ตอนที่ 38 : ตอนพิเศษ (สั้นจึ๋ง)
พี่เตไม่ใช่คนช่างโวยวาย เวลาหงุดหงิดหรือโมโหจึงแทบมองไม่ออก คงมีแต่ผมที่จับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของเขาได้เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ทั้งที่เขาไม่พูด ไม่ฟาดงวงฟาดงาออกอาการ แต่ดวงตาของเขามักจะฉายชัดถึงความไม่พอใจ
โดยเฉพาะเวลาหึง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าข้างในกำลังร้อนเป็นไฟ
“อ้าวพี่เตมาพอดี นี่คุณท็อปลูกค้าโปรเจ็กต์บ้านริมน้ำที่พิชญ์เคยเล่าให้ฟัง” เห็นตั้งแต่หน้าประตูแล้วว่าคิ้วเข้มขมวดมุ่น และยิ่งหน้าตึงเมื่อเดินเข้ามาใกล้ผมกับลูกค้าเจ้าของบ้านหลังใหญ่ที่ผมเคยโม้ให้ฟัง
หลังเรียนจบผมทำงานบริษัทพี่เตอยู่ปีกว่าก็ลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ รับงานออกแบบบ้านให้ลูกค้าเศรษฐีที่มักจะมีอะไรให้ท้าทายกว่า คุณท็อปเป็นลูกค้าคนแรกๆ ที่ใจป้ำยอมให้ผมลงมือยำบ้านพักตากอากาศวิวพันล้านของเขาอย่างสุดความสามารถ เป็นลูกค้าแสนประเสริฐที่นานๆ ทีจะโผล่มาให้เจอสักคน
“เจดล่ะ” แทบไม่ทักทาย พี่เตถามถึงคนอื่นๆ พลางโอบเอวผมคล้ายจะบอกว่าได้เวลาผละออกไปแล้ว
เขารู้ว่าคุณท็อปกำลังก้อร่อก้อติกผม เหมือนที่จับได้ทุกครั้งเวลามีคนล้ำเส้นเขามานั่นแหละ
ผมชี้ไปทางโต๊ะที่จองไว้ป๊า เจได กับคนอื่นๆ อยู่กันพร้อมหน้า คงกำลังถามสารทุกข์สุกดิบย้อนรำลึกความหลังกันตามประสาคนวัยทำงานที่นานๆ จะนัดรวมกลุ่มกันได้สักครั้ง
“งั้นพิชญ์ไปก่อนนะครับ” ผมบอกลา ไม่ได้คิดไปเองว่าคุณท็อปเองก็หน้าตึงไปทันทีที่พี่เตโผล่มา
คุณท็อปเคยยสารภาพว่าชอบผมและผมเคยปฏิเสธชัดเจนว่ามีแฟนอยู่แล้ว เขาจึงไม่เดินหน้าต่อ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยไปเช่นกัน ไม่ว่าจะเจอกันอีกกี่ครั้งเขาก็ยังแสดงสีหน้าและแววตาว่ายังสนใจผมอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าไม่เชื่อเรื่องที่ผมมีคนรัก หรือแค่ดื้อดึงตามประสาคนรวยที่ถูกใจอะไรแล้วก็จะเอาให้ได้ ขณะที่ผมเองก็ไม่ใช่คนคิดมากตราบใดที่เขาไม่ล้ำเส้นผมก็พร้อมจะพูดคุยกับเขาในฐานะมิตรคนหนึ่งเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าพี่เตไม่พอใจ
เขารู้นิสัยผม และไว้ใจมากพอที่จะไม่เข้ามาห้ามหรือเจ้ากี้เจ้าการว่าผมควรหรือไม่ควรผูกมิตรกับใคร
แต่บางครั้งเขาคงอดไม่ได้ที่จะจัดการด้วยวิธีของตัวเอง
“เศรษฐกิจแบบนี้มีออฟฟิศไหนไม่กระทบบ้างวะ” บทสนทนาของคนวัยทำงานจะมีเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องงาน เงิน ครอบครัว บางคนในนี้แต่งงานมีลูกเต้าแล้วด้วยซ้ำ
