NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC ALL] ALPHATOPIA

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 4 : The Revolutionary Army

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 65


     

    บทที่ 4: คณะปฏิวัติ

     

     

     

    ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ในช่วงที่ยานโกสท์ถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ

    “กรี๊ดดดดดดด!!!”

    เฟี้ยวววว..แว้บ!

    “อ๊ากกกกกกก!!!!”

    โครม!!!

    ตุ้บ!!คาริน่าล้มหน้าคะมำทันทีที่ยานโกสท์พุ่งทะลุออกจากรูหนอนและชนโหม่งกับพื้นอย่างจังๆเพราะได้รับความเสียหายอย่างหนัก เฮร่าจึงบังคับยานให้ลงจอดแบบปกติไม่ได้

    "ไม่เป็นไรใช่มั้ย.."เฮร่าตะโกนถามพวกลูกเรือหลังจากที่เดินออกมาจากห้องคนขับกับช็อปเปอร์

    “เคนันได้รับบาดเจ็บ!”ซาบีนตะโกนตอบและเพียงเท่านั้น เฮร่าก็หน้าซีดขึ้นมาทันใด

    “Beep Boop”

    “ช็อปเปอร์ ติดต่อคุณหมอโฮเลอร์มายด์ด่วนเลย”พอสั่งปุ๊บ เจ้าหุ่นกระป๋องก็รีบทำตามคำสั่งนักบินสาวปั๊บ จากนั้นเธอก็สั่งให้เซ็ปไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่อยู่ในห้องนั่งเล่นของยานมาช่วยปฐมพยาบาลเคนันโดยมีคาริน่าอาสาช่วยด้วย

    “ขอโทษนะคะ มันเป็นความผิดหนูเอง ถ้าหากว่าเขาไม่มาช่วยหนู เขาอาจจะ..”

    “อย่าโทษตัวเองเลย พวกเราทำด้วยความเต็มใจ”

    เฮร่ากล่าวกับคาริน่า

    “อา..ลืมบอกไปเลย ฉันชื่อ เฮร่า ซินดูลลานะ ยินดีที่ได้พบ”

    แอ๊ดดดด ฉับพลัน ประตูใต้ท้องยานโกสต์ก็เปิดออก เผยเห็นเจ้าหน้าที่ EMT สักประมาณ 4-5 คน ที่ยืนรออยู่ด้านล่างพร้อมกับคุณหมอสาวเกล้ามวยผมสีชมพู ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงทรงสอบสั้นคลุมทับด้วยเสื้อกาวน์ ใส่ถุงน่องสีขาว สวมรองเท้าส้นสูงสีดำ และสวมแว่นตา

    “ในที่สุดคุณก็มา”เฮร่ากล่าว

    “ดิฉันได้รับการติดต่อมาว่ามีคนในยานของคุณได้รับบาดเจ็บ..เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยรีบตรงมาที่นี่ทันทีเพื่อช่วยเขา”คุณหมอสาวกล่าวกับเฮร่า พร้อมกับสั่งให้เจ้าหน้าที่ EMT ที่มากับเธอช่วงประคองร่างของเคนัน เมื่อวางลงบนเตียงล้อเลื่อนที่พวกเขาเอามา

    “เพราะฉะนั้น ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของดิฉันเองค่ะ”จากนั้น แอนนา โฮเลอร์มายด์ คุณหมอสาวผู้ซึ่งเป็นลูกสาวคนรองของเจ้าพ่อมาเฟียเชื้อชาติรัสเซีย ผู้นำแก๊งโฮเลอร์มายด์ ซึ่งทำธุรกิจถูกกฎหมาย ก็รีบเข็นเตียงพาเคนันไปรักษาทันที โดยมีพวกลูกเรือในยานโกสต์และคาริน่าตามไปด้วย

    ฟิ้ววว 

    และในระหว่างที่กำลังเดินตามพวกของเฮร่าไปนั้น สายตาของคาริน่า ก็สะดุดเข้ากับวิวทิวทัศน์รอบๆกายที่แตกต่างจากที่เธอเคยเห็น

    “โห..”เด็กสาวอุทานออกมาเบาๆเมื่อเห็น โถงลานจอดยานมหึมา ซึ่งเต็มไปด้วยยานเหาะยักษ์ ควินเจ็ท โฮเวอร์ไบค์ รถถังหุ้มเกราะ ยานบินและพาหนะสุดไฮเทคอื่นๆอีกมากมาย

    นอกจากนี้เธอยังเห็นห้องแลบวิจัยต่างๆที่อยู่ในชั้นอื่นๆของโถงลานจอดขนาดยักษ์นี้ด้วย แต่และฟากถูกเชื่อมด้วยสะพานโฮโลแกรมโปร่งแสงกับลิฟต์ที่พาขึ้นไปยังชั้นบน ดูราวกับบรรยากาศในองค์กรลับที่พบเจอได้บ่อยในหนังฮีโร่เลยก็ว่าได้

    “น-นี่มัน”

    “คุณคาริน่า มัวทำอะไรอยู่ รีบมาได้แล้ว”

    “โอ๊ะ ขอโทษทีนะเธอ..”

    “ซาบีน”หญิงสาวชาวแมนเดอเรียนแนะนำตัว

    “ขอต้อนรับสู่ฐานบัญชาการของคณะปฏิวัติ ZERO-X นะ”

    หลังจากนั้น ที่ในห้องพักผู้ป่วยรวมในแผนกหน่วยพยาบาลขององค์กร

    “เป็นไงบ้างครับ คุณหมอ?”เอสร่าถามหลังจากคุณหมอโฮเลอร์มายด์รักษาเคนันเสร็จ

    “ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ คงต้องนอนพักฟื้นนานหน่อยนะคะ”

    “นานที่ว่านี่นานขนาดไหนหรอครับ?”

    “ประมาณ 3 สัปดาห์ค่ะ”ทันทีที่คุณหมอสาวรายงาน เซ็ปกับเอสร่าก็เบิกตากว้างทันที

    “3 สัปดาห์!?”เอสร่าโวย

    “แต่ว่า ยานเองก็ได้รับความเสียหาย ต่อให้หมอนี่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็คงจะออกไปไม่ได้เหมือนกันแหละ”เฮร่าพูดอย่างเหตุผล

    “นี่มันวันซวยชัดๆ เพราะไอ้บ้านั่นแท้ๆเลยโว้ย เคนันถึงได้เป็นแบบนี้!!”เซ็ปโวยด้วยความฉุนเฉียว

    “คราวหน้าถ้าเจอกันอีกเมื่อไหร่ พ่อจะอัดมันให้เละเลย!”

    “ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

    “อือ ขอบคุณนะ คุณโฮเลอร์มายด์”เฮร่ากล่าว

    “ด้วยความยินดีค่ะ”พอคุณหมอสาวเดินจากไปได้สักพัก เฮร่าก็หันมาคุยกับพวกลูกทีม

    “ฉันกับช็อปเปอร์จะเฝ้าเขาให้เอง พวกเธอเหนื่อยมามากพอแล้วไปพักเถอะ”

    “แต่ว่า ผมเป็นห่วงอาจารย์”เอสร่าถามด้วยความกังวล ก่อนที่เฮร่าจะพูดกับเขาว่า

    “เราต้องเชื่อมั่นในตัวเขา..”เอสร่านิ่งเงียบไปชั่วขณะ พลางเงยหน้ามองเฮร่า

    “งั้นฝากด้วยนะครับ ถ้าเขาฟื้นขึ้นมาเรียกพวกผมด้วยแล้วกัน”

    “ตกลง”แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่คาริน่าก็สัมผัสถึงความรู้สึกกังวลของทุกคนได้ เธอรู้ว่าพวกเขารู้สึกกังวลและเป็นห่วงเคนันเช่นเดียวกับเธอ แต่ความห่วงใยของพวกเขานั้นมีมากกว่าเธอที่เป็นเพียงคนนอกซึ่งเพิ่งรู้จักกับเคนันได้ไม่นาน ความผูกพันที่พวกเขามีให้กันนั้นก็เหมือนกับความผูกพันระหว่างคาริน่ากับพวกพี่สาวแสนดีของเธอ ดังนั้นเธอถึงเข้าใจเรื่องนี้ดี

    ครืดดดด

    และเมื่อพวกของเอสร่าเดินออกมาจากแผนกหน่วยพยาบาล คาริน่าก็เดินตามพวกเขามาทันที

    “เอสร่า ทุกคน..”

    “หือ มีอะไรหรอ?”

    คาริน่านิ่งเงียบสักพัก ก่อนจะพูดกับพวกเขา

    “ในฐานะของคนนอก ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็อยากจะบอกทุกคนว่า..”

    “....”

    “อย่ากังวลไปนะ คุณเคนันน่ะต้องหายดีแน่!”

    เงียบกริบกันทั้งบาง..

    “แล้วจะมาบอกพวกเราทำไมอ่ะ?”

    “เอ๋ ก-ก็ ฉันเห็นพวกเธอดูกังวล ก็เลยอยากให้กำลังใจน่ะ..”คาริน่าบอกกับพวกเขาด้วยความจริงใจและเพียงเท่านั้นพวกเขาก็หัวเราะกันทันที

    “ฮะๆ”

    ก่อนที่ซาบีนจะเอื้อมมือมาแตะไหล่เธอ

    “ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะ”

    คาริน่าพยักหน้ารับด้วยความเคอะเขินเมื่อได้รับคำขอบคุณจากเพื่อนใหม่ เพราะสำหรับคาริน่าแล้วการได้ช่วยคลายความกังวลของคนอื่นถือเป็นเรื่องที่เธอควรทำอยู่แล้ว

    “อ๊ะ”แต่แล้วในตอนนั้นเอง ซาบีนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

    “คะ?”

