TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt.Jae - TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt.Jae นิยาย TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt.Jae : Dek-D.com - Writer

    TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt.Jae

    ผมอยู่ข้างๆใครคนนึงมานานแสนนาน...นานเสียจนผมคิดว่าผมรักเค้า ระหว่างคนที่ผมอยู่เคียงข้างเค้า กับคนที่คอยอยู่เคียงข้างผม เมื่อคนทั้งคู่ไม่ได้เป็นคนๆเดียวกัน แล้วใครคือคนที่ผมรักกันแน่...

    ผู้เข้าชมรวม

    2,062

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    2.06K

    ความคิดเห็น


    15

    คนติดตาม


    4
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 พ.ย. 50 / 16:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    แก้ไข  เอา Part ของ ChangMin มาแปะให้แล้วน๊ะ...ตามลิงค์ไปเลยค่ะ

    Beside เรื่องนี้เป็นเรื่องต่อจากเรื่อง Begin  นะคะ 
    แต่จะว่าต่อกันคงไม่ใช่ เพราะมันอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน...

    มีคนที่อ่าน Brgin แล้ว อยากรู้ว่าแจกับมินจะเป็นยังไงต่อไป...เลยเอามาให้อ่านกัน เป็นคนที่โผล่มาไม่กี่ฉาก
    แต่มีเรื่องราวให้เขียนเยอะเหมือนกัน...(เรื่องนี้ก็มี 2 Slide นะ...)



    BeSide Part Of Changmin http://my.dek-d.com/kangwoon/story/view.php?id=357088

    BeGin http://my.dek-d.com/omaeyanai/story/view.php?id=354644
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      “ชางมิน…การได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุขมันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ…แต่ทำไมพี่ถึงรู้สึกเจ็บอยู่ตลอดเวลาล่ะ…ทำไมพี่ถึงรู้ สึกว่าตัวเองไร้ค่าเสียเหลือเกิน” ผมย่อตัวลงนั่งข้างๆชางมินอย่างหมดเรี่ยวแรง ผมระบายความรู้สึกเหมือนพูดลอยๆ เพราะผมคิดว่าชางมินคงไม่สนใจว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร…คงเหมือนทุกครั้งที่ผมแกล้งเค้า แล้วเค้าแกล้งทำเป็นไม่สนใจ…

      “คงเป็นเพราะ เวลาพี่ลืมตา…พี่เอาจับจ้องแต่คนที่พี่รัก…ไม่เคยมีซักครั้งที่พี่จะละสายตามองไปรอบๆน่ะสิ” ใบหน้าอ่อนโยน เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดบันทึกเล่มเล็กนั่น

      “แล้วยังไง” ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าชางมินฟังผมอยู่…

      “พี่ถึงมองไม่เห็นคนอื่นที่อยู่รอบๆตัวพี่…ความรักของคนที่รักพี่…คนที่เผ้ามองพี่อยู่ตลอดเวลาในขณะที่พี่เฝ้ามองคนอื่น… ”

      “ชางมิน!!…นาย” เหมือนอะไรบางอย่างจุกแน่นอยู่ที่คอหอย…สำหรับผมแล้ว นี่มันช่างเป็นคำปลอบโยนที่น่าตกใจ…ถ้าคนคนนั้นที่ชางมินพูดถึง หมายถึงตัวชางมินเอง…

      ชางมินไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงเขียนบางอย่างลงในสมุดต่อ…ผมรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่คำพูดล้อเล่น…

      แต่ถึงอย่างนั้น…ผมก็ภาวนาให้มันเป็นเพียงการล้อเล่น…ผมรู้ดีว่าการรอคอยอย่างไร้จุดหมายมันทรมานเพียงใด…ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ม ีทางสมหวัง แต่ก็ตัดใจไม่ได้…


      “เตรียมถ่ายซ่อมท่อน สุดท้ายครับ…ทุกคนประจำที่ครับ” เสียงผู้กำกับดังขึ้น ถึงเวลาที่เราต้องทำงานอีกแล้ว ชางมินเก็บสมุดเล่มเล็กนั่นลงในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมาทางผม

      “ไปกันเถอะครับ..เค้าเรียกแล้ว” เค้าพูดแล้วส่งมือมา …. ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้า..ชางมินยังคงยิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้ง ผมส่งมืออกไปยึดมือของชางมิน แล้วดึงตัวเองให้ลุกขึ้นตาม…

      ‘แค่คำพูดคำเดียว…วันนี้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า…ไม่ได้เจอชางมินมานานแสนนาน ทั้งที่เค้าก็อยู่ข้างๆผมมาตลอด’

      ผมลุกขึ้นมายืนได้แล้ว แต่ชางมินก็ยังไม่ปล่อยมือผม เค้าจูงมือของผมไปทั้งแบบนั้น…แม้ว่าผมจะพยายามเท่าใดก็ไม่สามารถแกะมือของชางมินออกได้…จนในที่สุด เราก็เดินมาถึงบนเวที ยุนโฮและจุนซูยืนประจำที่รออยู่แล้ว … ทั้งคู่มองผมกับชางมินแล้วยิ้ม…จนผมรู้สึกอาย…แต่ในที่สุดชางมินก็ปล่อยมือผม แล้วถอยห่างไปประจำที่ที่ตำแหน่งของตัวเอง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ถึงอย่างนั้น ตำแหน่งที่เค้ายืน มันก็ยังคงอยู่ข้างๆผมอยู่ดี

      *******************************
      *****************

      “นี่…แจจุง…ชั้นจะขอตัวกลับไปที่คอนโดก่อนได้รึเปล่า...เป็นห่วงยูชอนจริงๆเลย” ยุนโฮถามผมหลังจากที่ถ่ายเสร็จ …ระหว่างที่กำลังเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัว ยุนโฮใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าแบบลวกๆ เพราะเป็นคนเหงื่อออกน้อย ถึงแม้จะเพิ่งเสร็จจากการเต้นมา แต่หน้าก็ไม่ได้ดูโทรมลงไปซักเท่าไรเลย

      “ไปเถอะ…แล้วดูแลยูชอนดีๆนะ….ชั้นจะบอกผู้จัดการกับพวกทีมงานให้เอง ว่านายไม่ค่อยสบาย” ผมเริ่มทำร้ายหัวใจตัวเองอีกครั้ง…ด้วยการบอกให้ยุนโฮกลับไปหายูชอน…

      “ขอบใจนะ…ชั้นรู้ว่านายต้องช่วยชั้นได้…แจจุง” ยุนโฮเข้ามาโอบไหล่ผม ด้วยความสนิทสนม ระหว่างที่เราเดินกลับห้องแต่งตัว เหมือนที่เค้าทำเป็นประจำ ตั้งแต่แรกที่เรารู้จักกัน…มันใกล้ชิดจนผมกลัวว่าเค้าจะได้ยินเสียหัวใจของผมเต้น…หัวใจที่กำลังแตกสลาย

      “ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่” ผมยิ้มให้ยุนโฮ แล้วรีบก้มลง ทำเป็นเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยผ้าขนหนู …แต่ที่ผมต้องการเช็ดมัน จริงๆแล้วคือน้ำตา ไม่ใช่เหงื่อ… น้ำตาที่ไม่ได้ไหลออกมาถึงแม้ผมอยากจะร้องไห้ก็ตาม

      ‘ใช่ …ทั้งหมดมันเป็นหน้าที่ของเพื่อน…ที่ผมเจ็บก็เพราะผมเองที่ทำเกินหน้าที่…ผมไม่ควรรัก…คนที่ผมเป็นได้เพียงเพื่อน’

