ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พีกาซัส

    ลำดับตอนที่ #4 : อีกฟาก

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 49


    ***ภาพประกอบจาก http://pantransit.reptiles.org/ ***

    ตอนนี้บาดแผลตามร่างกายของวิลเลี่ยมเริ่มหายดีแล้ว เขาต้องฝึกการใช้ขาเทียมอยู่นานพอสมควร แต่มันก็มากพอที่เขาจะเคยชินกับสิ่งแปลกปลอมที่ต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเค้าชิ้นนี้ วัยสิบสองปีของเขาไม่ใช่วัยที่จะมาควรวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าอย่างที่เขาเคยทำ นอกจากงานในฟาร์มแล้วเขายังอาสาเป็นลูกมือของหมอเอ็ดวาร์ดผู้มีพระคุณต่อเขา ตลอดวันถ้าไม่มีคนไข้ เขาก็จะนั่งอ่านหนังสือและทำการจดบันทึกพืชพรรณที่เป็นสมุนไพรและใช้ในการทำยารักษาได้
     
    "หมอครับ ขอผมเข้าไปในชายป่าหน่อยได้ไหมครับ" บ่ายแก่ๆวันหนึ่งซึ่งไม่มีผู้ป่วยแล้ว วิลเลี่ยมไล่เลียงถามเพื่อขออนุญาตหมอออกไปเดินในป่าไกลๆบ้าง ด้วยความที่เห็นว่าวิลเลี่ยมถนัดในการเดินด้วยขาเทียมแล้ว จึงพยักหน้าเชิงอนุญาตและไม่ว่าอะไรอีก

    เด็กชายนำสมุด ปากกาขนนกและขวดหมึกติดตัวไปด้วยเผื่อเจอพืชพรรณที่ต้องจดบันทึก เขาแวะไปบอกผู้เป็นแม่ซึ่งขะมักขเม้นอยู่กับการถักผ้าพันคอไว้ใช้ในหน้าหนาวแล้วจึงปลีกตัวออกมา เขาเดินลัดเลาะตั้งแต่ธารน้ำริมฟาร์มขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งหญ้ากว้างที่เคยวิ่งเล่นไปถึงชายป่า เขาเดินจดบันทึกพืชพรรณตามรายทางได้ครู่หนึ่งก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเข้ามาลึกเกินไปแล้ว เสียงน้ำเป็นสายตกจากที่สูงดังแว่วมาจากข้างหน้า เขาจึงเลือกที่จะไปเดินสำรวจต่อเพราะว่าอาจจะเจอพืชที่ขึ้นอยู่แต่บริเวณที่เป็นน้ำตกก็เป็นได้

    สายน้ำตกเล็กๆแห่งหนึ่งตกลงในบ่อกว้างซึ่งเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อกับลำธาร ถึงต้นไม้แถวนี้จะขึ้นสูงแต่แสงแดดกลับเหมือนจงใจส่องลงมาที่บ่อกว้างที่รองรับน้ำตกนี้ น้ำสีอำพันที่โดนแสงแดดยามบ่ายส่องกระทบฉาดประกายวิบวับ กลางป่าทึบ เขาไม่ได้อยู่คนเดียวแต่อย่างใด ไม่ห่างไกลไปจากที่เขายืนอยู่ บนพื้นดินริมบ่อน้ำที่ไม่มีหญ้าขึ้น เขาพบชายร่างกายกำยำล่ำสันยืนจ้องมองมาที่เขา เขาคนนั้นผู้ซึ่งมีความเป็นชายเต็มตัว ผมหยักศก จมูกโด่งคมสัน ปากเป็นได้รูปเป็นกระจับ อกผาย ห่มอาภรณ์ด้วยผ้าสะอาดสีขาวล้วน ในมือถือไม้เท้าด้ามยาว เขาย่างก้าวนวยนาดแต่กลับสง่าผ่าเผยมาประจันหน้ากับเด็กชาย ซึ่งตอนนี้ร่างกายเหมือนกับถูกมนต์สะกดตรึงไว้

    "สวัสดีวิลเลี่ยม" ชายหนุ่มเอ่ยชื่อเขาเบาๆ มนต์สะกดที่อุปาทานไปเองนั้นเหมือนถูกคลายออกในทันที

    "สวัสดีครับ เอ่อ คุณ?" เด็กชายพยายามถามด้วยมารยาทที่ดีที่สุดในตอนนั้น แต่เขากับระเบิดเสียงหัวเราะอันสดใสแต่ฟังมีอำนาจ

