TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt.Jae
ผมอยู่ข้างๆใครคนนึงมานานแสนนาน...นานเสียจนผมคิดว่าผมรักเค้า ระหว่างคนที่ผมอยู่เคียงข้างเค้า กับคนที่คอยอยู่เคียงข้างผม เมื่อคนทั้งคู่ไม่ได้เป็นคนๆเดียวกัน แล้วใครคือคนที่ผมรักกันแน่...
ผู้เข้าชมรวม
2,062
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ชางมิน
การได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุขมันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ
แต่ทำไมพี่ถึงรู้สึกเจ็บอยู่ตลอดเวลาล่ะ
ทำไมพี่ถึงรู้ สึกว่าตัวเองไร้ค่าเสียเหลือเกิน” ผมย่อตัวลงนั่งข้างๆชางมินอย่างหมดเรี่ยวแรง ผมระบายความรู้สึกเหมือนพูดลอยๆ เพราะผมคิดว่าชางมินคงไม่สนใจว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร
คงเหมือนทุกครั้งที่ผมแกล้งเค้า แล้วเค้าแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
“คงเป็นเพราะ เวลาพี่ลืมตา
พี่เอาจับจ้องแต่คนที่พี่รัก
ไม่เคยมีซักครั้งที่พี่จะละสายตามองไปรอบๆน่ะสิ” ใบหน้าอ่อนโยน เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดบันทึกเล่มเล็กนั่น
“แล้วยังไง” ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าชางมินฟังผมอยู่
“พี่ถึงมองไม่เห็นคนอื่นที่อยู่รอบๆตัวพี่
ความรักของคนที่รักพี่
คนที่เผ้ามองพี่อยู่ตลอดเวลาในขณะที่พี่เฝ้ามองคนอื่น
”
“ชางมิน!!
นาย” เหมือนอะไรบางอย่างจุกแน่นอยู่ที่คอหอย
สำหรับผมแล้ว นี่มันช่างเป็นคำปลอบโยนที่น่าตกใจ
ถ้าคนคนนั้นที่ชางมินพูดถึง หมายถึงตัวชางมินเอง
ชางมินไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงเขียนบางอย่างลงในสมุดต่อ
ผมรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่คำพูดล้อเล่น
แต่ถึงอย่างนั้น
ผมก็ภาวนาให้มันเป็นเพียงการล้อเล่น
ผมรู้ดีว่าการรอคอยอย่างไร้จุดหมายมันทรมานเพียงใด
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ม ีทางสมหวัง แต่ก็ตัดใจไม่ได้
“เตรียมถ่ายซ่อมท่อน สุดท้ายครับ
ทุกคนประจำที่ครับ” เสียงผู้กำกับดังขึ้น ถึงเวลาที่เราต้องทำงานอีกแล้ว ชางมินเก็บสมุดเล่มเล็กนั่นลงในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมาทางผม
“ไปกันเถอะครับ..เค้าเรียกแล้ว” เค้าพูดแล้วส่งมือมา
. ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้า..ชางมินยังคงยิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้ง ผมส่งมืออกไปยึดมือของชางมิน แล้วดึงตัวเองให้ลุกขึ้นตาม
‘แค่คำพูดคำเดียว
วันนี้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า
ไม่ได้เจอชางมินมานานแสนนาน ทั้งที่เค้าก็อยู่ข้างๆผมมาตลอด’
ผมลุกขึ้นมายืนได้แล้ว แต่ชางมินก็ยังไม่ปล่อยมือผม เค้าจูงมือของผมไปทั้งแบบนั้น
แม้ว่าผมจะพยายามเท่าใดก็ไม่สามารถแกะมือของชางมินออกได้
จนในที่สุด เราก็เดินมาถึงบนเวที ยุนโฮและจุนซูยืนประจำที่รออยู่แล้ว
ทั้งคู่มองผมกับชางมินแล้วยิ้ม
จนผมรู้สึกอาย
แต่ในที่สุดชางมินก็ปล่อยมือผม แล้วถอยห่างไปประจำที่ที่ตำแหน่งของตัวเอง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ถึงอย่างนั้น ตำแหน่งที่เค้ายืน มันก็ยังคงอยู่ข้างๆผมอยู่ดี
*******************************
*****************
“นี่
แจจุง
ชั้นจะขอตัวกลับไปที่คอนโดก่อนได้รึเปล่า...เป็นห่วงยูชอนจริงๆเลย” ยุนโฮถามผมหลังจากที่ถ่ายเสร็จ
ระหว่างที่กำลังเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัว ยุนโฮใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าแบบลวกๆ เพราะเป็นคนเหงื่อออกน้อย ถึงแม้จะเพิ่งเสร็จจากการเต้นมา แต่หน้าก็ไม่ได้ดูโทรมลงไปซักเท่าไรเลย
“ไปเถอะ
แล้วดูแลยูชอนดีๆนะ
.ชั้นจะบอกผู้จัดการกับพวกทีมงานให้เอง ว่านายไม่ค่อยสบาย” ผมเริ่มทำร้ายหัวใจตัวเองอีกครั้ง
ด้วยการบอกให้ยุนโฮกลับไปหายูชอน
“ขอบใจนะ
ชั้นรู้ว่านายต้องช่วยชั้นได้
แจจุง” ยุนโฮเข้ามาโอบไหล่ผม ด้วยความสนิทสนม ระหว่างที่เราเดินกลับห้องแต่งตัว เหมือนที่เค้าทำเป็นประจำ ตั้งแต่แรกที่เรารู้จักกัน
มันใกล้ชิดจนผมกลัวว่าเค้าจะได้ยินเสียหัวใจของผมเต้น
หัวใจที่กำลังแตกสลาย
“ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่” ผมยิ้มให้ยุนโฮ แล้วรีบก้มลง ทำเป็นเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยผ้าขนหนู
แต่ที่ผมต้องการเช็ดมัน จริงๆแล้วคือน้ำตา ไม่ใช่เหงื่อ
น้ำตาที่ไม่ได้ไหลออกมาถึงแม้ผมอยากจะร้องไห้ก็ตาม
‘ใช่
ทั้งหมดมันเป็นหน้าที่ของเพื่อน
ที่ผมเจ็บก็เพราะผมเองที่ทำเกินหน้าที่
ผมไม่ควรรัก
คนที่ผมเป็นได้เพียงเพื่อน’
เมื่อผมเดินเข้ามาถึงห้องแต่งตัว
ผมเห็นทุกๆคนกำลังวุ่นวายกับการเก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้า
จุนซูเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว และกำลังจัดการกับบรรดาขนมของว่างที่มีอยู่มากมายในห้องแต่งตัวตรงโต๊ะใหญ่กลางห้อง
หมอนี่มักจะใช้ความไวของนักฟุตบอล วิ่งมาจองคิวห้องอาบน้ำของสตูดิโอคนแรกแทบทุกครั้ง