      เมื่อผมเดินเข้ามาถึงห้องแต่งตัว…ผมเห็นทุกๆคนกำลังวุ่นวายกับการเก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้า…จุนซูเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว และกำลังจัดการกับบรรดาขนมของว่างที่มีอยู่มากมายในห้องแต่งตัวตรงโต๊ะใหญ่กลางห้อง … หมอนี่มักจะใช้ความไวของนักฟุตบอล วิ่งมาจองคิวห้องอาบน้ำของสตูดิโอคนแรกแทบทุกครั้ง…เพราะพวกเราชอบที่จะอาบน้ำที่สตูดิโอก่อนที่จะกลับไปสลบเหมือดกันที่บ้านอย ่างนี้เป็นประจำ…

      ชางมินยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้านั่งอยู่เงียบๆที่มุมหนึ่งของห้อง กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดเล่มเล็กๆเล่มเดิม ที่ผมเห็นจนชินตา บางครั้งผมก็สงสัย ว่าเค้าเขียนอะไรลงไปในสมุดเล่นนั้นหนักหนา..ซักวันนึงผมจะขโมยมาอ่าน แล้วเอาไปแฉออกรายการ X-Man คอยดูสิ (โห..นิสัย :P)

      ผมทิ้งตัวลงนั่งลงตรงอีกด้านหนึ่งของม้านั่งยาวที่ชางมินนั่งอยู่…คงต้องรอซักพัก กว่าห้องน้ำของสตูดิโอจะว่าง…นี่เป็นงานสุดท้ายของวันนี้แล้ว …และคืนนี้เราก็จะมีงานเลี้ยงขอบคุณกันซักเล็กน้อย…ผมมองยุนโฮ ยัดของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ (โดยไม่ได้อาบน้ำ)

      “พี่ยุนโฮ…จะไปไหน” จุนซูถามยุนโฮปากยังเคี้ยวขนมไม่หมดซะด้วยซ้ำ

      “พี่จะกลับไปดูยูชอนหน่อยน่ะ…ทิ้งไว้คนเดียวไม่ไว้ใจ…เดี๋ยวจะไปอาบน้ำที่บ้านเลย…ไปนะ” พูดจบยุนโฮก็หันมาพยักหน้าให้ผม 1 ทีก่อนจะเดินออกจากห้องแต่งตัวไป จุนซูพยักหน้าเหมือนจะรับรู้ แล้วหันไปสนใจกับขนมตรงหน้าต่อ ……….ผมมองตามหลังยุนโฮออกไปจนลับสายตา…

      ‘ยืนตรงหน้านายในฐานะเพื่อน…แต่ในฐานะคนคนหนึ่งที่รักนาย ชั้นทำได้แค่มองตามแผ่นหลังของนายเท่านั้นเอง’

      โกรธตัวเอง…อึดอัดใจ ที่ไม่สามารถเป็นได้มากกว่านั้น….แต่ก็ทำได้แค่ กำมือเอาไว้แน่นๆ เท่านั้นเอง…ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของใครอื่นเลย นอกจากหัวใจของตัวเอง…

      แล้วเมื่อหันกับมาอีกที ชางมินก็เขยิบมานั่งอยู่ข้างๆผมแล้ว
      “เฮ๊ยย!!…เขยิบมาตั้งแต่เมื่อไร!?!” ผมตกใจจนร้องเสียงหลง …

      “ตกใจอะไรนักหนาพี่แจจุง…แค่ผมย้ายมานั่งตรงนี้…อ๊ะ!! พี่แจจุง” อยู่ดีๆชางมินก็ดึงมือของผมไป…กะทันหัน จนตัวผมเองตั้งตัวไม่ทัน

      “อะไร??…มือชั้นมันเป็นอะไร” .. ผมชักมือกลับมา
      “เล็บยาว..” ชางมินตอบแล้วดึงมือผมกลับไป

      “แล้วไง”
      “ผมจะตัดออกให้” พูดแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างตัว ก่อนจะหยิบกรรไกรตัดเล็บออกมา…

      “ไม่ตัด!!…” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง…พยายามดึงมือออกมา ในใจก็คิดว่า…คนบ้าอะไรจะพกกรรไกรตัดเล็บไว้ในกระเป๋า…ชางมินเงยหน้าขึ้นมามองผมช้าๆ … ได้โปรด อย่ามองพี่ด้วยสายตาแบบนั้น.. TT^TT

      “ผมไม่ชอบให้พี่ไว้เล็บยาว…” เสียงคีย์ต่ำและสายตาแบบนั้น…ทำให้ผมหมดทางสู้ ตัดก็ได้วะ ไอ้น้องบ้า TToTT

      ‘จะเป็นความบังเอิญหรือว่าอะไรก็ตาม ผมรู้สึกขอบคุณชางมินทุกครั้ง ที่อยู่ข้างๆผมเสมอ...ยามที่ผมรู้สึกไม่สบายใจ’

      ************************
      ***************

      “พี่จุนซู…พี่จะอยู่ต่อรึเปล่า ผมจะพาพี่แจจุงกลับบ้านแล้ว” ผมเบิกตาโตมองคนตัวสูงข้างๆ..ที่อยู่ดีๆก็บอกว่าจะพาผมกลับบ้าน..

      “ยัง….อ่ะ นายพาพี่แจจุงกลับไปก่อนเลย เดี๋ยวชั้นจะกลับพร้อม ผู้จัดการทีหลังได้” จุนซูที่กำลังติดลมตอบชางมินอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันไปดื่ม(น้ำมะพร้าว)ต่อ กับ ทีมงาน

      “กลับ!?…พี่บอกนายเหรอว่าพี่จะกลับ” ผมถามชางมินด้วยความเคืองใจเล็กน้อย…ก็นานๆทีจะได้มีโอกาสดื่มเต็มที่แบบนี้

      “ก็ผมเบื่อแล้ว…ไปเถอะครับ” ไม่พูดเปล่า ชางมินลุกขึ้นแล้วฉุดผมให้ลุกตาม…

      “ไม่เอาๆๆ ไม่กลับ…ชางมินปล่อยพี่นะ..ปล่อย!!” ผมโวยวาย และขัดขืนเต็มที่ เมื่อผมเริ่มดิ้นรน จากฉุดมือธรรมดา จึงกลายเป็นล๊อคเอวไปในบัดดล ... แต่ดูเหมือนที่ผมทำไปมันจะไร้ประโยชน์สิ้นดี...เพราะไอ้ที่ล๊อคเอวผมเอาไว้มันไม่ใช่คนธรรมดา มันคือชเวคัง ชางมิน :P

      ที่จริงแล้ว ผมไม่อยากกลับไปเจอ ยุนโฮกับยูชอนอยู่ด้วยกัน…

      “พี่แจจุงเมาแล้วครับ…ผมพาพี่เค้ากลับก่อนนะครับ..เดี๋ยวพี่เค้าจะอาละวาด” ชางมินบอกลากับบรรดาทีมงาน…โดยไม่สนใจว่าผมจะโวยวายยังไงเลยแม้แต่น้อย…ยิ่งโวยวายขัดขืนก็กลายเป็นเมาแล้วอาละวาดซะงั้น…นี่มั นเป็นน้องผม หรือเป็นพ่อผมกันแน่เนี่ย…

