ตอนที่ 13 : ออกเดินทางสู่การผจญภัย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วตลอดสองเดือนจ้าวลู่เเทบใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการทำความเข้าใจเพลงกระบี่นภา ขั้น 2 เเม้นเด็กหนุ่มจะบรรลุเพลงกระบี่นภาขั้น 1 เเต่ก็ยังห่างไกลกับขั้น 2 ลิบลับ
ในเคล็ดขั้น 1 นั้นกล่าวไว้ว่าใช้ใจนำพาสัมผัสฟ้าดินเเข็งอ่อนสลับรุกรับ
ส่วนขั้น 2 นั้นกล่าวว่าเปลี่ยนหยินเป็นหยางอ่อนนอกเเข็งในจิตใจว่างเปล่า การตีความในถ้อยคำเหล่านี้ช่างยากยิ่งจะบรรลุได้โดยง่าย
ส่วนฝ่ายสาวน้อยหลานฉีเอ๋อร์นั้นราบรื่นราวกับจับวาง วิชาการต่อสู้ของเผ่าพยัคฆ์สวรรค์ที่เเน่นหนักทางเพลงหมัดเเละร่างกายโดยอวัยวะทั้ง 5 คือ หมัด เท้า เข่า ศอก ศรีษะ ล้วนเเล้วเเต่เปลี่ยนเป็นอาวุธคมกล้าใช้สังหารศัตรูเพียงเสี้ยววินาที
เดิมด้วยความอัจฉริยะภาพของนางก็เข้าใจถึงวิถีการโคจรพลังลมปราณอสูรพยัคฆ์สวรรค์เเละมังกรจากเเก่นสายเลือดภายในร่างกายของนางได้อย่างง่ายดาย
หากวัดระดับความเเข็งเเกร่งของนางด้วยสายตาอันคับเเคบเเล้วล่ะก็ คงต้องมีผู้หลั่งน้ำตาเป็นสายธารโลหิตเเน่ เเท้หากมองเพียงผิวเผินเพราะเเม้ระดับบ่มเพาะของนางจะอยู่เพียงระดับก่อเกิดขั้นปลายสุดเเต่กลับมีพลังต่อสู้เกือบเทียบเท่าระดับกายาขั้นกลางเลยทีเดียว ซึ่งจ้าวลู่เองก็มีลมปราณนภา ระดับพลังก็ใกล้เคียงกับหลานฉีเอ๋อร์มิใช่น้อย
หากจับสองผู้เยาว์สองคนนี้มาสู้กัน ก็ยากจะรู้ผลเเพ้ชนะครั้งหลานฉีเอ๋อร์ไม่คืนร่างสัตว์อสูร เเน่นอนว่าจ้าวลู่ย่อมเป็นฝ่ายกำชัยชนะครั้งปล่อยเวลาล่วงเลยก็ไม่เเน่ว่าด้วยสายตาอันแหลมกล้ามองการณ์ไกลจะไม่พบจุดอ่อนใดใดในเพลงหมัดของนาง
ตะวันฉายเเสงยามอรุณรุ่ง สองผู้เยาว์ก็ได้เวลาออกเดินทางทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะหวังอี้ฟานเเละหลานหลีหมิ่นกลับมีความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในโลกใบนี้มีอัฉริยะชนมากมายที่ต้องตกตายก่อนวัยอันควรคงไม่มีบิดามารดาคนใดไม่ห่วงใยบุตร
ใบหน้าของสองอาวุโสนั้นปราศจากความปิติยินดีเเม้เเต่น้อยกลับถูกเเทนที่ด้วยความเย็นชาราวขั้วโลกเหนือก่อนจะสั่งกำชับจ้าวลู่เเละหลานฉีเอ๋อร์
เเม้นจะรู้ดีว่าการเลี้ยงดูเยี่ยงไข่ในหินนั้นมิอาจจะทำให้สองผู้เยาว์เติบโตแกร่งกล้าได้หากปราศจาก
