ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Persona 5 [ปิดรับสมัครตัวละคร]

    ลำดับตอนที่ #1 : Story of Persona5

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 476
      10
      30 ก.ย. 62


    Story of Persona5

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ persona 5

    #หมายเหตุ#
    ตอนนี้จะเป็นการสาธยายเกี่ยวกับเรื่องราวใน Persona5 สำหรับคนที่ไม่เคยดูมาก่อน
    คำเตือน:มีการสปอยนะครับ

         บนโลกของเราที่เราอาศัยอยู่นั้น ยังมีโลกอีกฝั่งที่เปรียบเสมือนอีกด้านหนึ่งของเหรียญซ้อนทับกับโลกนี้อยู่ ซึ่งเป็นโลกที่เกิดจาก การรับรู้ (Cognition) ภายในจิตใจของมนุษย์แต่ละคนเป็นเหมือนภาพสะท้อนจิตใจและความคิดของผู้คนที่มีต่อโลกความเป็นจริง 
         เราเรียกสิ่งนี้ว่า Metaverse หรือ Cognitive World (โลกแห่งการรับรู้)
         เมื่อนานมาแล้ว ในโลกของเราที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนต่างเริ่มเบื่อหน่ายและยอมแพ้ที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง การพยายามเป็นตัวของตัวเอง ตัดสินใจอะไรๆด้วยตัวเอง มีความเชื่อ ความฝัน ความมุ่งมั่นเป็นของตัวเอง ดูจะกลายเป็นภาระมากกว่าจะเป็นความสุขและแรงผลักดันให้กับผู้คน ทำให้ผู้คนต่าง “เลือกที่จะไม่เลือก” ก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่คิดว่าคนส่วนใหญ่ทำ เบือนหน้าหนีจากตัวเอง โยนความรับผิดชอบให้กับกระแสสังคม เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยกังวลและรับผิดชอบกับการเป็นตัวของตัวเอง เพื่อจะได้รู้สึกสะดวกสบาย
         หมู่มวลความคิดเหล่านั้นของผู้คนได้แผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ จากแค่ความรู้สึกเล็กๆกลายเป็นความปราถนา ปราถนาที่จะมีใครสักคนหนึ่งชี้น้ำพวกเขา ใครสักคนที่คิดแทนพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระลแะพันธนาการจากการเป็นตัวของตัวเอง ไปสู่ “อิสรภาพ” ที่จะไม่ต้องคิดอะไรด้วยตัวเองอีกต่อไป
         ตอนนั้นเองที่ Holy Grail (จอกศักดิ์สิทธิ์) ตัวตนที่เกิดแรกปราถนาอันบิดเบี้ยวของผู้คนทั่วโลกจึงได้ถือกำเนิดขึ้น ภายใน Metaverse ร่วมกันของมวลมนุษยชาติที่ก่อตัวกันเกิดเป็นโลกอีกใบขึ้นมาจริงๆ ในชื่อว่า Mementos
         แม้จะมีหน้าตาเป็นจอกขนาดยักษ์ แต่ Holy Grail ก็เป็นตัวตนที่มีอัตตาและความคิดเป็นของตัวเอง เพื่อตอบสนองเจตจำนงค์ของผู้คนทั่วโลกที่ต้องการจะถูกชี้นำ Holy Grail จึงได้เฝ้ามองดูและควบคุมมนุษยชาติจากภายในส่วนลึกสุดของ Mementos เรื่อยมา
         Mementos นั้นมีลักษณะเป็นเหมือนโลกใต้พิภพที่เชื่อมต่อการรับรู้ของมวลมนุษยชาติเข้าด้วยกัน โดยมีจุดศูนย์กลางเป็นเหมือนกับคุกขนาดยักษ์ที่กักขังจิตใจของผู้คนเอาไว้จากการคิดและตัดสินใจสิ่งต่างๆด้วยตนเองที่เรียกว่า คุกแห่งความเสื่อมถอย (Prison of Regression) และมีแกนกลางที่อยู่ลึกที่สุดเป็นที่พำนักของ Holy Grail ซึ่งถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังงานจากความปราถนาของผู้คนที่ถูกขังเอาไว้ใน Mementos ผ่านท่อที่เป็นเหมือนเส้นเลือดพัวพันไปทั่วคุกแห่งนี้ ยิ่งผู้คนปราถนาจะถูกชี้นำชีวิตมากเท่าไหร่ Holy Grail ก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น
         ภายใน Mementos จะมีอีกตัวตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ เราเรียกพวกมันว่า ชาโดว์ (Shadow)จะมีสองประเภทด้วยกัน คือ