      ในที่สุดผมก็ต้องออกมาจากร้าน (ผมโดนชางมินหิ้วออกมา...T_T) เมื่อเราเดินมาถึงที่รถ…T^T

      “ชางมิน…พี่ไม่อยากกลับไป” ผมบอกชางมิน ขณะที่เค้ากำลังเปิดประตูรถ

      “ผมรู้ครับ…พี่ขึ้นรถเถอะ” ผมเข้าไปนั่งในที่ข้างคนขับอย่างเสียไม่ได้ … ชางมินปิดประตูให้ผม แล้วอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ แล้ว ออกรถ…ไม่นานนักผมก็เริ่มสังเกตว่านี่ไม่ใช่เส้นทางกลับบ้าน

      “ชางมิน…ไม่ใช่ทางนี้นี่” ผมมองวิวที่เคลื่อนผ่านไป 2 ข้างทาง...มันเป็นเส้นทางที่ผมรู้จัก แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคย
      “นายหลงทางรึเปล่า??” ผมถามอีกครั้ง แต่ชางมินก็ไม่ตอบ…แต่ก็ช่างมันเถอะ ยังไงซะ ผมก็ยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้..หลงทางไปซัก 2 –3 รอบ จะเป็นไรไป…

      ในที่สุด…ชางมินก็หยุดรถลงที่หน้ารั้วโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง…

      “ถึงแล้วครับ…ลงเถอะครับพี่” ชางมินหันมาบอกผม แล้วเปิดประตูลงจากรถไป
      ผมลงมายืนที่ข้างรถ…เมื่อมองไปรอบๆ…ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนก็ตามที แต่ในยามกลางคืน ดึกสงัดแบบนี้…มันช่างเงียบเหงา…ผมรู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย..แต่ก็ไม่ได้หนาวจนเกินไป

      “ไปกันเถอะครับ” ชางมินจูงมือผมเดินเข้าไปในโรงเรียน...มือของชางมินช่างอบอุ่นเหลือเกิน…ถึงผมจะไม่รู้ว่าชางมินจะพาผมเข้าไปในนั้นทำไม แต่ผมก็ไม่รู้สึกกลัวเมื่อชางมินจับมือผมเอาไว้แบบนี้

      ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร…ที่ผมรู้สึกเคยชินกับการที่ถูกชางมินจับมือ แล้วฉุดไปทางนั้นที ทางนี้ทีแบบนี้…ผมไม่ได้ขัดขืนและตกใจอีกต่อไป...กลับรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ...3ปีที่ผ่านมา มือคู่นันยังคงอบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลง

      “ไม่น่าเชื่อนะครับ…เมื่อปีที่แล้วผมยังเป็นนักเรียน ม. 6 ของที่นี่อยู่เลย…พอกลับมาอีกทีรู้สึกเหมือนผู้บุกลุกเลย” ชางมินพูดไป เดินไปเรื่อยๆ ที่แท้ที่นี่ก็เป็นโรงเรียนมัธยมที่ชางมินจบมานั่นเอง

      “นี่… เล่นแอบเข้ามาตอนนี้…ยังไงก็บุกลุกแหละ” ผมตอบ ชางมินหัวเราะเบาๆ ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ ชางมินพาผมเดินเข้ามากลางสนามฟุตบอลใหญ่…หน้าโรงเรียน สปอร์ตไลท์ 4 เสาข้างสนาม ส่องมาที่กลางสนามเป็นจุดเดียว…
      ผมนั่งลงพร้อมๆกับชางมินที่กลางสนาม….สนามกว้างใหญ่ที่มีเพียงเรา 2 คน อยู่ในสนาม

      “พอได้มาอยู่ตรงนี้..รู้สึกเหมือนกับว่า…โลกทั้งโลกเป็นของเรา 2 คนเลยนะ” ผมนอนลง สายตาจับจ้องไปบนท้องฟ้า…หมูดาวสุกใส เปล่งประกายระยิบระยับ…เหมือนอยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือออกไปจับได้…ผมรู้สึกว่าคืนนี้ แคสสิโอเปีย สดใสกว่าทุกคืน (เพราะทุกคืนผมไม่ได้มองดาว :-/)

      “อื้อ…เป็นของพี่หมดแหละ…ทั้งสนามบอล ท้องฟ้า และดวงดาว…รวมทั้งผมด้วย” ชางมินนั่งกอดเข่า…เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเช่นกัน
      ผมลุกพรวดขึ้นทันที ที่ชางมินพูดจบ … แต่ชางมินก็ดูจะไม่ได้เดือดร้อนกับคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาเลย :-X

      “อย่าทำกับพี่แบบนี้ชางมิน…นายก็รู้ว่าพี่ยังไม่พร้อมที่จะรักใครใหม่” ผมพูดออกไปตรงๆ แต่ชางมินก็ดูเหมือนที่จะไม่ใส่ใจเท่าไรนัก กลับตอบผมมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย…

      “ผมรู้ดีว่าพี่ยุนโฮ เป็นคนที่พี่เฝ้ามอง…ผมจะไม่ขอให้พี่ละสายตาจากพี่ยุนโฮ หันมามองผม….ผมขอแค่นั่งอยู่ข้างๆพี่….จับมือของพี่เอาไว้ เวลาที่พี่รู้สึกโดดเดี่ยว…ขอแค่พี่ไม่ลืม ว่าผมอยู่ตรงนี้…ผมขอแค่นั้นจะได้รึเปล่า” ชางมินละสายตาจากดวงดาวบนท้องฟ้ามามองหน้าผม…ด้วยแววตามุ่งมั่นอย่างที่ผมไม่เคยจะได้เห็น…แววตาที่ทำให้ผมจิตใจสั่นไหว…

      ‘จะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปรึเปล่า..หากจะบอกว่า แท้จริงแล้ว ผมก็ต้องการใครซักคนที่จะคอยอยู่เคียงข้างผม เวลาที่ผมรู้สึกท้อแท้ โดดเดี่ยว…คนที่จะคอยรับฟังเรื่องราวความรักที่ไม่มีวันสมหวังของผม…’

      “ทำแบบนั้น มันจะเห็นแก่ตัวกับนายเกินไปรึเปล่าชางมิน”
      “ถ้าพี่มีความสุขที่ได้มองพี่ยุนโฮ…ผมก็มีความสุขที่ได้อยู่ข้างๆพี่…ถึงแม้จะในฐานะเพื่อนก็ตาม” ชางมินจับมือผมเอาไว้แล้วหันมายิ้มให้ผม…

      ถึงแม้ว่าบุคลิกของชางมินจะดู เรื่อยๆ เปื่อยๆ เหมือนไม่ได้คิดที่จะสนใจเรื่องราวของคนอื่นมากมายนัก...แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าในตอนนี้ เค้าคือคนที่ใส่ใจผมมากที่สุด...