เพราะพวกเราชอบที่จะอาบน้ำที่สตูดิโอก่อนที่จะกลับไปสลบเหมือดกันที่บ้านอย ่างนี้เป็นประจำ
ชางมินยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้านั่งอยู่เงียบๆที่มุมหนึ่งของห้อง กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดเล่มเล็กๆเล่มเดิม ที่ผมเห็นจนชินตา บางครั้งผมก็สงสัย ว่าเค้าเขียนอะไรลงไปในสมุดเล่นนั้นหนักหนา..ซักวันนึงผมจะขโมยมาอ่าน แล้วเอาไปแฉออกรายการ X-Man คอยดูสิ (โห..นิสัย )
ผมทิ้งตัวลงนั่งลงตรงอีกด้านหนึ่งของม้านั่งยาวที่ชางมินนั่งอยู่
คงต้องรอซักพัก กว่าห้องน้ำของสตูดิโอจะว่าง
นี่เป็นงานสุดท้ายของวันนี้แล้ว
และคืนนี้เราก็จะมีงานเลี้ยงขอบคุณกันซักเล็กน้อย
ผมมองยุนโฮ ยัดของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ (โดยไม่ได้อาบน้ำ)
“พี่ยุนโฮ
จะไปไหน” จุนซูถามยุนโฮปากยังเคี้ยวขนมไม่หมดซะด้วยซ้ำ
“พี่จะกลับไปดูยูชอนหน่อยน่ะ
ทิ้งไว้คนเดียวไม่ไว้ใจ
เดี๋ยวจะไปอาบน้ำที่บ้านเลย
ไปนะ” พูดจบยุนโฮก็หันมาพยักหน้าให้ผม 1 ทีก่อนจะเดินออกจากห้องแต่งตัวไป จุนซูพยักหน้าเหมือนจะรับรู้ แล้วหันไปสนใจกับขนมตรงหน้าต่อ
.ผมมองตามหลังยุนโฮออกไปจนลับสายตา
‘ยืนตรงหน้านายในฐานะเพื่อน
แต่ในฐานะคนคนหนึ่งที่รักนาย ชั้นทำได้แค่มองตามแผ่นหลังของนายเท่านั้นเอง’
โกรธตัวเอง
อึดอัดใจ ที่ไม่สามารถเป็นได้มากกว่านั้น
.แต่ก็ทำได้แค่ กำมือเอาไว้แน่นๆ เท่านั้นเอง
ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของใครอื่นเลย นอกจากหัวใจของตัวเอง
แล้วเมื่อหันกับมาอีกที ชางมินก็เขยิบมานั่งอยู่ข้างๆผมแล้ว
“เฮ๊ยย!!
เขยิบมาตั้งแต่เมื่อไร!?!” ผมตกใจจนร้องเสียงหลง
“ตกใจอะไรนักหนาพี่แจจุง
แค่ผมย้ายมานั่งตรงนี้
อ๊ะ!! พี่แจจุง” อยู่ดีๆชางมินก็ดึงมือของผมไป
กะทันหัน จนตัวผมเองตั้งตัวไม่ทัน
“อะไร??
มือชั้นมันเป็นอะไร” .. ผมชักมือกลับมา
“เล็บยาว..” ชางมินตอบแล้วดึงมือผมกลับไป
“แล้วไง”
“ผมจะตัดออกให้” พูดแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างตัว ก่อนจะหยิบกรรไกรตัดเล็บออกมา
“ไม่ตัด!!
” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
พยายามดึงมือออกมา ในใจก็คิดว่า
คนบ้าอะไรจะพกกรรไกรตัดเล็บไว้ในกระเป๋า
ชางมินเงยหน้าขึ้นมามองผมช้าๆ
ได้โปรด อย่ามองพี่ด้วยสายตาแบบนั้น.. TT^TT
“ผมไม่ชอบให้พี่ไว้เล็บยาว
” เสียงคีย์ต่ำและสายตาแบบนั้น
ทำให้ผมหมดทางสู้ ตัดก็ได้วะ ไอ้น้องบ้า TToTT
‘จะเป็นความบังเอิญหรือว่าอะไรก็ตาม ผมรู้สึกขอบคุณชางมินทุกครั้ง ที่อยู่ข้างๆผมเสมอ...ยามที่ผมรู้สึกไม่สบายใจ’
************************
***************
“พี่จุนซู
พี่จะอยู่ต่อรึเปล่า ผมจะพาพี่แจจุงกลับบ้านแล้ว” ผมเบิกตาโตมองคนตัวสูงข้างๆ..ที่อยู่ดีๆก็บอกว่าจะพาผมกลับบ้าน..
“ยัง
.อ่ะ นายพาพี่แจจุงกลับไปก่อนเลย เดี๋ยวชั้นจะกลับพร้อม ผู้จัดการทีหลังได้” จุนซูที่กำลังติดลมตอบชางมินอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันไปดื่ม(น้ำมะพร้าว)ต่อ กับ ทีมงาน
“กลับ!?
พี่บอกนายเหรอว่าพี่จะกลับ” ผมถามชางมินด้วยความเคืองใจเล็กน้อย
ก็นานๆทีจะได้มีโอกาสดื่มเต็มที่แบบนี้
“ก็ผมเบื่อแล้ว
ไปเถอะครับ” ไม่พูดเปล่า ชางมินลุกขึ้นแล้วฉุดผมให้ลุกตาม
“ไม่เอาๆๆ ไม่กลับ
ชางมินปล่อยพี่นะ..ปล่อย!!” ผมโวยวาย และขัดขืนเต็มที่ เมื่อผมเริ่มดิ้นรน จากฉุดมือธรรมดา จึงกลายเป็นล๊อคเอวไปในบัดดล ... แต่ดูเหมือนที่ผมทำไปมันจะไร้ประโยชน์สิ้นดี...เพราะไอ้ที่ล๊อคเอวผมเอาไว้มันไม่ใช่คนธรรมดา มันคือชเวคัง ชางมิน
ที่จริงแล้ว ผมไม่อยากกลับไปเจอ ยุนโฮกับยูชอนอยู่ด้วยกัน
“พี่แจจุงเมาแล้วครับ
ผมพาพี่เค้ากลับก่อนนะครับ..เดี๋ยวพี่เค้าจะอาละวาด” ชางมินบอกลากับบรรดาทีมงาน
โดยไม่สนใจว่าผมจะโวยวายยังไงเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งโวยวายขัดขืนก็กลายเป็นเมาแล้วอาละวาดซะงั้น
นี่มั นเป็นน้องผม หรือเป็นพ่อผมกันแน่เนี่ย
ในที่สุดผมก็ต้องออกมาจากร้าน (ผมโดนชางมินหิ้วออกมา...T_T) เมื่อเราเดินมาถึงที่รถ
T^T
“ชางมิน
พี่ไม่อยากกลับไป” ผมบอกชางมิน ขณะที่เค้ากำลังเปิดประตูรถ
“ผมรู้ครับ
พี่ขึ้นรถเถอะ” ผมเข้าไปนั่งในที่ข้างคนขับอย่างเสียไม่ได้
ชางมินปิดประตูให้ผม แล้วอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ แล้ว ออกรถ
ไม่นานนักผมก็เริ่มสังเกตว่านี่ไม่ใช่เส้นทางกลับบ้าน
“ชางมิน
ไม่ใช่ทางนี้นี่” ผมมองวิวที่เคลื่อนผ่านไป 2 ข้างทาง...มันเป็นเส้นทางที่ผมรู้จัก แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคย
“นายหลงทางรึเปล่า??” ผมถามอีกครั้ง แต่ชางมินก็ไม่ตอบ
แต่ก็ช่างมันเถอะ ยังไงซะ ผมก็ยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้..หลงทางไปซัก 2 3 รอบ จะเป็นไรไป
ในที่สุด
ชางมินก็หยุดรถลงที่หน้ารั้วโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
“ถึงแล้วครับ
ลงเถอะครับพี่” ชางมินหันมาบอกผม แล้วเปิดประตูลงจากรถไป
ผมลงมายืนที่ข้างรถ
เมื่อมองไปรอบๆ
ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนก็ตามที แต่ในยามกลางคืน ดึกสงัดแบบนี้
