NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ALPHATOPIA [AU OMEGAVERSE FANFICTION]

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 2 : Completely Changed

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 629
      25
      29 เม.ย. 66

     

    บทที่ 2 : เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

     

     

    หากวันนั้นพี่ไม่พาเธอออกมาหาพ่อกับแม่

    เราทั้งคู่ก็คง…

    "ปล่อยพวกเราผ่านไปนะ!!!"

    ปังๆ!!

    ณ เขต Z เมื่อสิบปีก่อน หลังเหตุการณ์การเสียชีวิตของประธานาธิบดีอาคาริ ผู้เป็นที่รักของเหล่าประชาชนแทบทั่วทุกเขตในประเทศอัลฟ่าโทเปียผ่านไปได้ไม่ถึงสองสามวัน

    เสียงโห่ร้องของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขต Z ดังขึ้นไปทั่วทุกสารทิศปนเสียงอึกทึกครึกโครมจากฝูงชนที่ลั่นสนั่นหวั่นไหวขณะช่วยกันผลักช่วยกันดันทหารที่พวกรัฐบาลชุดใหม่ส่งมาขวัดขวางเส้นทางการสัญจรไปยังเขตอื่นๆที่อยู่ติดกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟใต้ดิน สะพานที่อยู่ตรงหน้า หรือสถานีรถไฟบนดินก็ตาม ทั้งหมดนั้น ล้วนถูกปิดตาย ราวกับไม่ต้องการให้คนที่อยู่ที่นี่ได้ออกไป..โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกชนชั้นล่างที่ไม่สวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าและเหล่าเด็กๆกับประชาชนที่เกิดมาจากสายเลือดต่างชนชั้นซึ่งได้รับการดูแลและเอาใจใส่เป็นอย่างดีในสมัยที่ประธานาธิบดีอาคาริยังดำรงตำแหน่ง

    "เอาประธานาธิบดีของเราคืนมา!!"

    ดังนั้นด้วยเหตุนี้เองประชาชนในทุกๆเขตจึงได้รวมตัวกันก่อการจลาจล ลุกฮือประท้วงต่อต้านรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาทำหน้าที่แทนคณะรัฐบาลชุดเดิมที่ถูกปลดออกและเปลี่ยนไปใช้กฎหมายเก่าที่แบ่งแยกการปฎิบัติทางชนชั้นอย่างไม่ยุติธรรมเช่นเดิม เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเรื่องนี้ จนถึงขั้นต้องใช้กำลังใช้ความรุนแรงลงไม้ลงมือใส่กันทั้งสองฝ่าย

    บรึ้ม!!! เสียงระเบิดทำมือที่ดังขึ้นเมื่อถูกปาลงพื้น เสียงกระสุนที่ดังขึ้นหลังทหารเหนี่ยวไกปืนกราดยิงใส่ฝูงชน ภาพของผู้คนที่กระโจนใส่ฝ่ายตรงข้ามห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุบตีด้วยของแข็งก็ดี ฟาดฟันกันก็ดี กระหน่ำแทงกันให้ตายกันไปข้างหนึ่งก็ดี เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วท้องถนน กระสุนเจาะทะลุร่างมากมายที่ล้มเกลื่อนกลาดจมกองเลือดบนท้องถนนที่ลุกเป็นไฟ ยับเยินจากการต่อสู้และมีซากปรักหักพังที่กองถล่มลงมาเพราะแรงระเบิด ดูน่าสะเทือนใจและเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งต่อสายตาของผู้ที่พบเห็น

    ทำให้เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก มีผู้เสียหายกว่าร้อยหมื่นชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียจากทั้งทางกายและทางใจ หลายคนต้องสูญเสียครอบครัวและบุคคลที่เป็นที่รักไป 

    "……"

    ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงชีวิตบิดามารดาของสองพี่น้องคู่หนึ่งที่ถูกลูกหลงจากเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นกัน

    "….."

    "พี่ฮะ?"

    สติสัมปชัญญะถูกกระชากจนขาดสะบั้น

    "….."

    ดุจใบมีดคมกริบนับล้านพันทิ่มแทงปักลงกลางหทัย

    "พี่…"

    ดั่งฝันร้ายติดตา หลอกหลอนติดตัวไปตราบสิ้นชีวา

    "พี่ฮะ…"

    กลับทำได้เพียงแค่ยืนมอง โดยมิอาจต่อกรอันใด

    หมับ มือหยาบกร้านเผลอคว้ามือเล็กนุ่มนิ่มมาจับไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะได้ยินสุ้มเสียงเรียกกังวานใสดุจธาราเจือความไร้เดียงสาปนมากับน้ำเสียงซึ่งเปล่งออกอย่างแผ่วเบาจากน้องชายวัย 6 ขวบตัวน้อยดึงสติของผู้เป็นพี่สาวที่มีอายุมากกว่าเขาและยืนอยู่ข้างๆกายให้หลุดออกจากห้วงภวังค์ หลังตกอยู่ในอาการตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นตรงหน้า จนเผลอเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง นิ่งไปอยู่นานสองนาน สีหน้าดูช็อคเกินกว่าจะสรรหาคำพูดมาบรรยายความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจที่กระตุกวาบพร้อมกับความหวาดกลัวที่แล่นพรูเข้ามา ซึ่งบัดนี้กำลังถูกความสิ้นหวังเกาะกุมไปทั่วร่างที่ยืนนิ่งแข็งทื่อไม่ไหวตึง ราวกับสตินั้นได้หลุดลอยไป จนแทบไม่รับรู้เรื่องใดๆที่เกิดขึ้น

    "พี่เป็นอะไรไป…"หากแต่ยังดีที่ได้เจ้าของนัยน์ตาสีทองอร่ามสะกิดถามด้วยความสงสัยแฝงความห่วงใย ดึงรั้งสติเอาไว้ก่อนที่ประสาทการรับรู้จะจมดิ่งลงสู่เหวโดยสมบูรณ์ พอดีกับที่มีเสียงระเบิดดังขึ้นใกล้ๆ

    ทำให้เด็กน้อยตรงหน้าสะดุ้งตกใจ เผลอหลบไปอยู่ด้านหลังพี่สาว เกาะแขนเธอแน่นโดยไม่รู้ตัว แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวงต่อเสียงที่ดังอื้ออึงสนั่นหวั่นไหวชวนแสบแก้วหูไปทั่วทั้งเมือง

    ตู้ม!! ซึ่งดังขึ้นติดต่อกันเป็นระยะๆอย่างไม่มีท่าทีที่จะหยุด จนทำให้เด็กน้อยตัวสั่นต้องรีบก้มหน้าหลับตาปี๋กอดแขนพี่ ไม่กล้าสู้หน้าเสียงที่ดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆตามประสาของเด็กที่ยังอ่อนต่อโลก ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวความโหดร้ายที่เกิดขึ้นที่พวกผู้ใหญ่เป็นคนก่ออย่างถ่องแท้ถี่ถ้วนแบบเดียวกับคนตรงหน้าที่ควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ได้ดีกว่าเขา

    "……"เด็กสาวชำเลืองมองลงไปยังน้องชายตรงหน้าด้วยแววตาชวนเศร้าสร้อยและเจ็บปวดใจ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า ข่มความหวาดกลัวเก็บซ่อนไว้ แสร้งทำเป็นฝืนยิ้มใจดีสู้เสือเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายนั้นสะเทือนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าซึ่งหนักอึ้งเกินกว่าที่เด็กในวัยเดียวกันกับเขาจะแบกรับไหว หากได้รู้ความจริง

    "ไม่ต้องกลัวนะ น้องพี่ พวกเขาแค่ซ้อมหลบภัยน่ะ"เธอย่อตัวลงลูบหน้าของเด็กชาย พูดปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับความเจ็บปวดรวดร้าวในอกที่กำลังทำหัวใจดวงน้อยนิดของเธอใกล้แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ เกือบจะแตกสลายลงไปทุกที แต่ก็ต้องฝืนใจทำ ปั้นหน้าเสแสร้ง โกหกหลอกอีกคนไปว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้คนนั้นเป็นเพียงแค่การซ้อมหลบภัยในเมืองเท่านั้น

    "จ-จริงหรอฮะ?"เด็กชายถามด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก ทว่าเพียงแค่พี่ของเขาพยักหน้าให้เท่านั้น ความสงสัยและความกังวลที่อยู่บนใบหน้าก็มลายหายไปในทันที ราวกับว่าเขานั้นเชื่อทุกคำที่เธอเอ่ยอย่างหมดใจ ขอแค่เป็นเธอก็พร้อมจะปักใจเชื่อโดยไม่คิดเอะใจหรือสงสัย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงแค่ไหน น้องชายคนนี้ก็พร้อมที่จะทำตามและรับฟังทุกอย่าง หากพี่สาวที่อยู่ตรงหน้าบอกเขาว่ามันดี

    "อือ"จึงไม่น่าแปลกใจที่ในแววตาของพี่สาวจะมีความรู้สึกผิดเจือปนอยู่หลังต้องตอบน้องชายของเธอไปเพื่อปกป้องเขาจากภยันตรายที่อยู่ตรงหน้า

    "งั้นพ่อกับแม่เราที่นอนอยู่ตรงนั้นล่ะ?"

    ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเด็กน้อยถามพลางยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่ร่างของชายหญิงสองคนด้านหลังเธอ…

    "….."

    ที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวตึง ท่ามกลางพื้นซึ่งเจิ่งนองไปด้วยน้ำสีแดงชะโลมอาบร่างและหน้าผากที่ถูกของแข็งขนาดเล็กที่ทำจากโลหะตะกั่วผสมโลหะพลวงเจาะทะลุไปถึงด้านใน  โดยที่ดวงตาของคนทั้งคู่นั้นเบิกโพลงจ้องมองมายังเด็กสาวที่ยืนหันหลังให้ ทว่ากลับไร้ซึ่งประกายชีวิตราวกับเป็นเพียงหุ่นไร้วิญญานที่หมดลมหายใจไปตั้งแต่ตอนที่หัวของพวกเขานั้นมีหลุมขนาดมหึมาปรากฎขึ้นบนผิวเนื้อกลางหน้าผากแล้ว..

    "….."ได้แต่ยืนเป็นใบ้ ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆจะเอ่ยออกหลังจากชำเลืองไปมองตามที่น้องชายบอก ทั้งๆรู้อยู่แก่ใจว่านั่นคือความตาย แต่ก็ต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้ไม่ให้อาเจียนออกมา ตอบเด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลกไปว่า

    "พวกเขาแค่หลับไป"กล่าวพลางดึงเด็กชายตรงหน้าเข้ามากอด กระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาโดยต้องพยายามฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ร่วงเหมาะลงบนบ่าให้อีกคนรู้สึกตัว

    "เดี๋ยวก็จบแล้ว"เธอบอกพร้อมกับยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำของเจ้าตัวเล็กที่ยืนให้กอดด้วยท่าทางที่ดูไร้เดียงสาเกินกว่าจะรู้ว่าพ่อแม่ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นได้จากเขาไปยังที่ที่แสนไกลอย่างไม่มีวันหวนคืนมาอีก

    "เชื่อพี่นะ…"

    ฟุ้บ!!