      “’งั้นต่อไปนี้…นายจะเป็นเพื่อนคนสำคัญและเป็นของชายที่พี่รักที่สุดเลยชางมิน” ผมหันไปยิ้มตอบให้ชางมิน

      “แค่นี้…ผมก็ดีใจแล้วครับ” ชางมินยิ้มเหมือนเค้ากำลังมีความสุขมากมาย…แต่ผมรู้สึกว่าเค้าบีบมือผมแน่นขึ้นเล็กน้อย…

      เอาเถอะ…ผมจะปล่อยให้เค้าทำตามที่ใจเค้าอยากทำก็แล้วกัน…ปล่อยให้เค้าอยู่เคียงข้างผมอย่างที่เค้าอยากทำ ไม่ถือเป็นการเห็นแก่ตัวใช่รึเปล่า…

      ************************

      ผมกับชางมินกลับไปถึงคอนโด…เมื่อเลย 2 ยามไปเล็กน้อย … จุนซูยังไม่กลับมา คืนนี้คงยาวแน่ๆ…โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นแค่งานโชว์ตัว… 2 – 3 งาน แบ๊วๆ อย่างจุนซูคงแอ๊บได้ไม่มีปัญหาถ้าตาจะคล้ำเป็นแพนด้าซักหน่อย … ผมเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องของยูชอน

      ‘ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้างนะ…ถึงจะมียุนโฮดูแลอยู่ก็เถอะ…เจ้านั่นน่ะ...’ คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว…ผมค่อยๆเปิดประตูห้องเข้าไป

      นั่นไง…นึกแล้วไม่มีผิด … ยุนโฮ นั่งหลับ สัปหงก หมดท่าอยู่บนเก้าอี้ที่เจ้าตัวคงลากมาไว้ข้างเตียง…ยูชอนกำลังหลับอยู่..แต่ดูท่าทางจะไม่ค่อยสบายนัก…ผมวางหลังมือลงบนหน้าผาก ของยูชอน…แล้วต้องสะดุ้ง…

      “มีไข้นี่นา…เจ้าหมีมันดูแลน้องประสาอะไร” ผมบ่นกับตัวเอง…แล้วหันไปปลุกเจ้าหมีอ้วนข้างๆ ที่ดูจะหลับสบายยิ่งกว่าคนถูกเฝ้าซะอีก

      “ยุนโฮๆ…” ผมเขย่าแขนเค้า เบาๆ ยุนโฮ ก็งัวเงียตื่นขึ้น..หันมามองหน้าผมกระพริบตาปรือๆปริบๆเหมือนเมาขี้ตา

      “หืมม..อืม แจจุงเหรอ…มีอะไรรึเปล่า” ยุนโฮ ถามไปพร้อมขยี้ตา..

      “ยูชอนมีไข้น่ะ…นายออกไปเอาผ้าเช็ดตัวกับกะละมังใส่น้ำมาหน่อยสิ” ดูเหมือนจะตาสว่างทันที ยุนโฮทำตาโต(เท่าที่จะทำได้)ก่อนจะรีบออกไปโดยไม่ถามอะไรต่อ..แล้วกลับมาพร้อมของที่สั่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แถมยังแทบจะถอดตู้ยาออกมาทั้งตู้

      “นายเพิ่งกลับมานี่…ไปพักเถอะ ชั้นเช็ดตัวให้ยูชอนเอง” ยุนโฮบอกผมแล้วเริ่มลงมือบิดผ้าขนหนูชุ่มน้ำในกะละมัง ถึงแม้ถายในห้องจะมองเห็นได้เพียงสลัวๆ แต่ผมก็รู้ดีว่ายุนโฮเป็นห่วงยูชอนมากแค่ไหน …เค้าพยายามเช็ดตัวให้ยูชอนอย่างถะนุถนอม

      “อื้อ…ตามใจนาย … นี่ ชั้นจัดยาเอาไว้แล้วนะ ให้กิน ทุก 4 ชม. นะ” โชคดีที่ไฟในห้องไม่สว่างนัก…ยุนโฮ คงเห็นหน้าผมไม่ชัดเท่าไร…ผมพยายามเต็มที่ ที่จะบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือไปตามหัวใจ

      ผมเดินเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง แล้วยืนพิงประตูอยู่แบบนั้น … เมื่อหลับตาลง ภาพของยุนโฮที่กำลังเช็ดตัวให้ยูชอน อย่างเป็นห่วงเป็นใย ก็สว่างจ้าอยู่ในหัวผม ผมเข้าใจดีว่ายุนโฮทำไปด้วยความรู้สึกอย่างไร...มันคงไม่ต่างจากทุกครั้งเวลาที่ยุนโฮไม่สบายแล้วผมเป็นคนเช็ดตัวดูแลเค้านั่นเ อง…. ผมลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างสัมผัสอยู่ที่มือของผม…

      “ชางมิน…ยังไม่นอนเหรอ” ผมถามชางมินออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม ชางมินจับมือผมเอาไว้แน่น … เมื่อเห็นหน้าชางมิน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าขีดความอดทนมันขาดผึงลงในวินาทีนั้นเอง ผมปล่อยโฮออกมาต่อหน้าชางมิน ชางมินดึงผมเข้าไปกอด….ผมร้องไห้อย่างหมดท่าอยู่ในอ้อมกอดนั้นเอง นานเท่าไรก็ไม่รู้ที่ชางมินกอดผมเอาไว้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา...ไม่มีแม้แต่คำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ให้ผมต้องลำบากใจที่จะตอบ ผมถอยออกมาจากอ้อมกอดนั้น

      “ขอโทษนะ...ที่ทำตัวน่าสมเพสแบบนี้...พี่ไม่ควรอ่อนแอแบบนี้ใช่ไม๊” ผมพูดแล้วยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตา

      “การที่เราร้องไห้ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนอ่อนแอนะครับ...แค่เป็นการระบายความรู้สึกเจ็บปวดอย่างนึงเท่านั้นเอง” ชางมินยิ้มแล้วเอามือมาขยี้หัวผม ... ถึงจะเป็นน้อง แต่เจ้านี่มันก็สูงกว่าผมมาก..ไม่รู้ว่ามันกินอะไรเข้าไป.. (ก็อาหารที่เจ๊ทำนั่นแหละ... เจ๊!!)

      “อ๊ะ...ไอ้นี่..ลาม ชั้นเป็นพี่แกนะ มาเล่นหัวกันแบบนี้ได้ไง” ผมปัดมือชางมินออก...ผมไม่ได้ถือสากับการที่ชางมินเล่นหัวผมหรอก แต่มันทำให้เสียทรง !!

      “เรื่องนั้นผมไม่สนหรอก...ผมสนแต่ว่า พี่ทำเสื้อผมเปื้อน!!” ชางมินดึงชายเสื้อสองข้างให้กางออก มองมองดูแล้วก็เห็นว่าคราบน้ำมูกน้ำตาของผมเปื้อนเต็มหน้าอกเสื้อของชางมินเลย … ผมเห็นชางมินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วอดขำไม่ได้ ...

      “พี่ไม่ต้องมาหัวเราะเลย...เสื้อตัวนี้น่ะพี่ให้ผมเมื่อปีที่แล้ว…” ชางมินก้มลงมองเสื้อตัวเองตาละห้อย..

      “เอาน่ะ...แล้วพี่จะซื้อให้ใหม่ 2 ตัวเลยดีมะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมพูดไปหัวเราะไป ... ก็มีแต่เวลาแบบนี้ ที่ชางมินทำตัวสมกับอายุของ
      เค้า ... แต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับชินกับท่าทางจริงจังเกินวัยของเค้ามากกว่า

      “พี่สัญญาแล้วนะ....ไปวันเสาร์นี้เลยนะ” ชางมินเปลี่ยนหน้าไว เหมือนระบำเปลี่ยนหน้ากาก ...

      “เฮ๊ยย!! เอ่อ...ใครบอกนาย...”

      “เอาน่ะ ไปนะพี่นะ..ไม่ไปเสาร์นี้แล้วจะไปวันไหนล่ะ...”

