ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    retake resurrection

    ลำดับตอนที่ #4 : ทางเดินกลับบ้าน

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 54


       ฟากฟ้ายามใกล้ค่ำแสงทองจับตามขอบฟ้า แว่วเสียงนกกาอยู่เซ็งแซ่ แสงสีส้มจับอยู่ตามกิ่งไม้  ใบไม้ไหวปลิวตามลม ยามเย็นเช่นนี้ที่สวนสาธารณะของเมืองสินสมุทรก็ยังคงเต็มไปด้วยผู้คน บ้างก็วิ่งออกกำลังกายบ้างก็กำลังรำมวย บ้างก็อุ้มลูกจูงหลานชมวิวทิวทัศน์ แต่ละคนก็พูดคุยกันเซ็งแซ่ที่นี่เหมือนกับ ลานสนทนาของเมืองนี้สถานที่ทุกคนได้ผ่อนคลายหลังจาการทำงานมาและร่วมใช้เวลาว่างด้วยกัน ณ ที่แห่งนี้

      ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดี เพื่อการสร้างสังคมที่ดี ทำให้เวลากลางวันที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยสูงมากและเป็นที่นิยมชมชอบของบรรดาแม่ที่ชอบพาลูกมาเดินเล่น

     แต่เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น เวลากลางคืนมีตำนานประจำเมืองเล่าว่าผู้ที่ล่วงล้ำเข้าไป ณ ที่แห่งนี้ จะไม่ได้กลับออกมาในสภาพที่เข้าไป

      สวนสาธารณะเวลากลางคืนต่างกับกลาง วัน เต็มไปด้วยมิจฉาชีพ ทั้ง ค้ายาเสพย์ติด ค้าบริการ การจ้องลักขโมย หรือแม้แต่อาชญากรรมทางเพศก็ตาม ผู้คนนั้นรักเมืองนี้ แต่ก็จำต้องรักการที่ต้องล็อกประตูบ้านไว้หลายๆชั้นด้วยเช่นเดียวกัน

     

       เราต้องภาวนาขอโชคดีถ้าหากมาแถวนี้ตอนกลางคืนแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา และค่ำคืนนี้ไตรภูมิ ก็ไม่ใช่คนโชคดีมาตั้งแต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว

    ........................

     

      โอ๊ย ลมเย็นๆนี่มันกรีดผิวดีจัง  ไตรภูมิลูบแขนของตนเองน่าแปลกที่แผลกลับเริ่มสมานตัวเองแล้ว แต่ความเจ็บก็ยังคงอยู่แม้จะไม่มีอาการบาดเจ็บทางผิวกายแล้วก็ตาม แม้แผลจางหาย ความเจ็บปวดก็ยังคงเหลือไว้อยู่ สรรพสิ่งในโลกก็เป็นเช่นนี้

     

      สวนสาธารณะยามใกล้ค่ำในเมืองนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวังถ้าคุณพยายามยามเดินทางกลับบ้านในยามเย็น

     บ้านหลายๆคนมีหลายความหมาย สำหรับไตรภูมิบ้านคือสถานที่ที่มีคนคอยเรากลับไป บางส่วนในใจเขาบอกว่าสวนสาธารณะแห่งนี้ก็คือบ้าน เพราะมีบางคนที่รอคอยเขากลับ ณ ที่แห่งนี้

     

      ว่าไงไอ้หนู ท่าทางยังกับตกตึกมาเลยนะ แป๊ะ ชายชราในเสื้อขมุกขมัวและกางเกงขาดเปื่อย เอ่ยทักทายไตรภูมิ  แป๊ะคือหนึ่งในพวกไร้บ้านที่เตร็ดเตร่อยู่แถวสวนสาธารณะแห่งนี้ ไตรภูมิและเพื่อนอีกสามสี่คนมักจะมาคุยกับแป๊ะเมื่อยามใกล้ค่ำเช่นนี้

     

      เอ่อ ก็ใกล้เคียงล่ะครับ ไตรภูมิแบ่งรับแบ่งสู้ บางครั้งไตรภูมิก็รู้สึกว่า แป๊ะแกรู้ดีแต่แกล้งถามหรือเปล่าฟะ

     

       หมัดที่เนียนราวกับคนต่อยไม่ใช่มนุษย์ ทั้งที่รุนแรง แต่ไม่เหลือจิตสังหารเลย มิน่ากระทั่งเอ็งที่ลางสังหรณ์ดีก็ยังโดนต่อยได้ แป๊ะเอ่ยอย่าไงไม่ใสใจและหันไปสนใจเตาต้มน้ำของแกต่อไป

