ตอนที่ 10 : เรื่องราวตาลปัตร
เมื่อหวังอี้ฟานตะโกนลั่นฟ้าราวกับได้ปลดปล่อยทุกอย่างสลัดทิ้งทุกสิ่งภายในใจออกไปจนหมด ครั้งจ้าวลู่มองเหตุการณ์ทั้งพลางคาดคะเนคิดตามก็พลันฉุกคิดได้ว่าเรื่องราวมันไม่ชอบมาพากลด้วยมันสมองอันชาญฉลาดของเขาย่อมมองเห็นจุดที่ไม่สอดคล้องกันจนใบหน้าเริ่มนิ่วคิ้วขมวด
หวันอี้ฟานหลังกลับมาด้วยสีหน้าโล่งอกเเต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นจ้าวลู่มีนัยตาเปล่งประกายคล้ายค้นพบอะไรบางอย่าง ในเรื่องราวที่เล่ามา
"ลู่เอ๋อร์มีอะไรรึ "
จ้าวลู่ฉีกยิ้มกว้างจนหน้ากลัวก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ๆด้วยสายตาจ้องเขม็งเริ่มเดินวนรอบๆร่างหวังอี้ฟานพลางมองสำรวจร่างกายของนักพรตเฒ่าด้วยท่าทางคล้ายนักสืบโดยมือหนึ่งกอดหน้าอกส่วนใช้อีกข้างมือจับคางครุ่นคิดจนหน้าหม่นคล้ำเเต่ก็คิดไม่ออกก่อนจะเอ่ยปากถาม
"ท่านหลอกข้ามา 13 14 ปี พอใจหรือยังหากท่านมีอายุใกล้เคียงกับมารดาบิดาข้าจริงก็ควรจะมีร่างกายอายุไม่เกินวัย 30 ถึง 40 ปี เเต่เหตุใดท่านถึงได้ดูชราภาพคล้ายคนใกล้ลงโรงเช่นนี้ เเถมยังเรียกมารดข้าว่าคุณหนูใหญ่ท่านผู้นั้นใช้คำพวกนี้ปิดบังอำพรางสถานะของตนข้าไม่ได้โง่ถึงขั้นจะจับพิรุธท่านไม่ได้"
คำถามของจ้าวลู่ทำให้หวังอี้ฟานยิ้มเจื่อนเมื่อความเเตกก่อนจะกลับมาเปลี่ยนอารมณ์สะบัดมือเชิดหน้ากล่าวอย่างผู้อาวุโสผู้น่าเลื่อมใส
" เด็กน้อยจับได้เเล้วรึไม่เสียเเรงที่ข้าอบรมสั่งสอนเจ้าผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็สังเกตเห็น ประเสริฐเเล้วหลานชายข้าเจ้าลองเดาดูสิว่าข้าใช้กลใดหลอกลวงเจ้า "
หลานฉีเอ๋อร์มองดูคนทั้งสองเดินวนสำรวจกันไปมาด้วยสายตาเเห่งความสงสัยหากนางพูดได้คงกล่าวว่า
"พวกท่านไม่เหนื่อยบ้างรึเดินวนรอบกันไปมากำลังหาอะไรกันอยู่กันหรือ"
จ้าวลู่เอ่ยถามอีกครั้งด้วยความสงสัย
"ท่านคิดว่าท่านฉลาดมากรึตาเฒ่าหลอกเจ้า"
หวังอี้ฟานฉีกยิ้มกว้างสองมือไพล่หลังพลางพยักหน้าเป็นการยอมรับ จ้าวลู่จ้องเขม็งด้วยดวงตาเเดงกล่ำ
"ท่านคือศัตรูหัวใจของบิดาข้าหมายพิชิตใจมารดาข้า ท่านน้าหลานหลีหมิ่นหลงรักท่าน หากเป็นดั่งคำพูดนั้นจริง ท่านน้าหลานหลีหมิ่นก็คงตาถั่วมิใช่น้อยเเล้วกระมัง "
กรร..
