ตอนที่ 3 : อัจฉริยะตัวน้อย
หวังอี้ฟานนักพรตเฒ่าสองมือไพล่หลังเเหงนหน้ามองท้องฟ้าขณะเด็กชายยืนกอดกระบี่ไม้อยู่เคียงข้างนัยตาคู่ใสเเฝงความใคร่รู้หลายส่วนในม่านตาของเขา
"ท่านปู่ท่านมองอะไรอยู่หรือ?"
คำถามของจ้าวลู่ทำให้เฒ่าชราหลุดจากภวังค์ความคิดพลางทอดถอนใจสลดเอ่ยปากหันกลับมามองเด็กชายตัวน้อยด้วยใบหน้าเศร้าหมองนัยตาคู่นั้นฉายชัดถึงอารมณ์สั่นไหวสุดพรรณาเเฝงความอาลัยอาวรณ์
"เฮ้อออ...จ้าวลู่โลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่เกินกว่าที่เจ้าจะคาดคิด โลกภายนอกนั้นเเฝงเร้นด้วยภัยอันตรายมากมายเกินประมาณหากวันหนึ่งเจ้าจากไปยังภายนอกก็อย่าได้ประมาท"
คำตอบของจ้าวลู่ทำให้หวังอี้ฟานถึงกับอมยิ้มในความไร้เดียงสาของเด็กชายผู้ช่างบริสุทธิ์ เเต่อนิจจาชะตาของเขาช่างเลวร้ายเส้นทางเบื้องหน้าจะมีเเต่กองภูเขาซากศพเเละทะเลโลหิต ไม่รู้ว่าเหตุผลกลใดตนถึงรู้สึกเจ็บปวดร้าวขึ้นมาในทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องเหล่านั้น
ครั้งเมื่อมองใบหน้าของเด็กน้อยตัวร้ายก็พานให้รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาก่อนที่จะฝืนคลี่ยิ้มพลางหัวเราะเพื่อปกป้องรอยยิ้ม ไร้เดียงสา
"ช่างเถอะกาลยังมาไม่ถึงข้าไม่ควรกังวลล่วงหน้าสุดแต่ฟ้าลิขิตก็เเล้วกัน"
หวังอี้ฟานลูบหัวจ้าวลู่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะชี้มือไปยังลานกว้าง
ทันใดนั้นใบหน้าของจ้าวลู่พลันเขียวคล้ำขึ้นในบันดลก่อนจะตะบี้ตะบันกระทืบเท้าเดินเข้าไปด้วยอาการงอเเง
"ข้าบอกเจ้าเเล้วว่าสามคือสาม"
หวังอี้ฟานพลางยกมือป้องปากหัวเราะร่าขณะจ้าวลู่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันครั้งได้ฟังเเละเมื่อมายืนใจกลางค่ายกลอันเเสน คุ้นเคยครั้งต่อมาพลันเปล่งวาจาด้วยความมุ่งมั่น
"ฝากไว้ก่อนเถอะวันใดข้าเเข็งเเกร่งกว่าท่านขึ้นมาแล้วล่ะก็ข้าจ้าวลู่ผู้นี้จะให้ท่านปู่ได้ลิ้มลองรสชาติของค่ายกลเเบบเดียวกัน!"
คำพูดของจ้าวลู่เปี่ยมล้นด้วยความทะนงตนอันที่จริงต่อหน้าค่ายกลกดทับขั้นต้นสำหรับหวังอี้ฟานมันก็ไม่ต่างอะไรกับของเด็กเล่น เหนื่อยเพียงสะบัดมือก็ทำลายลงได้อย่างง่ายดาย เด็กน้อยผู้โอหังจะไปรู้อะไรหากเป็น อัจฉริยะชนรุ่นราวคราวเดียวกันในโลกภายนอกค่ายกลระดับนี้ก็มิอาจทำอันตรายได้มากมายนักเหนื่อยเพียงเเต่ส่งผลให้เคลื่อนไหวลำบากขึ้นมาอีกเล็กน้อย
"เช่นนั้นรึสี่เท่าคงเพียงพอ"
"ท่านปู่...!"
จ้าวลู่อดครวญขึ้นมาด้วยใบหน้าขาวซีดจางในบันดลเเต่ทว่าหวังอี้ฟานกลับทำเพียงสาดยิ้มเย็นส่งพลังลงไปเพิ่มเติมเพื่อเสริมค่ายกลโดยไม่คิดจะสงสารหรือเห็นใจเด็กน้อยฝีปากกล้า
"ตาเฒ่าใจร้าย..."