    "นี่ ไม่ต้องแนะนำตัวให้เสียเวลา ฉันรู้ดีเลยหล่ะว่าเธอน่ะเป็นเด็กดี แต่ในเมื่อเธอมาเห็นฉันแล้ว ฉันก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งก็คือ ความลับของฉัน จะต้องเป็นเธอที่รู้คนเดียวว่าฉันมาอาศัยอยู่ที่น้ำตกนี่ และข้อแลกเปลี่ยนก็คือ เธอสามารถขอพรได้สองข้อ" เขากล่าวโดยไม่เว้นจังหวะหายใจ และยิ้มแป้นเมื่อเห็นสีหน้างงๆของวิลเลี่ยม

    "ใช่แล้ว ฉันเป็นเทพบุตร ใครๆเค้าก็เรียกฉันแบบนี้ เอาล่ะ รีบขอมา"

    "แต่ว่ามันจะเรียกว่าการแลกเปลี่ยนยังไงละครับ นี่มันเป็นสิ่งที่คุณเสียทั้งนั้น" เด็กชายถามด้วยความสงสัย และมีคำถามอยู่ในหัวอีกมากมายซึ่งไม่รวมกับพรสองข้อซึ่งเขาไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้

    "ฉันน่ะรู้ความปรารถนาในใจเธอเรียบร้อยแล้ว ข้อแรกก็คือ อยากให้แม่ของเธอหายจากโรคที่เป็นอยู่ และ สอง เธออยากให้น้องชายของเธอกลับมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม" วิลเลี่ยมได้แต่พยักหน้าเบาๆ แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถาม ชายหนุ่มเทพบุตรก็กล่าวต่อ "ฉันน่ะไม่ได้ให้พรเธอแบบขอปุ๊บได้ปั๊บหรอกนะ ฉันมีหน้าที่แค่กำหนดชะตาเท่านั้น แม่ของเธอน่ะจะหายในไม่ช้าก็เร็ว ส่วนการที่เธอทั้งสองจะได้พบกันอีกนั่น ฉันเนี่ยแหละจะเป็นผู้กำหนดเอง แต่ก็เช่นเคย ไม่ช้าก็นาน"

    ถึงแม้จะไม่เชื่อ วิลเลี่ยมก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรอีก เพราะเหมือนกับว่าโลกนี้หมุนติ้ว และเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

    มันกินเวลาเพียงแค่ชั่วครู่ หรืออาจจะเนิ่นนานไม่ทราบ แต่เมื่อเขาตื่นมา เขาก็คิดว่าตัวเองฝันไปเพ้อเจ้อ เทพบุตรจะมีอยู่จริงได้อย่างไรล่ะ เขาลุกขึ้นมาจากพื้นดิ ดวงตายังไม่ทันจะปรับสภาพเข้ากับแสง เขาก็ได้ยินเสียงเล็กๆเรียกชื่อเขา หันไปดูทางไหนก็กลับไม่เจอต้นตอของเสียง นอกจากกระรอกน้อยตัวหนึ่งซึ่งยืนสองขาถือลูกโอ๊ก จ้องเขาตาแป๋วอยู่ตรงหน้า เท่านั้น หา?กระรอกเนี่ยนะจะพูดได้

    "คงตกใจล่ะสิ วิลเลี่ยม" กระรอกน้อยขยับปากพูด ภาษามนุษย์เหรอ! เด็กชายสะดุ้งสุดตัว เจ้ากระรอกน้อยยังคงยืนท่าเดิมไม่มีท่าทีว่าจะตกใจกลัวมนุษย์เหมือนกับกระรอกที่เคยพบเจอทั่วไปเลย "นายจำเทพบุตรคนนั้นได้ไหมล่ะ เขาลืมบอกนายว่า เขาให้พรให้นายพูดกับสัตว์ได้ เจ๋งใช่ม้า?"

    ไม่ได้ฝันไปหรือนี่ หรือเขากำลังฝันอยู่กันแน่ สัตว์พูดได้เนี่ยนะ จะให้เขายอมรับว่าของพรรนี้มันมีอยู่จริงบนโลกนี้งั้นเหรอ อีกทั้งชายชุดขาวคนนั้นที่เค้าฝันถึง แต่ทำไมฝันมันเหมือนจริงเช่นนี้ล่ะ เจ้ากระรอกน้อยทำท่าฮึดฮัด กระโดดอย่างคล่องแคล่วขึ้นมาบนบ่าของเด็กชาย เอื้อมมือน้อยๆบิดแก้มเขาสุดแรง "คงคิดว่าตัวเองฝันไปน่ะสิ"

    "พวกเรารู้ดีว่านายน่ะไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วในหมู่บ้าน เทพบุตรนั่นเลยขอให้พวกเราช่วยเป็นเพื่อนนาย"

    "เป็นเพื่อนผมงั้นหรือ"