         ประเภทที่ 1 ชาโดว์ที่เป็นตัวตนอีกด้านของผู้ที่เป็นเจ้าของ Metaverse นั้นๆ ชาโดว์พวกนี้โดยปกติจะมีรูปร่างหน้าตาโดยทั่วๆไปเหมือนกับตัวจริงของพวกมัน แต่มีความคิดอ่านที่แสดงธาตุแท้ของคนๆนั้นออกมาอย่างสุดโต่ง เปรียบเสมือนเป็นตัวตนที่แท้จริงที่สะท้อนด้านมืดของคนๆนั้นออกมา ซึ่งเหล่านักโทษใน Mementos ทั้งหลายก็เป็นชาโดว์ประเภทนี้นี่แหละ และหากชาโดว์ประเภทนี้ตาย ผู้ที่เป็นเจ้าของชาโดว์นั้นจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ราวกับถูกปิดสวิตช์การทำงานของสมองไปดื้อๆ เราเรียกสภาวะนี้ว่า Mental Shutdown
         ประเภทที่ 2  ชาโดว์ทั่วไป เกิดจากเศษเสี้ยวความคิดด้านลบมนุษย์ที่แปดเปื้อนเหล่าตัวตนต่างๆจากทะเลแห่งจิตวิญญาณ (Sea of Souls) ทำให้พวกมันสูญเสียความทรงจำและตกเป็นทาสของชาโดว์ที่เป็นเจ้าของ Metaverse นั้นๆ ชาโดว์พวกนี้จะมีจำนวนมากและเกิดขึ้นเรื่อยๆตราบเท่าที่เจ้าของ Metaverse นั้นๆยังมีความคิดด้านลบอยู่ หากชาโดว์พวกนี้ตายลงก็จะไม่ส่งผลอะไรต่อผู้เป็นเจ้าของ Metaverse 
         การกำเนิดของ Holy Grail และ Mementos ยังส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Palace ตามขึ้นมาด้วย
         Palace คือสภาวะของ Metaverse ภายในจิตใจของมนุษย์ที่มีแรงปราถนาอันบิดเบี้ยว (Distorted Desire) อันเป็นความต้องการในบางสิ่งบางอย่างที่แรงกล้าจนทำให้การรับรู้ของบุคคลผู้นั้นบิดเบือนไปอย่างรุนแรง ส่งผลให้ Metaverse ของคนๆนั้นมีภูมิทัศน์ที่บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นว่าคนผู้นั้นไม่ได้มองสถานที่หรือสิ่งต่างๆรอบๆตัวอย่างที่มันเป็นอีกต่อไป โดยภายในส่วนลึกสุดของ Palace จะมีสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของแรงปราถนาอันบิดเบี้ยวอยู่ เราเรียกสิ่งนั้นว่า สมบัติ (Treasure) ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีลักษณะเป็นหมู่มวลพลังงานใสๆ 
         เช่นเดียวกับ Mementos ภายใน Palace ก็จะมีชาโดว์ที่เป็นตัวตนอีกด้านของผู้ที่เป็นเจ้าของ Palace ปกครองอยู่ และหากชาโดว์ของเจ้าของ Palace ตาย Palace ก็จะหายไปด้วย Palace จึงเป็นเหมือน Metaverse ที่แยกตัวออกมาจาก Mementos อีกที เพราะมนุษย์ที่ให้กำเนิด Palace ย่อมมีแรงปราถนาที่แตกต่างไปจากผู้คนที่ถูกพันธนาการไว้ด้วย Holy Grail หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ Mementos เองก็ถือเป็น Palace รูปแบบหนึ่งเช่นกัน เป็น Palace ร่วมกันของผู้คนทั่วโลกที่มีแรงปราถนาอันบิดเบี้ยวที่จะถูกชี้นำนั่นเอง
         แม้จะตกอยู่ภายใต้พันธนาการของ Holy Grail แต่มนุษยชาติก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่ง..Holy Grail รู้สึกสิ้นหวังและเบื่อหน่ายในความโง่เขลาและน่าเวทนาของมวลมนุษย์ที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา ไม่ว่าจะผ่านไปนานซักเพียงใด มนุษยชาติก็ไม่อาจก้าวข้ามความเกียจคร้านที่จะมีชีวิตอยู่อย่างตายซากและปล่อยตัวเองไปตามกระแสสังคมได้ Holy Grail จึงคิดจะใช้อำนาจและพลังในฐานะผู้ชี้นำอนาคตของมนุษยชาติเพื่อทำลายมนุษยชาติซะเอง จากนั้นจึงจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา
         อัตตาของ Holy Grail ที่มีความต้องการและจุดมุ่งหมายเป็นของตัวเองนี้จึงได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในนาม Yaldabaoth เทพเจ้าแห่งการควบคุม (The God of Control) ผู้ต้องการจะการชักนำมนุษยชาติไปสู่การล่มสลาย (The Ruin)
         ในขณะที่ Yaldabaoth สิ้นหวังและคิดจะทำลายล้างมนุษยชาติ อีกตัวตนหนึ่งผู้มีนามว่า อีกอร์ (Igor) แห่งเวลเวทรูม (Velvet Room) กลับเชื่อว่า Trickster(จอมโจร) ผู้มีจิตใจแห่งการกบฏจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อขัดขวางและปลดปล่อยมนุษยชาติจากพันธนาการของ Yaldabaoth ได้สำเร็จ