     

     เตาที่ทำด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์นั้นไม่น่าแปลก

     

      ไฟที่ลุกอยู่ใต้กระดาษโดยกระดาษไม่ไหม้นั้นก็ไม่น่าแปลก เพราะขอเพียงรักษาระยะห่างดีๆกระดาษก็สามารถต้มน้ำได้

     

      ที่น่าแปลกคือ ทั้งที่ไม่มีอะไรรองรับเช่นก้อนหินซักก้อน แต่ กระดาษ ก็ลอยอยู่บนเปลวไฟได้โดยไม่ตกลงบนกองไฟ

     

     

       ต้มอะไรอยู่หรือแป๊ะ ไตรภูมิถามอย่างไม่ใส่ใจการต้มอย่างแปลกประหลาดนั้นเพราะเห็นอยู่แทบทุกเมื่อเชื่อวัน

     

      ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ยาแก้อวัยวะภายในบอบช้ำน่ะ ท่าทางจะมีคนรู้ข่าวลือบางข่าวเลยมีคนมาติดต่อขอซื้อกับพวกหมอดูที่อยู่แถวนี้ พวกหมอดูก็บอกข้าให้ปรุงให้อีกทีหนึ่ง ไอ้พวกนี้นี่จริงๆเลย แทนที่มันจะปรุงเอง มันดันบอกว่าให้ข้าปรุงให้จะดีกว่า เพราะของจะได้มีคุณภาพดี ออกมาน้อยชิ้นน่ะดีแล้วจะได้โก่งราคาได้มากๆแย่จริงๆ

     

      ไตรภูมิฟังเสียงถอนหายใจของแป๊ะก็ทราบดีแล้วว่า ควรจะรีบๆหนีไปซะ ก่อนที่จะโดนเรื่องที่ซวยกว่า ตาแก่เสียสติคนหนึ่งผลักตกตึก เพื่อที่จะมาถูกตาแกเสียสติอีกคน เอาตัวเป็นหนูลองยา

     

       ไอ้วิธีแกล้งบ่นๆ พอเราเผลอ ก็จับกรอกยาน่ะชินแล้วเพ่ อย่ามาใช้มุกซ้ำซะให้ยาก

     

       แผลตรงหน้าอกของเอ็งน่ะไม่หายง่ายๆเหมือนแผลตรงส่วนอื่นหรอกนะ แม้จะมีพลังรักษาที่มาจากโลกหลังความตายแล้วก็ตาม แป๊ะพูดขึ้นลอยๆ

     

      เดี๋ยวสิแป๊ะ จะดีเหรอเล่นพูดเฉลยปริศนาการที่ผมตายซะตรงนี้ ถ้าเป็นหนังสือมันรียกว่าแอนตี้ไคลแมกซ์เลยนะนี่

       

       แล้วเอ็งจะให้มันค้างคาไปทำไมล่ะวะ ต่อให้ข้าไม่บอกเดี๋ยวเอ็งก็ไปค้นหาข้อมูลเอาทีหลังได้เองอยู่ดีแล้วจะ ชักช้าอยู่ทำไม

     

       ขณะที่พูดไป ไตรภูมิก็เผลอเหลือบตาขวาขึ้นไปอันเป็นลักษณะนิสัยเมื่อเขาครุ่นคิด มันเป็นเพียงแค่การเคลื่อนไหวของสายตาเมื่อเขาใช้สมาธิในการคิดปัญหา เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เขาละสายตา รู้สึกตัวอีกทีเขาก็พบว่า นิ้วมือของแป๊ะอยู่ตรงบริเวณต้นคอของเขาเรียบร้อยแล้ว

      

       บ้าเอ๊ยช้าไปอีกแล้วเรา ไตรภูมิบ่นในใจขณะที่เขารู้ตัวว่านิ้วมืออยู่ที่ต้นคอก็นับว่าจบกันแล้ว

     

       ไตรภูมิตัวแข็งขยับไม่ได้ทั้งร่าง ทำได้แค่เหลือกสายตาไปมาเท่านั้นเอง ปากของไตรภูมิอ้าค้างอยู่ไม่สามารถหุบลงมาได้

     