ประสบการณ์นองโลหิตในโลกที่แสนโหดร้ายเช่นนี้นั้นใช้กฏป่า ถ้าอ่อนแอก็ตกตายเป็นธรรมดาสามัญเเกร่งกล้าเหี้ยมโหดจึงอยู่รอด ต้องเหยียบร่างคนกองภูเขาซากศพนับพันนับหมื่นเพื่อยืนอยู่บนยอดสุดของหอคอย
งาช้าง
นั้นคือความจริงเเละเป็นสัจธรรมในโลก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูรต่างรู้ซึ้งถึงกฏข้อนี้ดีเเก่ใจในโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดสามารถปกป้องบุตรหลานได้ตลอดเวลาทั้งยามหลับยามตื่นนอกจากตัวของพวกเขาเอง เเน่นอนว่าไม่มีบิดามารดาคนใดต้องการให้บุตรตนเผชิญอันตราย ซึ่งหวังอี้ฟานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกันเพราะในชีวิตนี้ตัวตนของจ้าวลู่เปรียบเสมือนทุกสิ่งที่เขามีส่วนฝ่ายหลานหลีหมิ่นก็มีความคิดเฉกเช่นเดียวกัน
ณ ตอนนี้ใบหน้าของหวังอี้ฟานเปี่ยมล้นด้วยความเข้มงวดเอ่ยปากกล่าวกับจ้าวลู่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
"ลู่เอ๋อร์ในโลกภายนอกนั้นมีอันตรายเเฝงเร้นกายอยู่ทุกหย่อมหญ้าหากไม่มั่นใจก็อย่าริบังอาจบูมบามรนหาเรื่องใส่ตัวสิ่งหนึ่งที่ข้าเป็นกังวลคือสถานะของเจ้าจงปิดบังมันให้ดี เมื่ออยู่โลกภายนอก"
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มพยักหน้าตอบรับขณะหลานหลีหมิ่นกล่าวกับบุตรสาวของนางด้วยใบหน้าดุดันคล้ายจะทำใจยอมรับไม่ได้ที่จะปล่อยบุตรสาววัยกระเตาะไปเผชิญภัยนานับประการยังโลกภายนอก
"ฉีเอ๋อร์น้อยของข้า มนุษย์ส่วนใหญ่มักมองสัตว์อสูรเช่นเราเป็นศัตรูตัวฉกาจ อยู่โลกภายนอกจงระวังตัวให้มากโดยเฉพาะพวกนักฝึกสัตว์ คนพวกนี้นั้นมีวิชาลับบางอย่างที่สามารถควบคุมจิตใจของสัตว์อสูรเช่นเราได้ "
หลานฉีเอ๋อร์ก้มหน้าครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้ากล่าวเสียงใส
"เจ้าค่ะท่านเเม่ข้าจะระวังให้มาก "
เมื่อได้ฟังคำจากบุตรสาวหลานหลีหมิ่นก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะหันไปกำชับจ้าวลู่อีกทีขณะหวังอี้ฟานยืนกอดอกเงียบหูฟังคล้ายไม่ใส่ใจเเต่ทว่าภายในกำลังเกิดความกังวล
"ลู่เอ๋อร์ชีวิตเจ้ากับฉีเอ๋อร์เชื่อมโยงกันด้วยพันธสัญญาโลหิตหากนางเป็นอะไรขึ้นมาชีวิตเจ้าก็ไม่อาจคงอยู่ได้เจ้าเข้าใจหรือไม่ "
จ้าวลู่ตอบคำถามด้วยรอยยิ้มราวกับเป็นอัศวินพิทักษ์องค์หญิง พลางชกอกเอ่ยปากรับคำ