หลานฉีเอ๋อร์ชูคอคำรามคล้ายนางอยากจะคัดค้านคำพูดนี้ของจ้าวลู่เเต่ทว่าหวังอี้ฟานกลับหุบยิ้มเมื่อครู่ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ามาเคร่งขรึมพลางเอ่ยปาก
"ชิ ก็จริงอยู่ที่ข้าสู้เรื่องเสน่ห์ของลู่ไห่กวนบิดาเจ้าไม่ได้เเละไม่อาจพิชิตใจมารดาของเจ้าได้เฉกเช่นบิดาเจ้าทำเเต่ข้าก็หล่อเหลาไม่น้อยไปกว่าบิดาเจ้าเรื่องนี้จริงเเท้เเน่นอน "
จ้าวลู่ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจยาวเมื่อหวังอี้ฟานมองเห็นใบหน้ามืดหม่นของจ้าวลู่ที่คล้ายไม่เชื่อในคำพูดตนภายในจิตใจก็โหมด้วยเพลิงโทษะหวังอี้ฟานรู้ดีว่าตนไม่อาจสู้ลู่ไห่กวนในเรื่องต่างๆได้เเต่มีเรื่องหนึ่งที่ตนมั่นใจนักมั่นใจหนาเมื่อโดนเด็กน้อยทำสีหน้าผิดหวังคล้ายถากถางก็ยากจะยอมได้
"ก็ได้ข้าจะให้ดูโฉมหน้าที่เเท้จริงเเม้เเต่บิดาเจ้ายังอายไร้รัศมีเมื่อมายืนต่อหน้าข้า หวังอี้ฟานผู้นีี้ "
จ้าวลู่ แสยะยิ้มเย็นคล้ายเย้ยหยันหวังอี้ฟานก่อนจะกล่าวเติมไฟให้โหมเเรงขึ้นตีเหล็กต้องตีตอนร้อนเมื่อปลาติดเบ็ดมีรึที่จ้าวลู่จะไม่คิดคว้ามันเอาไว้ในกำมือ อยู่กันมานานจนรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดีราวกับลายมือบนฝ่ามือของตัวเอง เเละไอ้นิสัยชอบโอ้อวดของจ้าวลู่ก็ถอดเเบบมาจากหวังอี้ฟานนี่เเหละ เเถมภายใจของจ้าวลู่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะหวังอี้ฟานกำลังหลงกลเด็กน้อยเช่นตน หว่านพืชยามฝนแล้งครั้งหน้าคงไม่มีโอกาสอีกครั้งหากปล่อยไป
"จริงรึ"
คำพูดของจ้าวลู่คล้ายดั่งเชื้อไฟที่ไปสะกิดเเผลเก่าฝังรากลึกยากรักษาไม่หายของหวังอี้ฟาน
หวังอี้ฟานกระแอมเสียงเย็นก่อนจะสะบัดมือคว้าจับใบหน้าของตนขณะจับจ้องดวงตาของจ้าวลู่เขม็งภายในใจกำลังรอดูสีหน้าตะลึงลานของเด็กน้อยที่เขาคิดจินตนาการว่าคงต้องอ้าปากค้างน้ำลายยืดอย่างเเน่นอนเมื่อเจอเข้ากับใบหน้าประดุจเทพบุตรจุติจากสรวงสวรรค์เฉกเช่นตน
พึบ..
หวังอี้ฟานสะบัดมือถอดหน้ากากประหลาดออกเผยให้เห็นโฉมหน้าที่เเท้จริงของตนด้วยความภาคภูมิ
"ดูสะเจ้าเด็กน้อย"
เมื่อจ้าวลู่มองเห็นใบหน้าที่เเท้จริงของหวังอี้ฟานก็ตกใจมิใช่น้อยเพราะที่หวังอี้ฟานพูดมาทั้งหมดล้วนเเล้วเเต่เป็นความจริงหาใช่คำโป้ปด เเต่ก็ยังคงเเสดงสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเบ้ปากยิ้มเย็นพลางกล่าวขึ้นมาว่า
"ท่านเเพ้เเล้ว"
เมื่อหวังอี้ฟานได้ยินคำนั้นก็รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาทั้งที่ตนดันพลั้งเผลอหลงกลเสียรู้ลูกไม้กระจอกกระจอกของเด็กเมื่อวานซืนที่ดันเลี้ยงมากับมือพลางรีบคั้นเสียงเย็นเเก้เขินอาย
"ฮึม...อย่างน้อยข้าก็ชนะบิดาเจ้าทางอ้อมเพราะข้า หลอกลวงเจ้าได้นานถึง 13 14 ปี โดยที่เด็กน้อยเช่นเจ้ายกข้าเป็นถึงท่านปู่ก็เท่ากับข้าคือบิดาของบิดาเจ้าอีกที เพียงเท่านี้ผู้ใดกันเล่าที่อยู่เหนือกว่า "
หวังอี้ฟานฉายเเววตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเเต่ทว่ารอยยิ้มของหวังอี้ฟานกลับไม่คงทนเมื่อมีเสียงหัวเราะเเหลมเล็กหลุดรอดไรฟันของจ้าวลู่ คล้ายเสียงของสตรีนางหนึ่งในความทรงจำ
"เจ้าหลอกเด็กน้อยได้ข้าก็จับหางจิ้งจอกเช่นเจ้าได้เช่นกัน "
เสียงหัวเราะนั้นคล้ายดั่งสายอัสนีบาตฟาดกลางกระหม่อมจองหวังอี้ฟาน ผู้กำลังชี้นิ้วสั่นระริกยังร่างของจ้าวลู่ที่ค่อยๆ เรืองแสงขึ้นจนก่อร่างสตรีผู้งดงามในชุดเกราะสีฟ้าใสยืนกอดอกฉีกยิ้มเคียงข้างจ้าวลู่
"จะจะเจ้ายะยังไม่ดับสูญเช่นนั้นหรือ.."