    “อ๋อ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้น่ะว่าวันนี้เป็นวันงานเทศกาลโคมไฟ กะว่าถ้ากลับมาจากภารกิจจะพาเคนันกับเฮร่าแล้วก็พวกนี้ไปเที่ยวซะหน่อย แต่น่าเสียดายที่เคนันได้รับบาดเจ็บ”

    “จริงด้วย ฉันก็ลืมไปซะสนิทเลย”เอสร่าบ่น

    “อ-เอ๋? เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมที่นี่มีงานเทศกาลโคมไฟด้วยล่ะ?”คาริน่าถามพวกเพื่อนใหม่ของเธอด้วยความสงสัย

    “เออ ลืมไปเลยว่าเธอเป็นคนนอก ที่นี่น่ะเรารับผู้ลี้ภัยเข้ามาอาศัยด้วย ดังนั้นพอมีคนอพยพกันเข้ามามากๆเข้า ก็เลยมีการจัดงานเทศกาลต่างๆจากทั่วโลกเพื่อให้พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันน่ะ”เอสร่าอธิบายให้คาริน่าฟัง

    “อ๋อ…”

    หยุดนะ!!”

    แต่แล้วก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น

    “ฮึกๆๆอย่ายุ่งกับฉัน!!”

    พร้อมกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของใครบางคน ฉับพลัน คาริน่า เอสร่า ซาบีนและเซ็ปก็ได้เห็นภาพที่เจ้าหน้าที่ EMTสองคน ที่กำลังวิ่งไล่ตามมนุษย์กระต่ายสาว เจ้าของเรือนผมสีขี้เถ้ายาวสลวยถึงเข่า มีผิวกายสีเผือก รูปร่างค่อนข้างเตี้ยและบอบบางที่สวมชุดเดรสวันพีชสีดำ ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากแห่งความโศกเศร้าซึ่งซ่อนดวงตาสีแดงและน้ำเงินอันแฝงไปด้วยแววตาอันขุ่นมัวซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา

    โครม

    ทว่าในตอนนั้นเอง..

    “เที่ยววิ่งเพ่นพ่านตอนที่ตัวเองกำลังฮีทอยู่แบบนี้มันอันตรายนะ..”เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มซึ่งแฝงไปด้วยความสุขุมและความสงบนิ่งก็ดังขึ้น จากนั้นเจ้าของเสียงผู้ซึ่งเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผู้มีเรือนผมสีขาวยาวประบ่าคู่กับผิวกายสีขาวนวลน่าสัมผัสในชุดสูทสีดำเรียบง่ายมีภูมิฐาน ก็อุ้มสาวน้อยกระต่ายที่พุ่งชนเขาในท่าเจ้าหญิง โดยที่นัยน์ตาสีฟ้าคริสตัลจับจ้องมองเรือนร่างอันบอบบางและใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นอย่างไม่กระพริบ

    คานะจัง”

    “กระต่ายก็สามารถเหงาตายได้นะ ถึงฉันจะตายไม่ได้ก็เถอะ~”

    ร่างบางกล่าวขณะทำท่าออดอ้อนอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและท่าทางน่ารักมุ้งมิ้งโดยไม่อายคนที่อยู่รอบๆแต่อย่างไร

    “เพราะฉะนั้นเล่นกับฉันหน่อยเถอะ ชิออน

    “....”

    “น้าาาาา ฉันขอร้องล่ะ~”

    “เฮ้อ เธอนี่มันหื่นจริงๆ”ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ

    “ก็ได้ แต่คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

    “ได้เลยค่ะ คุณพ่อ~”

    จากนั้นชายหนุ่มก็อุ้มกระต่ายสาวตัวน้อยไป โดยมีพวกเจ้าหน้าที่ EMT ที่ตามมาก่อนหน้านี้ตามไปด้วยและทันทีที่พวกเขาไปแล้ว ซาบีนก็พูดขึ้นมาว่า

    “คุณคานาริฮีทอีกแล้วหรอเนี่ย?ลำบากคุณบราวนิ่งแย่เลย”

    ทำให้คาริน่าถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

    “เห รู้จักกันด้วยหรอ?”

    ทุกคนในกลุ่มพยักหน้า

    “ผู้ชายคนนั้นคือ ชิออน ไอน์ บราวนิ่ง เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งคณะปฏิวัติ ZERO-X น่ะ”

    เอสร่าบอก

    “แต่นานๆที เขาถึงจะโผล่มา..”

    “แล้วคุณกระต่ายที่เขาอุ้มไปล่ะ?”

    “คานาริ ซัทสึกิ โอเมก้าที่อันตรายที่สุดในโลก”

    ซาบีนตอบคาริน่า

    “ช่วงฮีทของหล่อนคือช่วงที่อันตรายที่สุดสำหรับพวกอัลฟ่า ว่ากันว่าในช่วงนั้นฟีโรโมนของหล่อนจะมีผลรุนแรงมากกว่าโอเมก้าปกติทั่วไปเป็นสองเท่า ไม่เคยมีอัลฟ่าคนใดที่รอดพ้นจากเงื้อมมือหล่อนในช่วงเวลานั้นได้เลย”

    “ข-ขนาดนั้นเชียวเหรอ?!ถ้างั้นคุณชิออน..”

    “ไม่ต้องห่วง เขาเป็นเบต้าน่ะ”

    คาริน่าถึงกับถอนหายใจดังเฮือกทันทีด้วยความโล่งใจ

    “น่ากลัวจัง ดีนะที่ฉันเองก็เกิดมาเป็นเบต้า อย่างน้อยก็ไม่ต้องลำบากเรื่องเวลาฮีทแบบโอเมก้า ไม่ต้องเมากลิ่นโอเมก้าแบบอัลฟ่า ถึงจะเป็นเพียงคนธรรมดาๆ แต่ก็สบายใจกว่าเยอะ”

    “เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับเธอนะ แต่ว่าเราอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องนั้นเลยจะดีกว่า”

    เอสร่าพูด

    “เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าก็คืองานเทศกาลไงล่ะ!”

     

    ณ ทะเลสาบสีมรกตที่อยู่ใกล้กับฐานบัญชาการของคณะปฏิวัติ ZERO-X

    “พระจันทร์คืนนี้สวยดีนะคะ คุณโลกิ ”หญิงสาวหน้าตาสะสวย หุ่นบางงามดั่งนางแบบชุดชั้นใน จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบลิปสติกสีแดงกุหลาบอันเปี่ยมสเน่ห์ เจ้าของผิวกายสีขาวเนียนละเอียด รับเข้ากับดวงตาสีเงินและเรือนผมบลอนด์ยาวสลวยไว้หน้าม้าปิดหน้าผาก ที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากกระต่ายขาวที่มีรอยร้าวแตกเพียงหน้าครึ่งซ้าย เผยให้เห็นความที่เธอเก็บซ่อนไว้จากสายตาของเหล่าบุรุษทั้งหลาย ในชุดลำลองเสื้อแจ็คเก็ตผ้ายีนส์สีซีดคลุมทับบาร์เกาะอกสีดำปกปิดรอยสักปลาคาร์ฟญี่ปุ่นใต้หน้าอกซ้าย สวมคู่กับกางเกงขาสั้นเอวต่ำสีเดียวกับสีเสื้อแจ็คเก็ตและถุงมือสีดำเนื้อสัมผัสหยาบพิเศษเหมาะแก่การจับปืน ใส่รองเท้าบูทส้นสูงซึ่งสูงประมาณห้านิ้วยาวเลยหัวเข่าและปลอกคอหนังสีดำที่มีไว้สำหรับพวกโอเมก้าที่ต้องการจะป้องกันตัวเองจากเหล่าอัลฟ่าหื่นกามได้เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆเทพเจ้าแห่งการหลอกลวง พระโอรสบุญธรรมของเทพโอดินแห่งดินแดนแอสการ์ด พระเชษฐาบุญธรรมของ ‘ธอร์’ เทพเจ้าสายฟ้าแห่งทีมอเวนเจอร์ ที่กำลังยืนมองพระจันทร์อยู่เพียงลำพังด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย

    “เจ้าเองรึ จีจี้?”ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า หันมายิ้มกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าล่วงรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขา

    “ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่ได้เจอคุณกับซิลวี่ ครั้งแรกเลย”

    จอร์จิน่า โคลินสกี้ อดีตทนายความสาวมากฝีมือพูดย้อนถึงความหลังที่ชายหนุ่มตรงหน้าได้ช่วยเธอไว้จากพวกอัลฟ่าซึ่งถูกกลิ่นฟีโรโมนของเธอที่ฟุ้งกระจายออกมาเพราะอาการฮีทที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันดึงดูดในตอนนั้น

    “อืม”เขาตอบ “หากนางยังอยู่ก็คงดี”

    บังเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ หลังจากที่คู่หูของเธอเอ่ยถึงอดีตคนรักเก่าของตนซึ่งเคยช่วยชีวิตของจีจี้ไว้ ที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับด้วยแววตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหม่นหมองเจือความทุกข์ ราวกับรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

    “บางทีเธออาจกำลังมองคุณจากบนนั้นอยู่ก็ได้นะ..”