มันช่างเงียบเหงา
ผมรู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย..แต่ก็ไม่ได้หนาวจนเกินไป
“ไปกันเถอะครับ” ชางมินจูงมือผมเดินเข้าไปในโรงเรียน...มือของชางมินช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ถึงผมจะไม่รู้ว่าชางมินจะพาผมเข้าไปในนั้นทำไม แต่ผมก็ไม่รู้สึกกลัวเมื่อชางมินจับมือผมเอาไว้แบบนี้
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร
ที่ผมรู้สึกเคยชินกับการที่ถูกชางมินจับมือ แล้วฉุดไปทางนั้นที ทางนี้ทีแบบนี้
ผมไม่ได้ขัดขืนและตกใจอีกต่อไป...กลับรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ...3ปีที่ผ่านมา มือคู่นันยังคงอบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่น่าเชื่อนะครับ
เมื่อปีที่แล้วผมยังเป็นนักเรียน ม. 6 ของที่นี่อยู่เลย
พอกลับมาอีกทีรู้สึกเหมือนผู้บุกลุกเลย” ชางมินพูดไป เดินไปเรื่อยๆ ที่แท้ที่นี่ก็เป็นโรงเรียนมัธยมที่ชางมินจบมานั่นเอง
“นี่
เล่นแอบเข้ามาตอนนี้
ยังไงก็บุกลุกแหละ” ผมตอบ ชางมินหัวเราะเบาๆ ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ ชางมินพาผมเดินเข้ามากลางสนามฟุตบอลใหญ่
หน้าโรงเรียน สปอร์ตไลท์ 4 เสาข้างสนาม ส่องมาที่กลางสนามเป็นจุดเดียว
ผมนั่งลงพร้อมๆกับชางมินที่กลางสนาม
.สนามกว้างใหญ่ที่มีเพียงเรา 2 คน อยู่ในสนาม
“พอได้มาอยู่ตรงนี้..รู้สึกเหมือนกับว่า
โลกทั้งโลกเป็นของเรา 2 คนเลยนะ” ผมนอนลง สายตาจับจ้องไปบนท้องฟ้า
หมูดาวสุกใส เปล่งประกายระยิบระยับ
เหมือนอยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือออกไปจับได้
ผมรู้สึกว่าคืนนี้ แคสสิโอเปีย สดใสกว่าทุกคืน (เพราะทุกคืนผมไม่ได้มองดาว )
“อื้อ
เป็นของพี่หมดแหละ
ทั้งสนามบอล ท้องฟ้า และดวงดาว
รวมทั้งผมด้วย” ชางมินนั่งกอดเข่า
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเช่นกัน
ผมลุกพรวดขึ้นทันที ที่ชางมินพูดจบ
แต่ชางมินก็ดูจะไม่ได้เดือดร้อนกับคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาเลย
“อย่าทำกับพี่แบบนี้ชางมิน
นายก็รู้ว่าพี่ยังไม่พร้อมที่จะรักใครใหม่” ผมพูดออกไปตรงๆ แต่ชางมินก็ดูเหมือนที่จะไม่ใส่ใจเท่าไรนัก กลับตอบผมมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ผมรู้ดีว่าพี่ยุนโฮ เป็นคนที่พี่เฝ้ามอง
ผมจะไม่ขอให้พี่ละสายตาจากพี่ยุนโฮ หันมามองผม
.ผมขอแค่นั่งอยู่ข้างๆพี่
.จับมือของพี่เอาไว้ เวลาที่พี่รู้สึกโดดเดี่ยว
ขอแค่พี่ไม่ลืม ว่าผมอยู่ตรงนี้
ผมขอแค่นั้นจะได้รึเปล่า” ชางมินละสายตาจากดวงดาวบนท้องฟ้ามามองหน้าผม
ด้วยแววตามุ่งมั่นอย่างที่ผมไม่เคยจะได้เห็น
แววตาที่ทำให้ผมจิตใจสั่นไหว
‘จะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปรึเปล่า..หากจะบอกว่า แท้จริงแล้ว ผมก็ต้องการใครซักคนที่จะคอยอยู่เคียงข้างผม เวลาที่ผมรู้สึกท้อแท้ โดดเดี่ยว
คนที่จะคอยรับฟังเรื่องราวความรักที่ไม่มีวันสมหวังของผม
’
“ทำแบบนั้น มันจะเห็นแก่ตัวกับนายเกินไปรึเปล่าชางมิน”
“ถ้าพี่มีความสุขที่ได้มองพี่ยุนโฮ
ผมก็มีความสุขที่ได้อยู่ข้างๆพี่
ถึงแม้จะในฐานะเพื่อนก็ตาม” ชางมินจับมือผมเอาไว้แล้วหันมายิ้มให้ผม
ถึงแม้ว่าบุคลิกของชางมินจะดู เรื่อยๆ เปื่อยๆ เหมือนไม่ได้คิดที่จะสนใจเรื่องราวของคนอื่นมากมายนัก...แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าในตอนนี้ เค้าคือคนที่ใส่ใจผมมากที่สุด...
“’งั้นต่อไปนี้
นายจะเป็นเพื่อนคนสำคัญและเป็นของชายที่พี่รักที่สุดเลยชางมิน” ผมหันไปยิ้มตอบให้ชางมิน
“แค่นี้
ผมก็ดีใจแล้วครับ” ชางมินยิ้มเหมือนเค้ากำลังมีความสุขมากมาย
แต่ผมรู้สึกว่าเค้าบีบมือผมแน่นขึ้นเล็กน้อย
เอาเถอะ
ผมจะปล่อยให้เค้าทำตามที่ใจเค้าอยากทำก็แล้วกัน
ปล่อยให้เค้าอยู่เคียงข้างผมอย่างที่เค้าอยากทำ ไม่ถือเป็นการเห็นแก่ตัวใช่รึเปล่า
************************
ผมกับชางมินกลับไปถึงคอนโด
เมื่อเลย 2 ยามไปเล็กน้อย
จุนซูยังไม่กลับมา คืนนี้คงยาวแน่ๆ
โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นแค่งานโชว์ตัว
2 3 งาน แบ๊วๆ อย่างจุนซูคงแอ๊บได้ไม่มีปัญหาถ้าตาจะคล้ำเป็นแพนด้าซักหน่อย
ผมเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องของยูชอน
‘ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้างนะ
ถึงจะมียุนโฮดูแลอยู่ก็เถอะ
เจ้านั่นน่ะ...’ คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว
ผมค่อยๆเปิดประตูห้องเข้าไป
นั่นไง
นึกแล้วไม่มีผิด
ยุนโฮ นั่งหลับ สัปหงก หมดท่าอยู่บนเก้าอี้ที่เจ้าตัวคงลากมาไว้ข้างเตียง
ยูชอนกำลังหลับอยู่..แต่ดูท่าทางจะไม่ค่อยสบายนัก
ผมวางหลังมือลงบนหน้าผาก ของยูชอน
แล้วต้องสะดุ้ง
“มีไข้นี่นา
เจ้าหมีมันดูแลน้องประสาอะไร” ผมบ่นกับตัวเอง
แล้วหันไปปลุกเจ้าหมีอ้วนข้างๆ ที่ดูจะหลับสบายยิ่งกว่าคนถูกเฝ้าซะอีก
“ยุนโฮๆ
” ผมเขย่าแขนเค้า เบาๆ ยุนโฮ ก็งัวเงียตื่นขึ้น..หันมามองหน้าผมกระพริบตาปรือๆปริบๆเหมือนเมาขี้ตา
“หืมม..อืม แจจุงเหรอ
มีอะไรรึเปล่า” ยุนโฮ ถามไปพร้อมขยี้ตา..