"ข้าใจร้ายเช่นนั้นรึจ้าวลู่ไหนบอกว่าเจ้าจะเเข็งเเกร่งกว่าข้าล่ะกับอีเเค่ค่ายกลกดทับเจ้ายังทนไม่ได้ต่อให้ร้อยปีเด็กน้อยอย่างเจ้าจะเก่งกล้ากว่าตาเฒ่าอย่างข้าเชียวรึ"
จ้าวลู่ฟุดฟัดขึ้นพลางยกกระบี่ไม้วาดกระบวนท่านัยตาคมกล้าราวพญาราชสีห์จับจ้องร่างเฒ่าชราเปล่งวาจาดุดันเเฝงความมุ่นมั่น
"คอยดูเถอะสักวันข้าต้องเป็นยอดยุทธจนท่านได้เเต่ เเหนงหน้ามอง"
ครังหวังอี้ฟานได้ฟังก็ทำเพียงไพล่หลังพลางอมยิ้มส่ายหน้าอย่างจนใจ
"เเล้วข้าจะรอวันนั้นถ้าหากข้าอยู่ถึงล่ะนะเด็กน้อย"
จ้าวลู่วาดกระบี่สองเท้าก้าวโซเซไปมามองดูเเผ่นหลังของหวังอี้ฟานผู้เดินจากไปภายในกระท่อมหลังน้อย เด็กชายรู้ดีว่าเวลาของหวังอี้ฟานนั้นเหลือน้อยเต็มทีอาการป่วยเริ่มหนักข้อขึ้นทุกวันหากไม่รีบรักษาคงอยู่ได้อีกไม่นาน
ภายในใจกำลังตั้งปณิธาน
เด็กชายสะกดข่มความคิดนั้นไว้เพียงในใจนัยตาพลันคมกล้าขึ้นมาขณะพยายามวาดเพลงกระบี่ประหลาดที่ยากเกินเข้าใจด้วยตาเปล่ามองดูผิวเผินทั้งอ่อนเเละเเข็งกล้าหมุนวนไม่รู้จบ
ยามตะวันเที่ยงตรงหวังอี้ฟานเดินออกมาจากกระท่อมอีกครั้งมองเห็นภาพเด็กน้อยร่ายรำกระบี่ด้วยท่วงท่าสง่างามท่ามกลางความสงบประดุจดั่งรวมเป็นหนึ่งกับสภาพแวดล้อม หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ผสาน นัยตาของหวังอี้ฟานพลันสั่นไหวริมฝีปากอดเเย้มยิ้ม ไม่ได้ก่อนจะสบถในใจ
9 ขวบก้าวถึงขั้นก่อเกิดขั้นต้น 11 ขวบบรรลุปรุงโอสถขั้นต้น 12 ขวบบรรลุค่ายกลขั้นต้น 13 ขวบบรรลุเพลงกระบี่นภาขั้นต้น เด็กน้อยของข้าชั่งเป็นราวกับปีศาจกลับชาติมาเกิดเสียจริง เเม้นจะไม่มีโอสถคอยสนับสนุนสายเลือดตระกูลจ้าวเเละลู่บวกกับการเป็นจอมยุทธปริศนาผู้กลับชาติมาเกิดส่งเสริมกันจนน่ากลัว สักวันโลกหล้าคงสยบใต้ฝ่าเท้าของเขาเป็นเเน่คิดเเล้วก็อนาถใจ ท่านทั้งสองบุตรชายของพวกท่านคือปีศาจโดยเเท้ ครั้งแต่ยามถือกำเนิดจวบจนปัจจุบันไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
"พอเเค่นั้นเเหละฝืนมากไปก็เหนื่อยเปล่า "
เมื่อได้ยินเสียงของหวังอี้ฟานจ้าวลู่ก็ชะงักมือก่อนจะยักคิ้วหลิ่วตาด้วยความลำพองใจ
"ไงล่ะข้าคืออัฉริยะไร้เทียมทาน ใครจะกล้ารังเเกข้า ท่านปู่ข้าจะเเข็งเเกร่งขึ้นสักวันข้าปกป้องท่านเอง "
หวังอี้ฟานหัวเราะร่าเพราะคำพูดของจ้าวลู่ผู้เอ่ยปากว่าจะปกป้องตนเด็กน้อยไม่ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำระดับก่อเกิดจะมาปกป้องตาเฒ่าขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ ชั่งเป็นเรื่องเพ้อฝันหากมีบุคคลภายนอกมาได้ฟังคำนี้ คงสำลักน้ำลายหมดปาก เร่งเปล่งวาจาเเล้วกล่าวว่า ไอ้เด็กนี่ต้องสติเลอะเลือนเป็นเเน่หรือไม่ก็คงประเมินตนสูงทะยานฟ้าคิดจะเอาไข่ไปกระทบภูผามีเเต่คนบ้าเท่านั้นที่มิรู้ถึงความต่างระดับชั้นของระดับการบำเพ็ญ