      ยาที่อยู่ในถ้วยกระดาษ ค่อยลอยขึ้นมากลางอากาศราวกับงูที่เลื่อยอยู่กลางอากาศ กลิ่นหอมแบบเดียวกับที่เขาเคยได้กลิ่นตอนที่ไฟไหม้แล้วมีคนติดอยู่ข้างในกองไฟ ไอ้คนที่ติดอยู่ในกองไฟก็ตัวเขาเองนั่นแหละ ของเหลวร้อนราวไฟลวกไหลผ่าเข้าลำคอของเขา

    กลิ่นของมันมากกว่าจะรียกว่าขมควรจะเรียกว่าไหม้มากกว่า ลำคอของเขาแห้งราวเถ้าถ่านหลังจากกลืนลงไปแค่ถ้วยกระดาษเล็กๆถ้วยเดียว แต่รู้สึกอืดในท้องยิ่งกว่าดื่มน้ำสามขวดเสียอีก

     

      ช่วงที่ตัวเขายังค้างแข็งอยู่ในท่าอ้าปากค้างแม้ของเหลวสีเขียวจะไหลเข้าลำคอของเขาไปแล้วก็ตาม รู้สึกตัวอีกที ร่างของเขาก็ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ใช่คำเปรียบเปรย แต่ตอนนี้เขาลอยอยู่กลางอากาศจริงๆ จากการที่แป๊ะ จับเขาโยนขึ้นท้องฟ้าและตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ที่ปากของเขาหุบลงแล้ว แต่ยังคงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เพราะคอและปากยังร้อนลวกอยู่

     

      “เอาล่ะคราวนี้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่หน้าอกของเจ้า คราวนี้เจ้าก็จะได้โอกาสฝึกหมัดเจ็ดทำร้ายซักทีนะ ไม่ต้องมัวแต่ฝึกพื้นฐานแบบที่เจ้าชอบทำมาตลอดซะทีW

     

      แป๊ะ พูดพร้อมกับความตื่นเต้น จนหวดขาวชี้แกว่งไปมา

     

             (เฮ้ยอย่า... การฝึกวิชาฝีมือต้องเริ่มจากหั่นผักสองปี แบกน้ำสองปีผ่าฟืนสองปีและหมัดเท้าพื้นฐานอีกสองปีถึงจะเริ่มฝึกพื้นฐานลมปราณได้ไม่ควรข้ามขั้นการฝึกในตอนนี้  

                 หมัดเท้าพื้นฐานผมยังฝึกไม่จบเลยจะฝึกวิชาที่เสี่ยงอย่างนี้แล้วเรอะ แล้วอีกอย่างยาบำรุงต้องกินตอนร่างกายสมบูรณ์ถึงจะใช้ประโยชน์จากการใช้ฤทธิ์ยาได้อย่างสมบูรณ์ การทานยาบำรุงหรือของที่เพิ่มพลังธาตุหากร่างกายรับไม่ไหว ชีพจรก็แตกตายทันทีไม่ใช่เรอะ  จะฆ่าตูแบบไม่ให้เหลือซากศพเลยใช่ไหมนี่)

     

             เพียงเสี้ยววินาทีจากที่แป๊ะพูดไตรภูมิก็คิดได้เป็นวรรคเป็นเวร ราวกับว่าเขาดูการขึ้นต้นของประโยคก็พอรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะพูดอะไรออกมาประกอบกับภาษากาย เช่นหมัดที่จะพุ่งเข้ามากระทบใบหน้าของเขานั้นแม้เวลาจริงๆจะแค่เสี้ยววินาที

     

               แต่ความรู้สึกของเขาที่อะดรีนาลีนหลั่งไปทั้งตัวเช่นนี้เหมือนกับหมัดของแป๊ะเคลื่อนไหวเข้าหาเขาอย่างช้า เวลาเสี้ยววินาทีที่เหมือนชั่วนิรันดร์แบบเดียวกับคนที่เกิดอุบัติเหตุที่ภาพชั่วชีวิตจะปรากฏขึ้นมาเพียงเสี้ยววินาที ยิ่งยาวนานขึ้นไปอีกสำหรับคนที่สมองไวกว่าปกติอย่างไตรภูมิ

     

      ฟาดตับ ทำร้ายไต ทำลายชีพจรหัวใจ ขยี้ปอด ป่นกระดูก  ทลายสมอง กระชากวิญญาณ

     