     

    ณ โถงห้องประชุมหลัก ในฐานบัญชาการของคณะปฏิวัติ ZERO-X

    “พี่มาเอดะหายตัวไปหลายวันแล้ว ขอบคุณนะคะ กัปตันโรเจอร์ ที่ช่วยตามหาเขา”

    อาคาริ มาเอะ คุณหนูลำดับที่ 16 แห่งตระกูลอาคาริ มิโกะสาวลูกครึ่งเกาหลีเหนือและญี่ปุ่น เจ้าของเรือนผมสีดำยาวสลวย สวมเสื้อกิโมโนแขนยาวสีขาวกางเกงฮากามะสีแดง กล่าวขอบคุณชายผมบลอนด์ในชุดเครื่องแบบทหารลายธงชาติสหรัฐอเมริกาสีหม่นหลังจากติดต่อคุยกับเขาผ่านทางหุ่นโมเดลโฮโลแกรมสามมิติสีฟ้าของเธอ ซึ่งฉายออกมาผ่านเครื่องฉายโฮโลแกรมบนโต๊ะ โดยมีสมาชิกระดับสูงและตัวแทนจากกลุ่มต่อต้านกลุ่มย่อยกลุ่มอื่นๆนั่งอยู่ด้วย

    ตระกูลอาคารินั้นจัดว่าเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดเทียบเท่ากับตระกูลเอสเทเปียร์เลยก็ว่าได้ ทรัพย์สินของตระกูลนี้มีทั้งหมดราวๆ 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่รวมบ้าน เรือยอร์ช และเงินในบริษัท Akari สาขาหลักและสาขาย่อยอีกหลายสิบแห่ง  เป็นทั้งเจ้าของธุรกิจฟาร์มอาคาริ หนึ่งในสามของฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและยังเป็นเจ้าของตึก Akari Tower 45 ชั้นที่สูงรองลงมาจากตึก Stark Tower ของ มหาเศรษฐีหนุ่มอย่าง‘โทนี่ สตาร์ค’ ในเมืองเอนโจลิโก้อีกด้วย

    แต่เดิมคนในตระกูลอาคาริส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทหาร นักธุรกิจ เกษตรกร และนักการเมือง ทว่าในปัจจุบัน พวกเขากลับถูกสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างเด็ดขาด นั่นเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อน พ่อของมาเอะเคยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งประเทศอัลฟ่าโทเปีย ซึ่งในสมัยที่เขาปกครองนั้น นับว่าเป็นยุคสมัยที่เปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมมากที่สุด เขาอนุญาตให้ชนชั้นล่างเข้าเมืองเอนโจลิโก้ได้โดยที่ไม่ต้องสวมหน้ากากปิดบังตัวตน ประชาชนทุกชนชั้นสามารถใช้สิทธิ์ทางการเมืองได้อย่างอย่างอิสระ เสรี สามารถออกความเห็นทางการเมืองได้ตามที่ต้องการ

    ใช่แล้ว มันคือยุคทองที่ผู้คนในอัลฟ่าโทเปียต่างใฝ่หา แต่ทว่าเมื่อมีคนรักก็ย่อมต้องมีคนเกลียด การกระทำของมิสเตอร์อาคารินั้นได้สร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าชนชั้นสูงและนักการเมืองที่เสียผลประโยชน์เป็นอย่างมาก ดังนั้นด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารขึ้น ในระหว่างที่ประธานาธิบดีอาคารินั่งขบวนรถประธานาธิบดีไปกับสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของเขา เหตุการณ์นั้นทำให้มาเอะต้องสูญเสียพ่อของเธอไป และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ปู่ทวดชาวเกาหลีเหนือ ผู้ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลอาคาริ ไม่อนุญาตให้ลูกหลานของเขาลงเล่นการเมืองอีก

    แต่กระนั้น มาเอะกับพี่ชายของเธอก็มิอาจเมินเฉยต่อความลำบากของประชาชนในอัลฟ่าโทเปียได้ ดังนั้นทั้งคู่จึงตัดสินใจร่วมมือกับคณะปฏิวัติ ZERO-X เพื่อร่วมต่อกรรัฐบาลและเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้ดีขึ้นอย่างลับๆ

    “เราเป็นคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกครับ คุณอาคาริ”

    ‘สตีฟ โรเจอร์’ อดีตหัวหน้าทีมอเวนเจอร์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ ‘กัปตันอเมริกา’ หนึ่งในแกนนำคนสำคัญของคณะปฏิวัติ ZERO-X ซึ่งกำลังหลบหนีจากการตามล่าของรัฐบาลเพราะสนธิสัญญาโซโคเวียอยู่กล่าวกับทายาทตระกูลอาคาริ

    “ผมได้ส่งกลุ่ม Hunter Dueller กับคุณหมอแบล็คแจ็คไปช่วยเขาแล้ว หากไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ผมจะไปช่วยเขาเอง…”

    “เรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงหรอกกัปตัน”เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่น เจ้าของเรือนผมสีดำหยิกหยักศกและส่วนสูง 175 ซม. สมญานาม ‘โจ๊กเกอร์’ หัวหน้ากลุ่มจอมโจร ‘Phantom Thieves Of Hearts’ ที่ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากโดมิโนสีขาว ทาขอบตาดำรอบๆดวงตา ใส่เสื้อกั๊กสีเทา ติดกระดุมแต่งเสื้อสีทองเล็กๆแปดเม็ดเรียงแถบลงมาข้างล่ะสี่ กับกางเกงขายาวสีดำและรองเท้าหนัง สวมทับด้วยเสื้อโค้ทสีดำที่มีปลายชายเสื้อด้านหลังแยกออกเป็นสองสามแฉก ดูเข้ากับถุงมือสีแดงเข้มที่แมทซ์เข้ากันอย่างลงตัว ซึ่งนั่งอยู่ทางด้านซ้ายใกล้ๆกับกัปตันโรเจอร์พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

    “พี่คิซึกิกับเพื่อนๆของเขา ไม่มีทางทำพลาดหรอก”

    ขณะเดียวกันที่ด้านนอกโถงห้องประชุม…

    แกร๊กๆ ชายหนุ่มชาวอเมริกันหัวล้าน ในชุดสูทสีน้ำตาล ใส่หมวกกับหน้ากากไอ้โม่งเก็บซ่อนนัยน์ตาสีฟ้า และหน้าตาที่ดูธรรมดาๆ ไม่ค่อยโดดเด่นกับเคราบางๆเอาไว้ ซึ่งเป็นถึงหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของคณะปฎิวัติ ZERO-X ที่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ ออกคำสั่ง และมอบหมายภารกิจให้กับกลุ่มต่อต้านกลุ่มอื่นๆในฐานเทียบเท่ากับกัปตันอเมริกา กำลังแอบพิมพ์ข้อมูลบางอย่างส่งให้กับใครบางคนที่เขาแอบทำงานให้เพราะข้อตกลงบางอย่างผ่านโทรศัพท์เพียงลำพังโดยที่ไม่ให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆของเขารู้…

    ผมหาข้อมูลที่คุณอยากรู้ให้แล้ว อย่าลืมข้อตกลงของเราล่ะ

    ตึ๊ง จากนั้นไม่นานนักก็มีข้อความส่งกลับมาหาแลร์รี่

    ขอบคุณสำหรับข้อมูล

    ซึ่งทำให้เขานึกถึงเรื่องราวอันเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับเขาในอดีต

    ปัง!!

    “ขอโทษนะ”

    เพื่อที่จะเอาชีวิตรอดจากวงล้อมของเหล่าทหารที่ทำงานให้กับรัฐบาล แลร์รี่ คลินตัน ผู้ซึ่งเคยเป็นอดีตหัวหน้าทีมของกลุ่มต่อต้านกลุ่มย่อยที่มีชื่อว่า ‘Team Fortress’ จึงได้ตัดสินใจหยิบปืนขึ้นมายิงเพื่อนร่วมทีมอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่เฉกเช่นเดียวกับเขาจนสิ้นใจ ตายไปพร้อมกับคนอื่นๆในทีมซึ่งไม่มีใครเหลือรอดเลยสักคน

    “ก็ได้ เราจะปล่อยคุณไป”

    ชายหนุ่มได้ตัดสินใจโน้มน้าวรัฐบาลให้ปล่อยตัวเขาไป โดยแลกกับการยอมเป็นไส้ศึกแฝงตัวเข้าไปแอบล้วงข้อมูลในคณะปฎิวัติ Zero-X มาบอกให้กับทางนี้ ซึ่งรัฐบาลเองก็ยอมตอบตกลงรับข้อเสนอ เพราะเห็นแก่ที่เขายอมยิงเพื่อนเพื่องานของตน

    “ยินดีด้วยนะ คลินตัน”

    วันเวลาผ่านไป แลร์รี่ คลินตัน ได้เลื่อนขั้นเป็นสมาชิกระดับสูงของคณะปฎิวัติ ZERO-X แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ทรยศคณะปฎิวัติเสียซะทีเดียว เขาได้ส่งข้อมูลที่หามาให้กับรัฐบาลไปเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น และฆ่าปิดปากเพื่อนร่วมงานที่ล่วงรู้ความลับนี้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคนที่แฝงตัวเข้ามาเป็นสายที่นี่ เพราะในใจลึกๆแล้วแลร์รี่เองก็อยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศอัลฟ่าโทเปียให้ดีขึ้นเฉกเช่นเดียวกับสมาชิกคณะปฎิวัติคนอื่นๆ

    แต่นั่นก็ต้องแลกกับการที่เขาต้องคอยระวังไม่ให้ความลับของตนถูกเปิดเผยด้วยเช่นกัน

    “คุณคลินตัน”

    เสียงทุ้มของใครบางคนได้ดังขึ้น ทำให้แลร์รี่ต้องละสายตาจากโทรศัพท์ที่ถืออยู่เพื่อหันไปหาชายหนุ่มชาวยุโรปเจ้าของเสียงที่เดินมายืนอยู่ด้านหลังเขา

    ดราโกนิค

    แลร์รี่เรียกคนที่อยู่ตรงหน้า ขณะใช้สายตาชำเลืองมองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะถามกลับไป

    “มารอฉันนานแล้วหรอ?”

    “เปล่าครับ ผมเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เลย”

    กรีส ดราโกนิค ตอบแลร์รี่

    “มีคนต้องการพบคุณครับ”

     

    ณ ห้องแลบห้องหนึ่งในฐานบัญชาการของคณะปฏิวัติ ZERO-X

    “ทั้งหมดนี้คือโครงการของฉันค่ะ”

    อลิเซีย เอลเฟรย์ย่า เซฟร่า หญิงสาวลูกครึ่งนอร์เวย์-สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ หนึ่งในสามเสาหลักของกลุ่มต่อต้าน ‘Clock Tower’ ผู้รับหน้าที่ดูแลปกป้องผืนป่าและเป็นหน่วยรักษาประจำทีม เจ้าของดวงตาสีฟ้าภายใต้กรอบแว่นสีแดง รอยปานรูปดาวบนแก้มด้านขวา ผิวกายสีขาวเนียนไร้ซึ่งบาดแผลและเรือนผมทรงทวินเทลสีเขียวอ่อนดั่งผืนหญ้าซึ่งสวมมงกุฎดอกไม้ที่ทำเอง ติดโบว์สีน้ำเงินขนาดใหญ่ไว้บนศีรษะ เก็บซ่อนปีกเทวทูตสีน้ำเงินเข้มแซมเขียวไว้ในแผ่นหลังที่สวมกางเกงขายาวสีดำกับเสื้อแจ็คเก็ตทับด้วยเสื้อกันหนาว โดยมีแมวสีส้มเกาะอยู่บนไหล่กล่าว หลังจากที่อธิบายโครงการเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเธอ ให้ ‘บรูซ เวย์น’ มหาเศรษฐีหนุ่มจากเขต G เจ้าของธุรกิจ เวย์น เอ็นเทอร์ไพรส์ ได้ฟังจนจบ โดยมีเพื่อนๆในทีมของเธออีกสองคนนั่งฟังอยู่ด้วย

    “ไม่เลวนะ เป็นโครงการที่ดี ฉันชอบ”บรูซกล่าวก่อนจะไล่เจ้าแมวเหมียวขนเทาของอลิเซียที่ขึ้นมานอนบนตักของเขาลงไป ก่อนที่จะมีใครอีกคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง

    “มาสายนะ ซูปเปอร์แมน

    “โทษที พอดีฉันไปช่วยคนมาน่ะ”บุรุษเหล็กผมดำในชุดสีน้ำเงินกรมท่า ประดับโลโก้ตัว S ขนาดใหญ่ที่หน้าอก เย็บติดกับผ้าคลุมสีแดงได้เดินเข้ามาทักทายเพื่อนร่วมทีมคนสนิท เจ้าของฉายา ‘แบทแมน’ ศาลเตี้ยประจำกลุ่ม ‘Justice League’ ด้วยรอยยิ้มแห้งๆเนื่องจากมาไม่ตรงเวลาที่นัดกันไว้

    “แล้วไดอาน่า ล่ะ?”