      “อืม..ไปก็ไป...” ผมตบปากรับคำ จะว่าเป็นการจำใจก็ไม่ใช่ ... ไปเที่ยวกับชางมินก็น่าสนุกดีเหมือนกัน...

      เมื่อตะกี้ ผมยังร้องไห้อย่างเป็นวรรคเป็นเวรอยู่เลย ... แล้วดูตอนนี้สิ...ผมแทบจะลืมคน 2 คนในห้องข้างๆไปแล้ว

      ‘ผมเริ่มเข้าใจบางอย่าง...ว่าที่ผ่านมาผมคงหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกของตัวเองมากเกินไป...สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกตลอดมาคือ ไม่ว่าผมจะทำอะไรไปมากมายเท่าไร...แต่ยุนโฮก็มองว่าผมเป็นแค่เพื่อน ... ผมได้แต่ตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจของตัวเองจนมันกลายเป็นแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หายซักที ... บางทีถ้าผมไม่ใส่ใจแล้วทำเป็นลืมๆมันไปบ้าง...ซักวันนึงผมคงจะทำใจได้ และเจ็บปวดน้อยลง...ถ้ามีใครบางคนมาทำให้ผมลืม...’

      *******
      รุ่งเช้า

      “ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป…ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ…อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ…สุดท้ายก็ยังต้องทุกข์ใจเสมอ…เพราะรักเธ อข้างเดียว…โว๊!! เย๊!! อ๊ากกกกก!! ”

      ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแหกปากร้องเพลงของชางมินในตอนเช้ามืด…(เมื่อคืนชางมินมานอนเป็นเพื่อนผมที่ห้องของยุนโฮ…เพราะย ุนโฮไปนอนเฝ้ายูชอนที่ห้องของผมกับยูชอน..)
      ตามปกติเพลงนี้มันก็เป็นเพลงที่เพราะดี ถ้าชางมินไม่ร้องมันด้วยคีย์โซปราโน่!!

      “ชางมินน่าาาา…จะมาปีนคีย์อะไรตอนเช้ามืดนี่เนี่ยย…” ผมงัวเงีย ขยี้ตาลุกขึ้นมานั่งอย่างไม่สบอารมณ์

      “ก็อยากเพลงของคนอื่น ด้วยคีย์ของตัวเองบ้างนี่ฮะ” ชางมินพูดไปทุบแขนตัวเองไป…
      “เออ แล้วทำไมต้องอยากจะมาร้องตอนเช้ามืดนี่ด้วยนะ….แล้วเมื่อคืนไปนอนทับแขนของตัวเองเข้ารึไงกัน…ถึงได้ทุบแขนตัวเองเป็นบ้าเป็นหล ังขนาดนั้น….” ผมขยี้ตาไล่ความง่วงออกไปอย่างยากเย็น ก็เมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอนเลย…ยิ่งคนที่นอนเบียดข้างๆเป็นชางมินแล้วด้วย รู้สึกตื่นเต้นจนแทบข่มตาลงไม่ได้…(มันมานอนเบียดผม…ห้องยุนโฮเป็นเตียงเดี่ยว -_-+)

      “ก็ทำนองนั้น…โดนนอนทับน่ะครับ...อ๊ะ อ้อ…ผมจะไปดูจุนซูที่ห้องหน่อย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนกลับมาตอนไหน” ชางมินทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก แล้วลุกขึ้นเปิดประตูออกไป
      ผมเองก็เพิ่งจะนึกออก…นี่ต้องแวะไปดูยุนโฮกับยูชอนซักหน่อยแล้วสิ … แล้วก็ต้องต้มโจ๊ก จัดยาให้ยูชอน เตรียมอาหารเช้าด้วย
      ภาระ หน้าที่ของผีแม่บ้านประจำวงผุดเข้ามาในหัวผมเป็นขั้นๆ … ผมสะบัดหัว 2 ทีแล้วจำใจลุกขึ้นจากเตียงอย่างอาลัยอาวรณ์ …

      **********
      *****
      ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากที่หลังจากที่ ต้มโจ๊ก เตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว … เมื่อออกมาจากห้อง ก็พบยุนโฮยืนทำหน้าเหี่ยวอยู่ที่หน้าห้องของยูชอนพอดี

      “แจจุง…ดูเหมือนยูชอนจะมีไข้นะ…นายช่วยต้มโจ๊กให้หน่อยสิ…สงสัยวันนี้คงต้องพักอีกวันแล้วล่ะ” ยุนโฮบอกเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆ … บางครั้งผมก็รูสึกหงุดหงิดรำคาญใจ…อยากจะตะโกนใส่หน้ายุนโฮให้รู้แล้วรู้รอด

      ‘แค่นายไม่รักชั้น ชั้นก็เจ็บจะแย่…แล้วทำไมต้องเป็นชั้นอีกล่ะ ที่จะต้องมาดูแลคนที่นายรัก…’

      ผมแต่แต่กำมือเอาไว้ เหมือนทุกครั้งที่ต้องอดทน…ผมไม่สามารถจะพูดอะไรออกไปได้อย่างที่ใจคิด…ผมต้องแยกให้ออกระหว่างหน้าที่และความสัมพันธ์ในวง กับ ความรู้สึกของหัวใจที่นอกลู่นอกทาง

      “ไม่ต้องบอกก็ต้องทำอยู่แล้วน่า…นายเองนั่นแหละ ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปทำงาน…ที่เหลือเดี๋ยวชั้นจัดการเอง” พูดจบ ผมก็เดินเข้าไปมาห้องของยูชอน … ยูชอนลืมตาตื่นขึ้น ยกผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าเหมือนลูกแมวงัวเงีย เมื่อแสงไฟจากภายนอกส่องไปที่หน้าของเค้าตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป…ผมเดินไปเปิดม่าน และ หน้าต่าง เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเทบ้าง…

      “เปิด หน้าต่างให้อากาศบริสุทธิ์(รึเปล่า!?!) ข้างนอกเข้ามาบ้าง…จะได้ไม่อุดอู้…นอนแต่ในแอร์แบบนี้ เชื้อโรคมันก็วนเวียนหมุนเข้าหมุนออกอยู่แบบนี้ แล้วเมื่อไรจะหายซักที” …..

      “พี่แจจุง…ผม…ร้อนอ่ะ” เสียงครางแหบต่ำ ดังจากใต้ผ้าห่มเบาๆ

      ยูชอนที่โผล่ออกมาจากผ้าห่มแต่ช่วงตาขึ้นไปแววตาอิดโรย…ยังไม่สร่างไข้ดีนัก …ดูแล้วก็รูสึกขบขัน…จนผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้…ยูชอนขี้อ้อน ผมไม่ค่อยแปลกใจหรอกที่ยุนโฮจะรักเค้า เพราะเค้ามักจะอ้อนพี่ๆเหมือนน้องชายตัวเล็กๆ … ยิ่งยุนโฮ มีความเป็นพี่ชายสูงขนาดนั้นแล้ว หลงเสน่ห์ได้ไม่ยากเลย

      ผมเดินไปลากพัดลมฟอกอากาศข้างๆเตียง ไปไว้ที่ปลายเตียง แล้วเปิดสวิซท์ …ก่อนจะเดินไปที่ตู้ใบใหญ่ หยิบผ้าแพรผืนบางออกมา

      “ก็เล่นห่มผ้าเป็นตราสังข์แบบนี้ มันจะเย็นสบายได้ไงล่ะ” ผมดึงผ้าห่มนวมผืนหนาออกจากตัวยูชอน โยนมันไปที่เตียงข้างๆ(เตียงผมเอง)…แล้วห่มด้วยผ้าแพรผืนบางนั้นแทน