      “หลักการของหมัดเจ็ดทำร้าย คนธรรมดาจะฝึกปรือจากตำรา แต่เจ้าไม่ใช่คนธรรมดาข้าเลยให้เจ้าฝึก จากการถูกทำร้ายเองจะมีวิธีไหนที่เข้าใจหมัดเจ็ดทำร้ายดีกว่าไปถูกทำร้ายด้วยเพลงหมัดนี้เองอีก”

     

     

       พอพูดถึงฟาดตับ ตับของเขาก็ยุบลง ทำร้ายไต ไตของเขาก็สะท้าน หัวใจเขากระตุกวูบเลือดแทบออกจากปาก ลมหายใจขาดห้วงเนื่องจากปอดหดตัวคิดที่จะหายใจแต่ทำไม่ได้อีกต่อไป กระดูกปวดร้าวไปทั้งตัว

     

      พอถึงการทลายสมองก็โดนฟาดฝ่ามือเข้าที่กลางขม่อมที่เป็นจุดอันตรายแม้เพียงแตะเบาๆก็ตายได้ไม่ต้องพูดถึงการฟาดด้วยกำลังอันรุนแรงเลย สมองของเขาเลอะเลือนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะขยับแขนขาอย่างไร พอคิดขยับมือ ขาขวากลับกระตุก คิดที่จะเงยหน้ากลับปัสสาวะราดออกมา

       

       แต่พอกล่าวถึงประโยคสุดท้ายกระชากวิญญาณนั้นกลับไม่มีการโจมตีเข้ามาเป็นเพียงการยืนเฉยๆเท่านั้น แต่ทั้งตัวของเขากลับสั่นเทิ้มเนื่องจากความกลัว  ความกลัวที่ไร้รูปร่างความรู้สึกที่ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถสู้ต่อไปได้อีก

     

      คนบางคนต่อให้แข้งขาหักร่างกายอ่อนล้า เขานั้นก็ยังคงยืนหยัดลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อไป กับคนบางคนต่อให้ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่แต่ถ้าถอดใจไม่ยอมลุกขึ้นมาการต่อสู้ก็จะจบลงเพียงเท่านั้นเองโจมตีทางจิตใจคือการโจมตีที่ได้ผลที่สุด

     

      ไตรภูมิ ได้กลับมายืนอยู่ที่พื้นเหมือนกับว่าร่างกายของตนเองเป็นของเหลวที่ไร้รูปร่าง สองขาสั่นสะท้านและต้องตั้งสมาธิจึงยังสามารถยืนอยู่ได้มิเช่นนั้นคงลงไปนอนที่พื้นราวกับก้อนดินน้ำมันเหลวๆไปแล้ว

      ไม่เลวนี่ถึงข้าจะช่วยเจ้านิดหน่อยก็เถอะ ยังยืนอยู่ได้นี่ก็นับว่าเจ้าเก่งเอามากๆแล้วล่ะ

     

      แป๊ะเอ่ยชมถึงเขาจะเคยประเมิณไตรภูมิไว้สูงเอามากๆก็ตามแต่ก็ยังมีเรื่องให้แปลกใจได้อยู่เรื่อยๆ

     

      แต่ไตรภูมิกลับยังขยับร่างกายเดินเข้ามาหาแป๊ะได้ หนึ่งก้าวอย่าง งกๆเงิ่น หัวเข่าราวกับจะทรุดลงได้ทุกเมี่อ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ค่อยๆทรงตัวได้ราวกับทารกที่เรียนรู้การตั้งไข่และการทรงตัวอย่างรวดเร็ว

     

      ฮะฮะเยี่ยมมาก ท่าทำลายสมองแทบไม่มีผลกับเจ้าที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเลยสินะไม่ถึงนาทีก็ เรียนรู้การทำงานของร่างกายที่สับสนได้เกือบหมดแล้ว แป๊ะดึงเคราขาวแซมดำของตนที่มัดไว้ด้วยหนังยางสีแดงอย่างอารมณ์ดีขณะที่มองไตรภูมิกำลังทรงตัวอยู่

     

       พอ...ดีผม ไม่ได้เคยโดนท่า....ที่มีผลคล้ายๆกันอย่างนี้ ค..รั้งแรกนะแป๊ะเลยมีประสบการณ์ที่ประสาทสัมผัสสับสน...อยู่บ้าง ไตรภูมิพูดอย่างตะกุกตะกักหูเขายังอื้ออึ้งจากเสียงของตนเอง การพูดเป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้การบังคับกล้ามเนื้ออย่างละเอียดเพราะการพูดสัมพันธ์กับปากลิ้นฟันปอดสมองกระบังลมและกระเพาะ หากพูดได้คล่องก็เป็นการค่อยๆเรียนรู้การจัดวางร่างกายของตนให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและสามารถบังคับร่างกายได้อีกครั้ง