    ดวงเนตรเบิกกว้าง ฉายแววตื่นตระหนกผ่านเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นอาบไปทั่วทั้งใบหน้า สะดุ้งตื่นขึ้นทันใดหลังถูกภาพฝันร้ายจากเหตุการณ์นองเลือดเมื่อเจ็ดปีก่อนตามวนเวียนหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้หัวใจเต้นเร็วแรงแทบไม่เป็นจังหวะ หายใจแทบไม่ทั่วปอดยามเมื่อลืมตาตื่นจากนิทราในช่วงเช้ามืดก่อนที่ดวงตะวันจะขึ้น

    มืออันหยาบกร้านที่มากล้นด้วยบาดแผลกุมหน้าผากของตัวเองเพื่อสงบจิตสงบใจ ก่อนจะหันไปชำเลืองมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆกายซึ่งยังคงหลับไหลไม่ได้สติอยู่ในสภาพร่างกายที่เปลือยเปล่า ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น สวมเพียงเสื้อเชิ้ตปกปิดรอยจ้ำสีกุหลาบซึ่งแสดงถึงความเป็นเจ้าของที่ประดับทั่วผิวกายและลำคอขาวเนียนของเขา พลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากของเขาเบาๆ

    ค่อยยังชั่ว

    จากนั้นก็เอื้อมมือไปดึงเสื้อฮู้ดที่ถูกมือแกร่งของชายหนุ่มยกขึ้นแนบหน้าและเอามากอดไว้ในอ้อมแขนราวกับหมอนข้างบนเตียงเสียแน่นไม่ขยับเขยื้อน

    หมับ

    "….."

    จนยากที่เด็กสาวจะใช้พละกำลังจากฝ่ามือปลดเสื้อให้หลุดออกจากกำมือของอีกฝ่ายได้ เพราะครั้นจะแกะมือของอีกคนเพื่อให้คลายผ้าที่กำอยู่ออก ก็กลัวเหลือเกินว่าจะทำให้อีกคนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

    กอดซะแน่นเชียว

    สุดท้ายเลยต้องจำใจทิ้งเสื้อเอาไว้ เนื่องจากความขี้เกียจ ไม่อยากมัวมานั่งเสียเวลาเปลืองพลังเพื่อไปใช้จัดการกับเรื่องเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้านี่ ดังนั้นจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า แล้วถึงค่อยหันไปมองอีกคนหลังจากที่ย้ายร่างมายืนอยู่ตรงบริเวณใกล้ๆจะสุดขอบตึกที่หากก้าวข้ามพ้นไปก็จะล่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างทันทีด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความห่วงใยและกังวลเจือปนอยู่นิดๆฉายออกมา

    ดูจากท่าทางเมื่อวาน คงจะยังไม่รู้ตัวสินะว่าเป็น…

    ฟุ้บ

    ช่างเถอะ จะสนไปทำไม ยังไงซะนั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเรา

    เด็กสาวคิดพลางทิ้งตัว ปล่อยร่างร่วงดิ่งลงสู่เบื้องล่างไปตามแรงโน้มถ่วงโลก โดยหมุนตัวกลางอากาศก่อนจะกระโดดลงเอาเท้าเหยียบพื้นอย่างนุ่มนวลราวกับสไปเดอร์แมน แล้วจึงค่อยๆกวาดตามองสำรวจสอดส่องเส้นทางที่อยู่รอบๆอย่างระมัดระวังจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ เลยหันไปเหลือบมองตึกที่อยู่ด้านหลังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปโดยทิ้งอีกคนให้นอนอยู่เพียงลำพัง…

     

    2 วันต่อมา

    "ยอมรับมาดีกว่าน่า จะได้เจ็บตัวน้อยๆหน่อย"

    "ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำ!!"

    ป้าบ!! ทันทีที่ไอ้โรคจิตตอบ บาทาของบอสนากะก็ได้ยกขึ้นถีบร่างของมันที่ถูกจับมัดอยู่บนเก้าอี้ในห้องใต้ดินลับของผับจนหน้าหงายล้มลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น

    "ปากแข็งจังนะ ไอ้สวะนี่!!"นากะขึ้นเสียงด้วยความเกรี้ยวกราดผ่านสีหน้าถมึงทึงที่แสดงออกมา ขณะกำลังลงไม้ลงมือทรมานรีดเค้นคำสารภาพผิดจากคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่ได้เลยอย่างโหดเหี้ยม

    "โอ๊ย เบาๆหน่อยสิ!!"

    "หนอย ฝันไปเถอะ!!!"โดยที่ในใจก็ได้แต่สงสัยอีกคนว่าเหตุใดกันแน่ทั้งๆที่มันทำเรื่องขนาดนี้ลงไป แต่กลับจำเตี่ยอะไรไม่สักแอะ จนทำให้ต้องเดินออกมาบ่นกับฮาเวิร์ด ลูกน้องคนสนิทด้วยความอารมณ์เสียเพราะเหนื่อยและเบื่อหน่ายและเอียนเต็มทนกับคำตอบเดิมๆที่มันให้

    "ได้เรื่องไหมครับบอส?"

    "ฮาเวิร์ด นายว่ามันไม่แปลกไปหน่อยหรอ?"

    นากะถามลูกน้องคนสนิท

    "กล้องวงจรปิดแถวนั้นดันมาเสียพอดีตอนที่เกิดเรื่อง แถมสภาพห้องก็ดูเรียบร้อยเกินไปจนดูผิดสังเกต ฉันว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในนั้นแน่ๆ…"

    และในเวลาเดียวกัน ทางด้านเพนท์เฮ้าส์ของมินโฮ

    ตรู้ดดดดด

    เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะได้ดังขึ้นในขณะที่มินโฮกำลังจะแต่งตัวออกไปข้างนอกพอดี ทำให้ต้องรีบเดินเข้าไปหยิบเพื่อกดรับเสียงคนปลายสายที่โทรมาซึ่งเป็นคนที่เขานั้นรู้จักและสนิทสนมเป็นอย่างดีในตอนที่ยังอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า

    "อันยอง มินโฮ"

    "โทรมาแต่เช้าเลย มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ พี่ฮยอน?"

    ชายหนุ่มถามเจ้าของเสียงในสายที่ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะถามเขากลับมาว่า

    "วันนี้สะดวกมั้ย?ช่วยมาที่โรงพยาบาลหน่อย พอดีพี่มีเรื่องจะบอกนาย.."

    มินโฮขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

    "บอกตอนนี้เลยไม่ได้หรอ วันนี้ผมมีธุระ…"

    "ผลตรวจเพศรองของนายออกมาแล้ว…"

    ทว่ากลับต้องนิ่งไป เมื่อได้ยินคำตอบจากอีกคน

    "คราวนี้ของจริง อย่าลืมมาหาฉันล่ะ…"

    ที่ได้วางสายไปหลังจากพูดจบ ปล่อยให้มินโฮยืนอึ้งอยู่เพียงลำพัง ก่อนจะก้มลงไปมองเสื้อฮู้ดที่อยู่ในมือ…ซึ่งเป็นของใครบางคนที่ได้ทิ้งไว้ให้กับเขาที่ตึกร้างก่อนจะหายตัวไปให้เมื่อสองวันก่อน ใครบางคนที่เขาเฝ้ารอคอยคะนึงหาอยู่แทบทุกวันคืน แต่กลับจากไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลาและเบอร์ติดต่อทิ้งไว้ให้

    เฟนริล…

    จากนั้นชายหนุ่มก็หลับตาลงและจรดริมฝีปากประทับลงบนเสื้อเบาๆ

     

    ในบรรดาเมืองทั้งหมดจากทุกเขตของประเทศอัลฟ่าโทเปีย 'เดอะ กริด' เมืองประจำเขต Y นับว่าเป็นเมืองที่ก้าวหน้ามากที่สุด เพราะที่นี่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ล้ำหน้ามากกว่าเขตอื่นๆ ตึกรามบ้านช่องเองก็ดูไฮเทค การคมนาคมก็สะดวกสบาย เงินเดือนก็ดี ให้เยอะกว่าเขตอื่น

    จึงไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนจากเขตอื่นๆมาทำงานที่นี่กันเป็นส่วนใหญ่

    ณ Able's Garage ศูนย์ซ่อมที่ใหญ่ที่สุดใน เดอะ กริด

    แกร๊กๆ ชายหนุ่มผมดำ ผิวขาว สวมไซเบอร์สูทรัดรูปสีดำคนหนึ่งกำลังซ่อมแซมไลท์ไบค์อย่างตั้งอกตั้งใจ เขาใช้เครื่องมือประแจสีขาวทาบลงบนตัวรถ ก่อนที่ตัวไลท์ไบท์จะแปรสภาพเป็นโหมดโปร่งใสมองเห็นทะลุผ่านตัวเครื่อ

    บรื้น เขาหยิบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่อยู่ในนั้นออกมาซ่อมแซม แกะและประกอบใหม่อย่างชำนาญสมกับเป็นช่างซ่อมมืออาชีพ และในจังหวะนั้นเองก็มีใครบางคนเดินเข้ามาทักเขาจากด้านหลัง

    "โย่ว เบค"ทันทีที่ถูกทัก เจ้าของชื่อก็แอบยิ้มเล็กน้อย

    "มาสายอีกแล้วนะ ฟินิกซ์"ชายหนุ่มกล่าว พร้อมกับหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมงานสาวผู้สวมหน้ากากวิหคเพลิงที่ชอบมาสายอยู่เป็นประจำ

    "โทษที รถติด"

    "รถไฟฟ้าก็มี นั่งมาแป๊บเดียวก็ถึง"

    "นี่ ฉันไม่ใช่คนในเขต Y ที่มีบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานแบบนายนะ เข้าใจกันบ้างสิ"

    "ก็อ้างแบบนี้ทุกทีแหละ"

    "เบค"

    "หือ?"

    "พักเที่ยงนี้ อย่าลืมนะว่าเรามีดวลดิสก์กัน"เบคถอนหายใจเบาๆทันทีหลังจากถูกอีกฝ่ายเตือนเรื่องนัด

    "เรื่องนั้นน่ะไม่ลืมหรอกน่า เธอน่ะรีบไปทำงานได้แล้วไป๊"

     

    ณ สนามบินโจอาริเซก้า เมืองเอนโจลิโก้

    "ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เราเดินทางมาถึง ท่าอากาศยานโจอาริเซก้า เมืองเอนโจลิโก้ ประเทศอัลฟ่าโทเปียเรียบร้อยแล้วครับ"

    สิ้นเสียงประกาศจากนักบิน ผู้โดยสารในสายการบิน Korea Airline ก็ลุกขึ้นเก็บสัมภาระและลงจากเครื่อง ซึ่งหนึ่งในผู้โดยสารที่ว่านั้นก็มี เด็กสาววัยรุ่นชาวเกาหลีใต้อายุ 15 ปี มัดผมหางม้าสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อคลุมยีนส์สีน้ำเงินเข้ม เสื้อเชิ้ตสีเขียว กางเกงยีนส์สีดำ รองเท้าผ้าใบสีขาว และสวมนาฬิกาข้อมือเรือนงามที่ข้อมือซ้ายโดยสารมาด้วย

    เธอลุกขึ้นเก็บสัมภาระและตามผู้โดยสารคนอื่นลงจากเครื่องบิน ไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง และพอทำธุระกับเจ้าหน้าที่เสร็จแล้ว ก็ไปรับกระเป๋าที่สายพานตามชื่อเที่ยวบินที่โดยสารมา

    ซึ่งในระหว่างที่รอกระเป๋าอยู่นั้น

    "เฮ้อ.."เธอก็ได้ถอนหายใจเบาๆ และกวาดตามองบรรยากาศรอบๆด้วยความเบื่อหน่าย

    แม้ว่าจะผ่านมากี่ปี ที่แห่งนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป..สำหรับเธอ

    บ้านเกิดที่อยากจะหนีไปให้ไกลมากที่สุด สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับมัน

    ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน

    "พ่อ!!แม่!!"