“ยูชอนมีไข้น่ะ
นายออกไปเอาผ้าเช็ดตัวกับกะละมังใส่น้ำมาหน่อยสิ” ดูเหมือนจะตาสว่างทันที ยุนโฮทำตาโต(เท่าที่จะทำได้)ก่อนจะรีบออกไปโดยไม่ถามอะไรต่อ..แล้วกลับมาพร้อมของที่สั่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แถมยังแทบจะถอดตู้ยาออกมาทั้งตู้
“นายเพิ่งกลับมานี่
ไปพักเถอะ ชั้นเช็ดตัวให้ยูชอนเอง” ยุนโฮบอกผมแล้วเริ่มลงมือบิดผ้าขนหนูชุ่มน้ำในกะละมัง ถึงแม้ถายในห้องจะมองเห็นได้เพียงสลัวๆ แต่ผมก็รู้ดีว่ายุนโฮเป็นห่วงยูชอนมากแค่ไหน
เค้าพยายามเช็ดตัวให้ยูชอนอย่างถะนุถนอม
“อื้อ
ตามใจนาย
นี่ ชั้นจัดยาเอาไว้แล้วนะ ให้กิน ทุก 4 ชม. นะ” โชคดีที่ไฟในห้องไม่สว่างนัก
ยุนโฮ คงเห็นหน้าผมไม่ชัดเท่าไร
ผมพยายามเต็มที่ ที่จะบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือไปตามหัวใจ
ผมเดินเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง แล้วยืนพิงประตูอยู่แบบนั้น
เมื่อหลับตาลง ภาพของยุนโฮที่กำลังเช็ดตัวให้ยูชอน อย่างเป็นห่วงเป็นใย ก็สว่างจ้าอยู่ในหัวผม ผมเข้าใจดีว่ายุนโฮทำไปด้วยความรู้สึกอย่างไร...มันคงไม่ต่างจากทุกครั้งเวลาที่ยุนโฮไม่สบายแล้วผมเป็นคนเช็ดตัวดูแลเค้านั่นเ อง
. ผมลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างสัมผัสอยู่ที่มือของผม
“ชางมิน
ยังไม่นอนเหรอ” ผมถามชางมินออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม ชางมินจับมือผมเอาไว้แน่น
เมื่อเห็นหน้าชางมิน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าขีดความอดทนมันขาดผึงลงในวินาทีนั้นเอง ผมปล่อยโฮออกมาต่อหน้าชางมิน ชางมินดึงผมเข้าไปกอด
.ผมร้องไห้อย่างหมดท่าอยู่ในอ้อมกอดนั้นเอง นานเท่าไรก็ไม่รู้ที่ชางมินกอดผมเอาไว้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา...ไม่มีแม้แต่คำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ให้ผมต้องลำบากใจที่จะตอบ ผมถอยออกมาจากอ้อมกอดนั้น
“ขอโทษนะ...ที่ทำตัวน่าสมเพสแบบนี้...พี่ไม่ควรอ่อนแอแบบนี้ใช่ไม๊” ผมพูดแล้วยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตา
“การที่เราร้องไห้ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนอ่อนแอนะครับ...แค่เป็นการระบายความรู้สึกเจ็บปวดอย่างนึงเท่านั้นเอง” ชางมินยิ้มแล้วเอามือมาขยี้หัวผม ... ถึงจะเป็นน้อง แต่เจ้านี่มันก็สูงกว่าผมมาก..ไม่รู้ว่ามันกินอะไรเข้าไป.. (ก็อาหารที่เจ๊ทำนั่นแหละ... เจ๊!!)
“อ๊ะ...ไอ้นี่..ลาม ชั้นเป็นพี่แกนะ มาเล่นหัวกันแบบนี้ได้ไง” ผมปัดมือชางมินออก...ผมไม่ได้ถือสากับการที่ชางมินเล่นหัวผมหรอก แต่มันทำให้เสียทรง !!
“เรื่องนั้นผมไม่สนหรอก...ผมสนแต่ว่า พี่ทำเสื้อผมเปื้อน!!” ชางมินดึงชายเสื้อสองข้างให้กางออก มองมองดูแล้วก็เห็นว่าคราบน้ำมูกน้ำตาของผมเปื้อนเต็มหน้าอกเสื้อของชางมินเลย
ผมเห็นชางมินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วอดขำไม่ได้ ...
“พี่ไม่ต้องมาหัวเราะเลย...เสื้อตัวนี้น่ะพี่ให้ผมเมื่อปีที่แล้ว
” ชางมินก้มลงมองเสื้อตัวเองตาละห้อย..
“เอาน่ะ...แล้วพี่จะซื้อให้ใหม่ 2 ตัวเลยดีมะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมพูดไปหัวเราะไป ... ก็มีแต่เวลาแบบนี้ ที่ชางมินทำตัวสมกับอายุของ
เค้า ... แต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับชินกับท่าทางจริงจังเกินวัยของเค้ามากกว่า
“พี่สัญญาแล้วนะ....ไปวันเสาร์นี้เลยนะ” ชางมินเปลี่ยนหน้าไว เหมือนระบำเปลี่ยนหน้ากาก ...
“เฮ๊ยย!! เอ่อ...ใครบอกนาย...”
“เอาน่ะ ไปนะพี่นะ..ไม่ไปเสาร์นี้แล้วจะไปวันไหนล่ะ...”
“อืม..ไปก็ไป...” ผมตบปากรับคำ จะว่าเป็นการจำใจก็ไม่ใช่ ... ไปเที่ยวกับชางมินก็น่าสนุกดีเหมือนกัน...