"ท่านน้าหญิงโปรดวางใจใครที่กล้าแตะเเม้เส้นผมของนางข้าจะหักกระดูกพวกมันเป็นสองท่อนให้ดู "
หวังอี้ฟานโบกมือหัวเราะท้องแข็งก่อนจะหันไปมองยังใบหน้าของหลานหลีหมิ่นที่สาดรอยยิ้มอันเย็นเยือกพลางหุบปากคลี่ยิ้มเเห้งเเห้งเอ่ยปาก อย่างภาคภูมิ
"ปัญหาทั้งหมดที่เจ้ากังวลนั้นง่ายดายราวพลิกฝ่ามือสำหรับข้า "
"ชิ..อย่ามาโม้หน่อยเลยมีอะไรก็รีบเอาออกเข้ามา อย่าเสียเวลาโอ้อวด"
หวังอี้ฟานส่ายหน้าอย่างจนใจเมื่อเจอสายตาทิ่มแทงจากหลานหลีหมิ่นคล้ายไม่เชื่อในคำพูดตน ก่อนจะหันไปกล่าวกับจ้าวลู่ด้วยความองอาจคล้ายอยากอวดเบ่งเสียเต็มประดา
"ลู่เอ๋อร์เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าใช้ เเซ่หวัง "
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับขณะหลานหลีหมิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเรื่องของตระกูลหวังในโลกเบื้องบนค่อนข้างจะซับซ้อนเเละปิดเป็นความลับจนยากจะสืบเสาะหาข่าวสาร
"รู้ขอรับท่านน้า "
หวังอี้ฟาน สะบัดชายเสื้อสองมือโพล่หลังก้าวเท้าเดินไปประมาณสามถึงสี่จ้างงอ เว้นระยะห่างคล้ายดั่งวีระบุรุษผู้เดียวดายที่จากบ้านมานาน ก่อนจะหันหลังกลับมาคลี่ยิ้มกว้างจนน่าเกลียดที่สุดในสามโลก สองผู้เยาว์ถึงกับสมองด้านชาเมื่อเจอฉากนี้ ส่วนหลานหลีหมิ่นเเทบอยากจะกระทืบคนโอ้อวดให้หน้าหงายท้องนอนจมกองเลือด คาฝ่าเท้านาง
"ข้าจะบอกอะไรให้รู้นี่คือ ความลับสุดยอดเชียวนะ ตั้งใจฟังให้ดี "
สองผู้เยาว์กระตาปริบปริบคล้ายจะสนอกสนใจในคำของหวังอี้ฟานส่วนเเม่เสือร้ายกลับทำเพียงยืนกอดอกพลางเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์
" พิภพสวรรค์ฝ่ายมนุษย์ถูกปกครองโดยสี่ตระกูลใหญ่ที่กำลังค้านอำนาจกันอยู่มานานนับเกินประมาณ หนึ่งคือตระกูลจ้าวเเห่งตำหนักสุดนภา สองคือตระกูลลู่เเห่งตำหนักเทพโลหิต สามคือตระกูลหม่าเเห่งตำหนักจ้าวโอสถ เเละสุดท้ายเเต่ไม่ท้ายสุดยอดตระกูลผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้าทั้งลึกลับทั้งมั่งมี นามเเซ่หวัง เเห่งตำหนักเทพยุทธภัณฑ์ สุดยอดผู้สร้างสรรค์ผลงานอาวุธขั้นพิภพ อาวุธขั้นสวรรค์ อาวุธขั้นเซียน ทั้งร่ำรวยเงินตรามากมีด้วยทรัพย์สิน เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม ข้าหวังอี้ฟานประมุขน้อยลำดับสองเเห่งตำหนักเทพยุทธภัณฑ์ อยู่เบื้องหน้าพวกเจ้าเเล้ว ฮ่า.ฮ่า.."