    “เธอไปเยี่ยมแม่ของเธอที่เกาะเทอมีสคีร่าน่ะ”บรูซตอบ

    “สรุปคือมีแค่เราสองคนสินะที่ว่าง”

    บรูซพยักหน้าให้กับคนตรงหน้าที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเขาแทนคำตอบ

    “เฮ้อ เสียดายจังที่พวกเขาไม่อยู่”

    “ไม่เป็นไรหรอก แค่พวกคุณอยู่ก็พอแล้ว”

    ทำให้พ่อหนุ่ม แอสเตอร์ อาร์เวียนทิส เสาหลักอีกคนของกลุ่ม ‘Clock Tower’ เจ้าของดวงตาสีฟ้า เรือนผมสีเขียวอ่อน ผิวกายสีขาวซีดและส่วนสูงประมาณ 170 ซม. มีแผลเป็นกรีดใต้ตาเป็นเอกลักษณ์ สวมเสื้อแจ็คเก็ตและผ้าพันคอปิดปากซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าเล่นเกมส์จากเครื่องเล่นเกมคอนโซลขนาดพกพาที่ตนนั้นถืออยู่อย่างเมามันส์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับพวกเขาด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันร่าเริง

    “แอสเตอร์”

    จน อเล็กซานเดอร์ ฟอนเบิร์ก ยาซูคอฟ ชายหนุ่มลูกครึ่งเยอรมัน-รัสเซีย ผู้มีเรือนผมสีเงิน ดวงตาสีฟ้า ผิวกายสีขาวซีดและรูปร่างที่สูงโปร่งในชุดโค้ทกันหนาวที่ซ่อนเตาพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่นขนาดเล็กเอาไว้ภายในตัวเสื้อโดยมีสายส่งพลังงานเป็นซุปเปอร์คอนดักเตอร์ เชื่อมต่อกับกับถุงมือโลหะที่สวมใส่ ปกปิดแผลเป็นรูปกากบาทใต้เข่าซ้าย แกนนำของกลุ่ม ‘Clock Tower’ ต้องรีบเตือนหัวหน้าหน่วยค้นหาข้อมูลประจำกลุ่มของเขาทันทีด้วยใบหน้าที่เย็นชา ไร้ความรู้สึก

    “คนเขากำลังคุยกันอยู่ อย่าเสียมารยาทสิ”

     

    ณ โรงอาหารเล็กๆ ในเขตที่พักพิงของเหล่าผู้ลี้ภัยและกลุ่มชนชั้นไร้นาม ซึ่งตั้งอยู่ด้านล่างฐานบัญชาการของคณะปฏิวัติ ZERO-X

    “คนต่อไปเชิญเลยค่ะ”เด็กสาววัยรุ่นอายุ 17 ผู้มีผมสีชมพูแปร๋นยาวสลวยถึงกลางหลังและนัยน์ตาสีเขียวอมฟ้า ใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวสีขาวที่แขนเสื้อนั้นเป็นลายทางสีรุ้งทั้งสองข้าง คู่กับกระโปรงสีม่วงเชื่อมสายเอี๊ยมสีน้ำเงิน สวมจี้ห้อยคอรูปอมยิ้มสีชมพูและผ้ากันเปื้อน ตะโกนบอกเหล่าผู้ลี้ภัยที่ยืนต่อแถวรอคิวรับอาหารอย่างเป็นระเบียบจากเธอกับ ‘ฮังค์’ พ่อครัวหนุ่มเชื้อสายอเมริกัน-แอฟริกัน ร่างใหญ่กำยำ จากกลุ่มต่อต้าน ‘Paladins’ โดยสมาชิกทั้งหมดในทีมนั้นล้วนเป็นนักบินขับยานรบหุ่นยนต์สิงโตห้าสีซึ่งสามารถประกอบร่างกันให้กลายเป็นหุ่นยนต์นักรบขนาดใหญ่มหึมาได้ ที่มาช่วยทำอาหารในโรงอาหารแห่งนี้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว และมักจะมาพร้อมกับวัตถุดิบแปลกใหม่จากนอกโลกด้วยเสมอจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆสำหรับคนที่นี่ไปแล้ว

    “ขยันจังเลยนะ เมล”ฮังค์พูดกับเพื่อนร่วมงานของเขาที่กำลังตักซุปที่เธอทำให้กับหญิงชราคนหนึ่ง

    “ห๊ะ?”

    แต่ดูเหมือนว่า เมฟันนิน แคนไพร์ จะไม่ได้ฟังที่อีกคนพูดเลย เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการแจกจ่ายอาหารให้ผู้ลี้ภัย จนเร่งความเร็วแทบไม่ทัน ทำให้ฮังค์ที่เห็นรู้สึกเป็นห่วงเลยอาสาจะทำงานในส่วนที่เหลือต่อแทนเพื่อให้เพื่อนร่วมงานของเขาได้พักบ้าง หลังจากที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาแทบทั้งวันแล้ว

    “ไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันทำต่อให้เอง”

    1 ชั่วโมงต่อมา ที่ห้องพักส่วนตัวใต้ฐานบัญชาการของคณะปฏิวัติ ZERO-X ในชั้นใต้ดิน

    “โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว”เมลร้องโอดโอยก่อนจะกระโดดคว่ำหน้าลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า

    “เมื่อยไปทั้งตัวเลย..”

    โดยไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ากำลังถูกใครบางคนที่เข้ามารอเธออยู่ในห้องนานแล้วจับจ้องอยู่

    “เมล”

    “ว้าย ตาเถร!!”

    โครม! ถึงกับสะดุ้งกลิ้งตกเตียงทันทีหลังจากที่ถูกชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเรียก และทันทีที่ชำเลืองตาขึ้นมามอง เมลก็ได้พบกับ เจ้าของเรือนผมสีกรมท่าตัดสั้นไว้ปลายผมแหลมตั้งชี้ตรงขึ้นไปบนฟ้าและดวงตาคมกริบเข้ากันได้ดีกับนัยน์ตาสีส้มภายใต้เปลือกตาซึ่งถูกปกปิดด้วยหน้ากากหมาป่าสีดำ ปรากฎตัวในชุดเสื้อยืดสีแดงปลายแขนสีดำ คู่กับกางเกงขายาวสีม่วงเข้ม คลุมบ่าด้วยใส่เสื้อแจ็กเก็ตปลดกระดุมสีเดียวกับสีกางเกง ดูราวกับเสื้อคลุมทับอีกชั้นเสียมากกว่ายังไงยังงั้นซึ่งใส่อยู่เป็นประจำ ซึ่งนั่งไขว่ห้างมองเธอที่กำลังนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานที่นั่งอยู่ด้วยสายตาเรียบเฉย

    “ทำบ้าอะไรเนี่ย?เคียว!!”

    เมลลุกขึ้นส่งเสียงโวยวายใส่ ‘สึรุกิ เคียวสุเกะ’ เพื่อนหนุ่มผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทเธอ อดีตกัปตันทีมฟุตบอลคุโระ โนะ คิชิดัน ผู้นำกลุ่มจอมโจร ‘Dark Knights’ ด้วยความโมโห

    “นายเกือบจะทำฉันหัวใจวายตายแล้วนะ!!”

    ทว่ายังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากต่อว่าอีกฝ่าย เมลก็ต้องชะงักไป หลังจากที่เคียวชำเลืองมองรูปถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะของเธอ ซึ่งเป็นภาพถ่ายคู่ระหว่างเธอกับน้องสาวของเขาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความคิดถึง จนเผลอใจลอยไปชั่วขณะ

    “…..”

    “เคียว”ก่อนจะกลับมามีสติ กลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินเสียงดีดนิ้วดังเป๊าะของเมล

    “เป็นห่วงยัยริก็บอกมาตรงๆเถอะ”เด็กสาวพูดกับเคียวพลางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตน

    “ให้แฟนนายพาวาร์ปไปหาก็ได้…”

    “หมอนั่นไม่ใช่แฟนฉัน”

    เงียบกริบ…

    “แล้วอีกอย่าง ที่นี่ไม่ได้อยู่ในเขตอัลฟ่าโทเปีย”

    เคียวรีบพูดแก้ตัว แต่ดูเหมือนว่าเมลจะไม่ค่อยเชื่อเขาเท่าไหร่

    “จ้ะ เอาที่สบายใจ”เธอกล่าวตอบแบบส่งๆ ขอไปที ขณะกวาดตามองชุดสวยๆที่มีมากมายนับไม่ถ้วนซึ่งได้มาจากการต่อรองราคากับแม่ค้าเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าหลายรายที่เธอไปซื้อมา

    “คงไม่ได้เรียกฉันมาหาเพื่อให้มาช่วยเลือกชุดใส่ไปงานให้เธอหรอกใช่มั้ย?”