    ลี คาริน่า เป็นเพียงสาวน้อยผู้น่าสงสารที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปเพราะอุบัติเหตุโรงงานระเบิด แม้จะมีคนตายมากมาย แต่ทว่ารัฐบาลกลับไม่ยอมรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาอ้างว่ามันคืออุบัติเหตุ มีเด็กหลายคนที่ต้องสูญเสียพ่อแม่และญาติพี่น้องไปในเหตุการณ์นี้ แน่นอนว่ารวมถึงตัวคาริน่าด้วย ดังนั้นเมื่อไร้ซึ่งผู้ปกครอง คาริน่าจึงถูกส่งไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และต้องทำงานหาเงินเลี้ยงดูตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากไม่มีญาติพี่น้องคอยดูแล

    แต่กระนั้นเธอก็สามารถเอาตัวรอดในสังคมที่โหดร้ายได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

    เธอทั้งเรียนและทำงานหาเงิน และกับค่าจ้างเล็กๆน้อยๆ ขณะเดียวกันก็หมั่นฝึกซ้อมกีฬาเคนโด้อย่างหนัก เพื่อไว้ป้องกันตัว หลังเลิกเรียน แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่า ความสามารถในการเล่นเคนโด้ของเธอนั้นจะไปแตะตาผอ.โรงเรียนเข้า ทำให้เขาตัดสินใจส่งเธอไปเป็นตัวแทนแข่งเคนโด้ระดับภูมิภาค ผลก็คือก็คือคาริน่าได้รับชัยชนะกลับมาอย่างสวยงาม อีกทั้งยังได้รับเลือกให้ลงแข่งขันกีฬาเคนโด้เยาวชนระดับประเทศอีกด้วย

    ชื่อเสียงของเธอเริ่มโด่งดังไปทั่วตั้งแต่ตอนนั้น ได้ลงแข่งขันรายการเคนโด้อีกหลายรายการ คว้าเหรียญทองมาทั้งหมด 29 เหรียญ กับเงินรางวัลจำนวนมากมายภายในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนในอัลฟ่าโทเปียจึงยกย่องว่า ลี คาริน่า คือนักกีฬาเคนโด้รุ่นเยาวชนที่อายุน้อยที่สุดและเก่งที่สุดเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้เป็นเพราะเธอได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาเคนโด้ระดับทีมชาติตั้งแต่อายุ 12 ปี และพออายุ 13 คาริน่าก็ถูกส่งไปเป็นตัวแทนประเทศอัลฟ่าโทเปียในการแข่งขันรายการเคนโด้ระดับเยาวชนโลก..

    แต่ทว่าในการแข่งรอบชิงชนะเลิศ คาริน่ากลับสละสิทธิ์ และหายหน้าไปโดยไม่บอกไม่กล่าว

    นั่นเป็นเพราะเธอได้เตรียมการแผนหลบหนีเอาไว้นานแล้วน่ะสิ

    เธอหลบหนีไปที่เกาหลีใต้ ก่อนจะได้พบกับ พี่สาวชาวเกาหลีใต้แสนดีที่ชื่อว่า 'ซง จีฮโย' กับเพื่อนสาวของเธออีกห้าคนที่มีเชื้อชาติแตกต่างกันไปที่บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งได้ชวนคาริน่ามาทำงานที่ 'Sarang Music' แน่นอนว่าคาริน่าตอบตกลงจีฮโยกับเพื่อนของเธอที่ได้เข้าร่วมวงไอดอลสาวที่ชื่อว่า 'SibStars' โดยรับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ แม้ช่วงแรกจะลำบากไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดพวกเธอก็เดบิวต์ได้สำเร็จ แน่นอนว่าชีวิตของคาริน่าเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งในวันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งดูฟีดแบคของวง SibStars อยู่ในมือถือไปเรื่อยๆโดยไม่คิดอะไร…

    "หือ?"

    อยู่ๆก็ได้มีอีเมลปริศนาส่งเข้ามาที่เธอที่ทำให้เธอแทบจะไม่เชื่อในสายตาของตนเองเลยทีเดียว เพราะภายในอีเมลล์นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตายอย่างมีเงื่อนงำของพ่อแม่และจดหมายที่นัดให้ไปพบเจอ

    ดังนั้นด้วยเหตุนี้คาริน่าก็เลยต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด นั่นก็คือการกลับไปที่บ้านเกิดที่ 'อัลฟ่าโทเปีย' เพื่อตามหาคนที่ส่งอีเมลล์ที่กำลังรอเธออยู่ที่นั่น

    ครืด คาริน่ายกกระเป๋าเดินทางใบเขื่องที่ไหลมากับสายพานมาวางบนพื้น จากนั้นก็เดินลากกระเป๋าไปตามโซนอาคารขาออกในสนามบิน ก่อนจะแวะพักที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งเพื่อสั่งอาหารเช้า

    แต่ในระหว่างที่กำลังรอนั้นเธอกลับไม่ได้สังเกตเลยว่ามีชายแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลังเธอ

    "สวัสดี มิสลี คาริน่า"

    คาริน่าถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อถูกชายแปลกหน้าทัก เธอเตรียมจะหันไป เพราะรู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากด้านหลังเธอ แต่ว่าชายคนนั้นกลับบอกเธอว่า

    "ไม่ต้องหันมา แค่ฟังสิ่งที่ฉันจะพูดก็พอ"

    เมื่ออีกฝ่ายพูดจบ คาริน่าก็รีบหันกลับไปทันที

    "ฉันมีคำถามบางอย่างที่ต้องการจะถามเธอ.."

    "คุณคือคนที่ส่งอีเมลมาให้ฉันใช่มั้ยคะ?"คาริน่าถามขณะแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง ก็แหงล่ะ โดนคนแปลกหน้าท่าทางไม่หน้าไว้ใจเข้ามาตีสนิทแบบนี้เป็นใครก็ต้องระวังตัวก่อนเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว

    "ถูกต้อง เป็นฉันเอง"

    "คุณเป็นใครกันแน่คะ?ทำไมคุณถึงรู้..เรื่องนั้น?"

    ชายแปลกหน้านิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า

    "ก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสังคมอันโหดร้ายนี้น่ะ"

    คาริน่าถึงกับขมวดคิ้วด้วยความฉงน

    "ส่วนอีกเรื่องที่เธออยากจะรู้ ฉันคงยังบอกเธอไม่ได้จนกว่าเธอจะตอบคำถามของฉัน"

    "งั้นก็รีบถามมาเถอะค่ะ"คาริน่าพูด "ถ้าเพื่อเรื่องนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรหนูก็ยอม"

    ชายแปลกหน้านิ่งไปสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ

    "เธออยากเปลี่ยนแปลงอัลฟ่าโทเปียไหม?"

    "คะ?"

    "ตอบฉันมาสิว่าเธออยากรึเปล่า?"คาริน่าทำท่าลังเลอยู่สักครู่ เธอย้อนนึกถึงพ่อแม่ที่จากเธอไป และพวกพี่สาววงนักร้อง ที่คอยดูแลเธอราวกับคนในครอบครัว

    และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้

    "ค่ะ หนูอยากเปลี่ยนแปลงมัน หนูอยากเปลี่ยนแปลงบ้านเกิดของหนูให้หลุดพ้นจากความโหดร้ายนี้ค่ะ"

    เมื่อได้ยินคำตอบของคาริน่า ชายแปลกหน้าก็พูดต่อว่า

    "ดี งั้นคืนนี้ มาเจอกันที่ในย่านไชน่าทาวน์"

    "อ-เอ๋?"

    "ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ผิดสัญญาหรอก"

    "ด-เดี๋ยวก่อนค่ะ"

    แต่พอชายแปลกหน้าเตรียมจะลุกขึ้น คาริน่ากลับเรียกเขาเพื่อถามบางอย่าง

    "หนูยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร..."

    "เคนัน จาร์รัส" และพอบอกเสร็จ เขาก็เดินออกจากร้านไปในทันที

     

    เคร้ง!

    ดิสก์เรืองแสง เป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่คนในเขต Y มักจะพกพาติดตัวไปเสมอเวลาไปที่ไหน ฮิตจนถึงขั้นมีการจัดแข่งประลองดวลดิสก์ด้วยเลยทีเดียว โดยวิธีใช้คือให้ขว้างใส่คู่ต่อสู้ที่ตัวเองต้องการโจมตี เหมาะกับการต่อสู้ในระยะประชิดหากกะระยะได้เหมาะสม ดิสก์ก็จะสามารถลอยกลับมาหาเจ้าของได้แบบบูมเมอแรง แน่นอนว่าคนเขตอื่นก็สามารถใช้ดิสก์นี้ได้ แต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก เพราะดิสก์เปรียบเสมือนบัตรประจำตัวของทุกคนในเขต Y ทุกอย่างที่พวกเขาทำหรือเรียนรู้จะถูกบันทึกลงดิสก์นี้ดั่งเครื่องบันทึกความจำเลยก็มิปาน

    "ฮึ่บ!"ฟินิกซ์กระโดดตีลังกาเบี่ยงตัวหลบแผ่นดิสก์ที่เบคขว้างใส่เธออย่างรวดเร็ว ทำให้มันกระเด็นไปชนผนังโดมบาเรียโฮโลแกรมและลอยกลับมาหาเธอ

    หมับ ฟินิกซ์คว้าดิสก์เอาไว้ และเขวี้ยงใส่เบคกลับ แต่เบคก็กระโดดหลบ คว้าดิสก์ของตัวเองไว้และเขวี้ยงใส่

    ทำให้ฟินิกซ์ต้องรีบหยิบดิสก์ของตัวเองมาป้องกันการกระแทกจากดิสก์ของเบค พร้อมกับปัดมันออก และขว้างดิสก์ของตัวเองใส่เบคบ้าง แต่เบคก็ก้มหลบดิสก์ของฝ่ายตรงข้ามที่ขว้างใส่เขาได้ และไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เบคก็กระโดดคว้าดิสก์ของอีกคนไว้ และเขวี้ยงดิสก์ทั้งสองของเขาใส่เด็กสาวพร้อมกัน

    โชคดีที่เด็กสาวกระโดดหมุนตัวกลางอากาศ หลบดิสก์ที่พุ่งใส่เธอ ทว่าดิสก์ทั้งสองนั้นกลับได้ชนกระแทกเข้ากับกำแพงบาเรีย ก่อนจะพุ่งเข้าที่หลังเธอเต็มๆ จนทำให้เสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น

    โครม!!