    "นายสนใจในพืชพรรณใช่ไหมล่ะ ถ้านายเป็นเพื่อนกับเรา นายก็จะได้ไกล้ชิดกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดกับป่าที่สุด" ถ้านี่เป็นความจริง นอกจากขาเทียมของเขาแล้ว นี่คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาต้องยอมรับว่ามีอยู่จริงบนโลก เวทย์มนต์ ปาฏิหาริย์ หรือคำศัพท์อะไรก็แล้วแต่ที่มนุษย์นั้นสรรหาจะมาเรียกเจ้าสิ่งนี้

    "เอาล่ะ นี่ก็เย็นแล้ว ฉันว่านายน่ะกลับบ้านไปก่อน ตอนบ่ายๆพรุ่งนี้สัตว์ทั้งหลายจะมาประชุมกันเรื่องที่จะช่วยเหลือนายให้ได้เจอกับน้องชาย หวังว่านายคงจะมานะ แล้วไม่ต้องกลัวหรอก นายน่ะคุยกับสัตว์ได้ทุกชนิด แล้วก็ไม่มีตัวไหนคิดจะกินนายด้วย" วิลเลี่ยมได้ฟังกระรอกน้อยก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อนอกจากคำขอบคุณ ระหว่างทางกลับบ้าน เขารู้สึกว่าในหัวใจนี้เต็มไปด้วยความสับสน ไม่สิ น่าจะเป็นความปิติมากกว่า เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาพบกับเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์แบบนี้เลย
      
    "กลับมาแล้วครับแม่" เขาว่าพลางเปิดประตูเข้าไป แม่ของเขาซึ่งป่วยเป็นโรคไอเรื้อรังกลับมีสีหน้าที่สดใสขึ้น ใบหน้าดูมีเลือดฝาดและกลับมาดูสวยสดใสเหมือนสาววัยสะพรั่ง เสียงของแม่ฟังแล้วไพเราะรื่นหูถึงเพียงนี้เลยหรือ ไม่มีสิ่งใดอื่นใดอยู่ในอกของเขาแล้วนอกจากความปิติยินดี "กลับมาแล้วเหรอลูก"  
     

    .
    .
    .


    "จะเข้าไปแล้วนะ!" ไมเคิลว่าพลางเปิดประตูอีกฟากของโรงไม้เข้าไป ดวงตาของเขาเบิกโพลงกว้าง สถานที่ๆเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เกิดมาเห็น มันเป็นทุ่งโล่งกว้าง กว้างถึงกว้างมาก กว้างกว่าทุ่งในหมู่บ้านเฮเจนดอร์ฟเสียอีก มีชายป่าทึบล้อมรอบ บนทุ่งกว้างสีเขียวนั้น เขาพบม้าตัวหนึ่งยืนอยู่ มันยืนด้วยขาสามขา ข้าหน้าข้างหนึ่งของมันงอเข้า ซึ่งจากที่เขาทำงานในคอกม้ามานาน ม้าตัวนี้คงพิการเป็นหน้า กล้ามเนื้อหนั่นดุจม้าแข่ง ขนสีดำขลับและแผงคอระย้า มันถือว่าเป็นม้าพ่อพันธุ์ที่ดีมากเลยทีเดียว เขาเดินเข้าไปใกล้มัน แต่มันไม่มีท่าทีจะแตกตื่นแต่อย่างใด
     
    ด้วยความคุ้นเคยกับม้า เด็กชายก้มหัวเชิงอนุญาตทีหนึ่ง ก่อนที่ม้าตัวนั้นจะค่อยๆก้มคอเชิงรับ ซึ่งหมายถึงว่ามันสามารถให้เขาแตะตัวมันได้ ซึ่งการทำแบบนี้กับม้าทั่วไปก็คือ เราสามารถที่จะขี่มันได้ด้วย เด็กชายลูบแผงคอมัน มันร้องฮี้ในคอเบาๆอย่างพอใจ เด็กชายนั่งมองม้าตัวนี้เล็มหญ้าอยู่ได้พักใหญ่ก็ต้องรีบกลับบ้านไปทำอาหารเลี้ยงปากท้อง ไม่เช่นนั้นเขาก็จะโดนบิดาของเขาเลี้ยงด้วยลำแข้งเหมือนกัน

    "เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่นะ" เด็กชายบอกเจ้าม้าตัวนั้นแล้วหันหลังวิ่งกลับไปทางประตูที่ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้า กลับเข้าไปสู่ชายป่าหลังคอกม้าก่อนที่เขามา ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบเย็นแล้ว เขาต้องโดนบิดาซ้อมแน่นอนถ้าไม่รีบกลับไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×