      “ฉันทำโจ๊กไว้ให้อยู่ในครัวนะ..” ผมนั่งลงที่ข้างเตียง ยกมือทาบที่หน้าผากเจ้าตัวดีที่นอนตาปรือ(กว่าปกติ) อยู่บนเตียง
      “ส่วนยาก็จัดไว้ให้แล้ว กินให้ครบทุกมื้อล่ะ แน่ใจนะ ว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลน่ะ”

      “ ครับ...ไม่เป็นไรมาก...นอนพักสักวัน ก็หายแล้ว..พี่รีบไปเถอะ เดี๋ยวสาย” ยูชอนจับมือของผมออกจากหน้าผาก …

      “อื้อ..ไปล่ะ...อย่าลืมกินข้าวกินยาน่ะ...” พูดจบผมก็เดินออกมาจากห้อง …

      *****************
      ********
      “ชางมิน…เอามานะ…ของนายก็มีนี่!!” เสียงแจ๊วจ๋อยๆ ของจุนซูดังขึ้นเป็นปกติ เมื่ออยู่ที่โต๊ะอาหาร..ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องแย่งของกินกับชางมิน
      “พี่จุนซู…ลดความอ้วนอยู่นี่ ให้ผมกินดีกว่านะ” คู่กรณีเถียงอย่างไม่ลดละ พร้อมทั้งเอาแขนกันจานอาหาร(ที่มีน่องไก่ของจุนซูอยู่)ของตนเองเอาไว้

      “ชั้นลดเฉพาะมื้อเย็นเว๊ย!! เอาคืนมานะ เอาคืนมา”

      “นี่!! .. หยุดซักที…ชางมินเอาน่องไก่คืนจุนซูไป” ผมชักจะรำคาญ 2 คนนี่เต็มที … ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ…
      “ง่า…พี่แจจุงอ่ะ” ชางมินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วคืนน้องไก่ให้จุนซูอย่างไม่มีทางเลือก..จุนซูยิ้มอย่างผู้ชนะ

      “เอ๊า…เอาของพี่ไป..แล้วอย่าไปแย่งจุนซูอีก” ผมจิ้มน่องไก่ในจานของผมไปวางในจานของชางมิน เช้าวันนี้ผมไม่ค่อยมีอารมณ์อยากอาหารเท่าไร ไม่เหมือนชางมิน ที่ไม่ว่าเมื่อไรก็ Enjoy Eating ชางมินยิ้มอย่างสดใสเมื่อผมยกน่องไก่ให้…

      “โหย..พี่แจจุง ลำเอียงนี่” เสียงจุนซูประท้วงขึ้น

      “ก็นายได้น่องไก่คืนไปแล้วนี่…แล้วนายก็ต้องลดความอ้วนจริงอย่างที่ชางมินบอกด้วย…แล้วนายก็เหมือนกัน ยุนโฮ รีบๆกินซะ จะต้องให้ชั้นบดข้าวแล้วป้อนไม๊…เหม่ออยู่ได้” ผมหันไปแขวะยุนโฮที่นั่งเหม่อ มองเก้าอี้ของยูชอนอยู่อย่างหมั่นไส้ จนเจ้าตัวตกใจแล้วรีบตักข้าวใส่ปาก…

      *************
      ******
      เราถ่ายเสร็จไปรายการนึงแล้ว กำลังจะเริ่มต้นอัด อีกรายการ นี่ก็เกือบจะเที่ยงอยู่ระหว่างพักทานอาหารเที่ยง ผมนั่งอ่านสคลิปไปด้วยในระหว่างที่ทานข้าว ยุนโฮเข้ามานั่งข้างๆผมด้วยท่าทีกระสับกระส่ายเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด … ผมพยายามไม่สนใจเค้า แล้วจดจ่อกับสคลิปที่อยู่ในมือ …ผมรู้ดีว่าเค้าเป็นกังวลเรื่องอะไร

      “แจจุง…นายว่าชั้นจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อนยูชอนดีล่ะ” ในที่สุดยุนโฮก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่ผมไม่อยากจะตอบ ผมเริ่มจะเบื่อและรำคาญมันเต็มทน…

      ‘บางที ถ้าเค้าทั้ง 2 คนลงเอยกัน ผมคงจะหลุดพ้นจากสภาพหลอกตัวเองว่ามีหวังซักที…ผมรู้ดีว่าเค้าทั้ง 2 คนมีใจให้กัน…แต่ผมก็อดที่จะหลอกตัวเองไม่ได้ว่าซักวันนึงยุนโฮคงจะหันมามองผมบ้าง…ถ้าไม่บีบหนองออก…แผลอักเสบก็จะไม่หายซักที …’


      ผมเงยหน้าขึ้นมาจากสคลิปตรงหน้าอย่างเสียมิได้ ก่อนจะถอนใจ 1 ที

      “ทานข้าว…แล้วถ่ายรายการนี้ให้เสร็จก่อน…เดี๋ยวชั้นจัดการเอง” ผมตบบ่ายุนโฮ 1ที แล้วรีบลุกเดินหนีออกมา …
      ผมมองไปรอบๆตัว..ไม่รู้จะตั้งต้นตรงไหนดี...แต่แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคย

      ชางมินกำลังยืนอยู่คุยกับสตาฟสาวสวยประจำรายการออกออกรสชาติ...ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเป็น 2 เท่า อะไรกันนี่!?! ระริก ระรี้ ระรื่น เริงร่ากันอยู่ได้ ... ไม่รู้บ้างรึไงว่าคนเค้ากำลังกลุ้มใจ ไหนว่าจะอยู่ข้างๆกันเวลาที่ไม่สบายใจไง...ชิส์!!

      ผมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวและในที่สุดผมก็คิดอะไรบางอย่างออก(ด้วยความล้ำเลิศ ทั้งความงามและสติปัญญา อิอิอิ) แต่ก่อนอื่นผมต้องระงับอารมณ์ แล้วทำหน้าตาให้เป็นปกติซะก่อน…

      ผมเดินเข้าไปหา ชายวัยกลางคนที่ใส่แว่นนั่งอ่านตารางงานอย่างคร่ำเครียดที่ข้างๆเวที เค้าคือผู้จัดการวงของพวกผมเอง

      “คุณ ลี ครับ…ผมมีเรื่องจะบอก” ผมเอ่ยปากออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา

      “มีอะไรอีกล่ะ…แจจุง” ผู้จัดการเงยหน้าขึ้นมา แสงกระทบกับเลนส์แว่นตากรอบหนาดูน่าเกรงขามและทรงความรู้นัก…แต่จะทำไงได้ ผมจำเป็นต้องทำ…เพื่อยุนโฮ T^T

      “เรื่องยุนโฮน่ะฮะ….ผู้จัดการอย่าไปบอกยุนโฮครับ…ว่าผมเป็นคนบอก” ผมหันซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จึงก้มลงกระซิบข้างหูของผุ้จัดการลี

      “ยุนโฮน่ะเหรอ!??….” เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ผู้จัดการลี ทำตาโตตกใจอย่างเห็นได้ชัด…ผมเริ่มย่ามใจว่าแผนได้ผล…

      “ผมค่อนข้างจะลำบากใจนะฮะ…ยุนโฮก็เป็นหัวหน้าวงคนสำคัญ ยูชอนก็เป็นน้องและเป็น คีย์สำคัญของวงเราด้วย” ผมแสร้งตีหน้าเศร้าลำบากใจ..ในเรื่องที่เพิ่งเล่าให้ผู้จัดการวงฟัง