         
         เวลเวทรูม คือสถานที่ที่มีตัวตนอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและความฝัน ระหว่างจิตใจและวัตถุ เป็นมิติที่ล่องลอยอยู่ในช่องว่างของมิติทั้งมวล เวลเวทรูมจะปรากฏขึ้นแก่มนุษย์ที่มีชะตาต้องพานพบกับความท้าทายหรืออุปสรรคยิ่งใหญ่ เพื่อสนับสนุนบุคคลดังกล่าวให้บรรลุชะตาชีวิตของตนเอง โดยมีอีกอร์ ชายแก่จมูกยาวเป็นเจ้าของและผู้ดูแห่งเวลเวทรูท พร้อมกับผู้ช่วยของเขา คอยชี้นำและให้บริการต่างๆอันเอื้อประโยชน์ต่อการเดินทางของบุคคลผู้นั้น ซึ่งหน้าตาของเวลเวทรูมที่ปรากฏแก่บุคคลงแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปตามภาพสะท้อนความเป็นไปภายในจิตใจของคนๆนั้น
         เมื่อเวลเวทรูทปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้ใด และผู้นั้นได้ทำสัญญากับเวลเวทรูมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนๆนั้นก็จะได้รับพลังในการใช้ Persona และพลังแห่ง The Wild Card มาครอบครอง
         โดยการจะใช้พลังทั้งสองอย่างนั้นจำเป็นต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ทะเลแห่งจิตวิญญาณ (Sea of Souls) เสียก่อน
         ทะเลแห่งจิตวิญญาณ คือดินแดนที่อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจของมนุษย์ทุกคนและเป็นมิติที่ซึ่งเชื่อมโยงจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนเข้าด้วยกัน เป็นมิติที่ซึ่งวิญญาณทั้งมวลกำเนิดขึ้นและจะกลับมาที่นี่เมื่อตายลง ทะเลแห่งจิตวิญญาณเป็นที่อาศัยอยู่ของตัวตนในตำนานความเชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทวยเทพ ปีศาจ ตลอดจนวีรบุรุษหรือวีรสตรีในเรื่องเล่าขาน ตัวตนเหล่านี้ได้สร้างอิทธิพลต่อดวงวิญญาณของมนุษย์ เกิดเป็นอัตลักษณ์ทางบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไปในมนุษย์แต่ละคน กล่าวได้ว่าในจักรวาลของเกมนี้ ทั้งเทพและปีศาจต่างก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์หรือนรก แต่อยู่ภายในจิตใจของมวลมนุษย์ทั้งมวล ณ ทะเลแห่งจิตวิญญาณแห่งนี้
         ซึ่ง Persona ก็คือพลังในการทำสัญญากับตัวตนในทะเลแห่งจิตวิญญาณเหล่านั้น แปรเปลี่ยนตัวตนที่แท้จริงที่อยู่ในจิตใจของคนๆหนึ่งให้กลายเป็นตัวตนดังกล่าวเพื่อขอยืมพลังมาใช้ในการต่อสู้ โดยตัวตนที่ผู้ใช้ Persona จะทำสัญญาด้วยนั้น ก็จะแตกต่างกันไปตามอัตลักษณ์ที่แท้จริงของแต่ละคน Persona จึงเป็นเหมือนหน้ากากที่สะท้อนตัวจริงของคนๆนั้นออกมา ทำให้โดยปกติแล้วคนๆหนึ่งจะมี Persona ได้เพียงตนเดียวเท่านั้น นอกเสียจากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจกับบุคคลผู้นั้นครั้งใหญ่ Persona ก็อาจเปลี่ยนสภาพไปสู่ตัวตนอื่นที่ทรงพลังและเหมาะสมกับอัตลักษณ์ใหม่มากกว่าได้
         จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว Persona และ ชาโดว์ ของคนๆหนึ่งนั้นก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง ชาโดว์คือตัวตนที่แท้จริงของบุคคลคนนั้นใน Metaverse ซึ่งจะแสดงธาตุแท้หรือด้านมืดของคนๆนั้นออกมา ยิ่งคนผู้นั้นปฏิเสธด้านมืดของตัวเองมากเท่าไหร่ ชาโดว์ก็จะยิ่งทรงพลังและคลุ้มคลั่งมากขึ้นเพราะบุคคลผู้นั้นเบือนหน้านี้จากตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ในทางกลับกัน หากบุคคลผู้นั้นยอมรับและเผชิญหน้ากับตัวตนที่แท้จริงแม้มันจะน่าเกลียดเพียงใดก็ตาม ชาโดว์ก็จะยอมสยบให้แก่คนผู้นั้น นำไปสู่การทำสัญญาและแปรเปลี่ยนชาโดว์ของตนเองให้กลายเป็น Persona ในที่สุด
         โดยธรรมชาติของมัน บุคคลแต่ละคนไม่จำเป็นต้องพบกับเวลเวทรูมก็สามารถได้รับพลังในการใช้ Persona มาได้ภายใต้กระบวนการต่างๆ อย่างเช่นการเผชิญหน้าและยอมรับชาโดว์ของตนเอง แต่สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกจากเวลเวทรูมเท่านั้น ที่จะได้ถือครองพลังที่เหนือล้ำกว่าที่เรียกว่า The Wild Card
         The Wild Card คือความสามารถในการเปลี่ยนและถือครอง Persona หลายๆตัวได้อย่างอิสระ โดยไม่ถูกผูกมัดกับอัตลักษณ์ของบุคคลคนนั้น ผู้ที่ถือครอง Wild Card สามารถที่จะทำสัญญาเพื่อขอยืมพลังจากตัวตนในทะเลแห่งวิญญาณมาใช้ได้ดั่งใจนึกหากตัวตนเหล่านั้นยินยอมให้คนผู้นั้นทำสัญญาด้วย นั่นจึงทำให้ผู้ถือครอง The Wild Card มีความยืดหยุ่นในการต่อสู้สูงเนื่องจากสามารถใช้พลังของ Persona ได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ อีกอร์และผู้ช่วยของเขาจะคอยสนับสนุนผู้ถือครอง The Wild Card ด้วยการให้บริการในการรวมร่าง Persona เข้าด้วยกัน เพื่อก่อกำเนิดขึ้นเป็นตัวตนใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิมได้ 
         อีกพลังหนึ่งที่ผู้ถือครอง The Wild Card ได้รับคือพลังในการแปรเปลี่ยน ความสัมพันธ์ ให้กลายเป็นพลังแก่ Persona เมื่อผู้ถือครอง The Wild Card ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจหรือความรักของบุคคลผู้มีอัตลักษณ์สอดคล้องกับ Persona ตัวใด ความรู้สึกนั้นก็จะส่งเสริมให้ผู้ถือครอง The Wild Card ยืมพลังจาก Persona เหล่านั้นได้มากขึ้น ทรงพลังขึ้น 
         หน้าที่ของอีกอร์เและเวลเวทรูมจึงเป็นเหมือนการการช่วยผลักดันความหวังของมนุษย์ให้เป็นจริงตลอดมา หาก Yaldabaoth คิดจะชักนำมนุษยยชาติสู่การล่มสลายจริงๆ อีกอร์เองก็ต้องยื่นมือเข้ามาสนับสนุนผู้ที่จะกลายมาเป็น Trickster เพื่อขัดขวาง Yaldabaoth เป็นแน่
         
