมจองอิล กับศอกของหญิงาวมาที่ทรวงอก คิมจองอิลพูดแค่ถึงคำว่าหยุด และถ้าโดนสองคนโจมตีเข้าพร้อมกันละก็เขาต้องพูดไม่จบประโยคแน่ๆ ความที่สองมือของเขาไม่ว่างเป็นการเปิดช่องโหว่ทั่วร่างกายคำพังเพยที่ว่าสองหมัดยากต้านสี่มือนี่เป็นเรื่องจริง

     แต่คิมจองอิลก็พูดจบประโยค สองมือ เขาไม่ว่างแต่ยังมีสองเท้า ท่าที่ใช้มือ แต่คิมจองอิลสามารถใช้เท้าแทนได้  เขาดึงทั้งพรรคจองและทั้งสองคนเข้าหา คนเราจะมีแรงต่อต้านอยู่ กำลังของคิมจองอิลคนเดียวไม่พอที่จะดึงคนทั้งคู่แน่นอน

      แต่ถ้าทั้งคู่ดึงกันเองก็อีกเรื่อง คิมองอิลใช้ฝ่าเท้าปะทะกับหมัดและยืมแรงจากหมัดของหญิงสาวใช้แผ่นหลังปะทะกับแผ่นหลังของพรรคจอง

      น้ำหนักทั้งตัวของคิมจองอิล บวกกับแรงขาที่ใช้กระโดดและแรคงจากฝ่าเท้าที่รับหมัดของฝ่ายหญิงทำให้พรรคจองเสียสมดุล และจากการที่เขาออกแรงดึงจากมือข้างหนึ่งของคิมจองอิล แต่ช่วงที่คิมจองอิลใช้หลังกระแทกนั้นเปลี่ยนจากแรงดึงเป็นผลัก  ทำให้พรรคจองกระเด็นไปและล้มไปข้างหน้า พรรคจองม้วนหน้าสองรอบเพื่อผ่อนแรงปะทะ พอพรรคจองหันกลับไปก็พบคิมจองอิลจับมือทั้งสองข้างของฝ่ายหญิงไพล่หลังอยู่ นายก็พอได้แล้วน่าพรรคจอง.. เกลี้ยกล่อมคนเดียวก็เหนื่อยพอแล้ว คิมจองอิลใช้แค่มือเดียวคุมทั้งสองมือของหญิงสาวและใช้มืออีกข้างปาดเหงื่อที่ไหลซึมจนเกือบเข้าดวงตา


























    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×