    “….”

    “ช่วงนี้ริเป็นไง?”

    เมลเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

    “เพิ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนไปน่ะ”

    !? สีหน้าอันเรียบนิ่งของเคียวได้ฉายแววความตกตะลึงและคาดไม่ถึงออกมาผ่านแววตาคู่สวยของเขาในทันทีหลังจากเพื่อนสาวพูดจบ

    “เห็นว่าทางโรงเรียนเขาไม่อยากให้เชื่อเสียงแปดเปื้อนเพราะรับน้องสาวของนาย อดีตนักฟุตบอลชื่อดังที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายหลบหนีเข้าเรียนต่อ ดังนั้นก็เลย…”

    “เป็นความจริงหรอ?”

    “อือ”เมลพยักหน้า ก่อนจะหยิบมือถือจากในกระเป๋ากระโปรงขึ้นมาเปิดแชทที่เธอได้คุยกับใครบางคน ซึ่งเป็นผู้ที่คอยบอกข่าวคราวและข้อมูลสำคัญต่างๆที่ไม่สามารถค้นหาด้วยอาจารย์กูเกิ้ลแบบปกติได้ให้แก่เธอ

    “ข่าวนี้ The Sun ส่งมาเอง เชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”

    ปัง!

    ทว่าพอเมลพูดจบประโยคเท่านั้นแหละ เคียวก็เดินออกจากห้องไปในทันที

    เป็นเวลาเดียวกับที่กรีส ดราโกนิคได้พาแลร์รี่ คลินตัน มาหาอดีตผู้อำนวยการหน่วยชีลด์ ‘นิค ฟิวรี่’ ชายผิวสีในชุดเสื้อโอเวอร์โค้ทหนังสีดำที่ปกปิดดวงตาข้างซ้ายของเขาด้วยผ้าปิดตาสีเดียวกับสีชุด ซึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ในห้องทำงานซึ่งติดกระจกใสรอบห้อง มองเห็นบรรยากาศจากภายในฐานบัญชาการทะลุทั่วทุกซอกทุกมุม

    “ท่านคะ”

    ‘มาเรีย ฮิลล์’อดีตรองผู้อำนวยการหญิงแห่งหน่วยชีลด์ได้หันไปเรียกนิคที่กำลังยืนมองวิวข้างนอกอย่างชิลๆทันทีที่ชายหนุ่มทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง

    “กำลังรออยู่เลย”นิคพูดขึ้น ก่อนจะสั่งให้กรีสและมาเรียออกไป เพราะต้องการจะคุยกับแลร์รี่เพียงลำพังโดยไม่ต้องการให้คนอื่นเข้ามารบกวน

    “ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง…”

    “…..”

    “เรียกผมมาทำไม?”ชายผู้ซึ่งเป็นถึงผู้ก่อตั้งคนสำคัญอีกคนของคณะปฏิวัติ ZERO-X เฉกเช่นเดียวกับชิออน ไอน์ บราวนิ่งและกัปตันอเมริกา ไม่ได้ตอบแลร์รี่ในทันที

    “ปิดห้องทำงาน”

    วืด…

    เขาสั่งให้ระบบ AI เปลี่ยนบานกระจกในห้องจากที่ใสให้กลายเป็นมืดทึบเพื่อกันไม่ให้คนภายนอกล่วงรู้ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานเพื่อพูดคุยกับแลร์รี่เกี่ยวกับภารกิจลับที่เขาต้องการจะมอบหมายให้อีกคนทำ

    “เคยได้ยินชื่อโรงเรียน‘คิโบกามิเนะ’ มั้ย?”

    “เวทีที่ จุนโกะ เอโนชิม่า ใช้ถ่ายทอดสดเกมฆาตกรรมนักเรียนรุ่นที่ 78 ของที่นั่น น่ะหรอครับ?”

    แลร์รี่พยักหน้าตอบ

    “ครับ ตอนนั้นข่าวดังไปทั่วโลกเลย แต่ว่าตอนนี้ นาเอกิ มาโคโตะ สุดยอดนักเรียนมัธยมปลายแห่งความหวังกับนักเรียนรุ่นที่ 78 คนอื่นๆที่รอดมาได้ช่วยกันฟื้นฟูที่นั่นจนกลับมาเปิดเรียนได้เหมือนเดิมแล้วนี่”

    “ใช่ หลังจากการล่มสลายขององค์กรมิไรคัง…”

    พูดจบ นิคก็ได้เปิดภาพของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่ถูกทั่วทุกประเทศตราหน้าว่าเป็นบุคคลอันตรายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงโลกจากคลิปที่ถูกเผยแพร่ลงทางออนไลน์ขึ้นมาบนหน้าจอโฮโลแกรม

    “และที่ผมสนใจก็คือเขาคนนี้…” จากนั้นก็ใช้นิ้วจิ้มหน้าจอ เอาภาพของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีดวงตาสองสีซึ่งยืนเด่นอยู่ตรงกลางกลุ่มจากในคลิปขึ้นให้แลร์รี่ซูมดูหน้าแบบชัดๆ

    คามุคุระ อิซึรุ

    “…..”

    “เขาคือตัวทดลองที่ผิดพลาดจากโปรเจคลับโปรเจคหนึ่งที่ทางโรงเรียนคิโบกามิเนะใช้ทดลองกับมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งเพื่อสร้างสุดยอดนักเรียนมัธยมปลายแห่งความหวังขึ้น..”

    นิค ฟิวรี่ พูดถึงเรื่องข้อมูลลับเมื่อหลายปีก่อนที่โรงเรียนคิโบกามิเนะในอดีตเคยปิดบังต่อสาธารณชน

    “ซึ่งมีข่าวลือว่าทางองค์กรวิคเค็ด ได้นำโปรเจคนี้มาพัฒนาต่อเพื่อเป้าหมายอะไรบางอย่าง”

    “ดังนั้นคุณก็เลยอยากให้ผมแฝงตัวเข้าไปสืบข่าวให้ใช่มั้ย?”

    “ถูกต้อง”

    “ทำไมถึงต้องเป็นผม?”

    แลร์รี่ถาม ในขณะที่นิคยกมือขึ้นปิดจอโฮโลแกรมทั้งหมดที่ลอยค้างอยู่ในอากาศลงก่อนเอ่ยประโยคต่อมา

    “หือ?ก็คุณเป็นคนคอยส่งข่าวให้พวกนั้นไม่ใช่หรอ?”

    ที่ทำให้แลร์รี่ถึงกับหน้าซีด หายใจแทบไม่ทั่วท้อง หัวใจหล่นวูบตกไปอยู่ที่ตาตุ่มในทันที แต่ก็ต้องพยายามเก็บปฎิกิริยาเอาไว้ไม่ให้ส่อพิรุธออกมาต่อหน้าชายอีกคนที่พูดดักคอเขาอย่างรู้ทัน

    “คุณพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ?”

    “ไม่ต้องห่วง ผมไม่บอกใครหรอก”ราวกับต้องการบอกเป็นนัยๆว่าเขานั้นรู้ความลับที่แลร์รี่พยายามปกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี

    “แต่ถ้าคุณคิดจะปิดปากผมเหมือนกับที่ทำแบบเดียวกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆล่ะก็..”

    กุมจุดอ่อนของอีกคนเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด

    “ชีวิตของคุณได้จบสิ้นแน่”

     

    และไม่นานนักการประชุมที่ห้องโถงประชุมก็ได้จบลง

    “แล้วเจอกันนะ การิน

    ‘เสี่ยวหลาน’ โจรสลัดสาวสวยเชื้อสายจีน กัปตันเรือเหาะทะยานเมฆคนปัจจุบันที่มีชื่อเสียงกึกก้องขจรไปไกลคอยออกปล้นคนรวย ช่วยเหลือคนจน ลาเด็กหนุ่มผมดำหน้าตาดีผู้หลงใหลในอาถรรพ์และวิชาไสยศาสตร์จากประเทศไทยแต่กลับมีใบหน้าที่ดูไม่เป็นมิตรและขอบตาหมองคล้ำราวกับคนอดหลับอดนอน พันผ้าพันแผลปกปิดบาดแผลบนหลังมือขวาด้วยรอยยิ้ม แต่กลับโดนอีกคนเมินใส่ก่อนจะเดินหนีเธอไป

    “อะไรกันเนี่ย เจ้าเด็กคนนี้ ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย..”

    “อย่าไปถือสาเขาเลยครับ พี่เสี่ยวหลาน”เสียงของใครบางคนได้ดังขึ้นข้างกายๆ จนทำให้เสี่ยวหลานต้องหันไป ทำให้ได้พบเข้ากับเด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีส้มกลมโตที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ ซึ่งตัดทรงผมซอยสั้นสีขาวโพลน ไว้หน้าม้ายาวเก็บซ่อนตาขวาเอาไว้ ปกปิดร่างกายด้วยเสื้อฮู้ดสีดำที่ถูกดึงขึ้นมาคลุมปิดหัวกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบสีดำคู่ใจเพื่อให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว

    รัต?”

    เป็นหุ่น ‘แอนดรอยด์’ ที่มีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ทุกอย่างจนแทบจะมองไม่ออกเลยทีเดียว

    “วันนี้แต่งตัวสวยดีนะครับ”

    ก่อนที่ในวินาทีต่อมาเสี่ยวหลานจะถูกแอนดรอยด์หนุ่มทักเรื่องที่เธอปล่อยผมยาวและใส่ชุดจีนโบราณสวมเสื้อคลุมสีขาวอมชมพู ซึ่งดูแตกต่างจากชุดเกราะที่เธอสวมใส่อยู่เป็นประจำด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบเฉย

    “ขอบคุณ..”

    “มีนัดเดตกับพี่อ๊อด หรอ?”ทว่าพอถูกรัตถามจี้จุดเข้าหน่อยเท่านั้นแหละ ใบหน้าของหญิงสาวผู้ห้าวหาญก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อในทันทีด้วยความเขินอายเสมือนดั่งสาวน้อยผู้กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก

    “ป-เปล่า ข้าแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างน่ะ”

    แต่เสี่ยวหลานกลับไม่กล้ายอมรับออกมาตรงๆ

    “นานๆทีจะได้พักผ่อนบ้าง”

    เธอพูด

    “แล้วเจ้าล่ะ?”