อย่างว่าล่ะ ยิ่งโตขึ้นชีวิตก็ยิ่งยาก
“ออฟฟิศไอ้เตไง” พี่เจดตอบขำๆ มองมายังคนถูกพาดพิงที่แทบไม่สนใจบทสนทนา จมูกโด่งเอาแต่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มผมลมหายใจร้อนคลุ้งกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด เขาดื่มไปเยอะมากตั้งแต่มานั่งไม่ถึงชั่วโมง สายตามองไปยังคู่กรณีที่ยังคงจับจ้องมาไม่วางตา คล้ายว่าคุณท็อปกำลังยั่วโมโหพี่เตอยู่ ผมเผลอไปสบตาหลายครั้งเขาจึงยิ้มให้ รอยยิ้มท้าทาย
มันได้ผล อารมณ์คุกรุ่นของพี่เตปะทุออกมาในรสจูบอันโจ่งแจ้ง ไม่ใช่เพียงริมฝีปากแตะหยอกล้อเช่นทุกครั้งเวลาเมาๆ แต่เป็นจุมพิตตะกรุมตะกรามร้อนแรงจนผมแทบตั้งรับไม่ทัน จูบหนักๆ เจือรสขมติดปลายลิ้นที่รุกเร้าอยู่ในโพรงปากผมอย่างเอาแต่ใจ
ผมหัวเราะในลำคอเมื่อรู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดจนแทบควบคุมไม่ได้ ก่อนจะเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักแกร่ง ยอมให้เขาบดขยี้ริมฝีปากตามใจ ขณะยกฝ่ามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าคม ปลายนิ้วลูบหูร้อนๆ ของคนรักวนไปมาเพื่อประโลมให้เขาสงบ เพียงไม่นานรสจูบรั้นก็โอนอ่อนกลายเป็นจูบหวานยอมให้ผมเป็นคนนำทาง
“ชู่วว” หน้าผากของเรายังคงแตะกันเมื่อผละริมฝีปากเพื่อหยุดพัก ผมยิ้มล้อเลียนพลางแกล้งส่งเสียงปราม “เป็นเด็กดีนะเตวิชญ์”
พี่เตหลุดยิ้ม ส่ายหน้าคล้ายอ่อนใจและหนักใจในคราวเดียวกัน
คงตระหนักได้ในวินาทีนี้ว่าต่อให้คุณท็อปจะร้ายแค่ไหน ก็ยังเป็นผมที่ร้ายกว่า
“พวกมึงนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ” ได้ยินเสียงพี่เจดบ่นขำๆ ด้วยความชาชินกับวิธีแสดงความรักโจ่งแจ้งไม่คิดปิดบัง
รับรู้ได้ว่าทั้งโต๊ะมองเราเป็นตาเดียว รวมถึงใครอีกคนที่ผมอยากให้มองให้เห็นชัดๆ ว่าไม่มีโอกาสให้เขาเข้ามาแทรกกลาง
ริมฝีปากร้อนจัดทาบทับลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไร้เกรี้ยวกราดดึงดัน ทดแทนด้วยความรู้สึกวาบหวาม ก่อนลากไล้ลงมาที่ลำคอขบกัดหยอกเย้าก่อนกระซิบเสียงพร่า
“กลับบ้านกัน”
ผมหัวเราะ หยิบแก้วของตัวเองกระดกรวดเดียวจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นจูงมือร่างสูงออกจากโต๊ะ เสียงโห่แซวตามหลังแทนคำบอกลา
เช่นทุกครั้งที่ผมรู้ดีว่าเวลาหึงข้างในของพี่เตกำลังเดือดเป็นไฟ และมีเพียงผมที่รู้ดีว่าจะดับไฟนั้นยังไง
------------------------------
คิดถึงเนอะ :)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้ำตาไหลก็คือไหลสุด