         เมื่อรู้ดังนั้น Yaldabaoth จึงเกิดสนใจในตัว Trickster ขึ้นมาและคิดจะทำการทดลองให้โอกาสมนุษยชาติพิสูจน์ตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการสร้างเกมขึ้นมา เกมที่จะกำหนดว่า Trickster จะสามารถกอบกู้และผลักดันมนุษยชาติให้กลับมามีแรงขับเคลื่อนที่จะใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง หลุดพ้นจากความเกียจคร้านและโง่เขลาได้หรือไม่
         แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในเกมได้เอง Yaldabaoth จึงจับอีกอร์ไปขังไว้ในคุกของ Mementos และแยกวิญญาณของ ลาเวนซ่า (Lavenza) สาวน้อยผู้ช่วยของอีกอร์ออกเป็น 2 ส่วน ทำให้เธอสูญเสียความทรงจำและลดทอนพลังอำนาจลง เกิดเป็นตัวตนใหม่ในชื่อ จัสทีน (Justine) และ แคโรลิน (Caroline) 

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ lavenza      à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ lavenza

         จากนั้น Yaldabaoth จึงปลอมแปลงตัวเองเป็นอีกอร์ เพื่อหลอกใช้ทั้งสองให้เป็นผู้ช่วยของตนในการใช้งานเวลเวทรูมแทนที่อีกอร์ ก่อนจะกักขังมิติของเวลเวทรูมไว้ในคุกของ Mementos เช่นเดียวกันกับอีกอร์
         ที่ Yaldabaoth ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่การช่วยเหลือของอีกอร์และเวลเวทรูมจะทำให้ Trickster ก้าวข้ามเหนือความคาดหมายของเขาและหยุดยั้งการล่มสลายของมนุษยชาติลงได้สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงจะรับหน้าที่ในการดูแลฟูมฟัก Trickster เสียเอง เพื่อให้เขาสามารถสอดส่องการเคลื่อนไหวและพัฒนาการของ Trickster ให้เป็นไปตามทิศทางที่เขาต้องการได้ตลอดเวลา ก่อนที่สุดท้าย Yaldabaoth จะมอบความสิ้นหวังให้แก่ Trickster พร้อมๆกับการล่มสลายของมนุษยชาติ 
         ทว่า ก่อนที่อีกอร์จะถูก Yaldabaoth จับกักขังได้นั้น อีกอร์ได้ใช้พลังที่เหลืออยู่ รวบรวมเศษเสี้ยวความหวังภายในจิตใจของมนุษย์ที่อยู่ใน Mementos สร้างเป็นตัวตนใหม่ขึ้นมา ตัวตนที่จะช่วยชี้นำและฟูมฟัก Trickster ให้กลายเป็น Phantom Thief จอมโจรผู้ก้าวข้ามเหนือความคาดหมายของ Yaldabaoth เขาก็คือ มอร์กาน่า (Morgana) นั่นเอง 