     

      แต่ .. ก ..การจัดการ กับเรื่องแบบนี้คนเดียว ก็ เพิ่  ... ง จะเป็นครั้งแรกน่ะ ไตรภูมิกัดลิ้นของตนเองเข้าจึงหยุดพูดไปพักหนึ่งเพื่อทำสมาธิ และท้องน้อยของเขาร้อนวูบขึ้นมาแขนขากระตุกและขยับไปเอง เขารู้ได้ทันทีว่าสิ่งนี้คือลมปราณที่ร่างกายของเขาไม่ค่อยเหมาะกับมัน

     

             ไตรภูมิเชื่อเรื่องการฝึกฝนที่เหมือนการก่อสร้างตึก ที่ต้องปรับพื้นฐานร่างกายภายนอกให้หนักแน่นก่อนจึงจะเริ่มฝึกกำลังภายใน ดังนั้นช่วงแรกแค่ฝึกการกำหนดจิตสมาธิและลมหายใจก็พอ ถึงจะเดินบนเส้นทางที่ช้าหากค่อยๆเดินไปสักวันก็ต้องถึงเป้าหมาย ไตรภูมิ ไม่ยอมเดินไปในทางลัด

     

         ดังนั้นตอนนี้ไตรภูมิจึงอยู่ในช่วงของการฝึกกำลังกายพื้นฐาน กำลังภายในมีน้อยนิดมากเพราะสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นนอกจากเคลื่อนไหวคล่องแคล่วกว่าปกติอยู่บ้างและวิ่งประมาณ 5กิโลเมตรได้โดยไม่เหนื่อยหอบแล้วเขาก็แทบไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกวิชาลมปราณ

     

         แต่ไตรภูมิก็ไม่ได้ย่อท้อในการฝึกเพราะรู้ว่าจะมีประโยชน์ต่อตนเองในเรื่องความแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย ฝึกร่างกายเพื่อรักษาสุขภาพที่ดีไม่ใช่เพื่อไปทำร้ายใครนั่นคือความคิดของไตรภูมิ แต่แป๊ะที่สอนไตรภูมิทุกวันไม่เห็นด้วยแล้วจงใจ ตอนสอนวิชาแก่ศิษย์น้องของเขาก็จงใจพูดวิชายาวๆที่รู้ว่าศิษย์น้องฟังไม่ทันแต่เข้าหูไตรภูมิอยู่ทุกที เพื่อยั่วให้เขาอยากฝึกวิชาที่พูดออกมา แต่ไตรภูมิก็แค่ฝึกชกหมัดกับเตะธรรมดาไปเรื่อยๆอย่าง ไม่สนใจ ทั้งสองฝ่ายก็ยันกันในลักษณะนี้ ช่างบ้าบอกันทั้งสองฝ่ายจริงๆ

     

       ขนของเขาทั้งร่างลุกชันขึ้นมาฟันกระทบกันกึกกัก กำลังจากภายในร่างพลุ่งพล่านขึ้นมาให้เคลื่อนไหวร่างกายไปตามกำลังภายในที่มีอยู่ในร่าง เขาต่อยไปด้วยสัญชาตญาณ การวางเท้าการถ่ายกำลังจากทั้งร่างสู่หมัด โดยท่านั่งม้าอันเป็นท่าพื้นฐานของการฝึกชก ฟึ่บ ทั้งที่ต่อยออกไปช้าๆแต่กลับมีเสียงลมออกมาอย่างรุนแรงแบบเดียวกับวัตถุที่ฝ่าอากาศด้วยความเร็วสูง เสียงสะท้อนก้องจนนกกาทั่วทั้งสวนสาธารณะบินจนแตกกระเจิง และส่งเสียงร้องเซ็งแซ่

     

       แต่คนที่อยากร้องมากที่สุดคือไตรภูมิน้ำตาไหบออกมาจากหางตาโดยไม่รู้ตัวริมฝีปากกัดแน่นจนเลือดออกแขนของเขาเจ็บปวดร้าวกับจะแยกจากกากัน