ในตอนนี้ใบหน้าของหวังอี้ฟานบิดเบี้ยวเกินบรรยายคล้ายเจอผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ อีกใจก็ปิติเเต่อีกใจก็หวาดกลัวนาง หลานหลีหมิ่นฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าเกลียดก่อนจะเอ่ยปากไขข้อสงสัยด้วยน้ำเสียงเครือหัวเราะ
"จะไปยากอะไรกับอีเเค่ ทำลายร่างทิ้ง มอบเเก่นโลหิตที่เเอบลับลอบห่อหุ้มผสมวิญญาณอมตะของข้าไว้ภายในนั้นเเฝงเร้นกายให้กับลู่เอ๋อร์ โดยที่จิ้งจอกเช่นยังไม่กล้าทำ"
เมื่อหวังอี้ฟานได้ยินถึงกับเเทบลมจับพลางเอ่ยปากอย่างลุกลี้ลุกลนคล้ายไม่เชื่อสายตานัยตาคู่นั้นกำลังถกเถียงโต้ตอบตนขณะเดินถอยหลังไปหลายก้าวเพราะหลานหลีหมิ่นกำลังสาวเท้าก้าวสามจุมเข้ามาหาย่นระยะขึ้นทุกที
"ใช่สิลูกเเก้วเทพอสูร เจ้ามอบให้หลานฉีเอ๋อร์ไปเเล้วนี่ เเล้วเจ้าจะรักษาร่างวิญญาณอมตะได้เยี่ยงไร "
หลานหลีหมิ่นนางยกมือขึ้นป้องปากพลางหัวเราะเย้ยหยันหวังอี้ฟานที่กำลังครุ่นคิดจนใบหน้ามืดครึ้มราวกับเจอปริศนาระดับภัยพิบัติถึงชีวิต ในตอนนี้กำลังเดินมาถึงทางตัน
" มันใช่ของข้าสะทีไหนกันเล่าจริงสิข้าเเอบได้ยินมีคนเรียกชื่อข้าว่า หมิ่นเอ๋อร์ อุ๊ยตายจริงเผลอไปหน่อย ฮิฮิ เถียงไม่ออกสิไอ้คนมากเลห์อี้ฟาน"
จ้าวลู่ถึงกับเหงื่อตกขณะหลานฉีอ๋อร์นอนหลับปุ๋ยราวกับนางไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทันใดนั้นเองหวังอี้ฟานก็เบ่นสายตาอันคมกล้าประดุจดังใบมีดมายังร่างของจ้าวลู่จนรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบก่อนที่เด็กหนุ่มจะเค้นพลังทุกหยอดหยดตะเป็งเสียงลั่นปฏิเสษสายตาเเหลมคมที่กำลังทิ่มแทงตนจากหวังอี้ฟาน
"ข้าไม่รู้ข้าไม่เห็นข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น "
ทันใดนั้นเองเสียงเเหลมเล็กคมกล้ากว่าสายตาคู่นั้นของหวังอี้ฟานพลันปรากฏออกมาเเต่ดันมาพร้อมจิตสังหาร โพยพุ่งจากหลานหลีหมิ่นดังแว่วมาเข้าสู่โสตประสาทของจ้าวลู่ชนิดทันควัน
"อุ๊ยตายจริงลู่เอ๋อร์เจ้าไม่ได้ยินมันจะดีต่อชีวิตเจ้ารึ "