    "Game Over"

    สิ้นเสียงคอมพิวเตอร์ โดมบาเรียโฮโลแกรมที่ครอบคลุมสนามก็มลายหายไปในทันทีที่การดวลจบลง

    ฟึ่บ เบคคว้าดิสก์ทั้งสองที่พุ่งกลับมาหาเขา ก่อนจะเดินเข้าไปดึงเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้น

    "เอ้า รับไปสิ"ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับคืนดิสก์เรืองแสงให้กับอีกฝ่าย

    "เหมือนเดิมนะ คนแพ้เลี้ยงข้าว"

    "แหม พอเป็นเรื่องกินนี่รีบเชียวนะ"

    "ก็เที่ยงแล้วนี่นา ถ้าไม่กินเดี๋ยวก็ไม่มีแรงทำงานหรอก"

    "เออๆ อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน"

     

    ทุกที่บนโลกล้วนมีการทดสอบ

    ไม่เว้นแม้แต่ประเทศอัลฟ่าโทเปีย

    เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กๆชาวอัลฟ่าโทเปียอายุครบ 16 ปี พวกเขาทุกคนจะต้องเข้ารับการทดสอบเพื่อแบ่งกลุ่มทางสังคมจากทักษะและพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด รวมถึงต้องเข้ารับการตรวจเพศรองของตนที่มีอยู่ด้วยกันสามสถานะหลักๆ โดยประกอบไปด้วย อัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า

    แต่สำหรับบางคนนั้นผลตรวจอาจจะออกช้ากว่าปกติ

    อย่างเช่นมินโฮ เป็นต้น

    ณ ช่วงบ่าย หลังจากที่ไปทำธุระในตอนเช้าเสร็จ มินโฮก็ขับรถมาที่โรงพยาบาลแอสคลิปิอุส เพื่อมาพบกับใครบางคนที่นัดเขาให้มาหาเพื่อบอกเรื่องเพศรองที่ตัวของเขานั้นรอคอยมาเป็นเวลาหลายปีซึ่งออกมาช้ามากเหลือเกิน ผิดกับเพื่อนๆคนอื่นในวัยเดียวกันที่ได้รับรู้สถานะผลตรวจเพศรองกันตั้งแต่ตอนอายุสิบหก ซึ่งเป็นวัยที่เหมาะสมที่จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพวกเขา บางคนอาจจะรู้ตัวเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ ทว่าในกรณีของมินโฮ เขานั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากคนอื่นๆนิดหน่อยตรงที่ทุกครั้งที่ผลตรวจออกมา หมอทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่สามารถระบุผลตรวจได้ จนกระทั่งวันนี้…

    "พี่ ผมถึงโรงพยาบาลแล้วนะ.."มินโฮคุยกับฮยอนผ่านโทรศัพท์ พอดีกับที่มีใครบางคนได้เดินสวนเขา ซึ่งได้หยุดชะงักไปในทันทีหลังจากที่เขาเดินผ่าน

    "…."

    หญิงสาวในชุดเดรสกระโปรงสั้นเปิดหัวไหล่ ประดับดอกซากุระพองาม ไว้แขนเสื้อยาวปักลูกไม้รอบลำแขน ผูกเข็มขัดริบบิ้นสีดำ เจ้าของนัยน์ตาสีชมพูพาสเทลกลมโต ผิวกายสีขาวซีดดุจหิมะดั่งเจ้าหญิงสโนไวท์ เรือนผมสีชมพูยาวสลวยถึงกลางหลังปกปิดหน้าผากด้วยผมหน้าม้าบางๆ และริมฝีปากสีชมพูกุหลาบอ่อนๆที่ดูราวกับถูกเคลือบด้วยลิปสติกแต่กลับไม่ใช่ ได้หันไปชำเลืองมองมินโฮด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฉงนและสงสัย ราวกับสัมผัสได้ถึง…พวกเดียวกัน

    "ขอบคุณนะคะ รองศาสตราจารย์ด็อกเตอร์โจเซเฟีย บลอสซั่ม"ก่อนจะถูกเสียงของหญิงสาวอีกคนที่เดินตามมาด้วยเรียกให้หันไปสนใจ ทำให้ต้องละสายตาจากชายหนุ่มที่เดินลับสายตาไปอย่างน่าเสียดาย

    "ที่อุตส่าห์ยอมสละเวลามาเพื่อบรรยายความรู้ให้กับบุคลากรของเรา.."

    และทางด้านของมินโฮที่ได้เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของรุ่นพี่หนุ่มซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแอสคลิปิอุส โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองเอนโจลิโก้

    "รอนานรึเปล่า พี่ฮยอน?"

    มินโฮทักทายนายแพทย์หนุ่มชาวเอเชียที่กำลังนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนทันทีที่มาถึง

    "นานกว่านี้ฉันก็รอได้"

    ดร.คิม ซุนฮยอน เอ่ยกับมินโฮด้วยใบหน้าที่เย็นชาดุจก้อนน้ำแข็ง ขณะขยับแว่นตาของตนชำเลืองมองอีกฝ่ายที่เดินมานั่งที่เก้าอี้ซึ่งตั้งวางอยู่ตรงหน้าเขา

    "รีบๆพูดมาเถอะ ผมไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันหรอกนะ"

    "ได้ งั้นฉันจะไม่อ้อมคอม"

    ฮยอนมองรุ่นน้องหนุ่มด้วยแววตาที่ดูจริงจัง 

    "มินโฮ"

    ก่อนจะบอกคำตอบแก่อีกคน

    "นายเป็นโอเมก้า"

    ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล

    "เมื่อกี้ พี่พูดว่าอะไรนะ?"

     

    ณ เวลา 6.00 น. ที่ Able 's Garage เขต Y

    แกร๊กๆ ฟินิกซ์ซ่อมไลท์คาร์ขนาดใหญ่อย่างพิถีพิถัน บวกกับการตรวจสอบเครื่องยนต์ภายในแบบที่ทำประจำ เธอหาจุดที่เครื่องยนต์มีความผิดปกติก่อนจะแยกชิ้นส่วนตรงนั้นออกมาซ่อมแซมมันและประกอบเข้าที่เดิม

    แต่ในระหว่างที่กำลังทำงานอยู่นั้น

    "เฮ้"จู่ๆก็มีเพื่อนร่วมงานหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง ตัดผมทรงกะลาครอบ สวมไลท์ไซเบอร์สูทแถบสีเขียวเดินเข้ามาหาเธอ

    "ทำงานเสร็จเร็วจังนะ เซด"

    "แหงล่ะ"เขากล่าว"ก็วันนี้มีงานปาร์ตี้นี่นา"

    ถึงกับหยุดทำงานทันทีที่เขาพูดเพื่อหันไปคุย

    "ที่ไหน?"

    "แถวๆนี้น่ะจ้ะ"ฉับพลัน แม่สาวผมบ๊อบสีฟ้านีออน ผู้นัยน์ตาสีฟ้าสว่าง สวมไลท์ไซเบอร์สูทสีเหลืองสุดเซ็กซี่ ก็พุ่งเข้ามาตอบแทนเซดพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งล็อคคอเขาไว้

    "แล้วเธอล่ะอยากไปกับพวกเรามั้ย?"

    ฟินิกซ์เงียบไปเล็กน้อย

    "คือ…ฉันมีธุระน่ะ คงไม่สะดวก แต่ก็ขอบใจนะที่ชวน เมร่า"ฟินิกซ์ตอบ ขณะที่เซดกำลังจะขาดอากาศหายใจเนื่องจากถูกเมร่าล็อกคอนานเกินไปหน่อย(?)

    "อุ้ย โทษทีนะ เซด"เมร่าพูดพร้อมกับปล่อยคอของเพื่อนหนุ่มออก

    "ถ้างั้นพวกฉันขอตัวก่อนนะ"

    "อือ"และหลังจากที่เมร่ากับเซดไปแล้ว ฟินิกซ์ก็รีบซ่อมไลท์คาร์จนเสร็จ จากนั้นก็ขึ้นไปเก็บสัมภาระที่ห้องพักของพนักงานที่ชั้นสอง ถอดแว่นตาช่างออก เปลี่ยนมาใส่หน้ากากนกฟินิกส์เหมือนเดิม แล้วเดินลงมาหาเบคที่กำลังนั่งซ่อมไลท์ไบค์คันสุดท้ายของวันนี้อยู่พอดี

    "เป็นไงบ้าง อีกนานมั้ย?"

    "ใกล้เสร็จแล้วล่ะ"เบคกล่าวพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย

    "อารมณ์ดีจังนะวันนี้"

    "ฮะๆ ได้อิสระหนึ่งวันทั้งที แถมเมร่ากับเซดก็ยังชวนไปงานปาร์ตี้อีก จะไม่ดีใจได้ยังไง?"

    "ก็แค่วันเดียวเอง"

    "วันเดียวก็คุ้ม อาจารย์ให้โอกาสพักมาทั้งที จะยอมเสียไปง่ายๆได้ยังไง ฮี่ๆ"

    "เออ ก็จริง"ฟินิกซ์พูด "แต่วันนี้บอกก่อนนะว่าฉันไม่ไป"

    "อ้าว ทำไมล่ะ?"

    "ฟินิกซ์!เบค!"แต่ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น ชายผิวสีผู้เป็นเจ้าของโรงรถ ก็ตะโกนเรียกพวกขาทั้งคู่พอดี

    "ว่าไงครับ คุณเอเบิ้ล!"เบคตะโกน

    "ฉันจะปิดโรงรถแล้ว รีบๆหน่อยนะ!!"

    "โอ๊ทส์!"

    หลังจากนั้น

    "เสร็จสักที"ทว่ายังไม่ทันจะได้หยิบแท่งเบตอน ในตอนนั้นเอง..

    "ขอโทษค่ะ"

    "หือ?"ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสวมชุดไลท์ไซเบอร์สูทแขนกุดกับปลอกแขนสีดำเดินเข้ามาถามเบคกับฟินิกซ์

    "พวกคุณทำงานที่ Able's Garage ใช่ไหมคะ?"

    "ครับ ไม่ทราบว่าคุณ.."

    "คือปากกา Paint toolของฉันเสียน่ะคะ"เธอบอกปัญหาของเธอในทันที

    "พวกคุณพอจะซ่อมให้ฉันได้ไหมคะ?"เบครีบส่ายหัว

    "ขอโทษด้วยนะครับ คุณผู้หญิง ผมคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าหากคุณมาหาพวกเราพรุ่งนี้"

    "แต่ว่าฉันทำงานไม่ได้ถ้าหากขาดมัน.."

    บังเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ

    "ขอโทษด้วยนะคะที่รบกวน"หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะเดินจากไป แน่นอนว่าเบคเองก็อยากช่วยเธอ และราวกับรู้ใจ ฟินิกซ์ที่เห็นดังนั้นก็เลยตะโกนเรียกผู้หญิงคนนั้นให้แทนทันทีเพื่อช่วยเธอ

    "เดี๋ยวก่อน คุณผู้หญิง"

    "ค-คะ?"