     ทำร้ายตนเองก่อนจึงจะสามารถทำร้ายผู้อื่นได้ วิชาที่ขึ้นตนก็ทำร้ายร่างกายตนเองแล้วอย่างนี้ไม่ถูกใจไตรภูมิเอาซะเลย

     

      แขนไตรภูมิอาจจะยังไม่ถึงขั้นหักไม่ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไปหรือโชคดีที่พลังไตรภูมิยังไม่สูงพอ ที่นับว่าเป็นโชคดีอันน้อยนิดในโชคร้าย แต่วิกฤติของไตรภูมิยังไม่หยุดแค่นั้น ท้องน้อยของไตรภูมิร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้งแต่คราวนี้ไตรภูมิพยายามผ่อนคล้าย บรรพชนกษัตริย์ของจีนเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมบริเวณแม่น้ำเหลืองวิธีแก้ไม่ใช่การสร้างเขื่อนกั้นน้ำ แต่ใช้วิธีปล่อยร่องระบายน้ำให้น้ำลดความเร็วลงอยู่ในปริมาณที่ควบคุมได้และไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านไตรภูมิทราบข้อนี้ดีจึงไม่พยายามต้านด้วยกำลังแต่ค่อยผ่อนแรงกระแสปราณอันเชี่ยวกรากนี้ด้วยการเคลื่อนไหวของเขา

     

          แต่เขาคำนวณพลาดกระแสลมปราณเปลี่ยนอีกครั้งคราวนี้  ปอดของเขาหายใจเข้าออกไม่ได้ปอดพลันหดตัวลงอย่างรุนแรงจนเขาเจ็บปวดที่หน้าอก ไม่สามารถหายใจเข้าและหายใจออกได้อีกต่อไป ปากของเขาขาวซีด เขาคำนวณการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปด้วยความระมัดระวังเพราะเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว เริ่มด้วยกระดูกตามด้วยปอดต่อไปก็

     

            ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บหัวใจเต้นแต่คราวนี้ไตรภูมิไม่ได้เคลื่อนไหวอีกแล้วเขาผ่อนคลายร่างกายทั้งร่างให้อยู่ในสภาพยืนตรงอย่างสงบ ปล่อยให้หัวใจเต้นหลับตาตั้งสมาธิ ฟังเสียงของหัวใจ ใช้โอกาสที่ปอดหยุดส่งอากาศค่อยๆทำความเข้าใจกับการควบึคุมอวัยวะภายในเช่นหัวใจว่าขีดสุดเป็นอย่างไร โดยไม่รู้ตัวทีละเล็ก ทีละน้อย เขาค่อยๆทำให้หัวใจกลับมาสงบได้อีกครั้ง พร้อมๆกับปอดที่เปลี่ยนลมหายใจเข้าไปสู่ปอดได้อีกครั้งด้วยการค่อยๆสูบลมเข้าและปล่อยลมออกพร้อมกันทีละนิ ด ทีละนิด เป็นอีกครั้งที่เขาซาบซึ้งและขอบคุณการฝึกพื้นฐานเรื่องกายควบคุมการหายใจในการฝึกขั้นพื้นฐานและการหายใจที่แท้จริงต้องลึกและยาวจึงจะมีคุณประโยชน์เต็มที่

     

      การเปลี่ยนแปลงของลมปราณเกิดขึ้นอีกครั้งคราวนี้เกิดขึ้นที่หน้าท้องของเขาเพราะการหายใจแบบการฝึกลมปราณหายใจเขาต้องให้ปอดขยายตัวเต็มที่หายใจออกก็อัดลมเข้าสู่หน้าท้อง ตับของเขาร้อนฉ่าขึ้นมาเขาได้รับรู้อีกครั้งว่าอวัยวะภายในนั้นร้อนกว่าอุณหภูมิภายนอกอีก

     

         คราวนี้เขากลับมาใช้ หมัดอีกครั้ง แต่คราวนี้กลายเป็นฟาดฝ่ามือกลางอากาศด้วยความรวดเร็วแต่คราวนี้ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย ฝ่ามือเป็นส่วนหนึ่งของทั้งมือ พลังหมัดที่แท้จริงมาจากทั้งร่าง จึงทรงพลังกว่าผู้ที่ปล่อยพลังจากแขนเพียงอย่างเดียว

     