ทันใดนั้นดวงตาของจ้าวลู่เเละหลานฉีเอ๋อร์พลันเปล่งประกายเจิดจ้าเพราะไม่รู้ตั้งเเต่เมื่อใดที่อาวุธยุทธภัณฑ์มากมายละลานตาลอยปกคลุมเหนือน่านฟ้าจนมืดฟ้ามัวดินไปหมดมองดูคล้ายพื้นมหาสมุทรส่องประกายระยิบระยับ เบื้องหลังหวังอี้ฟานที่กำลังกางเเขนหัวเราะร่าราวกับคนรวยขาดสติชั่งมองดูวิปลาสไม่น้อย หวังอี้ฟานกำลังอวดปารมีความร่ำรวยของตนขณะหลานหลีหมิ่นมองดูคนบ้าที่พกพาอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมสัพจนละลานตาคล้ายจะไปออกรบจับทัพสู้ศึกกับจอมปีศาจในจินตนาการใบหน้าของจ้าวลู่พลันน้ำลายสอภายในใจพลันเกิดปณิธานอันเเรงกล้าที่อยากจะเป็นยอดยุทธ์ผู้มั่งมีเฉกเช่นหวังอี้ฟาน ผู้เลี้ยงดูตนมากับมือ
น้ำเสียงอันเหี้ยมเกรียมของหลานหลีหมิ่นพลันหลุดออกมานางเปล่งวาจาชวนให้หนังหัวของหวังอี้ฟานพลันด้านชาไปหมด
"อี้ฟานเจ้าอยากตายรึ อวดร่ำอวดรวย มีใครบ้างในโลกที่ไม่รู้ว่า ต่อหน้าพลังที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น ต่อให้แม้นมีอาวุธพิภพสวรรค์มากมายก่ายกองรอบกายก็ไร้ความหมาย ยังจำต้องนอนตายใต้ฝ่าเท้า เสียร่ำไป "
สาวน้อยหลานฉีเอ๋อร์ พลันอมยิ้มเมื่อได้ฟังคำของมารดาตนขณะจ้าวลู่พลันฉุกคิดได้ขึ้นมาตามความเป็นจริงเเต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าฉากนี้นั้นได้สลักจารึกลงภายในจิตใต้สำนึกของเด็กหนุ่มเป็นที่เรียบร้อย หวังอี้ฟานกระเเอมไอเเก้เขินก่อนเอ่ยปาก
"สำหรับปัญหาของฉีเอ๋อร์นั้นง่ายมากเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าผู้นี้ ส่วนลู่เอ๋อร์ข้ามีของขวัญจะมอบให้เจ้าเเน่นอนว่า ท่านน้าอย่างข้าคงไม่ยอมปล่อยให้ผู้เยาว์เช่นพวกเจ้าสองคนต้องอดอยากปากเเห้ง รับไปซะอภินันทนาการจากข้าผู้เเซ่หวังนามอี้ฟาน "
หวังอี้ฟานสะบัดมือโยนเเหวนมิติสุดล้ำค่าอย่างง่ายดายเเถมเเหวนดั่งกล่าวยังเป็นของระดับสูงสุดผลึกค่ายกลอาคมไว้ภายในกันการตรวจสอบของขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหวังอี้ฟานก็มั่นใจอย่างหนักเเน่นว่า
ต่อให้เป็นขอบเขตนิพพานก็ลำบากมิใช่น้อยหากคิดต้องการตรวจสอบเเหวนสองวงนี้ ภายในเเหวนของจ้าวลู่เเละหลานฉีเอ๋อร์บรรจุไปด้วยหินยุทธ เเละเเก่นฟ้าดิน หลายเเสนก้อน เเละที่ลอยตามติดมาคือหน้ากากประหลาดอีกสองใบ เเถมยังมี ชุดเกราะซับในอีกคนล่ะชุด
หวังอี้ฟานเอ่ยปากคลี่ยิ้มหวานนัยตาฉายเเวววูบวาบเมื่อดูเด็กน้อยทั้งสองลิงโลดเพราะได้รับของขวัญจากตน