      “ขอบใจที่บอกนะ…ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้…ทั้งวงจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ เดี๋ยวเรื่องยุนโฮ ชั้นจะจัดการเอง เธอวางใจเถอะ” ผู้จัดการลี ตบบ่าผมเบาๆ แล้วเดินจากไป …

      ผู้จัดการลี เดินจากไปซักพักแล้ว…แล้วผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม นี่ผมทำถูกรึเปล่าเนี่ย…. ผมได้แต่เฝ้าถามตัวเอง ผมยกมือที่กำแน่นของตัวเองขึ้นมาดู…แล้วแบมือออก รอยแผลที่เคยมีที่ฝ่ามือเริ่มจางหายลงไปแล้ว…เพราะผมไม่ได้ไว้เล็บยาวแล้ว เวลาที่ผมกำมือ เล็บจึงไม่จิกลงไปที่ฝ่ามือ…ผมรู้สึกเจ็บน้อยลง…แล้วจริงๆ

      “พี่ไปบอกอะไรเกี่ยวกับพี่ยุนโฮ พี่ยูชอน กับผู้จัดการเหรอครับ” เสียงนุ่มๆดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็เห็นชางมินยืนอยู่…สีหน้าดูไม่สบายใจนัก

      “คุยกับ พี่สตาฟเสร็จแล้วเหรอ” ผมหันไปถามชางมินแกมประชด โดยไม่ได้ตอบคำถาม

      “อ๋อ...พี่เค้าถามผมเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมน่ะครับ ปีหน้าลูกชายพี่เค้าจะสอบเข้าที่นั่น เห็นแบบนั้นมีลูกโตแล้วนะครับไม่น่าเชื่อเลย…ว่าแต่พี่เถอะ คุยอะไรกับผู้จัดการเหรอครับ” ชางมินตอบคำถามและวกกลับเข้ามาที่เดิมจนได้...

      “เพื่อยุนโฮ…คนอย่างพี่น่ะทำได้ทุกอย่างแหละ” ผมเบือนหน้าหนี ยกมือขึ้นเสยผม...แต่ในใจรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

      “ผมไม่คิดว่าพี่จะเป็นคนแบบนั้นหรอก…ผมแค่อยากรู้ว่าพี่โอเคไม๊ เท่านั้นเอง” ชางมินเอื้อมมือมาจับบ่าผมเอาไว้

      “พี่โอเค…พี่สบายดี นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…แต่บ่ายนี้ เรา 3 คนคงต้องเหนื่อยกันหน่อยนะ…เพราะพี่บอกผู้จัดการไปว่ายุนโฮป่วย เพราะติดไข้จากยูชอน…ถ้าไม่ให้พัก อาการอาจจะหนักกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้” ผมเงยหน้าขึ้นมองชางมินที่สูงกว่าผมหลายเซ็น แล้วยิ้มให้…^^

      “ไม่ต้องฝืนยิ้มหรอกครับ…เวลาที่พี่อยู่กับผม…พี่จะพูดถึงพี่ยุนโฮ ยังไงก็ได้ ผมจะรับฟังพี่เอง” ชางมินพูด…คำพูดที่อ่อนโยน…กลับทำให้ผมอารมณ์เสียอย่างหาสาเหตุไม่ได้…ไม่ดีใจรึไงที่ผมทำใจได้แล้ว ทำไมต้องคิดว่าผมทำใจเรื่องยุนโฮไม่ได้…

      “เอาเถอะ ไม่เชื่อก็ตามใจ…พี่ไปซับหน้าใหม่ก่อนดีกว่า…เดี๋ยวถ่ายจริงหน้าจะมัน” พูดแล้วก็หันหลังเดินออกมา…ความคิดมากมาย ความรู้สึกต่างๆ แว่บไปแว่บมา ในสมองของผมจนทำให้รู้สึกเบลอสับสนไปหมด…

      …ถึงตอนนี้ผมเริ่มสับสนว่าที่จริงแล้วผมรู้สึกยังไงกันแน่…กับยุนโฮ…และชางมิน

      การเล่นหัวหยอกล้อที่เคยทำต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ตอนเป็นนักร้องฝึกหัด..มันกลายเป็นความเคยชินที่ผมรู้สึกดี…เราสนิทกันมากจนสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง…ถ้าจะนึกดูดีๆ ผมเพิ่งจะรู้สึกแบบนั้นกับยุนโฮเมื่อไม่นานมานี้เอง…ตอนที่แน่ใจว่ายุนโฮมีใจให้ยูชอน…ผมกลัวว่าความสำคัญที่ยุนโฮให้ผมมันจะน้ อยลง…

      ความผูกพันธ์ยาวนานที่มีมา..และกลัวที่จะสูญเสียมันไป…เหมือนเด็กที่หวงของเล่น…นี่ผมรักยุนโฮจริงรึเปล่า?? 



      *********

      คืนนั้น…

      เราทั้ง 3 คนกลับไปถึงคอนโด เมื่อลอย 4 ทุ่มไปเล็กน้อย

      “คืนนี้…นายจะนอนที่ห้องพี่ยุนโฮอีกรึเปล่า..??” จุนซูถามชางมินระหว่างที่กำลังเดินไปที่ห้อง …

      “เอ่อ…” ชางมินทำท่าลังเล…ผมมองหน้าชางมินแล้วหันไปถามจุนซู

      “นายนอนคนเดียวได้ใช่ไม๊ล่ะ..จุนซู” ผมถามจุนซูก่อนที่ชางมินจะตอบคำถามจุนซู

      “ได้สิ…พี่แจจุง ดีแล้วหล่ะ ชางมินน่ะชอบละเมอมาต่อยผม…ว่าแต่ห้องพี่ยุนโฮเป็นเตียงเดี่ยว พี่นอนกันเข้าไปด้ยังไงกัน”

      “ได้สิ…พื้นข้างเตียงออกจะกว้าง^^ ” ผมตอบคำถามจุนซู แล้วก็ทันได้เห็นทำชางมินหน้าเหวอ… ^^

      ทันใดนั้น!! ยุนโฮ ก็เปิดประตูออกมาจากห้องของยูชอน…

      “แจจุง…ชั้นมีอะไรจะบอก…มากับชั้นหน่อยสิ” ยุนโฮ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ากระเซอะกระเซิง แบบคนเพิ่งตื่น เดินตรงเข้ามาจับแขนผม…เพื่อจะไปหาที่เงียบๆคุย แต่จุนซูก็ตะโกนสวนขึ้นมาซะก่อน

      “คงไม่ใช่ เรื่องที่พี่ กับยูชอน ตกลงคบกันแล้วหรอกนะฮะ…” จุนซุตะโกนถามไปกลางปล้อง ยุนโฮชะงักเหมือนโดนกด Pause หน้าแดงเรื่อ ค่อยๆ หันหลังกลับมาทางจุนซู

      “นะ…นายรู้ได้ยังไง…จุนซู” ยุนโฮถามจุนซู มือค่อยๆคลายจากแขนของผม พระเจ้า!?! แขนผมแดงเป็นเถือกกก ไอ้หมี!!