       จากนั้นร่างกายของเขาบวมขึ้นมามือของเขากลายเป็นบวมฉุเหมือนกับสวมถุงมือสีเนื้ออยู่ บริเวณต้นแขนก็เป็นจ้ำสีม่วงเป็นจุดๆ คราวนี้เขารู้ตัวดีการปรับสมดุลย์หยินหยางนี่เอง

     

          คราวนี้ ไตสินะ จากความร้อนลวกมาสู่การระบายน้ำในร่างกาย ไตรภูมิไม่ตกใจ ความร้อนกับปริมาณน้ำเป็นของคู่กันคนเราอาศัยน้ำเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกายไม่ว่าทางเหงื่อหรือปัสสาวะดังนั้นคนที่ไตเสียขับถ่ายของเหลวไม่ดีตัวจะบวมได้ง่ายเพราะไม่มีการระบายของเสียออกจากร่างกาย นี่คือวิชาฝีมือที่ทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาสุขภาพดีจริงๆ

     

      ปรับระหว่างความร้อนของตับและอวัยวะภายในและการขับถ่ายน้ำของไตรไปพร้อมกัน จะจัดการแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

     

         ทันใดนั้นร่างกายของไตรภูมิก็ค่อยลดลงมีการระบายความร้อนโดย ร่างกายของไตรภูมิมีไอสีขาวที่ลอยออกมาจากร่างกายอย่างอ่อยอิ่งแม้ช้าแต่ก็หนาแน่น พวยพุ่งขึ้นเป็นเส้นตรงประมาณสามสิบเซนติเมตรก่อนจะค่อยๆกระจายออกไปโดยรอบเป็นสภาพของการเดินลมปราณถึงขั้นคับขันสำคัญนั่นเอง

      

        ย๊าก

     

         ไตรภูมิตะโกนออกมาก่อนที่จะชกไปข้างหน้าเป็นหมัดปกติแบบเดียวกับที่ไตรภูมิเคยชกมาหลายสิบครั้งแต่ คราวนี้ทิศทางที่ชกไปนั้น ไปโดนต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย แต่ใบไม้จากตั้นนั้นร่วงหลุดเกือบหมดต้น

     

      “ฮะ ฮะเยี่ยมมาก ตอนนี้ต้นไม้ต้นนั้นท่อน้ำเลี้ยงคงถูกทำลายหมดแล้ว ทำได้ดีมาก สมกับที่เป็นศิษย์เอกของข้าจริงๆ” แป๊ะม้วนเคราไปมาอย่างอารมณ์ดี

     

      ไตรภูมิลำคอแห้งผากไม่ใช่เพราะการเสียน้ำในร่างกาย หรือร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำมาแทบถึงขีดสุดแต่เพราะความรู้สึกเลวร้ายที่อยู่เต็มอก การทำลายล้างโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้จิตใจของเขาหดหู่ทุกครั้ง

     

       ด้วยความเศร้าในใจเขาตะกุยกรงเล็บไปตามสัญชาตญาณ บางสิ่งเบื้องลึกในใจของเขาเคลื่อนไหว ด้วยความตื่นเต้นดีใจแต่.. ทันใดนั้น แป๊ะมาขวางทางการตะกุยกรงเล็บของเขาไว้ มืออันผอมแห้งแต่เต็มไปด้วยพลังสกัดการตะกุยของเขาไว้แต่ผลของมันทำให้หน้าอกของแป๊ะ เป็นรอยเหมือนกับกรงเล็บของสัตว์ร้าย ที่มีสามเล็บลากผ่าน เสื้อสีขาวขมุกขมัวของขาดเผยให้เห็นลอยแผลเป็นที่มีรูปร่างเหมือนเอาบางสิ่งมาปะตรงหน้าอกมากกว่าจะเรียกว่าเผลเป็นทั่วไป

     

       ได้กลิ่นไหม้ลอยขึ้นมาจากรอยดำนั้น แป๊ะยิ้มแบบดีใจมากกว่าเดิม แต่ก็เหมือนกับเสียใจในบางอย่าง

     

          “ดีมาก เจ้าฝึกได้ประมาณสามส่วนของหมัดเจ็ดทำร้ายแล้ว กระบวนท่ากระชากวิญญาณในแบบของเจ้าทำได้ไม่เลวแต่หากข้าไม่หยุดไว้ก่อนละก็ ข้าคงต้องหาคำอธิบายเรื่องที่ทำไมถึงมีร่องรอยขีดข่วนขนาดใหญ่อยู่บนพื้นถนนแน่ๆ”