    "ขอฉันดูปากกาของเธอหน่อยได้ไหม?"

    "อา..ได้ค่ะ"หญิงสาวตอบพร้อมกับยื่นแท่งสีดำ ที่มีลักษณะคล้ายๆกับปากกาหมึกซึม แต่มีหัวดูดสี่แฉกราวกับตะขอคีบเล็กๆอยู่ตรงปลายปากให้คนตรงหน้าดู

    "เธอต้องการมันวันนี้ใช่ไหม?"

    "ค่ะ"

    "เธอทำงานอะไร?"

    "นักวาดฟรีแลนซ์ค่ะ"

    "งั้นขอฉันดูหน่อยว่าพอจะแก้อะไรได้บ้าง"คำพูดของฟินิกซ์ทำให้เบคยิ้มในทันที เขาหยิบสมาร์ทโฟนโฮโลแกรมขึ้นมา ก่อนจะบอกกับเธอว่า

    "ถ้างั้นฉันจะโทรไปบอกเมร่ากับเซดก่อนแล้วกันว่าไปช้าหน่อย ตกลงมั้ย?"

    "ตามสบายเลย เพราะฉันไม่ได้ไปอยู่แล้ว"

    "พวกคุณคุยเรื่องอะไรกันหรอคะ?"

    "อ๋อ พอดีผมมีงานปาร์ตี้กับเพื่อนที่ผับน่ะ"เบคตอบหญิงสาว ก่อนที่เธอจะทำหน้าตกใจ

    "อ๊ะ แบบนี้ฉันก็ทำให้พวกคุณเดือดร้อนน่ะสิ"

    "ไม่เป็นไรหรอกน่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก"

    ในเวลาต่อมา

    ปี๊บ เบคแยกชิ้นส่วนของ Paint tool ออกตั้งแต่หัวจรดปลาย ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งทุกครั้งที่แตะตรงชิ้นส่วนไหน ก็จะมีกล่องข้อความโฮโลแกรมที่ใช้ระบุรายละเอียดของชิ้นส่วนนั้นขยายออกมาในทันที แน่นอนว่าฟินิกซ์เองก็ช่วยเขาอีกแรงด้วยเช่นกัน

    "เป็นไงบ้างคะ?"

    "ผมเจอปัญหาแล้วล่ะ คันสูบสีของคุณกำลังเสื่อมสภาพและมันก็เกือบจะสลายไปแล้วด้วย"เบคตอบ

    "แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก ผมกับเพื่อนสับเปลี่ยนระบบและใส่คันสูบสำรองอันใหม่ให้แล้ว"

    พร้อมกับยื่นปากกาคืนให้กับหญิงสาวทันทีที่ซ่อมเสร็จ

    "ตอนนี้มันน่าจะใช้งานได้เหมือนเดิมแล้ว"

    หญิงสาวนิ่งเงียบไปเล็กน้อย 

    "แล้วถ้าเกิดมันใช้ไม่ได้ล่ะ?"หญิงสาวถามด้วยความวิตกกังวล ขณะก้มหน้ามองมือที่จับกันแน่น

    "ฉันว่าเราควรจะลองไปเช็คดูที่เวิร์คช้อปของฉันนะคะ"

    เบคกับฟินิกซ์ถึงกับหันไปมองหน้ากัน

    "โธ่ ไม่เอาน่า ผมมั่นใจว่ามันจะทำงานได้แน่"เบคพูด "เชื่อผม แล้วอีกอย่าง คุณทำผมไปปาร์ตี้สายแล้ว.."

    ลินน์ก้มหน้าจ๋อย ได้แต่พูดเสียงอ่อยขอบคุณเบคไป

    "โอเคค่ะ..งั้นขอบคุณมากเลยนะคะ"เบคถึงกับเงียบกริบทันทีที่เห็นสีหน้าที่ดูเศร้าหมองของลินน์ ซึ่งทำให้ฟินิกซ์รู้ใดในทันทีว่าเพื่อนของเธอจะตอบว่าอะไร

    "ช่างเถอะ ไหนๆก็สายแล้ว ผมไปเช็คกับคุณด้วยก็แล้วกัน"

    หลังจากนั้น หญิงสาวแปลกหน้าก็รีบหยิบแท่งเบตอน ซึ่งเป็นแท่งที่เก็บไลค์ไบค์แบบพกพาโดยที่ไม่ต้องลำบากลากรถไปจอดแบบรถมอเตอร์ไซค์ปกติทั่วไป เพราะมันเอาถือไปไหนก็ได้แถมยังมีน้ำหนักเบามือ จับมันดึงออกเพื่อนำไลท์ไบค์ที่ตั้งโปรแกรมอยู่ในนั้นออกมา จากนั้นเธอก็ขี่มันนำทางเบคกับฟินิกซ์ที่ขี่ไลท์ไบค์ตามมาติดๆไปที่เวิร์คช้อปของเธอ โดยใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงที่หมายและทันทีที่ลงจากไลท์ไบค์ เบคกับฟินิกซ์ก็ได้พบกับสตูดิโอเวิร์คช้อปขนาดเล็ก ที่ดูเรียบง่าย ไม่ใหญ่โตโอ่อ่าจนเป็นจุดสังเกตให้กับคนรอบข้าง

    "นี่สตูดิโอของเธอหรอ?"ฟินิกซ์ถามหญิงสาว

    "ใช่แล้วค่ะ ถึงจะไม่ใหญ่ แต่มันก็สะดวกสบายสำหรับฉันมากเลยล่ะ"จากนั้นหญิงสาวก็เดินตรงไปที่ประตูทางเข้าเวิร์คช้อป ใส่รหัสตรงจอสมาร์ทล็อคที่ติดอยู่ข้างๆประตู ซึ่งทันทีที่แสกนลายนิ้วมือ แป้นใส่รหัสโฮโลแกรมก็ถูกฉายออกมา

    "อ่าาาา เกรงใจจัง ผมซ่อมเครื่องมือให้คุณแล้วคุณก็เชิญผมกับเพื่อนมาที่สตูดิโอของคุณอีก"เบคแตะท้ายทอยด้วยความเกรงใจ ขณะพูดกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า

    "ผมชื่อ เบค นะ ส่วนนี่เพื่อนผม ฟินิกซ์ "ก่อนจะแนะนำตัวให้เธอรู้ "แล้วคุณล่ะ?"

    "ลินน์ ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก"พูดจบ ประตูก็เลื่อนออก แล้วลินน์ก็พาเซนกับเบคเข้าไปในเวิร์คช้อปของเธอ ซึ่งในทันทีที่เข้าไป ทั้งสองก็ได้พบกับห้องสีขาวอันกว้างใหญ่และมีภาพวาดสวยๆมากมายโชว์เรียงรายอยู่ตามผนังห้อง ทำให้รู้สึกราวกับว่าหลุดเข้าไปในอาร์ตแกลลอรี่เลยก็ว่าได้

    "นี่เป็นงานที่ฉันทำเองค่ะ"

    "ว้าว ดูดีมาก" ฟินิกซ์ชม ขณะที่ลินน์พาเธอและเบค มายืนอยู่ตรงหน้าผ้าใบสีเทาผืนใหญ่ชนิดพิเศษที่มีพื้นผิวราวกับแผ่นเหล็กซึ่งถูกขึงไว้กับกระดานโลหะขนาดใหญ่และถังสีมากมายที่วางอยู่เต็มทั่วพื้นห้อง

    "โอเค ฉันไม่อยากรั้งพวกคุณไว้นาน ขอเช็คมันเลยนะคะ"ลินน์บอกก่อนจะนั่งลงตรงหน้ากระดาน หยิบปากกา Paint tool ขึ้นมาจุ่มปลายปากของมันลงไปในถังสีที่วางอยู่ใกล้ๆ

    "มีแต่งานสวยๆทั้งนั้นเลย"เบคพูด "เธอทำมันได้ยังไงกัน?"

    "ถ้าอยากรู้ เดี๋ยวฉันจะแสดงให้พวกคุณดูเอง…"

    จ๋อม และในทันทีที่ปลายปากของมันสัมผัสกับพื้นผิวของสี

    ตะขอคีบเล็กๆทั้งสี่ที่หุบอยู่ก็กางออก ก่อนที่คันสูบที่อยู่ในนั้นจะดูดสีที่ลินน์จุ่มลงไปเข้าไปในแท่งจนเต็มลิมิตจากนั้นหญิงสาวก็สะบัดสีที่เลอะติดมากับปลายดูดสีสักครู่ แล้วจรดปลายของมันลงบนผืนผ้าใบ

    กริ๊ก ซึ่งในทันทีที่กดปุ่มข้างๆด้ามจับ Paint tool สีทั้งหมดก็ถูกพ่นออกมาจากปลายของมัน และละเลงบนผืนผ้าใบเหล็ก แน่นอนว่าลินน์ใช้ Paint tool ไล่น้ำหนักสีทั้งหมดจากอ่อนไปเข้มต่อ ด้วยเทคนิคการวาดภาพที่เธอเรียนมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่ปล่อยให้มีพื้นที่ว่างหลงเหลืออยู่ในภาพวาดแต่อย่างไร

    "ดูสิคะ ใช้ได้จริงๆด้วย แถมยังใช้งานได้ดีกว่าเดิมอีก"ลินน์บอกกับเบคและฟินิกซ์ด้วยรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ตอนนี้เธอกำลังสนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำเป็นอย่างยิ่ง

    "มหัศจรรย์จริงๆ"เบคติชมลินน์ด้วยความทึ่ง เพราะเขาไม่นึกเลยว่าศิลปะจะงดงามได้เพียงนี้ ลินน์แต่งแต้มสีสันแสนสดใสลงบนผืนผ้าใบธรรมดาๆให้กลายเป็นภาพวาดแสนสวยในชั่วพริบตา ราวกับเทพธิดาที่กำลังเติมเต็มความงามให้กับหมู่มวลบุปฝาเลยก็มิปาน

    นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าการวาดภาพจะเป็นแบบนี้นี่เอง มัวแต่ทำงานซ่อมจนไม่รู้เลยว่ามีคนที่ทำงานแบบนี้อยู่

    "หือ?"

    แต่ในระหว่างที่เบคกำลังชื่นชมกับการวาดภาพของลินน์อยู่นั้น สายตาของฟินิกซ์ ก็ได้ไปสะดุดตาเข้ากับห้องเก็บของที่อยู่ติดกับห้องทำงานของลินน์ ประตูของมันเปิดแง้มออกเล็กน้อย แต่ก็พอทำให้ฟินิกซ์ได้เห็นภาพวาดบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในนั้น..

    ด้วยความสงสัย เธอจึงเดินเข้าไป..

    "!?"

    และอึ้งไปกับสิ่งที่ได้พบ

    "เฮ้ ฟินิกซ์.."แน่นอนว่าเบคที่ตามเพื่อนของเขามา เขาเองก็มีท่าทางที่ตกใจไม่แพ้กัน..

    เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นก็คือภาพวาดของบุคคลผู้หนึ่งผู้เปรียบเสมือนดั่งแสงสว่างแห่งความหวังของเหล่าประชาชนในเขต Y แห่งนี้..