    รัตเงยหน้าขึ้นมาจากแท็บเล็ตที่ถืออยู่ทันทีหลังจากที่เสี่ยวหลานถาม

    “ก็ดีครับ งานยุ่งเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”

    ตอบเสร็จก็ก้มหน้าทำงานต่อในทันที

    “งั้นข้าไปก่อนนะ ไม่รบกวนแล้ว”

     

    ณ ห้องซ้อมต่อสู้ส่วนตัวห้องหนึ่ง ภายในฐานบัญชาการของคณะปฏิวัติ ZERO-X

    “นี่ๆ พี่เวลส์เลอร์”สาวสวยชาวอินเดีย เจ้าของผิวกายสีเข้มเนียนละเอียด นัยน์ตาสีช็อคโกแลตอ่อนและเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่มีลอนผมสวยเข้มเป็นธรรมชาติ เคลือบริมฝีปากสีไวน์แดงเปี่ยมเสน่ห์ กรีดอายไลน์เนอร์ที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์บนดวงตารูปทรงอัลมอนด์ ได้เรียกหนุ่มอาหรับผิวขาวหน้าตาหล่อเหลา ผู้มีเส้นผมสีทองแดงอ่อนตัดกับคิ้วสีดำและนัยน์ตาสีฟ้าใสดุจสีท้องนภาในเวลากลางวันที่ปราศจากหมู่มวลก้อนเมฆภายใต้กรอบตาเฉียวคม คู่ต่อสู้ของเธอที่กำลังแฝงตัวอยู่ในกลุ่มร่างปลอมมากมายของเขาที่ยืนล้อมรอบตัวเธออยู่ซึ่งถูกปั้นขึ้นจากพลังทรายของเขาเองด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสดใส

    “เมื่อวานฉันเห็นพี่เชอร์รี่เบลล์ออกรายการทีวีด้วยนะ”

    ซึ่งทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงักไปในทันที จนส่งผลให้ร่างปลอมทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นสลายหายไปเผยให้เห็นร่างจริงของเขาที่ยืนเด่นอยู่ตรงใจกลางวง

    “ห๊ะ จริงหรอ?”

    ทว่า ยังไม่ทันได้อ้าปากถามต่อ เวลส์เลอร์ก็ต้องรีบกระโดดหลบไปอีกทางในทันที หลังจากที่คู่ต่อสู้ของเขาระเบิดพลังคลื่นเสียงอันรุนแรงใส่ ระเบิดพื้นที่รอบๆ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างจนเกือบจะทำลานซ้อมประลองพังย่อยยับกันเลยทีเดียว

    “เฮ้ย ขี้โกงนี่หว่า มัลลิ!!”

    เวลส์เลอร์โวย ก่อนที่หญิงสาวเจ้าของชื่อเรียกจะพุ่งตัวเข้าใส่ ยกเท้าขึ้นหมายจะฟาดลงที่กลางกระหม่อมของชายหนุ่ม แต่กลับถูกอีกคนเรียกพายุทรายออกมาโจมตี ซัดเธอจนปลิวกระเด็นลอยไปไกล

    “เหวอ!!”

    ทว่ายังดีที่เวลส์เลอร์ตาไวเลยรีบก้มลงเอามือแตะพื้น ใช้พลังบังคับหินจากใต้พสุธาให้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสไลเดอร์ขึ้นมารองรับร่างของมัลลิได้ทันหวุดหวิด ก่อนที่จะเปลี่ยนพื้นทั้งหมดให้กลับคืนสู่สภาพเดิมหลังจากที่การประลองระหว่างเขากับเธอสิ้นสุดลง

    “ชิ ถ้าสู้กันแบบตัวต่อโดยไม่ใช้พลังล่ะก็ฉันชนะพี่แน่”มัลลิกล่าวก่อนที่เวลส์เลอร์จะใช้มือที่มีปานรูปกลีบกุหลาบสีแดงอยู่บนหลังมือของเขาดึงเธอขึ้นมา

    “ขอบคุณ”

    แล้วหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อมาพบกับกันอีกครั้งในหนึ่งชั่วโมงต่อมา

    “อยู่ที่นี่ไม่ต้องใส่หน้ากากก็ได้ พี่ชาย”

    มัลลิที่แต่งชุดเดรสผ้าฝ้ายแหวกอกกระโปรงยาวถึงพื้นปกปิดรองเท้าบัลเล่ต์ที่เธอสวม ที่ถูกตบแต่งด้วยเครื่องประดับราคาแพงซึ่งทำมาจากทองคำแท้นับไม่ถ้วนทั้งตามผิวกายและบนเสื้อผ้า คลุมผมด้วยผ้าฝ้ายสีขาวนวลซึ่งห้อยยาวลงมาถึงระดับเอว ดูสง่างามและหรูหรา ได้ทักเวลส์เลอร์ซึ่งปกปิดเส้นผมของเขาด้วยผ้าโพกศีรษะที่ทำมาจากผ้าลินินสีขาวสะอาดรัดด้วยเชือกถักสีฟ้าสีเดียวกับสีดวงตาของเขาที่ถูกตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่านานาชนิด ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวบริสุทธิ์ทำจากผ้าไหมใส่คู่กับกางเกงขายาวทำจากผ้าซาตินขาวที่ถูกปกปิดด้วยเสื้อคลุมมิชลาฮ์สีเขียว สวมรองเท้าแตะหนังหุ้มส้นสีดำและแหวนทองบนนิ้วนางขวา ที่มายืนรอเธออยู่หน้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงทันที หลังจากเห็นหน้ากากเวนิสประดับดอกกุหลาบสีชาดที่เขาใส่ปกปิดใบหน้าที่แท้จริงตั้งแต่หัวจรดคาง กลบออร่าความหล่อซะมิดเสียจนไม่เหลือเค้าความหล่อให้ผู้อื่นได้เชยชม

    “โทษที ความเคยชินน่ะ”

    เขากล่าวพลางเตรียมจะยกมือขึ้นเพื่อปลดหน้ากากที่อยู่บนหน้าลง แต่กลับถูกอีกคนห้ามไว้

    “ไม่ต้องถอดหรอก”

    มัลลิบอกจากนั้นก็หยิบหน้ากากดอกมะลิซ้อนของเธอขึ้นมาสวมบ้าง

    “ใส่แบบนี้ก็ดูสวยไปอีกแบบนะ~”

    ทว่าเธอก็ต้องหยุดหัวเราะคิกคักทันที หลังจากหันไปพบว่าเวลส์เลอร์นั้นยังยืนพิงกำแพงอยู่ โดยที่ไม่ได้เดินตามมาด้วย ราวกับกำลังยืนคิดทบทวนเรื่องอะไรบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจ

    “เป็นอะไรไปหรอ พี่..”

    “มัลลิ”

    เวลส์เลอร์ถาม

    “เธอคิดว่าเชอร์รี่เบลล์จะโกรธพวกเราไหม?”

    “…..”

    “ที่ไม่ได้พาเธอออกมาด้วยในตอนนั้น…”

     

    ณ ร้านขายโคมลอยและโคมไฟสวยๆ ร้านหนึ่ง แถวๆตลาดนัดคนเดินในเขตที่พักพิงของเหล่าผู้ลี้ภัยและกลุ่มชนชั้นไร้นามซึ่งแขวนโคมไฟสีแดงมากมายประดับไปทั่วท้องตลาด

    “ว้าว โคมไฟอันนี้สวยจัง พี่โซเซีย

    เด็กหนุ่มหน้าตาหวานจิ้มลิ้ม หุ่นผอมเพรียว ผู้มีดวงตาสองสี สีน้ำเงินไพลินข้างซ้าย สีแดงทับทิมข้างขวา ตัดผมสีน้ำเงินเข้มสั้นเสมอหู ปัดหน้าม้าที่ปรกลงมาไปทางด้านข้าง ใส่ชุดกางเกงเอี้ยมสีดำทับเสื้อคอเต่าสีน้ำเงินอ่อนที่สวมคู่กับรองเท้าบูทหนังสีขาวและเฮดโฟนไร้สายสีฟ้าพาสเทล ทำตาโตเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นขณะจ้องมองโคมไฟสีแดงที่ส่องแสงสว่างเรืองรองซึ่งแขวนโชว์อยู่หน้าร้านด้วยความตื่นเต้น

    “ผมเลือกอันไหนก็ได้ใช่มั้ย?”

    ก่อนจะหันไปถามแฝดหนุ่มอีกคนที่มีใบหน้าเหมือนกับเขาทุกระเบียดนิ้ว ต่างกันเพียงแค่ใบหน้าที่ดูดุกว่า สีตาที่สลับตำแหน่งและสไตล์การแต่งตัวที่แต่งเพียงแค่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำสีเดียวกับรองเท้าบูทหนังที่ใส่คู่กับกางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน ซึ่งพยักหน้าให้กับแทนคำพูด ขณะยืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์รอพ่อค้าที่กำลังยืนนับจำนวนเงินที่เขาจ่ายให้ไปอยู่

    “ตามสบายเลย ซาเซีย

    แฝดผู้พี่กล่าว

    “เดี๋ยวพี่จ่ายให้”

    เป็นเวลาเดียวกับที่คาริน่าและพวกของเธอเข้ามาเดินดูในร้านพอดี

    “อ้าว บังเอิญจังนะ โซเซีย ซาเซีย”

    ซาบีนยกมือทักทายสองพี่น้องแบล็คไนท์ทันทีที่เห็นพวกเขา

    “พวกนายเองก็มาซื้อโคมลอยที่นี่เหมือนกันหรอ?”เธอถาม

    “ครับ”โซเซียตอบ พอดีกับที่ซาเซียเดินเข้ามาหาเขา

    “พี่โซเซียฮะ”แฝดผู้น้องบอกกับผู้เป็นพี่ชายของตนโดยที่ในมือทั้งสองข้างนั้นถือโคมลอยรูปแมวเหมียวสองใบที่เขาหมายตาเอาไว้ติดมาด้วย

    “ไม่เลวนี่”

    โซเซียเอ่ยออกมาเพียงแค่ประโยคสั้นๆ ก่อนที่ซาเซียจะยื่นโคมลอยอีกใบที่เป็นรูปเจ้าแมวตัวสีฟ้าส่งให้กับพี่ชายของเขาและเดินออกจากร้านไป

    หลายนาทีต่อมา…

    “เป็นไง?ถูกใจอันไหนบอกได้นะ”ซาบีนบอกกับคาริน่าที่ยืนมองโคมลอยสีแดงที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดและคิดถึงจนทำให้เอสร่าที่ยืนดูอยู่ข้างๆสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าที่แผ่ออกมา

    “เธอโอเคมั้ย?”เขาถาม ก่อนที่คาริน่าจะเล่าเรื่องราวในอดีตของเธอให้ฟัง

    “เมื่อก่อนตอนฉันยังเป็นเด็ก คุณพ่อกับคุณแม่เคยพาฉันไปเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟที่มักจะจัดขึ้นที่ย่านไชน่าทาวน์ในเมืองเอนโจลิโก้ ทุกๆปี…”

    “….”