     

      “ถนน ถนน มันอยู่ห่างไปตั้งเกือบ 200เมตรนะครับ เวลาที่พวกเราฝึกกัน เจ้าแก่นมันก็ทำพื้นเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่ แล้วนี่” ไตรภูมิเอ่ยขึ้นในสภาพที่ลิ้นยังพองอยู่เต็มปาก

     

      ไตรภูมิคิดถึงตอนฝึกปกติเขาก็ต้องรับหน้าที่เป็นคนกลบหลุมที่เกิดขึ้นจากการฝึกหรือเก็บเศษกิ่งไม้หรือเศษสิ่งของอยู่แล้วซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะถือเป็นการฝึกกำลังพื้นฐานและความคล่องตัวไปด้วย ถึงจะรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบหน่อยๆเพราะเขาไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดความเสียหายก็เถอะ

     

       ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิ ข้าถึงต้องหยุดไว้ก่อนไงล่ะ หากไปโดนรถคนเดินไปเดินมาบนถนนแล้วเป็นข่าวดังขึ้นมา ข้าจะหาที่อยู่ยากเอา แป๊ะเริ่มมีแสงสีขาวจางๆส่องมาจากหน้าอกก่อนที่จะค่อยๆจางหายไป รอยดำเหมือนกรงเล็บไม่อยู่อีกแล้วแต่ยังฝากริ้วรอยจางๆเหมือนเส้นผมอยู่บนลำตัวของแป๊ะ

     

      “ฟู่ เจ้าเริ่มเดินทางซะทีนะหลังจากหยุดมานาน”

     

         แป๊ะถอนหายใจพร้อมกับเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว กลางดึกก็เริ่มมาเยือน

     

     ไตรภูมิใช้เวลาในการเดินลมปราณให้อยู่ในสภาพปกติไม่ใช่เวลาพักเดียวอย่างที่เขาเข้าใจ แต่กินเวลาไม่ต่ำกว่า 4-5ชั่วโมงทีเดียวทำให้ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว

     

      คิดดูสิไอ้หนู เอ็งโชคดีแค่ไหนที่ช่วงคับขันสำคัญของการเดินลมปราณมีข้าคอยเฝ้าอยู่ข้างๆไม่อย่างนั้น อาจจะเกิดเหตุร้ายแรงอะไรขึ้นมาก็ได้ขณะที่อยู่ในช่วงสำคัญ

     

       โชคดีเรอะ ถ้าตั้งแต่แรก แป๊ะไม่บังคับให้ผมเดินลมปราณแบบเร่งรัดอย่างนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ตั้งแต่แรกแล้วโว๊ย ไตรภูมิก็ได้แต่บ่นอยู่ในใจ

     

       จากนั้นแป๊ะก็บอกว่า กลับบ้านนอนกันได้แล้วพรุ่งนี้ต้องไปเรียนนี่นา ทำให้ไตรภูมิรู้ว่าวันหยุดสองวันของเขาหายไปสองวันเต็มๆจากวันศุกร์ ที่ตกมาจากตึก และฟื้นในวันอาทิตย์  และความซวยในวันนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว

     

       “อ๊ะ เกือบลืม  ยาที่เหลือเอ็งจะลองไปกินเวลาบาดเจ็บภายในก็ได้นะไหนๆก็ปรุงมาแล้ว ทานแบบไม่เกินสามหยดล่ะไม่อย่างนั้นจะแย่เอา ส่วนที่เอาไว้ขายคนมาติดต่อขอซื้อข้าแยกไว้แล้ว”

     

         แป๊ะ โชว์ให้เห็นยาสีเขียวปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียวในขวดน้ำหวานขนาดเล็กที่ไม่มีขายแล้วในสมัยนี้ขึ้นมา

     

       “เอาไปเข้าบัญชีของเอ็งแบบเดิมละกัน”

        

          อืม ปริมาณที่ใช้ขายคนทั่วไปใช้แค่นั้นก็พอแล้ว แต่ดันให้ผมทานซะเกือบหมดถ้วยนี่นะ   ของบำรุงร่างกายทานมากไป แทนที่จะดีกลับเกิดผลร้ายนะโว๊ย

    ..................

     

       สรรพสิ่งเป็นได้ทั้งยาและพิษขึ้นอยู่กับขนาดและวิธีการใช้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×