    ภาพของบุรุษในชุดเกราะไลท์ไซเบอร์สูทสีขาวโพลน ซึ่งมีสัญลักษณ์ตัว T ประดับอยู่ตรงกลางหน้าอก ปกปิดใบหน้าด้วยหมวกเกราะมอเตอร์ไซค์สีขาว โดยที่มือข้างขวานั้นถือแผ่นดิสก์เรืองแสงอยู่ท่ามกลางภาพของฝูงชนที่กำลังเรียกร้องความยุติธรรมบนพื้นหลังสีฟ้าเย็นๆดูสบายตา แต่กลับแฝงไปด้วยความทรงพลังที่คาดไม่ถึง

    เปรี๊ยะ

    "เอิ่ม..เพื่อน"แต่ยังไม่ทันได้เอ่ย ฟินิกซ์ก็ถูกเบคเรียกเสียก่อน และพอหันไป เธอก็พบว่าเพื่อนของเธอกำลังถูกดิสก์จ่อเข้าที่ท้ายทอยในระยะเผาขน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของ..

    "ลินน์?"

    "ฉันว่าพวกคุณรู้มากเกินไปแล้วล่ะ"

     

    ทางด้านคาริน่า หลังออกจากสนามบิน เธอก็เดินทางไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เคยอยู่ ทว่าทันทีที่ไปถึง กลับพบเพียงแค่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งร้างให้ว่างเปล่า เมื่อไปสอบถามจากชาวบ้านแถวๆนั้นก็ได้ความว่าเมื่อ 1 ปีก่อนที่นี่เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก บวกกับสภาพการเงินที่ไม่คงที่จึงทำให้ต้องปิดตัวลงในที่สุด

    คาริน่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่กระนั้นเธอก็เลือกที่จะปลงกับมัน หากแต่ทุกครั้งเวลาที่เดินไปที่ไหน เด็กสาวกลับรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเสมอ กระนั้นเธอก็ไม่ได้เอะใจอะไรเท่าไหร่นัก

    ตกเย็น คาริน่าก็ได้ขึ้นรถเมล์ไปยังไชน่าทาวน์หลังจากแวะทานบะหมี่ถ้วยที่เซเว่นเสร็จ เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถแล้วเด็กสาวก็หยิบมือถือมาเชื่อมต่อกับหูฟัง มาเปิดฟังเพลง 'Tonight' ของ 'ซอลฮี' นักร้อง K-Pop ที่เธอโปรดปราน รองลงมาจากวงของพี่ๆเธอ

    เอี๊ยด และทันทีที่เพลงจบ รถเมล์ก็มาจอดตรงหน้าป้ายรถเมล์ซึ่งติดอยู่กับ ซุ้มประตูจีนทางเข้าย่านไชน่าทาวน์พอดี คาริน่าเดินลงจากรถแล้วไปหยุดอยู่หน้าซุ้มประตู

    "พี่สาวฮะ"แต่ขณะที่กำลังยืนรอเคนันอยู่นั้น  จู่ๆก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาสะกิดคาริน่า

    "มีอะไรหรอจ๊ะ หนุ่มน้อย?"

    "มีคนฝากมาให้พี่ฮะ"

    เด็กชายบอกพร้อมกับยื่นถุงขนมให้กับคาริน่าทันที

    "เอ๋ พี่รับไว้ไม่.."คาริน่าเตรียมจะปฏิเสธ แต่พอเงยหน้าขึ้นมา เด็กชายก็ได้หายตัวไปเรียบร้อย

    "...."คาริน่ามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว เธอจ้องมองถุงขนมในมือด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะเปิดปากถุงออก ทำให้ได้พบกับสมอลทอล์คที่ถูกซ่อนอยู่ในนั้น พร้อมม้วนกระดาษเล็กๆแผ่นหนึ่งที่พอคลี่ออกก็พบกับข้อความที่เขียนเอาไว้

    "สวมมันซะ จาก เคนัน..."แม้จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่คาริน่าก็ทำตามที่คำสั่งที่เขียนมากระดาษนั้น

    "ฮัลโหล่ นั่นคาริน่ารึเปล่า?"

    และพอสักพัก คาริน่าก็ได้ยินเสียงทุ้มของเคนันดังเข้ามาในหูของเธอผ่านสมอลทอล์คที่เธอสวม

    "ค่ะ หนูเอง.."

    "มีคนกำลังแอบตามเธอมา"

    ฉับพลัน คาริน่าก็หน้าซีดทันที

    "ทำตามที่ฉันบอก ฉันอยู่ในตรอกมืดใกล้ๆกับร้านอาหารจีนโกลเด้นดราก้อน รีบมาเดี๋ยวนี้เลย"

    ซ่าาาา แต่ก่อนที่จะได้ถามรายละเอียดไปมากกว่านี้ เคนันก็รีบตัดสายทิ้งทันที

    "โกลเด้นดราก้อนเหรอ?"

    "ขอโทษนะครับ คุณหนู"ขณะที่คาริน่ากำลังสงสัยอยู่นั้น จู่ๆเธอก็ต้องประหลาดใจ เมื่อได้ยินเสียงทักที่มาจากด้านหลัง พอหันไปก็พบกับชายแปลกหน้าในชุดสูทสีดำซึ่งมีรอยยิ้มและท่าทางที่แฝงไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ แม้ว่าใบหน้าของเขานั้นดูเรียบเฉย แต่แววตาอันเยือกเย็นของเขาก็ทำให้คาริน่า สัมผัสถึงอันตรายที่อยู่ตรงหน้าได้

    "ม-มีอะไรเหรอคะ?"

    "เออ คือ พอดีผมหลงทางน่ะ คุณช่วยบอกทางผมหน่อยได้ไหม?"

    "ขอโทษนะคะ พอดีหนูไม่สะดวก คุณลองไปถามคนอื่นเถอะค่ะ"คาริน่ากล่าว ก่อนจะเดินหนีจากชายแปลกหน้าไป

    "ฮิๆคิดว่าจะหนีฉันพ้นงั้นเหรอ?"ชายแปลกหน้าหัวเราะและยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ พลางหยิบสมาร์ทโฟนติดต่อไปหาใครบางคนรายงานความคืบหน้า

    "เป็นไงบ้าง ทุกอย่างราบรื่นดีไหม?"

    "เรียบร้อย รอดูผลงานได้เลย"

    ตัดกลับมาทางด้านฟินิกซ์

    "เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?"

    "ขอโทษด้วยนะคะ แต่คุณทำให้ฉันไม่มีทางเลือก"ลินน์พูดพร้อมกับเตะขาของเบค บังคับให้เขาคุกเข่าลงบนพื้น โดยไม่ลืมเอาดิสก์จ่อหัวเขาด้วย

    กริ๊ก ทว่าในตอนนั้นเอง ฟินิกซ์ก็ได้ชักปืนพกที่ซ่อนอยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตออกมาและจ่อไปที่กลางหน้าผากของลินน์

    "เธอบังคับฉันเองนะ"

    "ถ้าฉันตายเพื่อนของคุณก็ต้องตายด้วยนะคะ"ลินน์ขู่ฟินิกซ์ที่ยืนจ้องเธอด้วยสายตาจริงจังและเคร่งขรึม ทำบรรยากาศในห้องเริ่มอึดอัด เสียจนเบคต้องออกโรงเจรจา เกลี้ยกล่อมทั้งสองฝ่ายให้สงบลง

    "ลินน์ ผมเข้าใจว่าคุณโกรธ แต่นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปในห้องเก็บของของคุณ.."

    "ถึงจะไม่ใช่ แต่ฉันก็ปล่อยพวกคุณไม่ได้อยู่ดี"

    ลินน์กล่าวพลางเตรียมที่จะลงมือปลิดชีพเบค ทว่า..

    "ไม่ ผมเข้าใจคุณ ลินน์ เพราะผมเองก็อยู่ข้างเดียวกับเขา"

    ฉับพลัน ลินน์ก็ชะงักทันทีที่เบคพูด

    "ค-คุณพูดเรื่องจริงหรอ?"ลินน์ถาม

    "ใช่"เบคพูด"เรามาคุยกันดีๆเถอะ..ลินน์"

    "คุณจะมาเข้าใจฉันได้ไง!คุณไม่รู้หรอกว่าฉันต้องเจอกับอะไร!คุณไม่รู้หรอกว่าฉันต้องสูญเสียใครไปบ้าง!"ลินน์ตะคอกใส่เบคที่ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงอาการอะไรออกมา ก่อนที่ซักพักเธอจะระบายความเจ็บปวดของเธอให้เบคกับฟินิกซ์ฟัง

    "พวกคุณยังจำเหตุการณ์กวาดล้าง'ไอโซ่' เมื่อ 3 ปีก่อนที่เดอะกริดได้ใช่มั้ย?"ทันทีที่ถูกถาม ฟินิกซ์ก็เริ่มใช้สมองเค้นความจำออกมาทันที

    "ไอโซ่…ไอโซมอร์ฟิกอัลกอริทึ่ม มนุษย์ที่สามารถควบคุมโลกดิจิตอลทั้งใบไว้ในกำมือของตัวเองได้น่ะหรอ?"

    "ถูกแล้ว ฉันเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น"ลินน์กล่าว พร้อมกับเอาดิสก์ที่จ่อคอเบคลง และนั่นจึงทำให้ฟินิกซ์ลดปืนลงด้วยเช่นกัน

    "ในช่วงยุคสมัยที่เขต Y ถูกปกครองโดย 'เควิน ฟลินน์' ยุคนั้นนับว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองอย่างมาก เขาคือผู้ปกป้องเหล่าไอโซ่จากการปองร้ายของรัฐบาล ทว่า 'คลู' ผู้ช่วยโคลนนิ่งของเขา กลับมองว่าพวกไอโซ่คือความไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นภายหลังเขาจึงก่อการปฏิวัติ ยึดอำนาจของฟลินน์ และเข้าร่วมกับรัฐบาลกวาดล้างบางพวกไอโซ่จนสิ้นซาก"

    "...."

    "ซึ่ง เฟวิท เพื่อนของฉันก็คือหนึ่งในนั้น เขาต้องตายไปโดยที่ฉันช่วยอะไรไม่ได้เลย"

    "ผมเองก็เคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง"เบคเล่า"เขาถูกพวกทหารของนายพลเทสเลอร์ที่ทำงานให้กับคลูนั่นฆ่าตาย…"

    เบคกล่าวด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

    "แต่ในขณะที่ผมกำลังสิ้นหวังอยู่นั้น ทรอนก็ได้ปรากฎตัวขึ้น ทำให้ผมได้พบกับความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงความอยุติธรรมและฟื้นฟูที่นี่..."