    “ฉันยังจำรสชาติขนมบัวลอยที่พวกท่านเคยซื้อให้กินกับโคมลอยที่เราซื้อมาลอยในวันนั้นได้อย่างไม่มีวันลืม มันคือช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมากที่สุดในชีวิต”

    คาริน่าพูดพลางหยิบโคมลอยที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา

    “เพราะนั่นคือครั้งแรกในรอบหลายปีที่ครอบครัวของเราได้อยู่พร้อมหน้ากัน..”

    “…..”

    “และเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้ใช้เวลาร่วมกับพวกท่าน”

    และพอกล่าวถึงตรงนั้น เธอก็เงียบไป

    “…..”

    “พ่อกับแม่ทิ้งฉันไว้ที่ดาวโลทอร์ตั้งแต่ยังเด็ก”

    ก่อนจะหันมองเอสร่าที่เป็นฝ่ายเล่าเรื่องของเขาให้เธอฟังบ้าง

    “พอโตขึ้นหน่อย ฉันก็ใช้ชีวิตหากินด้วยการลักเล็กขโมยน้อย กระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ฉันดันไปขโมยของที่พวกเคนันหมายตาเอาไว้เข้าก็เลยจับพลัดจับผลูได้กลายมาเป็นลูกเรือยานโกสท์อย่างที่เธอเห็น”

    เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมๆกับเอื้อมไปหยิบโคมลอยที่วางอยู่บนชั้นซึ่งเป็นใบเดียวกับที่คาริน่าจ้องมอง

    “แล้วพ่อแม่ของนายล่ะ?”เธอถาม “พวกเขายังอยู่มั้ย?”

    เอสร่าส่ายหัว

    “งั้นหรอ…”

    เพราะต่างฝ่ายต่างก็เคยสูญเสียมาก่อน ดังนั้นจึงเข้าใจความเจ็บปวดของอีกคนได้เป็นอย่างดี

    “……”

    “……”

    “……”

    บังเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ

    “ให้ตายสิ ฉันนี่แย่ชะมัด เกือบทำบรรยากาศดีๆเสียหมดเลย”

    ก่อนที่เอสร่าจะบ่นตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้อีกคนพลอยเศร้าตามไปกับเขาด้วย

    “ไม่หรอก ฉันต่างหากล่ะที่ผิด”

    แต่ดูเหมือนว่าคาริน่าจะไม่ได้คิดเช่นนั้น

    “ผิดที่ดันพูดเรื่องที่ทำให้นายไม่สบายใจ..”เธอกล่าว พลางหันไปชำเลืองมองภาพของคนอื่นๆที่กำลังแข่งกันว่าใครเลือกโคมลอยสวยกว่ากันอย่างสนุกสนาน ซึ่งทำให้คาริน่าอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำดีๆที่เธอได้ใช้เวลาร่วมกับเหล่าพี่ๆในวง SibStars เมื่อครั้งที่ยังทำงานอยู่ที่เกาหลีใต้

    “เฮ้อ อยากรู้จังว่าพวกพี่จีฮโยกับคนอื่นๆจะเป็นยังไงบ้าง..”

    และเพียงแค่คาริน่าเอ่ยขึ้นมาเท่านั้นแหละ 

    “เฮ้ย ลืม!!”เอสร่าก็ร้องอุทานออกมาทันที ทำเอาคนที่อยู่ในร้านสะดุ้งโหยงกันทั้งบาง

    “ม-มีอะไรหรอ?”

    คาริน่าถามด้วยความสงสัย ก่อนที่ในวินาทีต่อมา เอสร่าจะวิ่งออกไปจากร้านไปท่ามกลางความงุนงงของทุกคน

    “เดี๋ยวก่อนสิ เอสร่า..”

    “กระเป๋าลาก!!”

    เด็กหนุ่มตะโกน

    “แถวนี้น่าจะมีอยู่ ตามฉันมาเร็ว!!”

    หมับ

    บรูซ เวย์น ได้ยื่นมือให้อลิเซียจับหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างตกลงที่จะทำธุรกิจร่วมกัน เป็นเวลาเดียวกับที่เฮร่ากุมมือของเคนันที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพักผู้ป่วยที่เขาอยู่ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยอันมากล้น เสมือนกับว่าเขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ

    ฟุ้บ

    โซเซียกับซาเซียได้ปล่อยโคมลอยที่พวกเขาถืออยู่ให้ลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้า เฉกเช่นเดียวกับโคมลอยใบอื่นๆที่โลกิและจีจี้ยืนมองอยู่ไกลๆ

    แปะ

    แลร์รี่หยิบรูปถ่ายหมู่ที่เขาถ่ายร่วมกับเพื่อนๆในทีม Fortress ซึ่งบัดนี้ที่ได้ถูกยุบไปแล้วหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมามอง ก่อนที่จะมีหยดน้ำหยดหนึ่งร่วงหล่นลงไปบนนั้น

    “พี่คะ!!”

    มัลลิได้กระโดดเข้าไปกอดอุบลและแจ็คกี้ ผู้ซึ่งเป็นพี่สาวและพี่ชายต่างสายเลือดที่เดินทางมาที่นี่ด้วยควินเจ็ทที่เธอนั้นรักและผูกผันดั่งครอบครัวแท้ๆด้วยความคิดถึง หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน โดยมีเวลส์เลอร์ที่ยืนมองอยู่ซึ่งได้ถูกแจ็คกี้ดึงเข้ามาร่วมวงด้วย

    ฟุ้บ

    ทางด้านชิออน เขาได้จัดแจงเสื้อผ้าที่ตัวเขานั้นสวมใส่อยู่หน้ากระจกสักพัก จากนั้นจึงค่อยเดินเข้าไปหาเจ้ากระต่ายสาวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงในสภาพร่างกายที่ไร้ซึ่งอาภรณ์มีเพียงแค่ผ้าห่มอุ่นๆผืนเดียวปกคลุมกาย ก้มตัวลงจูบหน้าผากของเธอ โดยไม่ลืมวางกุหลาบคริสตัลที่เขาเป็นคนปลูกเองซึ่งเขาตั้งใจเตรียมให้อีกคนเป็นของขวัญลงบนโต๊ะข้างๆเตียงและเดินออกจากห้องไป 

    แกร๊กๆ

    ส่วนรัตนั้นก็ยังคงหมกหมุ่นอยู่กับการเขียนโค้ดดิ้งไว้ใช้สำหรับแฮคเข้าไปดูข้อมูลลับที่ทางรัฐบาลพยายามปิดบังเอาไว้หน้าโน๊ตบุ๊คของตนเหมือนเดิม ตามประสาของพ่อหนุ่มนักแฮกเกอร์ โดยมีใครบางคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘W’ คอยให้คำปรึกษากับเขาผ่านทางแชทส่วนตัวแบบลับๆ

    “อันนี้เท่าไหร่หรอ?”

    ทางด้านเมล เธอได้ถามราคาของกี่เพ้าตัวสวยที่เธอนั้นถูกใจจากแม่ค้าขายเสื้อผ้ามือสองคนหนึ่งที่เธอกำลังอุดหนุนอยู่เพื่อเตรียมต่อรองราคา โดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าที่ฝั่งตรงข้ามที่เธออยู่นั้น มีร้านขายกระเป๋าลากใบโตที่เอสร่านั้นกำลังเลือกให้คาริน่าอยู่

    “เหนื่อยหน่อยนะครับ”

    โจ๊กเกอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานคนสนิทของคิซึกิได้มาหาคิซึกิกับเพื่อนๆที่กลับมาจากการทำภารกิจช่วยเหลือทายาทคนโตของตระกูลอาคาริออกมาได้สำเร็จด้วยความดีใจหลังจากที่เห็นว่าพวกพี่ๆนั้นรอดกลับมาทุกคน

    “ไชโย!!”

    เสี่ยวหลานมองวาตะ เจ้าชายวานรแห่งอาณาจักรมณีโคตที่กระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจหลังจากที่เสี่ยวหลานทายปริศนาโคมไฟถูกทั้งหมดโดยมีเพื่อนๆในทีมและลูกเรือคนอื่นๆบนเรือเหาะทะยานเมฆของเธอคอยให้กำลังใจ

    “….”

    และสตีฟ โรเจอร์ เขาได้ยืนมองบรรยากาศฐานบัญชาการจากบนสะพานที่เชื่อมต่อไปยังลานบินของอีกฝั่ง พอดีกับที่ ‘นาตาชา โรมานอฟ’ สายลับสาว เจ้าของฉายา ‘แบล็ควิโดว์’ เดินถือแท็บเล็ตเข้ามารายงานสถานการณ์กับเขา

    “ภารกิจที่เขต S สำเร็จลุล่วง”

    “…..”