"เลิกพูดโอ้อวดได้เเล้ว พลังจิตไม่คืบหน้าสักนิดเเล้วเจ้าจะเอาอะไรมาปกป้องข้ากัน"
เด็กชายพลันรู้สึกราวกับโดนน้ำเย็นรดราดหนังหัวเมื่อครู่ยังโอ้อวดเสียเด็กดีแต่พอเจอกับคำถามนี้แทบพูดไม่ออกด้วยวาจาใดก่อนพยักหน้าหุบยิ้มคล้ายเด็กน้อยเจอกระเป๋าสตางค์ข้างทางเเต่พอเปิดออกมาดูด้วยสองตากลับไม่พบสตางค์สักเเดงเดียวชวนพาให้ใจพานโกรธมิใช่น้อย
"ต้องมีสักวันที่ข้าจะปกป้องท่านได้"
หวังอี้ฟานหัวเราะลั่นพลางก้าวเท้าเข้าไปใกล้ยกมือลูบหัวเด็กชายตัวน้อยวัยพึ่งโตด้วยรอยยิ้มเบิกบานบนใบหน้า
"ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้นเเต่ต้องเร็วหน่อยนะเพราะตาเฒ่าของเจ้าคงรอเจ้าได้อีกไม่นานเป็นเเน่ "
จ้าวลู่ใบหน้าถมึงทึงขึ้นมาในทันที่
"ตาเเก่ปากมากอย่างท่านปู่ของข้าไร้เทียมทานจะตายง่ายๆได้ยังไงกันเล่าเพราะหนังหนาจนเคี้ยวยากเเม้เเต่คำชมจากปากยังมิมีเอ่ยคราท่านเเตกดับจริงวันนั้นโลกหล้าก็มลายสิ้นเเล้วด้วยฝีมือข้า "
หวังอี้ฟานสะบัดมือไขว้หลังก่อนกล่าวชมเมื่อถูกทวงถามเเกมประชดประชัน
"เจ้าเก่งมากพอใจหรือยังวันใดสิ้นข้าวันนั้นเจ้าคงสยบใต้หล้าได้เเล้วกระมังปีศาจน้อย"
จ้าวลู่เมื่อได้ฟังความก็คลี่ยิ้มกระพริบตาปริบปริบหมายไต่ถามถึงความเป็นมาของตนครั้งเเรกเกิด
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังอี้ฟานพลันหุบลงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยต่อความอยากรู้อยากเห็นของจ้าวลู่
"ข้าบอกได้เพียงว่าทั้งสองท่านผู้นั้นคือสุดยอดจอมยุทธ์เหนือใต้หล้ายากนักจะหามีผู้ใดมาทัดเทียม เเต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าพึงรู้ "
จ้าวลู่พลางทำหน้ามุ่ยเอ่ยปากเนิบนาบ
"อีกเเล้วรึท่านปู่ มิบอกก็มิเป็นไรข้ามิใคร่สนใจคนที่ทอดทิ้งข้าหรอก ข้าขอเพียงมีท่านปู่อยู่กับข้าตลอดกาลก็พอเเล้ว "
หวังอี้ฟานสิ้นปัญญาจะอธิบายทำได้เพียงฝืนยิ้มเเห้งเเห้งเพราะจ้าวลู่นั้นถอดนิสัยฝ่ายมารดามามากเกินสองในสามส่วน นิสัยหัวรั้นปากไม่ตรงกับใจยากอธิบายขืนฝืนไปก็เท่ากับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ดี ไอ้คราจะอธิบายบอกกล่าวก็หวั่นใจว่า เด็กน้อยผู้นี้จะสิ้นความร่าเริงกลับกลายเป็นคน จมปลักกับความเเค้น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ต้องเขียนว่า
ไม่ประสีประสา