    "อ่า เรื่องนั้นฉันเข้าใจ.."ลินน์กล่าวพลางหันไปมองภาพของชายที่เธอวาดในห้องเก็บของ

    "เพราะพวกมันเองก็ทำกับเพื่อนฉันแบบเดียวกัน"

    "ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ต่างกันเท่าไหร่นะ"เบคพูดกับหญิงสาวอีกคนที่เดินเข้ามาปลอบใจเขาจากบาดแผลแห่งการสูญเสียที่เขาได้รับเฉกเช่นเดียวกับเธอ

    "ฉันอยากจะพบ Renagade"

    ลินน์พูด

    "ฉันอยากช่วยเขา อยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขาจนกระทั่งหมดลมหายใจ"

    บังเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ

    "เช่นนั้น ผมสามารถเชื่อใจคุณได้ใช่มั้ย?"ก่อนที่เบคจะเอื้อมมือไปแตะไหล่ลินน์และถามเธอที่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปราถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงเมืองนี้

    "ค่ะ"

    พอได้ยินดังนั้น เบคก็ยิ้มให้กับอีกฝ่ายทันที

    "ดี เพราะผมพอจะหาวิธีได้แล้ว"

    ก่อนจะบอกสถานที่นัดหมายให้กับเธอ โดยมีฟินิกซ์ที่มองอยู่โดยไม่พูดอะไร

    "ตอน 4 ทุ่มครึ่ง มาที่ตึกร้างตรงตอนเหนือสุดของเขต Y นอกตัวเมือง เดอะ กริด ทรอนจะไปรอคุณที่นั่น"

    "…."

    "ฉันเชื่อใจคุณได้ใช่ไหมคะ?"

    "ได้อยู่แล้ว เขาจะไปอยู่ที่นั่น ผมสัญญา"

    "แฮ่กๆ"ขณะเดียวกัน ทางด้านคาริน่าที่วิ่งฝ่าฝูงชนมากมายเข้าไปในตรอกแคบๆมืดๆซึ่งอยู่ติดกับร้านอาหารจีนที่เธอที่เคนันนัดให้เธอมาเจอ

    "อื้อ!"ทว่าพอวิ่งมาได้สักพัก จู่ๆก็มีมือปริศนามาปิดปากคาริน่า และคว้าเธอเข้าไปในตรอกแคบๆ

    "อยู่นิ่งๆ"

    ป้าบ!

    "จ๊ากกกก!!"แต่ดูเหมือนว่าคาริน่าจะตกใจเกินกว่าจะฟัง เธอรีบกระทืบเท้าของชายหนุ่มปริศนาที่คว้าเธอเข้ามาตรอกเต็มแรง จนเขาร้องลั่นและเผลอปล่อยเธอ แน่นอนว่าเธอเตรียมจะหนี..

    "คาริน่า นี่ฉันเอง.."แต่ยังไม่ทันได้ออกตัว เสียงของเคนันก็ได้ดังขึ้น

    "ค-คุณเคนัน"

    "ขอโทษนะที่ทำให้ลำบาก"

    "ม-ไม่เป็นไรค่ะ.."คาริน่ารีบโบกมือส่ายหน้ากล่าวพลางยกมือปาดเหงื่อ

    "แล้ว…เป็นไงบ้าง?"ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เคนันฟัง

    "จากนั้นก็ถูกไอ้โรคจิตนี่ลากเข้ามาเจอกับคุณ.."

    "ว่าใครโรคจิต ห๊ะ!ยัยหน้าจืด!"

    พอคาริน่าอธิบายจบเท่านั้นแหละ เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มไว้ผมทรงบ๊อบซอยสั้น เจ้าของดวงตาสีลาพิสลาซูลีก็ตวาดใส่คาริน่าทันที จนทำให้คาริน่าสะดุ้งตกใจ และชะงักไปเล็กน้อยหลังจากเห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกับใครบางคนที่เธอรู้จักของคนตรงหน้าอย่างชัดๆ..

    "เอสร่า"

    "โธ่ อาจารย์!!!"

    "เดี๋ยวก่อนนะ พวกคุณสองคนรู้จักกันหรอ?"

    "ใช่!"เด็กหนุ่มโวยใส่คาริน่า"รู้จักก่อนเธออีก!"

    "คาริน่า นี่ เอสร่า บริดเจอร์ ลูกศิษย์ฉันเอง"

    หลังจากนั้น เคนันก็พาคาริน่ามาที่เขตคอนโดร้างซึ่งถูกล้อมรอบด้วยกำแพงรั้วตาข่ายเหล็ก หลังย่านไชน่าทาวน์

    "ถอยไป"เคนันบอกก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้ารั้ว เขาหลับตาลง ยกมือทาบอากาศเพ่งจิตไปที่รั้วตาข่ายเหล็กอย่างแน่วแน่ เพียงเสี้ยววินาทีเดียว รั้วตาข่ายเหล็กก็ถูกฉีกออกจากอากาศที่มองไม่เห็นกลายเป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ที่พอจะให้ใครต่อใครลอดเข้าไปได้

    "พระเจ้า..."คาริน่าถึงกับอุทานด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นความมหัศจรรย์นี้ ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำถามนับล้านแปดมากมายที่ประเดประดังเข้ามา

    "แปลกชะมัดเลยนะที่อาจารย์ไปหาเธอ อยากรู้จริงๆว่าเธอมีอะไรพิเศษกันแน่"

    เอสร่าบ่นคาริน่า ก่อนที่จะกระซิบอวดความสามารถของอาจารย์เขาให้เธอรับรู้

    "เฮ้ เห็นขรึมๆแบบนี้ แต่จริงๆแล้วเขาน่ะเป็น..."

    แต่ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น อยู่ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้น ก่อนที่จะมีกระสุนปริศนาพุ่งเข้าใส่คาริน่าอย่างรวดเร็ว

    "อันตราย!"

    "ว้าย!!"คาริน่ากรีดร้อง แต่โชคดีที่เอสร่ากดหัวเธอหลบวิถีกระสุนได้ทันอย่างฉิวเฉียด

    ทว่าทุกอย่างกลับต้องหยุดชะงัก เมื่อกระสุนถูกฟันด้วยไลฟ์เซเบอร์สองเฟสจนแหลกเป็นผุยผง คาริน่าถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เงยหน้าขึ้น เพราะภาพที่เธอเห็นนั้นมันช่างน่าตกใจยิ่งนัก

    "พวกมันรู้ตัวแล้วล่ะ"เคนันกล่าวกับเด็กวัยรุ่นทั้งสอง ขณะที่ในมือยังกำไลฟ์เซเบอร์ไว้แน่น แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่คาริน่าก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

    บุรุษตรงหน้าที่เธอเพิ่งรู้จักได้ไม่นานนั้น แท้จริงแล้วก็คือ 'เจได' อัศวินแห่งแสงผู้ผดุงความยุติธรรมในตำนานนั่นเอง!

    "ล้อมพวกมันไว้!" ทันใดนั้น ทหารนับสิบซึ่งซ่อนอยู่รอบๆก็พุ่งเข้ามาล้อมพวกเคนัน ก่อนจะมีเฮลิคอปเตอร์ลึกลับสาดแสงไฟส่องลงมายังใจกลางวงของพวกเขา

    "นึกไม่ถึงล่ะสิว่าผมจะรู้ตำแหน่งที่พวกคุณอยู่"จากนั้นก็มีชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ใส่ปลอกแขนสีแดง สลักตัวอักษรตัว A เป็นภาษากรีก สวมหน้ากากกันแก๊สพิษปิดบังใบหน้ากระโดดลงมาจากบันไดลิงที่หย่อนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ และเดินตรงมาที่เคนันกับพรรคพวก

    "เฮ้อ แกอีกแล้วเหรอ Massacreer เมื่อกี้คงเป็นฝีมือของ True Sniper ล่ะสิ"เคนันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

    "หมอนี่มันรู้ได้ไงกัน?"เอสร่าขมวดคิ้ว

    "อันที่จริงก่อนหน้านั้น ผมส่ง Hive Mind แอบติดเครื่องติดตามไว้ที่เด็กคนนั้นน่ะ.."

    "กระเป๋าลากสินะ"เอสร่าพูดอย่างรู้ทัน ก่อนจะดึงเครื่องติดตามสีดำขนาดเล็กที่ติดซ่อนอยู่บริเวณแท็กตรงหูกระเป๋าของเธอออกมาทำลายในทันที

    "เพื่อเป้าหมายแล้วผมทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ"พูดจบ Massacreer ก็ดึงปืนกลเก้ากระบอกที่ถูกซ่อนอยู่ในช่องว่างระหว่างมิติออกมา บางกระบอกลอยขึ้นไปอยู่บนศีรษะ บางกระบอกลอยขนาบข้างๆเขา แต่ทุกปลายปากกระบอกนั้นล้วนจ่อมาที่เคนันกับพรรคพวก

    "อย่ามัวเสียเวลาเลย ยอมมอบตัวซะดีๆ"

    "ไม่มีทางซะหรอก!"พูดจบ เอสร่าก็หยิบหนังสติ๊กพลังงานออกมาทันที โดยที่มีเคนันถือไลฟ์เซเบอร์เตรียมจะบุกโจมตีข้าศึกทุกเวลา แต่แล้วอยู่ๆแผ่นดินก็สั่นสะเทือนและแตกออก พร้อมกับเถาวัลย์ยักษ์หลายร้อยเครือที่งอกออกมาจากพื้นดิน

    "นี่มันอะไรเนี่ย?"

    "ถ้าคิดจะทำร้ายคุณเคนันล่ะก็ ข้ามศพฉันให้ได้ก่อนเถอะ!!"คาริน่าคำรามลั่น พร้อมกับบังคับเถาวัลย์ยักษ์ซัดใส่พวกทหารในทันที

    "เอานี่ไปกินซะ!!"แม้จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่นั่นก็เปิดโอกาสให้เจไดหนุ่มกับลูกศิษย์โจมตีพวกข้าศึกได้ง่ายขึ้น เอสร่ายิงหนังสติ๊กพลังงานใส่พวกทหารอย่างบ้าระห่ำ ขณะเดียวกันเคนันก็ปะทะกับบุรุษลึกลับผู้นั้นด้วยตาต่อตาและฟันต่อฟัน

    "ขอบใจมากนะ คาริน่า!"เคนันตะโกนขณะใช้ไลฟ์เซเบอร์ปัดกระสุนปืนออกและซัดกระสุนใส่นักฆ่าชุดสูทกลับ และรีบวิ่งมาสมทบกับพวกเอสร่า

    "ติดต่อเฮร่า มารับพวกเราที่ดาดฟ้าคอนโด B2 ด่วนเลย!"

    "รับทราบครับ!"เอสร่าทำตามที่เคนันบอก แต่ในขณะที่กำลังวิ่งหนีพวกทหารอยู่นั้น จู่ๆคาริน่าก็เผลอวิ่งสะดุดกับก้อนหิน ล้มหน้าคว่ำ ทำกระเป๋าลากหลุดมือไปซะได้

    "คาริน่า!"

    "เดี๋ยวก่อน กระเป๋า.."

    แต่ยังไม่ทันที่จะได้กลับไปเอากระเป๋าลาก

    บรึ้ม! ก็มีจรวดบาซูก้าก็พุ่งมาระเบิดกระเป๋าลากของคาริน่าจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี

    "ลาก.."คาริน่าอ้าปากค้างด้วยความช็อค หลังจากที่เห็นกระเป๋าลากสุดรักสุดห่วงของตนถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตา จิตใจของเธอแหลกสลายทันทีเมื่อเห็นสภาพของมัน

    "ม่ายยยยยยยย!!"