จ้าวลูพลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนเบ่นสายตาคลี่ยิ้มส่ายหน้าขออภัยหวังอี้ฟานก่อนจะโค้งคำนับพลางเปล่งเสียงรอดไรฟันอย่างจนใจอีกฝ่ายคือหวังอี้ฟานส่วนอีกคนคือหลานหลีหมิ่นผู้สังหารโหดหมู่สัตว์อสูรนับร้อยชีวิตเพียงลำพังโดยไม่กระพริบตาเเม้เเต่น้อยเเล้วอีกอย่างจ้าวลู่เองก็ยังรักชีวิตเเถมชีวิตน้อยๆของตนยังใช้ไม่คุ้มค่าเลยเเล้วจะเอาความกล้าที่ใดไปขัดใจเเม่นางพยัคฆ์สาวเลือดร้อนถึงเเม้นตนจะไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับนางที่ดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนเเต่อีกฝ่ายก็คือจ้าวเหนือหัวของป่าหลินตันเชียวนะ ใครจะกล้าไปยุเเหย่กันเล่าท่านน้า
"ผู้เยาว์ได้ยินเต็มสองรูหูเลยว่าท่านน้าอี้ฟานเรียกท่านว่าหมิ่นเอ๋อร์ด้วยอาการหน้าชื่นตาบานขอรับ "
นอกจากจ้าวลู่จะไม่ไว้หน้าหวังอี้ฟานเเล้วยังประจบสอพลอหลานหลีหมิ่นอีกตังหากหวังอี้ฟานเบิกตาโพลงคั้นเสียงเย็นเข้าโสตประสาทจ้าวลู่ อีกครั้ง
"ลู่เอ๋อร์เจ้าทรยศข้ารึ "
จ้าวลู่คุกเข่าเปล่งวาจาคล้ายร้องขอชีวิตเลยก็ว่าได้
"ข้าขอโทษท่านน้าอนาคตข้ายังอีกยาวไกล"
หลานหลีหมิ่นหัวเราะลั่นขณะหวังอี้ฟานสีหน้าอ่อนลงหลายส่วนครั้งเห็นเด็กน้อยรนลานก่อนจะหันไปถามหลานหลีหมิ่นด้วยน้ำเสียงจนใจ
"เจ้าไม่โกรธข้ารึที่หลบหน้าเจ้าตลอดมา"
หลานหลีหมิ่นเค้นเสียงเย็นพลางคลี่ยิ้มหวานยืนกอดอกเดาะลิ้น
"ถ้าบอกว่าไม่โกรธก็คงจะโป้ปดข้าขอถามเจ้าจริงๆอี้ฟานการที่เจ้าเเอบส่งคลื่นพลังอันน้อยนิดของเจ้ามาสอดส่องข้าทุกวันคืนการกระทำไม่ต่างเด็กน้อยเช่นนั้น..เจ้าไม่เหนื่อยบ้างรึ"
จ้าวลู่มองตาปริบปริบหวังอี้ฟานกระเเอมไอเเก้เขินก่อนจะหันไปมองทางจ้าวลู่ หนุ่มน้อยคล้ายรู้งานก่อนจะรีบก้าวถอยหลังคว้าร่างหลานฉีเอ๋อร์ออกไปจากระยะสายตาของคนทั้งสองหวังอี้ฟานถอนใจยาวก่อนจะกลับมามีสีหน้าจริงจัง
"ข้าก็เหนื่อยเหมือนกันเเต่ทำไงได้ข้าอยากชดเชยให้กับเจ้าเเต่ก็อับจนหนทางเเม้เเต่ความกล้าจะไปพบหน้าเจ้าข้ายังไม่มีความกล้ามากพอจะกระทำ"
เมื่อนางได้ฟังก็พลันมีสีหน้าเเดงอมชมพูขึ้นมาที่สองข้างเเก้มก่อนจะฮึดฮัดเสียงเย็นพลางคลี่ยิ้มอย่างชั่วร้ายคล้าย ศรีภรรยาที่กำลังดุด่าสามีของนาง
"ถือว่าเจ้าทำถูกเเล้วมิเช่นนั้นข้าคงคลั่งจนฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้นๆ"
หวังอี้ฟานหัวเราะดังลั่นด้วยอาการขบขันเมื่อมองดูจากสภาพของนางตอนนี้ต่อให้นางเป็นดั่งยักมารเขายังไม่กลัวเลยเเค่ร่างวิญญาณยังปากกล้าอย่างร้ายกาจ ทันใดนั้นหวังอี้ฟานเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าร่างวิญญาณอมตะของหลานหลีหมิ่นด้วยสีหน้าเเละอารมณ์อันซับซ้อนที่กำลังฉายชัดภายในดวงตา