เมื่อตะกี้ ผมยังร้องไห้อย่างเป็นวรรคเป็นเวรอยู่เลย ... แล้วดูตอนนี้สิ...ผมแทบจะลืมคน 2 คนในห้องข้างๆไปแล้ว
‘ผมเริ่มเข้าใจบางอย่าง...ว่าที่ผ่านมาผมคงหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกของตัวเองมากเกินไป...สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกตลอดมาคือ ไม่ว่าผมจะทำอะไรไปมากมายเท่าไร...แต่ยุนโฮก็มองว่าผมเป็นแค่เพื่อน ... ผมได้แต่ตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจของตัวเองจนมันกลายเป็นแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หายซักที ... บางทีถ้าผมไม่ใส่ใจแล้วทำเป็นลืมๆมันไปบ้าง...ซักวันนึงผมคงจะทำใจได้ และเจ็บปวดน้อยลง...ถ้ามีใครบางคนมาทำให้ผมลืม...’
*******
รุ่งเช้า
“ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป
ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายก็ยังต้องทุกข์ใจเสมอ
เพราะรักเธ อข้างเดียว
โว๊!! เย๊!! อ๊ากกกกก!! ”
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแหกปากร้องเพลงของชางมินในตอนเช้ามืด
(เมื่อคืนชางมินมานอนเป็นเพื่อนผมที่ห้องของยุนโฮ
เพราะย ุนโฮไปนอนเฝ้ายูชอนที่ห้องของผมกับยูชอน..)
ตามปกติเพลงนี้มันก็เป็นเพลงที่เพราะดี ถ้าชางมินไม่ร้องมันด้วยคีย์โซปราโน่!!
“ชางมินน่าาาา
จะมาปีนคีย์อะไรตอนเช้ามืดนี่เนี่ยย
” ผมงัวเงีย ขยี้ตาลุกขึ้นมานั่งอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็อยากเพลงของคนอื่น ด้วยคีย์ของตัวเองบ้างนี่ฮะ” ชางมินพูดไปทุบแขนตัวเองไป
“เออ แล้วทำไมต้องอยากจะมาร้องตอนเช้ามืดนี่ด้วยนะ
.แล้วเมื่อคืนไปนอนทับแขนของตัวเองเข้ารึไงกัน
ถึงได้ทุบแขนตัวเองเป็นบ้าเป็นหล ังขนาดนั้น
.” ผมขยี้ตาไล่ความง่วงออกไปอย่างยากเย็น ก็เมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอนเลย
ยิ่งคนที่นอนเบียดข้างๆเป็นชางมินแล้วด้วย รู้สึกตื่นเต้นจนแทบข่มตาลงไม่ได้
(มันมานอนเบียดผม
ห้องยุนโฮเป็นเตียงเดี่ยว -_-+)
“ก็ทำนองนั้น
โดนนอนทับน่ะครับ...อ๊ะ อ้อ
ผมจะไปดูจุนซูที่ห้องหน่อย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนกลับมาตอนไหน” ชางมินทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก แล้วลุกขึ้นเปิดประตูออกไป
ผมเองก็เพิ่งจะนึกออก
นี่ต้องแวะไปดูยุนโฮกับยูชอนซักหน่อยแล้วสิ
แล้วก็ต้องต้มโจ๊ก จัดยาให้ยูชอน เตรียมอาหารเช้าด้วย
ภาระ หน้าที่ของผีแม่บ้านประจำวงผุดเข้ามาในหัวผมเป็นขั้นๆ
ผมสะบัดหัว 2 ทีแล้วจำใจลุกขึ้นจากเตียงอย่างอาลัยอาวรณ์
**********
*****
ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากที่หลังจากที่ ต้มโจ๊ก เตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว
เมื่อออกมาจากห้อง ก็พบยุนโฮยืนทำหน้าเหี่ยวอยู่ที่หน้าห้องของยูชอนพอดี
“แจจุง
ดูเหมือนยูชอนจะมีไข้นะ
นายช่วยต้มโจ๊กให้หน่อยสิ
สงสัยวันนี้คงต้องพักอีกวันแล้วล่ะ” ยุนโฮบอกเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆ
บางครั้งผมก็รูสึกหงุดหงิดรำคาญใจ
อยากจะตะโกนใส่หน้ายุนโฮให้รู้แล้วรู้รอด
‘แค่นายไม่รักชั้น ชั้นก็เจ็บจะแย่
แล้วทำไมต้องเป็นชั้นอีกล่ะ ที่จะต้องมาดูแลคนที่นายรัก
’
ผมแต่แต่กำมือเอาไว้ เหมือนทุกครั้งที่ต้องอดทน
ผมไม่สามารถจะพูดอะไรออกไปได้อย่างที่ใจคิด
ผมต้องแยกให้ออกระหว่างหน้าที่และความสัมพันธ์ในวง กับ ความรู้สึกของหัวใจที่นอกลู่นอกทาง
“ไม่ต้องบอกก็ต้องทำอยู่แล้วน่า
นายเองนั่นแหละ ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปทำงาน
ที่เหลือเดี๋ยวชั้นจัดการเอง” พูดจบ ผมก็เดินเข้าไปมาห้องของยูชอน
ยูชอนลืมตาตื่นขึ้น ยกผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าเหมือนลูกแมวงัวเงีย เมื่อแสงไฟจากภายนอกส่องไปที่หน้าของเค้าตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป
ผมเดินไปเปิดม่าน และ หน้าต่าง เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเทบ้าง
“เปิด หน้าต่างให้อากาศบริสุทธิ์(รึเปล่า!?!) ข้างนอกเข้ามาบ้าง
จะได้ไม่อุดอู้
นอนแต่ในแอร์แบบนี้ เชื้อโรคมันก็วนเวียนหมุนเข้าหมุนออกอยู่แบบนี้ แล้วเมื่อไรจะหายซักที”
..