    "คาริน่า รีบหนีก่อนเร็ว!!"

    "หมดกัน..ของที่ระลึกทั้งหมดที่พวกพี่ๆจีฮโยให้ฉัน"

    "ปัดโธ่เอ้ย เดี๋ยวซื้อคืนให้ ห่วงชีวิตของตัวเองก่อนเถอะ!!"

    ตู้ม!

    "จ๊าก!"

    "พวกคุณหนีไม่รอดหรอก!"Massacreer ตะโกนขณะยกปืนบาซูกาพาดบ่าเล็งเป้ามาที่คาริน่ากับเอสร่า แต่เคนันพุ่งเข้ามาขวาง

    "ไป!"

    "ไม่นะ คุณเคนัน!"คาริน่าตะโกนเรียกเจไดหนุ่มหลังจากได้สติ"เราต้องไปด้วยกัน.."

    แต่ก็ถูกเอสร่าเข้ามาขวางและพาวิ่งฝ่าออกจากดงข้าศึกไปเพราะไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงให้กับอาจารย์ของเขา

    "ย้าก!!!" และทันทีที่ทั้งคู่ไปแล้ว พวกทหารก็พุ่งเข้าโจมตีเคนัน ในขณะที่ Massacreer แยกตัวออกมา

    "True Assasin รีบไปขวางพวกมันด่วน เป้าหมายกำลังไปที่ตึก B2"

    "รับทราบ!"

    "ส่วนพวกที่เหลือไปสมทบกับ TA เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง"

    ทางด้านเอสร่าที่กำลังพาคาริน่าขึ้นบันไดหนีไฟไปชั้นบนดาดฟ้า

    "นี่ ช้าๆหน่อย.."

    "ขืนช้าก็ตายสิ!"เอสร่าโวย

    "ฉันจะตายก่อนก็เพราะนายนั่นแหละ!"แต่ในขณะที่กำลังทะเลาะกันระหว่างทางนั้น

    ผัวะ!!อยู่ๆก็มีชายในชุดสูทสวมปลอกแขนสีน้ำเงินสลักตัวอักษรรูปตัว B เป็นภาษากรีก สวมหน้ากากกันแก๊สพิษ กระโดดเตะหน้าเอสร่า จนกลิ้งลงไปกองกับพื้นพร้อมกับคาริน่า

    "ตามหาซะทั่วเลย ไอ้เด็กนี่ "อีกฝ่ายพูดพลางชักปืนพก Colt M1911 ใส่ที่เก็บเสียงจ่อหน้า

    "ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่แกอยู่ผิดฝั่ง.."

    ป้าบ! แต่ยังไม่ทันได้เหนี่ยวไกปืน ชายตรงหน้าก็ถูกเอเลี่ยนชาวลาซัส ใช้อาวุธปืนไรเฟิลบลาสเตอร์ฟาดท้ายทอนเข้าที่ด้านหลังอย่างแรงจนสลบเหมือด

    "โห กว่าจะมาได้นะ เซ็ป "

    "พวกมันอยู่บนนั้น!"แต่แล้วในตอนนั้นเอง คาริน่าก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนที่ตะโกนขึ้นมาจากด้านล่าง เธอมองเอสร่าก่อนจะรีบพยุงเขาขึ้น

    "เฮ้ย มาช่วยกันหน่อยสิ"

    "รู้แล้วโว้ย ก็กำลังช่วยอยู่นี่ไง!"เซ็ปโวยใส่เอสร่า ก่อนจะลงมาพาเด็กหนุ่มกับคาริน่าขึ้นไปบนดาดฟ้า และทันทีที่เซ็ปถีบประตูออก สิ่งแรกที่คาริน่าเห็นก็คือยานเหาะสีขาวลำใหญ่ที่จอดอยู่บนดาดฟ้าตรงหน้าเธอ

    "เคนันล่ะ!"พลันหญิงสาวชาวแมนเดอเรียนซอยผมสั้นย้อมผมสีส้มกับน้ำเงินสวมชุดเกราะเพ้นท์สีสเปรย์สีสันฉูดฉาดที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าเครื่องใต้ท้องยานตะโกนถามเอสร่า

    "อยู่ข้างล่าง ซาบีน เราต้องรีบไปช่วยเขาเดี๋ยวนี้เลย!"

    "โอเค งั้นก็ขึ้นมาซะ!" พูดจบ ซาบีนก็ดึงมือเพื่อนของเธอขึ้นมาบนยานทันที

    ทางด้านเคนันที่เพิ่งผ่านสมรภูมิรบอย่างหนัก เขาเพิ่งถูกกระสุนยิงเข้าที่ขาและบริเวณหน้าท้องจนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังอุตส่าห์ฝืนลุกขึ้นเผชิญหน้ากับ Massacreer ที่กำลังจ่อปืนกลมาที่กลางหน้าผากเขา

    "ลาก่อนนะ เจได"

    แต่ยังไม่ทันได้ยิง ยานเหาะสีขาวขนาดใหญ่ก็ได้บินโฉบลงมา กระหน่ำยิงใส่ Massacreer ทันที จนเขาไม่มีโอกาสได้โจมตีเคนัน ต้องกระโดดหลบห่ากระสุนที่รัวใส่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    "มาทันเวลาพอดีเลยนะ!!"เคนันตะโกนบอกกับเอสร่า ขณะพาร่างที่อาบโชกไปด้วยเลือดขึ้นไปบนยาน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ Massacreer ลุกขึ้น ยกปืนบาซูก้าขึ้นมายิงปีกยานเหาะที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นฟ้า

    ปัง! แน่นอนว่าจรวดพุ่งโดนเข้าเป้าเต็มๆ

    "ฮึ่ย!" แต่กระนั้น เฮร่า ซินดูลลา นักบินสาวชาวทวิเล็ก เจ้าของยานโกสท์ ก็ยังสามารถควบคุมยานได้อยู่

    "จับไว้แน่นๆนะทุกคน!!"หล่อนตะโกนบอกลูกเรือในยานผ่านลำโพงห้องคนขับ ขณะที่เจ้าหุ่นยนต์แอดนแอสโตรแมคดรอยด์รุ่นซีวัน-ซีรีส์สีส้มประจำยานโกสท์ ซีวัน-วันซีโรพี'ช็อปเปอร์'เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องคนขับอย่างร้อนรน

    "Beep Boop Beep Boop"

    "เราจะทำการวาร์ปในอีก 3..2..1"

    "เดี๋ยว!!วาร์ปเหรอ?!"

    ฉับพลันก็บังเกิดหลุมดำขึ้นกลางอากาศ และก่อนที่คาริน่าจะได้ตั้งตัว

    เฟี้ยวววววว

    "กรี๊ด!!"ยานโกสท์ก็ได้หายไปจากตรงนั้นในทันที

    ตัดมาทางด้านของฟินิกซ์ หลังจากที่กลับมาถึงที่พัก เธอก็เปลี่ยนเสื้อ ขังตัวเองไว้ในห้องนอน นั่งจ้องมองหน้ากากปีศาจสีดำที่อยู่ในมือของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางย้อนนึกถึงอดีตของตนเอง..ในตอนที่ได้หน้ากากนี้มาครั้งแรก

    "โอ้ พระเจ้าช่วย ฉันนึกว่าเธอตายไปแล้วซะอีก"

    จากหญิงชราเจ้าของร้านขายหน้ากากที่เคยรู้จักกับแม่ของเธอ

    "ช่วงที่ฉันไม่อยู่ ดูเหมือนที่นี่จะเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ"

    เด็กสาวพูดขณะเดินมองหน้ากากที่ตั้งโชว์อยู่ในร้าน

    "ใช่ เขตที่เราอยู่มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เปลี่ยนไปจนแทบจะจำไม่ได้.."

    หญิงชราพูดพลางถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าที่ดูค่อนข้างจะเหนื่อยใจ

    "มีข่าวคราวของเขาบ้างไหม?"

    เธอส่ายหน้าแทนคำตอบที่มอบให้กับเด็กสาวที่เดินไปสะดุดตาเข้ากับหน้ากากปีศาจสีดำที่แขวนอยู่ตรงหน้า

    "ขอโทษด้วยนะที่ช่วยอะไรพวกเธอไม่ได้เลย เซน…"

    และได้หยิบมันขึ้นมา

    "ไม่เป็นไร คุณทำดีที่สุดแล้ว"

    จบการย้อนความจำ

    ฟินิกซ์มองหน้ากากปีศาจอย่างเงียบๆก่อนจะใช้มือของเธอประคองมันขึ้นมามองด้วยสายตาที่เรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความคิดถึงและความเศร้าจากการพลัดพรากจากกันอย่างไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ

    นายอยู่ที่ไหนกันแน่ เจ้าน้องชาย?

    'ฟินิกซ์' ที่มีชื่อที่แท้จริงว่า เซน วางหน้ากากลงบนเตียงก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนมาใส่ชุดเสื้อกล้ามนักกีฬาสีดำทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังแขนยาวแบบมีฮู้ด กางเกงยีนส์สีดำเข้ม และรองเท้าบูธสีดำผูกเชือกหุ้มข้อ โดยไม่ลืมหยิบหมวกแก๊ป ผ้าปิดปากสีดำเข้มกับหน้ากากปีศาจมาสวมปิดบังใบหน้า ตรวจเช็คความเรียบร้อยกับกระจก จากนั้นก็คว้ากระเป๋าเป้ลายทหารสีดำมาสะพายหลัง ปิดไฟห้อง เปิดหน้าต่างหลังบ้าน กระโดดข้ามตึกรามบ้านช่องไปราวกับนินจาที่ออกทำภารกิจในยามค่ำคืน

    ตุ้บ

    จะไม่หยุด จนกว่าเราจะได้พบกัน

     

     

    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

     

    ตอนหน้า เปิดตัวเหล่าศาลเตี้ยและหัวขโมย ส่วนตอนนี้สาวกสตาร์วอร์มีเฮ (สงสารคาริน่าจังวุ้ย) ตอนหน้าเน้นแอ็คชั่น มินโฮจะไม่โผล่ ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงนั้นโปรดติดตาม

    เนื่องจากตัวอักษรไม่พอ เลยต้องย้ายมาเอะไปอยู่ที่ตอนอื่นแทน

    หมายเหตุ ลินน์นั้นเป็นตัวละคร oc ในแฟนคอมิกส์ของ Tron uprising ที่เขียนโดยนักวาดคนหนึ่งที่ตอนนี้ไรต์สามารถหาเครดิตของเจอแล้ว ดังนั้นเลยจะมาแปะลิ้งค์ของศิลปินให้

    [Kasimova]

    ส่วนอันนี้เป็นฟิคเกี่ยวกับตัวละครที่ชื่อริที่เน้นไปทางนักเตะแข้งสายฟ้า [สึรุกิ ฮาริ]

    กับเรื่องราวของคาริน่าก่อนมาอัลฟ่าโทเปีย…ซึ่งด้วยเหตุที่มีเชื่อมกับออริจินัลด้วย จึงแบ่งออกเป็นสองรูท

    [คาริน่า]

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×