"ข้าขอถามเรื่องบางอย่างที่ค้างคาใจหน่อยจะได้หรือไม่ "
หลานหลีหมิ่นตอนนี้นั้นคล้ายสาวน้อยวัยเเรกเเย้มพลางพยักหน้าเอ่ยปาก
"ได้สิข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องคาใจเจ้าคืออะไร "
น้ำเสียงอันจริงจังเเละหนักเเน่นดั่งขุนเขาพลันเปล่งออกมาจากลำคอของหวังอี้ฟานผู้ดูคล้ายนักโทษสารภาพบาปของตนในวันพิพากษาภายในใจกำลัง ไต่ถามโลกล่าว่าข้าทำผิดอะไรถึงได้คิดถามเรื่องน่าอับอายเช่นนี้
"ตลอดทุกวันคืนที่ผ่านมาข้ารู้สึกอยากจะย้อนเวลากลับไปเเก้ไขเรื่องราวทั้งหมดระหว่างข้ากับเจ้า 1 คือข้าอยากจะกลับไปตำหนิตัวเองที่ทำผิดต่อเจ้า 2 คือข้าอยากจะถามเจ้าให้รู้เเน่ชัดว่าทำไมเจ้าในตอนนั้นถึงได้ไม่ได้บอกความจริงว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ เเถมยังยอมโดนเนรเทศออกมา 3 คือข้าอยากจะกลับไปถามตัวเองว่าทำไมข้าถึงเเยกไม่ออกระหว่างความรู้สึก เคารพบูชากับรักใคร่ ข้ามันโง่จริงๆ ทั้งสามข้อนี้ข้าอยากจะถามกับเจ้าในข้อสอง ว่าทำไมเจ้าถึงไม่บอกเรื่องตั้งครรภ์กับเผ่ามังกร "
ใบหน้าของหวังอี้ฟานคล้ายดั่งเด็กน้อยที่กำลังถามหาของเล่นที่ตนดันทำตกหล่นหลุดมือไปต่อหน้ามารดา
หลานหลีหมิ่นขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหันหลังกล่าวด้วยน้ำเขินอาย
"เพราะเจ้ายังไงล่ะการที่เจ้าจากมาโดยไม่คิดจะบอกกล่าวสักคำมันก็ไม่ต่างกับการทรมานข้าทั้งเป็น ส่วนเรื่องที่ข้าไม่บอกเผ่ามังกรเพราะว่าภายในใจข้ารู้สึกเกลียดชังคนที่เอาเปรียบข้าก็เเค่เท่านั้น "
ใบหน้าของหวังอี้ฟานพลันบิดเบี้ยวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะภายในใจโหมกระหน่ำด้วยไฟเเห่งโทษะจนร้อนระอุคล้ายจะแผดเผาทำลายทุกสรรพสิ่งให้ไหม้เป็นจุลเมื่อได้ฟัง ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจเเล้วว่าทำไมหลานหลีหมิ่นถึงยอมถูกเนรเทศออกมา ต้นเหตุคือสองประการ 1 คือตัวเขาเอง 2 คือเรื่องที่นางถูกเอาเปรียบจนตั้งครรภ์ เพียงเเค่นี้ก็มากพอให้ใจหวังอี้ฟานผู้นิ่งสงบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันต้องสั่นเทอมด้วยโทษะ
"เจ้าโกรธเเทนข้ารึข้ารู้สึกดีใจเลยนะ "
หลานหลีหมิ่นหัวเราะร่าขณะหวังอี้ฟานพลันรู้สึกตัวเเล้วรีบเก็บอาการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อครู่อย่างเร็วรี่ ทำหน้าเฉยเมย