        
          มอกอร์น่าได้ถือกำเนิดขึ้นที่เวลเวทรูมพร้อมกับพลังในการใช้ Persona ตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับ Metaverse และทักษะของการเป็น Phantom Thief แต่มอร์กาน่ากลับสูญเสียความทรงจำในชาติกำเนิดและหน้าที่ของตัวเองไป เหลือไว้เพียงองค์ความรู้ต่างๆที่ไม่ปะติดปะต่อและความสามารถในการใช้ Persona เท่านั้น มอร์กาน่าที่สูญเสียความทรงจำได้เห็นเหล่าชาโดว์ของมนุษย์ในคุกแห่งการเสื่อมถอยก็นึกสงสัยในรูปร่างหน้าตาของตนเองที่แตกต่างจากมนุษย์ ทำให้เขาเริ่มเชื่อว่าเดิมทีตนเองจะต้องเป็นมนุษย์มาก่อนแน่ๆ เพื่อที่จะตามหาความทรงจำและหาทางกลับไปเป็นมนุษย์ เขาจึงออกเร่ร่อนไปทั่ว Mementos ด้วยความเชื่อว่าหากเขาได้สัมผัสแรงปราถนาของมนุษย์มากๆเข้า ความทรงจำของเขาอาจจะรื้อฟื้นกลับมาก็ได้
          ทางด้าน Yaldabaoth ที่ตอนนี้ได้ครอบครองเวลเวทรูมและปลอมตัวเป็นอีกอร์แล้ว ก็ได้เริ่มแผนการขั้นต่อไปในการสร้างเกมของเขาขึ้นมาทันที
         Yaldabaoth ได้เลือกมนุษย์ขึ้นมาสองคน คนหนึ่ง เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการทำลายล้างที่จะชักนำมนุษยชาติไปสู่การล่มสลาย อีกคนหนึ่ง เพื่อให้เป็น Trickster ผู้จะมาหยุดยั้งสิ่งนั้น โดยเขาจะมอบพลังในการก้าวเข้าสู่ Metaverse และพลังแห่ง The Wild Card ให้กับทั้งสอง จากนั้นก็เฝ้าดูว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้กุมชัยชนะและกำหนดชะตาของมนุษยชาติ


         คนแรกที่เขาเลือกคือ เด็กหนุ่มที่ชื่อ โกโร่ อาเคจิ  (Goro Akechi) ตัวแทนแห่งการทำลายล้างในเกมของ Yaldabaoth ลูกชายนอกฏหมายของนักการเมืองที่มีชื่อว่า ชิโดะ มาซาโยชิ(Shido Mayasoshi)นักการเมืองหนุ่มไฟแรง ผู้มีอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่นให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เขาเชื่อว่าที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชอย่างทุกวันนี้ก็เพราะพวกนักการเมืองแก่ๆที่หวงบัลลังก์ของตนเองกดคนรุ่นใหม่ไม่ให้ได้มีโอกาสโงหัวขึ้นมาในโลกการเมืองและทำการเปลี่ยนแปลงประเทศ แม้จะฟังดูสวยหรู แต่ความสุดโต่งในอุดมการณ์ของเขาก็ทำให้เขาเป็นคนที่ไร้ซึ่งเมตตาธรรม ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหาร การฉ้อโกงและคอรัปชั่น เขายินดีจะทำทั้งหมดหากมันจะนำมาซึ่งโอกาส อำนาจ เส้นสาย อะไรก็ตามแต่ที่จะสนับสนุนให้เขาไต่เต้าขึ้นไปสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งนั่นก็รวมถึงการตัดสัมพันธ์กับแม่ของอาเคจิและทำเหมือนอาเคจิไม่มีตัวตนอยู่ด้วย
         ส่วนคนที่สองนั้นคือ
         เร็น อามามิยะ(หรือชื่อที่คนส่วนใหญ่รู้จักก็คือ อากิระ คุรุสุ)เด็กหนุ่มผู้เป็นเหยื่อจากความอยุติธรรมของชายที่ชื่อชิโดะ มาซาโยชิ จนทำให้ชีวิตต้องพลิกผันและดิ่งลงเหว 
         ด้วยเหตุนี้ Yaldabaoth จึงได้เลือกเขาให้เป็น Trickster ผู้ที่จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อปกป้องมนุษยชาติจากการล่มสลาย

         ซึ่งในท้ายที่สุดเร็นก็เป็นฝ่ายชนะ เขากับเพื่อนๆในกลุ่มจอมโจร Phantom Thieves สามารถปลดปล่อยมนุษยชาติจากพันธนาการของ Yaldabaoth ได้สำเร็จ ส่งผลให้ Mementos สลายไปพร้อมๆกับ Metaverse ที่จะตัดขาดจากโลกแห่งความเป็นจริง 

    (อันนี้เป็นเนื้อเรื่องที่ไรต์พยายามสรุปให้คนที่ไม่เคยดูเข้าใจมากที่สุด หากอยากอ่านเต็มๆให้กดที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้)






















    S
    N
    A
    P
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×