“พี่แจจุง
ผม
ร้อนอ่ะ” เสียงครางแหบต่ำ ดังจากใต้ผ้าห่มเบาๆ
ยูชอนที่โผล่ออกมาจากผ้าห่มแต่ช่วงตาขึ้นไปแววตาอิดโรย
ยังไม่สร่างไข้ดีนัก
ดูแล้วก็รูสึกขบขัน
จนผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
ยูชอนขี้อ้อน ผมไม่ค่อยแปลกใจหรอกที่ยุนโฮจะรักเค้า เพราะเค้ามักจะอ้อนพี่ๆเหมือนน้องชายตัวเล็กๆ
ยิ่งยุนโฮ มีความเป็นพี่ชายสูงขนาดนั้นแล้ว หลงเสน่ห์ได้ไม่ยากเลย
ผมเดินไปลากพัดลมฟอกอากาศข้างๆเตียง ไปไว้ที่ปลายเตียง แล้วเปิดสวิซท์
ก่อนจะเดินไปที่ตู้ใบใหญ่ หยิบผ้าแพรผืนบางออกมา
“ก็เล่นห่มผ้าเป็นตราสังข์แบบนี้ มันจะเย็นสบายได้ไงล่ะ” ผมดึงผ้าห่มนวมผืนหนาออกจากตัวยูชอน โยนมันไปที่เตียงข้างๆ(เตียงผมเอง)
แล้วห่มด้วยผ้าแพรผืนบางนั้นแทน
“ฉันทำโจ๊กไว้ให้อยู่ในครัวนะ..” ผมนั่งลงที่ข้างเตียง ยกมือทาบที่หน้าผากเจ้าตัวดีที่นอนตาปรือ(กว่าปกติ) อยู่บนเตียง
“ส่วนยาก็จัดไว้ให้แล้ว กินให้ครบทุกมื้อล่ะ แน่ใจนะ ว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลน่ะ”
“ ครับ...ไม่เป็นไรมาก...นอนพักสักวัน ก็หายแล้ว..พี่รีบไปเถอะ เดี๋ยวสาย” ยูชอนจับมือของผมออกจากหน้าผาก
“อื้อ..ไปล่ะ...อย่าลืมกินข้าวกินยาน่ะ...” พูดจบผมก็เดินออกมาจากห้อง
*****************
********
“ชางมิน
เอามานะ
ของนายก็มีนี่!!” เสียงแจ๊วจ๋อยๆ ของจุนซูดังขึ้นเป็นปกติ เมื่ออยู่ที่โต๊ะอาหาร..ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องแย่งของกินกับชางมิน
“พี่จุนซู
ลดความอ้วนอยู่นี่ ให้ผมกินดีกว่านะ” คู่กรณีเถียงอย่างไม่ลดละ พร้อมทั้งเอาแขนกันจานอาหาร(ที่มีน่องไก่ของจุนซูอยู่)ของตนเองเอาไว้
“ชั้นลดเฉพาะมื้อเย็นเว๊ย!! เอาคืนมานะ เอาคืนมา”
“นี่!! .. หยุดซักที
ชางมินเอาน่องไก่คืนจุนซูไป” ผมชักจะรำคาญ 2 คนนี่เต็มที
ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ
“ง่า
พี่แจจุงอ่ะ” ชางมินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วคืนน้องไก่ให้จุนซูอย่างไม่มีทางเลือก..จุนซูยิ้มอย่างผู้ชนะ
“เอ๊า
เอาของพี่ไป..แล้วอย่าไปแย่งจุนซูอีก” ผมจิ้มน่องไก่ในจานของผมไปวางในจานของชางมิน เช้าวันนี้ผมไม่ค่อยมีอารมณ์อยากอาหารเท่าไร ไม่เหมือนชางมิน ที่ไม่ว่าเมื่อไรก็ Enjoy Eating ชางมินยิ้มอย่างสดใสเมื่อผมยกน่องไก่ให้
“โหย..พี่แจจุง ลำเอียงนี่” เสียงจุนซูประท้วงขึ้น
“ก็นายได้น่องไก่คืนไปแล้วนี่
แล้วนายก็ต้องลดความอ้วนจริงอย่างที่ชางมินบอกด้วย
แล้วนายก็เหมือนกัน ยุนโฮ รีบๆกินซะ จะต้องให้ชั้นบดข้าวแล้วป้อนไม๊
เหม่ออยู่ได้” ผมหันไปแขวะยุนโฮที่นั่งเหม่อ มองเก้าอี้ของยูชอนอยู่อย่างหมั่นไส้ จนเจ้าตัวตกใจแล้วรีบตักข้าวใส่ปาก
*************
******
เราถ่ายเสร็จไปรายการนึงแล้ว กำลังจะเริ่มต้นอัด อีกรายการ นี่ก็เกือบจะเที่ยงอยู่ระหว่างพักทานอาหารเที่ยง ผมนั่งอ่านสคลิปไปด้วยในระหว่างที่ทานข้าว ยุนโฮเข้ามานั่งข้างๆผมด้วยท่าทีกระสับกระส่ายเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ผมพยายามไม่สนใจเค้า แล้วจดจ่อกับสคลิปที่อยู่ในมือ
ผมรู้ดีว่าเค้าเป็นกังวลเรื่องอะไร
“แจจุง
นายว่าชั้นจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อนยูชอนดีล่ะ” ในที่สุดยุนโฮก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่ผมไม่อยากจะตอบ ผมเริ่มจะเบื่อและรำคาญมันเต็มทน
‘บางที ถ้าเค้าทั้ง 2 คนลงเอยกัน ผมคงจะหลุดพ้นจากสภาพหลอกตัวเองว่ามีหวังซักที
ผมรู้ดีว่าเค้าทั้ง 2 คนมีใจให้กัน
แต่ผมก็อดที่จะหลอกตัวเองไม่ได้ว่าซักวันนึงยุนโฮคงจะหันมามองผมบ้าง
ถ้าไม่บีบหนองออก
แผลอักเสบก็จะไม่หายซักที
’
ผมเงยหน้าขึ้นมาจากสคลิปตรงหน้าอย่างเสียมิได้ ก่อนจะถอนใจ 1 ที
“ทานข้าว
แล้วถ่ายรายการนี้ให้เสร็จก่อน
เดี๋ยวชั้นจัดการเอง” ผมตบบ่ายุนโฮ 1ที แล้วรีบลุกเดินหนีออกมา
ผมมองไปรอบๆตัว..ไม่รู้จะตั้งต้นตรงไหนดี...แต่แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคย
ชางมินกำลังยืนอยู่คุยกับสตาฟสาวสวยประจำรายการออกออกรสชาติ...ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเป็น 2 เท่า อะไรกันนี่!?! ระริก ระรี้ ระรื่น เริงร่ากันอยู่ได้ ... ไม่รู้บ้างรึไงว่าคนเค้ากำลังกลุ้มใจ ไหนว่าจะอยู่ข้างๆกันเวลาที่ไม่สบายใจไง...ชิส์!!
ผมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวและในที่สุดผมก็คิดอะไรบางอย่างออก(ด้วยความล้ำเลิศ ทั้งความงามและสติปัญญา อิอิอิ) แต่ก่อนอื่นผมต้องระงับอารมณ์ แล้วทำหน้าตาให้เป็นปกติซะก่อน
ผมเดินเข้าไปหา ชายวัยกลางคนที่ใส่แว่นนั่งอ่านตารางงานอย่างคร่ำเครียดที่ข้างๆเวที เค้าคือผู้จัดการวงของพวกผมเอง
“คุณ ลี ครับ
ผมมีเรื่องจะบอก” ผมเอ่ยปากออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา
“มีอะไรอีกล่ะ
แจจุง” ผู้จัดการเงยหน้าขึ้นมา แสงกระทบกับเลนส์แว่นตากรอบหนาดูน่าเกรงขามและทรงความรู้นัก
แต่จะทำไงได้ ผมจำเป็นต้องทำ
เพื่อยุนโฮ T^T
“เรื่องยุนโฮน่ะฮะ
.ผู้จัดการอย่าไปบอกยุนโฮครับ
ว่าผมเป็นคนบอก” ผมหันซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จึงก้มลงกระซิบข้างหูของผุ้จัดการลี
“ยุนโฮน่ะเหรอ!??
.” เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ผู้จัดการลี ทำตาโตตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ผมเริ่มย่ามใจว่าแผนได้ผล
“ผมค่อนข้างจะลำบากใจนะฮะ
ยุนโฮก็เป็นหัวหน้าวงคนสำคัญ ยูชอนก็เป็นน้องและเป็น คีย์สำคัญของวงเราด้วย” ผมแสร้งตีหน้าเศร้าลำบากใจ..ในเรื่องที่เพิ่งเล่าให้ผู้จัดการวงฟัง
“ขอบใจที่บอกนะ
ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้
ทั้งวงจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ เดี๋ยวเรื่องยุนโฮ ชั้นจะจัดการเอง เธอวางใจเถอะ” ผู้จัดการลี ตบบ่าผมเบาๆ แล้วเดินจากไป
ผู้จัดการลี เดินจากไปซักพักแล้ว
แล้วผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม นี่ผมทำถูกรึเปล่าเนี่ย
. ผมได้แต่เฝ้าถามตัวเอง ผมยกมือที่กำแน่นของตัวเองขึ้นมาดู
แล้วแบมือออก รอยแผลที่เคยมีที่ฝ่ามือเริ่มจางหายลงไปแล้ว
เพราะผมไม่ได้ไว้เล็บยาวแล้ว เวลาที่ผมกำมือ เล็บจึงไม่จิกลงไปที่ฝ่ามือ
ผมรู้สึกเจ็บน้อยลง
แล้วจริงๆ
“พี่ไปบอกอะไรเกี่ยวกับพี่ยุนโฮ พี่ยูชอน กับผู้จัดการเหรอครับ” เสียงนุ่มๆดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็เห็นชางมินยืนอยู่
สีหน้าดูไม่สบายใจนัก
“คุยกับ พี่สตาฟเสร็จแล้วเหรอ” ผมหันไปถามชางมินแกมประชด โดยไม่ได้ตอบคำถาม
“อ๋อ...พี่เค้าถามผมเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมน่ะครับ ปีหน้าลูกชายพี่เค้าจะสอบเข้าที่นั่น เห็นแบบนั้นมีลูกโตแล้วนะครับไม่น่าเชื่อเลย
ว่าแต่พี่เถอะ คุยอะไรกับผู้จัดการเหรอครับ” ชางมินตอบคำถามและวกกลับเข้ามาที่เดิมจนได้...
“เพื่อยุนโฮ
คนอย่างพี่น่ะทำได้ทุกอย่างแหละ” ผมเบือนหน้าหนี ยกมือขึ้นเสยผม...แต่ในใจรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่คิดว่าพี่จะเป็นคนแบบนั้นหรอก
ผมแค่อยากรู้ว่าพี่โอเคไม๊ เท่านั้นเอง” ชางมินเอื้อมมือมาจับบ่าผมเอาไว้
“พี่โอเค
พี่สบายดี นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
แต่บ่ายนี้ เรา 3 คนคงต้องเหนื่อยกันหน่อยนะ
เพราะพี่บอกผู้จัดการไปว่ายุนโฮป่วย เพราะติดไข้จากยูชอน
ถ้าไม่ให้พัก อาการอาจจะหนักกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้” ผมเงยหน้าขึ้นมองชางมินที่สูงกว่าผมหลายเซ็น แล้วยิ้มให้
^^
“ไม่ต้องฝืนยิ้มหรอกครับ
เวลาที่พี่อยู่กับผม
พี่จะพูดถึงพี่ยุนโฮ ยังไงก็ได้ ผมจะรับฟังพี่เอง” ชางมินพูด
คำพูดที่อ่อนโยน
กลับทำให้ผมอารมณ์เสียอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ไม่ดีใจรึไงที่ผมทำใจได้แล้ว ทำไมต้องคิดว่าผมทำใจเรื่องยุนโฮไม่ได้
“เอาเถอะ ไม่เชื่อก็ตามใจ
พี่ไปซับหน้าใหม่ก่อนดีกว่า
เดี๋ยวถ่ายจริงหน้าจะมัน” พูดแล้วก็หันหลังเดินออกมา
ความคิดมากมาย ความรู้สึกต่างๆ แว่บไปแว่บมา ในสมองของผมจนทำให้รู้สึกเบลอสับสนไปหมด
ถึงตอนนี้ผมเริ่มสับสนว่าที่จริงแล้วผมรู้สึกยังไงกันแน่
กับยุนโฮ
และชางมิน
การเล่นหัวหยอกล้อที่เคยทำต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ตอนเป็นนักร้องฝึกหัด..มันกลายเป็นความเคยชินที่ผมรู้สึกดี
เราสนิทกันมากจนสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง
ถ้าจะนึกดูดีๆ ผมเพิ่งจะรู้สึกแบบนั้นกับยุนโฮเมื่อไม่นานมานี้เอง
ตอนที่แน่ใจว่ายุนโฮมีใจให้ยูชอน
ผมกลัวว่าความสำคัญที่ยุนโฮให้ผมมันจะน้ อยลง
ความผูกพันธ์ยาวนานที่มีมา..และกลัวที่จะสูญเสียมันไป
เหมือนเด็กที่หวงของเล่น
นี่ผมรักยุนโฮจริงรึเปล่า??
*********
คืนนั้น
เราทั้ง 3 คนกลับไปถึงคอนโด เมื่อลอย 4 ทุ่มไปเล็กน้อย
“คืนนี้
นายจะนอนที่ห้องพี่ยุนโฮอีกรึเปล่า..??” จุนซูถามชางมินระหว่างที่กำลังเดินไปที่ห้อง
“เอ่อ
” ชางมินทำท่าลังเล
ผมมองหน้าชางมินแล้วหันไปถามจุนซู
“นายนอนคนเดียวได้ใช่ไม๊ล่ะ..จุนซู” ผมถามจุนซูก่อนที่ชางมินจะตอบคำถามจุนซู
“ได้สิ
พี่แจจุง ดีแล้วหล่ะ ชางมินน่ะชอบละเมอมาต่อยผม
ว่าแต่ห้องพี่ยุนโฮเป็นเตียงเดี่ยว พี่นอนกันเข้าไปด้ยังไงกัน”
“ได้สิ
พื้นข้างเตียงออกจะกว้าง^^ ” ผมตอบคำถามจุนซู แล้วก็ทันได้เห็นทำชางมินหน้าเหวอ
^^
ทันใดนั้น!! ยุนโฮ ก็เปิดประตูออกมาจากห้องของยูชอน
“แจจุง
ชั้นมีอะไรจะบอก
มากับชั้นหน่อยสิ” ยุนโฮ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ากระเซอะกระเซิง แบบคนเพิ่งตื่น เดินตรงเข้ามาจับแขนผม
เพื่อจะไปหาที่เงียบๆคุย แต่จุนซูก็ตะโกนสวนขึ้นมาซะก่อน
“คงไม่ใช่ เรื่องที่พี่ กับยูชอน ตกลงคบกันแล้วหรอกนะฮะ
” จุนซุตะโกนถามไปกลางปล้อง ยุนโฮชะงักเหมือนโดนกด Pause หน้าแดงเรื่อ ค่อยๆ หันหลังกลับมาทางจุนซู
“นะ
นายรู้ได้ยังไง
จุนซู” ยุนโฮถามจุนซู มือค่อยๆคลายจากแขนของผม พระเจ้า!?! แขนผมแดงเป็นเถือกกก ไอ้หมี!!