"เเล้วทำไมเจ้าถึงระเบิดร่างตัวเองทิ้งราวกับว่ามันเป็นของข้างทางเช่นนั้นเจ้าไม่รักชีวิตเเล้วรึ "
คำถามนั้นทำให้พยัคฆ์สาวที่สุดหยิ่งผยองถึงกับเเข็งค้างก่อนจะก้มหน้าลงต่ำเเต่ภายในใจกลับปิติยินดียิ่ง
"เจ้าห่วงใยข้าเป็นด้วยรึในสายตาเจ้ามีข้าด้วยรึ เจ้าเอาเเม่นางจ้าวหยิงหยิงไปไว้ที่มุมใดกัน ? "
คำถามนั้นคล้ายดั่งสายอัสนีบาตฟาดกลางกระหม่อมหวังอี้ฟานจากคำพูดของนาง หวังอี้ฟานพลันอมยิ้มตาหยี
"อันที่จริงข้าก็พึ่งรู้สึกตัวเมื่อเจ้าเเต่งงานน่ะว่าความรู้สึกที่ข้ามีต่อจ้าวหยิงหยิงคือการเคารพบูชาไม่ใช่ความรักเเบบเดียวกันที่ข้ารู้สึกกับเจ้า "
หวังอี้ฟานคว้าร่างวิญญาณอมตะของหลานหลีหมิ่นเอาไว้ในอ้อมกอดก่อนเอ่ยปากอีกครั้ง
"ในเมื่อร่างเนื้อของเจ้าได้ถูกทำลายไปเเล้วคงลำบากไม่น้อยหากปราศจากร่างสถิต "
เมื่อหลานหลีหมิ่นได้ฟังคำพูดนั้นก็พลันมีใบหน้าเเดงกล่ำของหญิงสาวปรากฏขึ้นมาก่อนจะทำหน้าหมู๋ในอ้อมกอดของคนรัก
"เจ้าจะให้ข้าสถิตในร่างเจ้ารึ "
หวังอี้ฟานกระซิบข้างหูของหลานหลีหมิ่นด้วยคำหวานราวกับน้ำผึ้งพระจันทร์เดือนห้า
" เเน่นอนข้าย่อมยอมให้เจ้าสถิตในร่างข้า เเม้จะเป็นเวลานานหลายร้อยปีก็ตามที่เจ้าจะดูดกลืนพลังบ่มเพาะของข้าไปบางส่วนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บข้าก็จะไม่อิดออดเชิญทำอะไรกับร่างข้าก็ได้ตามเเต่ใจเจ้าปราถนา "
หลานหลีหมิ่นฮึดฮัดคล้ายเด็กน้อย
"ชิ ในเมื่อเจ้ากล้าเสนอข้าก็จะสนองให้ก็เเล้วกันเเต่อย่ามาเสียใจภายหลังหากเจ้าผิดคำพูด "
หวังอี้ฟานที่กำลังโอบกอดหลานหลีหมิ่นจากด้านหลังก็พลันหัวเราะเบาๆกล่าววาจาข้างหูนาง
"ไม่มีวันนั้นหรอกเพราะก่อนที่ข้าจะทันได้เสียใจเจ้าเด็กบ้าจ้าวลู่คงเติบโตพอจะช่วยเหลือพวกเราให้หลุดพ้นจากสภาพเช่นนี้เเล้วกระมังจะอีก 10 ปีหรือ20 ปี ข้าเชื่อว่าเด็กมากพรสวรรค์เเถมยีงดันเป็นจอมยุทธปริศนาที่น่ากลัวผู้นั้นกลับชาติมาเกิดอย่างจ้าวลู่.เจ้าเองในตอนนั้นก็คงสัมผัสได้มิใช่รึว่า ผนึกประหลาดภายในร่างของจ้าวลู่หาใช่ของสามัญที่มีในโลกสามภพใบนี้ "
เมื่อหวังอี้ฟานพูดจบใบหน้าของหลานหลีหมิ่นก็ฉีกยิ้มกว้างราวกับเจอขุมสมบัติระดับโลกที่คล้ายดั่งโชคหล่นทับ
คนทั้งสองต่างหัวเราะเสียงเย็นราวกับเจอของวิเศษสุดมหัศจรรย์บนโลกหล้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล.ไรท์เเต่งสนุกมากเลยละคะ