" ต่อเเต่นี้ไป พวกเจ้าทั้งสองก็เป็นเศรษฐีตัวน้อย คิดจับจ่ายสิ่งใดก็เพียงสะบัดนิ้วชี้จ่ายเงิน ส่วนหน้ากากอันนี้ช่วยผลึกหรือดัดเเปลงลมปราณ ให้ดูธรรมดาสามัญเฉกเช่นคนทั่วไปเเถมยังสามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์หน้าตาได้ตามใจปรารถนาครั้งยังยากต่อการตรวจสอบอีกด้วย ต่อให้เป็นขอบเขตศักดิ์สิทธิ์หรือนิพพานขั้นต้นมาเองก็ยากยิ่งที่จะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติหากไม่มีเวลาว่างมากพอมานั่งจับผิดเด็กน้อยเช่นพวกเจ้า ส่วนชุดเกราะนั้นให้ใช้ให้น้อยที่สุดเพราะมีขีดจำกัด หากภัยอันตรายไม่ถึงชีวิตก็อย่าได้เปิดใช้งานเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่ "
สองผู้เยาว์พยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้นก่อนจะโค้งคำนับกล่าวลาสองอาวุโส
"ท่านน้าอี้ฟาน ท่านน้าหญิง รักษาตัวด้วยขอรับ "
"ท่านเเม่ ท่านน้าอี้ฟาน รักษาตัวด้วยเจ้าค่ะ "
หวังอี้ฟานคลี่ยิ้มโบกมือลาพลางเอ่ยปากขณะหลานหลีหมิ่นหัวจิตหัวใจเเทบหยุดเต้นอยู่รอมร่อ
"จงโชคดีระวังให้มากเข้าไว้นะลู่เอ๋อร์ เเละเจ้าด้วยฉีเอ๋อร์ อย่าดื้ออย่าซน จงเชื่อฟังลู่เอ๋อร์เข้าใจหรือไม่ "
หลานฉีเอ๋อร์พยักหน้ารับคำหวังอี้ฟาน ขณะจ้าวลู่เพียงยิ้มเเห้งเเห้ง เพราะตนรู้ดีว่าตลอดสองเดือนที่ผ่านนั้นหลานฉีเอ๋อร์เป็นคนดื้อรั้นเพียงใดซึ่งเเม้นเเต่หลานหลีหมิ่นที่ว่าเเน่ยังเเพ้ลูกอ้อนของนางเเล้วตัวจะยังเหลือรึ
หลานหลีหมิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดเเม้จะไม่มีความจำเป็นเพราะนางเป็นเพียงร่างวิญญาณอันปราศจากกายเนื้อเเต่ก็ยากจะทำใจยอมรับให้บุตรสาววัยกระเตาะจากไปอยู่ดี น้ำเสียงอันเข้มงวดพลันเปล่งออกมาจากลำคอของนาง ขณะจ้องเขม็งยังสองผู้เยาว์
"ฉีเอ๋อร์ จงจำไว้ให้ขึ้นใจ อย่าสร้างปัญหาให้ลู่เอ๋อร์มากนัก "
"ท่านเเม่ข้า.."
หลานฉีเอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปากเเก้ตัวเเต่ทว่าหลานหลีหมิ่นกลับสาดรอยยิ้มเย็นจนนางต้องหุบปากสนิทส่วนฝ่ายจ้าวลู่พลันรู้สึกเสียวสันหลังพิกล
"ลู่เอ๋อร์ ในฐานะที่เจ้าอาวุโสกว่านางเจ้าต้องคอยดูแลควบคุมนางให้จงดีอย่าปล่อยปะละเลยให้นางก่อปัญหา มิเช่นนั้นเเล้วชีวิตน้อยๆของเจ้าคงอยู่ไม่เป็นสุข "
จ้าวลู่พลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้ฟังคำเตือนพร้อมคำขู่เข็ญ มีรึที่จ้าวลู่จะไม่เข้าใจความใน ก่อนจะรีบพยักหน้ารับปากตบคำ
"ขอรับข้าจะจดจำให้ขึ้นใจจะไม่ย่อมปล่อยให้ฉีเอ๋อร์สร้างปัญหาจนนำภัยมาถึงตัวอย่างเเน่นอน "
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มเเละดารุณีนางน้อยก็ออกเดินทาง สองผู้อาวุโสพลันมีใบหน้าหมองคล้ำคล้ายอายุขัยเพิ่มขึ้นหลายส่วนเมื่อมองดูเเผ่นหลังของสองผู้เยาว์เดินจากไปไกลจนลับตา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พร้อมสัพ