ผมเองก็อ้าปากค้างที่จุนซูถามไปตรงๆแบบนั้น แต่มาคิดดูอีกที ดูจากนิสัยของจุนซูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ชางมินมองหน้าผมด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ถ้าเรื่องที่พี่ 2 คนชอบกัน ผมรู้นานแล้วฮะ
แต่เรื่องที่ตกลงคบกันแล้ว ผมสังเกตจากผมยุ่งเหยิง กะเสื้อผ้ายับๆของพี่ตอนเดินออกมาจากห้องของยูชอนครับ
.” เสียงแจ้วๆของจุนซุตอบได้เป็นฉากๆ ซะจน ยุนโฮหน้าแดงเหมือนคนไข้ขึ้น
“อ่ะ
ไอ้เด็กแก่แดดดด
.” ยุนโฮเริ่มพูดจาติดขัด..เพราะความเขิน แล้วออกวิ่งไล่จุนซู
“อ๊ากก
.ก็มันเรื่องจริงนี่
พี่ยุนโฮจะโกรธทำไมเล่า” จุนซูพูดไป วิ่งไป
โดยวิ่งเข้าห้องนอนและปิดประตูลงกลอน ทันก่อนที่ยุนโฮจะวิ่งไปถึงได้อย่างหวุดหวิด
“เปิดนะจุนซู
ออกมาให้พ่อเตะสกัดความแก่แดดซักป้าบมา!!” ยุนโฮทุบประตูไม่ยั้ง..(พรุ่งนี้คงต้องเรียกช่างมาดูซะแล้ว!!)
“ใครจะออกไปให้โง่ล่ะ
พี่กลับไปต่อกับพี่ยูชอนให้เสร็จเถอะ
อารมณ์ค้างแล้วมาลงที่ผม” เสียงเถียงตบโต้ดังออกมาจากอีกฝั่งของประตู
ผมสังเกตุเห็นว่าหูของยุนโฮแดงขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊ากก ไอ้เด็กบ้า อย่าออกมาให้เห็นนะ
พ่อจะฆ่าให้ตายคามือเลย” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็เห็นว่าแอบยิ้มอยู่
ผมเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
แต่ก็ต้องใช้มือปิดปากเอาไว้..เพราะกลัวว่าเดี๋ยวยุนโฮจะหันมาเล่นงานผมอีกคน ชางมินเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆแล้วโอบไหล่ของผมเอาไว้
ผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ชางมินยิ้มตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน เค้าพาผมเข้ามาในห้องนอน
แล้วปิดประตูห้อง
“พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไม๊ครับ
ถึงยังไงพี่ก็ยังมีผม” ผมกับชางมินนั่งลงที่เตียง ชางมินกลัวว่าผมจะเสียใจที่รู้ว่ายุนโฮกับยูชอนเข้าใจกันแล้วนั่นเอง
“พี่ไม่เป็นไรหรอกชางมิน
บอกตรงๆว่าตอนนี้ะรู้สึกโล่ง
และรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” ผมยิ้มให้ชางมิน คราวนี้เป็นผมเองที่เอื้อมมือไปจับมือของชางมินไว้
.ร่างสูงตรงหน้า ได้แต่มองอย่างฉงนสนเท่ กับการกระทำของผม
“ก็อย่างที่ชางมินบอก
พี่ไม่เป็นอะไร ก็คงเป็นเพราะพี่มีชางมินอยู่
.พี่ต้องขอบใจชางมินนะ ที่คอยอยู่ข้างๆ และทำให้พี่ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วใครที่สำคัญกับพี่มากที่สุด”
“พี่ยุนโฮน่ะเหรอครับ” ชางมินถามผม ด้วยเสียงแผ่วเบา
ผมยิ้มแล้วส่ายหน้า ยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของหน้าคมเข้มตรงหน้าเบาๆ
“เป็นผม
เหรอครับ”
. ผมพยักหน้าให้น้อยๆ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะยังไม่หายแคลงใจซักที
.เค้าหรี่ตาและเอียงหน้า เหมือนยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
“ที่ผ่านมา พี่แค่กลัวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับยุนโฮมันจะเปลี่ยนไป
ยุนโฮจะให้ความสำคัญกับพี่น้อยลง
แต่วันนี้พี่รู้แล้วว่ามันแทนกันไม่ได้
ยุนโฮ ยังคงวิ่งมาเพื่อที่จะบอกพี่เป็นคนแรก ว่าเค้าตกลงที่จะคบกับยูชอนแล้วเค้ายังคงให้ความสำคัญกับพี่ในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุด
ตัวพี่เองในขณะที่ชางมินมีความสำคัญกับ พี่มากขึ้นเรื่อยๆ
พี่หาเรื่องแกล้งนายเพื่อที่จะได้คุยกับนาย และอยู่ใกล้ๆนาย ทุกๆวันพี่เอาแต่คิดถึงเรื่องของนายโดยไม่รู้ตัว แต่ยุนโฮก็ยังคงเป็นเพื่อนคนสำคัญของพี่ที่สุดเหมือนเดิม
” ผมพูดความรู้สึกทั้งหมดออกไปเต็มความสามารถเท่าที่คนอย่างผมจะเรียบเรียงได้ โดยหวังว่าชางมินจะเข้าใจมัน
ทุกๆคนล้วนเป็นคนที่ผมรัก
แต่ความรักที่ผมมีให้ทุกคนนั้นมีความหมายแตกต่างกันออกไป
ผมไม่สามารถจะบอกว่าได้ใครสำคัญที่สุด
ผ มไม่อยากจะสูญเสียใครไป
แต่คนที่จะยืนข้างๆผมในฐานะคนของหัวใจมีได้แค่เพียงคนเดียว
“พี่ไม่ได้รักพี่ยุนโฮเหรอครับ?” ชางมินยิ้มแล้วจับมือผมเอาไว้
ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้น..
“ก็คงงั้น” ผมก้มหน้าตอบ
“แล้วพี่รักผมรึเปล่า?” ชางมินขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
“ก็คงงั้น” ตอนนี้ผมไม่สามรถเงยหน้าขึ้นสบตาชางมินตรงๆได้อีกแล้ว
“ผมจูบพี่ได้ไม๊ครับ
” พูดจบ ชางมินใช้มือเชยคางผมขึ้นเบาๆ
ผมสบตาเค้า
แววตาอ่อนโยนที่ผมมองข้ามมาตั้งแต่ต้น..ผมสัมผัสได้ถึงความต้องการจากแววตานั้น แม้ในแสงสลัวๆแบบนี้ก็ตาม
ผมค่อยๆหลับตาลงแทนคำตอบ
ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆคลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูกก่อนที่ริมฝีปากของเราจะสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา
ความอ่อนโยนและเร่าร้อนในเว ลาเดียวกันยามเมื่อลิ้นได้ลิ้มลอง
สัมผัสอ่อนหวานละมุนละไมที่มอบให้ทำเอาผมแทบละลายอยู่ในอ้อมกอดของชางมิน
อ้อมกอดอบอุ่นที่ผม เคยมองข้ามมาตลอด กลับกลายเป็นสิ่งที่ผมถวิลหาที่สุด
ถึงตอนนี้ ผมพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นกับคนที่อยู่ข้างๆผมมาตลอด
..
(ตั้งใจให้มินพูดน้อยๆ ลึกลับๆ เพราะจะได้ไปอ่านใน Slide 2 ต่อ...^^)
ผลงานอื่นๆ ของ Polar_Piglet & me ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Polar_Piglet & me
ความคิดเห็น