    “เป็นฝีมือของพวก Order of Sith Lord

    “ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้เลย”สตีฟกล่าวพลางรับแท็บเล็ตที่นาตาชายื่นให้เพื่อเอามาเช็คดูตารางงานที่ต้องทำและข้อมูลใหม่ๆที่กลุ่มต่อต้านกลุ่มอื่นๆส่งมาให้เขา

    “ผู้มีพลัง ‘ไลท์ฟอร์ซ’ ที่ตัวเองหมายตาเอาไว้หายไปทั้งทีแบบนี้ ฝ่ายนั้นไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆแน่”

    และใช้นิ้วเลื่อนดูภาพถ่ายของเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์ที่สวมชุดเครื่องแต่งกายโบราณของราชวงศ์เผ่าอัคคี ซึ่งมีดวงตาสีทองอร่ามเฉกเช่นเดียวกับชายชราผู้มีแผลเป็นอยู่บนใบหน้าด้านซ้ายอันเกิดจากการถูกไฟไหม้ที่ยืนอยู่ข้างๆเขา

    “นี่เป็นภาพที่อวาตาร์คอร่าส่งมา”

    “จากไหน?”

    “เผ่าอัคคี”

    “ถ้างั้นเด็กคนนี้..”

    “เจ้าชายอากิฮิโระ

    นาตาชาบอก

    “ดูคล้ายกับจ้าวอัคคีซูโกะตอนหนุ่มๆไม่มีผิด..”

    “ใช่เด็กคนเดียวกับที่หัวหน้าทีมอวาตาร์เคยช่วยไว้ตอนนั้นรึเปล่า?”

    เธอพยักหน้าให้ทันทีหลังจากสตีฟถาม

    “ใช่ คนนี้แหละ”

     

    ก็อย่างที่คุณเห็น

    ZERO-X อาจจะไม่ใช่สถานที่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

    แต่อย่างน้อยผู้คนที่นี่ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายใจโดยปราศจากซึ่งการแบ่งแยกลำดับชนชั้นดั่งเช่นคนภายนอกเนื่องจากได้รับการปฎิบัติอย่างเท่าเทียม

    ไม่มีชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง

    เพราะทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกัน

     

    ณ เวลาปัจจุบัน ที่บ้านของริ

    “พ-พี่เคียว”

    สมองแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ราวกับน้ำท่วมปาก แทบจะไม่เชื่อในสายตาของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ขณะมองพี่ชายที่หายหน้าไปโดยไม่เอ่ยบอกแม้แต่คำอำลา ทิ้งไว้เพียงแค่จดหมายฉบับเดียวไว้ให้อ่านต่างหน้าด้วยสีหน้าที่ดูช็อค สับสนเกินกว่าจะแยกแยะออกว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกแห่งความฝันกันแน่

    “…..”

    “นี่พี่จริงๆหรอ?”

    แม้ว่าอีกใจหนึ่งจะอยากให้สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา

    “ใช่ พี่เอง…”

    แต่อีกใจหนึ่งลึกๆกลับแอบรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงของพี่ชายอีกครั้ง จนปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

    หมับ สองมือคว้าแผ่นหลังของพี่ชายเข้ามาสวมกอดเอาไว้ หลังจากต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดจากการคิดถึงอีกคนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ราวกับหวาดกลัวว่าที่จะสูญเสียเขาไปเฉกเช่นเดียวกับพ่อ แม่และพี่ชายอีกคนของเธอซึ่งถูกพรากลมหายใจไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต…

    “…..”

    เช่นเดียวกับเคียว ผู้เป็นพี่ เขาได้ยกมือขึ้นลูบหัวเธอด้วยความอ่อนโยน ถึงแม้ในใจนั้นจะรู้สึกผิดที่ตนนั้นเป็นฝ่ายทิ้งน้องสาวและลูกชายผู้เป็นที่รักให้ชีวิตอยู่บนโลกอันโหดร้ายนี้เพียงลำพัง ทว่าเขาก็เลือกที่จะไม่เอ่ยออกมา ได้แต่เพียงกอดอีกคนกลับด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาปริ่มอยู่บริเวณขอบตาเกือบจะเอ่อล้นร่วงหล่นลงบนบ่าของอีกคน

    “เธอดูผอมลงนะ”

    เด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะผละตัวออกจากน้องสาวเล็กน้อยเพื่อดูหน้าเธอให้ชัดๆและใช้นิ้วหัวแม่มือข้างหนึ่งเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอออกภายใต้เงามืด

    “พี่เองก็ไม่ต่างกันหรอก”

     

    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

     

    [100%]

     ขอคอมเมนต์ และกำลังใจด้วยนะครับ

    ตอนหน้า ลี คาริน่าของคุณ  MikaBai กับเพื่อนๆตะลอนทัวร์ พบปะตัวละครocใหม่ๆและตัวละครระดับวีไอพีที่ทำงานในกลุ่มกบฎ

    ขอโทษด้วยนะครับ ที่มาอัพช้า พอดีวุ่นกับเรื่องในมหาลัย รีไรต์นิยายเรื่องอื่นของตัวเอง

    ในตอนนี้ก็จะมีการเปิดตัวคู่รัก BO คู่หนึ่งด้วย เอ..ลูกใครน้าาาา อิๆ ช่างเหอะ

    สำหรับวันนี้ข้าน้อยขอตัวก่อนนะครัช

    [อัพเดตวันที่ 11/01/2022]

    มาเพื่อแก้คำผิดและเพิ่มประโยคคำพูดของคาริน่าเท่านั้นครับ ยังไม่เขียนต่อจนกว่าจะแก้บทสองเสร็จ

    [อัพเดตวันที่ 11/02/2022]

    ย้ายข้อมูลมาเอะจากตอนสองมาใส่ในนี้แทน

    เฮ้ย บังเอิญป๊าย วันที่แก้คำผิดคือวันที่ 11 วันอัพครึ่งตอนก็คือวันที่ 11 พอดี เลยจัดเต็มด้วยการอัพให้ยาวเลย เพราะหายหน้ากันไปซะนาน(คือ ประเด็นไม่ใช่อะไร มหาลัยงานมันเยอะจริงๆ เดี๋ยวนี่ก็ต้องไปทำงานต่ออีกล่ะ)

    บอกว่าคาริน่าพาเดินทั่วร์แท้ๆ แต่มาเด่นๆตอนใกล้ๆจะจบตอนซะงั้น จริงๆตอนแรกที่ตั้งใจจะเขียนต่อคือ ฉากที่คาริน่าพบปาร์ค ยูรี เพื่อนเก่า แต่เนื่องจากผปค.ของปาร์ค ยูรี ได้ทำการรีดีไซน์ตัวละครที่เคยส่งมาทั้งหมด ไรต์จึงต้องมีการปรับแก้กันยกแผงเลย ทำให้ต้องเลื่อนการแต่งไปด้วยประการฉะนี้ 

    สำหรับตอนนี้คือ แนะนำว่าให้อ่านทุกส่วนตั้งแต่ต้นเลย เพราะมีการปรับแก้เนื้อหาใหม่(ทางที่ดี ย้อนกลับไปอ่านตอนที่สองนี่แหละสำคัญสุด เพราะรีหนักกว่าตอนอื่น) จากการรีไรต์แก้สามตอนก่อนหน้าไปเป็นรอบที่สามเล็กน้อย รอบแรกคือความคึกคะนองที่ดันเอาสเวนเซ่นส์ไปใส่ในฐานปฎิวัติ รอบสองยังเด็กน้อยไปหน่อยเรื่องฉากเลิฟซีน ส่วนรอบสามจัดหนักเพราะต้องเป็นเวอร์ชั่นสมบูรณ์แล้วเนื่องจากจะเอาลงรีดอะไรต์ แก้จนหมดพลังงานกันเลย

    ไหนจะการปั่นรีเควสจากนักอ่านให้สมหวังอีก ไปหาข้อมูลจากหนังมาใช้อ้างอิงเอย เยอะแยะเพียบ แต่พอได้แต่งก็สนุกดีแหละ โดยเฉพาะพาร์ทของแลร์รี่กับจีจี้ ฉากอาจสั้นไปหน่อยต้องขออภัย เพราะผมด้นสดต่อในนี้จากตอนจีจี้ที่เขียนในสมุดเลยครับ(วางแผนคีย์เวิร์ดเอาไว้สั้นๆก่อนว่าต้องการฉากไหน แล้วค่อยเอามาแต่งแบบจัดเต็ม)หมายเหตุ เหตุการณ์ในเรื่องนี้ไม่ได้ตรงกับในหนังที่เอามาทุกส่วนนะครับ เพราะเป็นครอสโอเวอร์ใน AU

    เออ ช่างๆ มาเข้าเรื่องเลยล่ะกัน สาเหตุที่พาร์ทของจีจี้กับพาร์ทของแลร์รี่แต่งสนุกที่สุดสำหรับไรต์นั้น เป็นเพราะว่าเรื่องราวของสองคนนี้มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูด โดยเฉพาะของจีจี้ ตรงคอนเซปต์โลกโอเมก้าเวิร์สมากและมีเรื่องที่ไรต์สามารถเล่นกับเรื่องรีเควสโลกิที่คุณผปค.ของเธอขอมาได้ ส่วนแลร์รี่ตอนแรกตอนเห็นหน้าปุ๊บ คิดว่าจะไม่น่าสนใจเลยอ่านแบบผ่าน แต่พอได้กลับมาอ่านประวัติจบแค่นั้นแหละ ในใจนี่แบบ “ไม่ให้บทปลากรอบแล้ว เอาบทหลักไปเหอะ!!”ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น(ตอนเขียนใช้วิธีเกริ่นประวัติแบบคาริน่า) ส่วนคนอื่นๆหรอ ก็ตามรีเควส อยากเจอซุปเปอร์แมนอ่ะจัดไปจ้ะ จริงๆตัวละครในคณะปฎิวัตินี่ยังออกมากันไม่หมดหรอกนะ แต่เดี๋ยวจำนวนอักษรจะเกิน ปาใกล้เข้าไปสี่หมื่นล่ะ

    สุดท้ายก่อนจาก แถมภาพประกอบจากทวิตหน่อยล่ะกัน

    โดยภาพนี้เป็นภาพของเคท บิชอปกับตัวเอกของเรานั่นเองครับ(สปอยล่วงหน้าครับ)

    หมายเหตุ:ตอนนี้พวกตัวละคร OC ไรต์จะเน้นด้วยสีเข้ม ส่วนพวกตัวละครที่เขามีตัวตนจริงๆอยู่ในโลกอนิเมะ ภาพยนตร์ ไรต์จะทำตัวเอียงนะ

    Next Episode- Love

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×