      ผมเองก็อ้าปากค้างที่จุนซูถามไปตรงๆแบบนั้น แต่มาคิดดูอีกที ดูจากนิสัยของจุนซูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก … ชางมินมองหน้าผมด้วยสีหน้าเศร้าๆ…

      “ถ้าเรื่องที่พี่ 2 คนชอบกัน ผมรู้นานแล้วฮะ…แต่เรื่องที่ตกลงคบกันแล้ว ผมสังเกตจากผมยุ่งเหยิง กะเสื้อผ้ายับๆของพี่ตอนเดินออกมาจากห้องของยูชอนครับ….” เสียงแจ้วๆของจุนซุตอบได้เป็นฉากๆ ซะจน ยุนโฮหน้าแดงเหมือนคนไข้ขึ้น…
      “อ่ะ…ไอ้เด็กแก่แดดดด….” ยุนโฮเริ่มพูดจาติดขัด..เพราะความเขิน แล้วออกวิ่งไล่จุนซู…

      “อ๊ากก….ก็มันเรื่องจริงนี่…พี่ยุนโฮจะโกรธทำไมเล่า” จุนซูพูดไป วิ่งไป…โดยวิ่งเข้าห้องนอนและปิดประตูลงกลอน ทันก่อนที่ยุนโฮจะวิ่งไปถึงได้อย่างหวุดหวิด

      “เปิดนะจุนซู…ออกมาให้พ่อเตะสกัดความแก่แดดซักป้าบมา!!” ยุนโฮทุบประตูไม่ยั้ง..(พรุ่งนี้คงต้องเรียกช่างมาดูซะแล้ว!!)

      “ใครจะออกไปให้โง่ล่ะ…พี่กลับไปต่อกับพี่ยูชอนให้เสร็จเถอะ…อารมณ์ค้างแล้วมาลงที่ผม” เสียงเถียงตบโต้ดังออกมาจากอีกฝั่งของประตู…ผมสังเกตุเห็นว่าหูของยุนโฮแดงขึ้นเรื่อยๆ…

      “อ๊ากก ไอ้เด็กบ้า อย่าออกมาให้เห็นนะ…พ่อจะฆ่าให้ตายคามือเลย” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็เห็นว่าแอบยิ้มอยู่

      ผมเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้…แต่ก็ต้องใช้มือปิดปากเอาไว้..เพราะกลัวว่าเดี๋ยวยุนโฮจะหันมาเล่นงานผมอีกคน ชางมินเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆแล้วโอบไหล่ของผมเอาไว้…ผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ชางมินยิ้มตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน เค้าพาผมเข้ามาในห้องนอน …แล้วปิดประตูห้อง

      “พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไม๊ครับ…ถึงยังไงพี่ก็ยังมีผม” ผมกับชางมินนั่งลงที่เตียง ชางมินกลัวว่าผมจะเสียใจที่รู้ว่ายุนโฮกับยูชอนเข้าใจกันแล้วนั่นเอง …

      “พี่ไม่เป็นไรหรอกชางมิน…บอกตรงๆว่าตอนนี้ะรู้สึกโล่ง…และรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” ผมยิ้มให้ชางมิน คราวนี้เป็นผมเองที่เอื้อมมือไปจับมือของชางมินไว้….ร่างสูงตรงหน้า ได้แต่มองอย่างฉงนสนเท่ กับการกระทำของผม

      “ก็อย่างที่ชางมินบอก…พี่ไม่เป็นอะไร ก็คงเป็นเพราะพี่มีชางมินอยู่….พี่ต้องขอบใจชางมินนะ ที่คอยอยู่ข้างๆ และทำให้พี่ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วใครที่สำคัญกับพี่มากที่สุด”

      “พี่ยุนโฮน่ะเหรอครับ” ชางมินถามผม ด้วยเสียงแผ่วเบา … ผมยิ้มแล้วส่ายหน้า ยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของหน้าคมเข้มตรงหน้าเบาๆ

      “เป็นผม…เหรอครับ” …. ผมพยักหน้าให้น้อยๆ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะยังไม่หายแคลงใจซักที….เค้าหรี่ตาและเอียงหน้า เหมือนยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ

      “ที่ผ่านมา พี่แค่กลัวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับยุนโฮมันจะเปลี่ยนไป…ยุนโฮจะให้ความสำคัญกับพี่น้อยลง…แต่วันนี้พี่รู้แล้วว่ามันแทนกันไม่ได้…ยุนโฮ ยังคงวิ่งมาเพื่อที่จะบอกพี่เป็นคนแรก ว่าเค้าตกลงที่จะคบกับยูชอนแล้วเค้ายังคงให้ความสำคัญกับพี่ในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุด…ตัวพี่เองในขณะที่ชางมินมีความสำคัญกับ พี่มากขึ้นเรื่อยๆ…พี่หาเรื่องแกล้งนายเพื่อที่จะได้คุยกับนาย และอยู่ใกล้ๆนาย ทุกๆวันพี่เอาแต่คิดถึงเรื่องของนายโดยไม่รู้ตัว แต่ยุนโฮก็ยังคงเป็นเพื่อนคนสำคัญของพี่ที่สุดเหมือนเดิม…” ผมพูดความรู้สึกทั้งหมดออกไปเต็มความสามารถเท่าที่คนอย่างผมจะเรียบเรียงได้ โดยหวังว่าชางมินจะเข้าใจมัน

      ทุกๆคนล้วนเป็นคนที่ผมรัก…แต่ความรักที่ผมมีให้ทุกคนนั้นมีความหมายแตกต่างกันออกไป…ผมไม่สามารถจะบอกว่าได้ใครสำคัญที่สุด…ผ มไม่อยากจะสูญเสียใครไป…แต่คนที่จะยืนข้างๆผมในฐานะคนของหัวใจมีได้แค่เพียงคนเดียว

      “พี่ไม่ได้รักพี่ยุนโฮเหรอครับ?” ชางมินยิ้มแล้วจับมือผมเอาไว้…ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้น..

      “ก็คงงั้น” ผมก้มหน้าตอบ

      “แล้วพี่รักผมรึเปล่า?” ชางมินขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น

      “ก็คงงั้น” ตอนนี้ผมไม่สามรถเงยหน้าขึ้นสบตาชางมินตรงๆได้อีกแล้ว

      “ผมจูบพี่ได้ไม๊ครับ…” พูดจบ ชางมินใช้มือเชยคางผมขึ้นเบาๆ…ผมสบตาเค้า…แววตาอ่อนโยนที่ผมมองข้ามมาตั้งแต่ต้น..ผมสัมผัสได้ถึงความต้องการจากแววตานั้น แม้ในแสงสลัวๆแบบนี้ก็ตาม…ผมค่อยๆหลับตาลงแทนคำตอบ …

      ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆคลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูกก่อนที่ริมฝีปากของเราจะสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา…ความอ่อนโยนและเร่าร้อนในเว ลาเดียวกันยามเมื่อลิ้นได้ลิ้มลอง…สัมผัสอ่อนหวานละมุนละไมที่มอบให้ทำเอาผมแทบละลายอยู่ในอ้อมกอดของชางมิน…อ้อมกอดอบอุ่นที่ผม เคยมองข้ามมาตลอด กลับกลายเป็นสิ่งที่ผมถวิลหาที่สุด…

      ถึงตอนนี้ ผมพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นกับคนที่อยู่ข้างๆผมมาตลอด….. 


      (ตั้งใจให้มินพูดน้อยๆ ลึกลับๆ เพราะจะได้ไปอ่านใน Slide 2 ต่อ...^^)

      เมนต์ให้ด้วยนะ....คร๊าบบบบบ...

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×