ตอนที่ 7 : FRIEND 80 Per.
You ;(N)
/yoo unstrested yoo,yuh/
Mean ― Happiness
พระอาทิตย์กำลังตก ลมพัดแรงจนก้อนเมฆปลิวหายไปพร้อมความสว่าง ความมืดทักทายเมืองหลวงขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยแสงสี
ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมง 25 นาทีตามนาฬิกาสากลในประเทศไทย และมันเลยเวลาเลิกเรียนของนักเรียนชายล้วนแห่งนี้มานานพอสมควร
แต่ฉไนเลยหน้าโรงเรียนถึงมีนักเรียนเสื้อสีขาวสะอาดตา ชายเสื้อปล่อยออกนอกกางเกงสีน้ำเงินเข้ม ผมดำสนิทไถขึ้นตามฉบับแบบนักเรียนแต่มีหน้าม้ายาวเฟื้อยผิดกฎหนึ่งคนและอีกหนึ่งกลุ่มยืนจ้องหน้ากันที่รั้วประตูขนาดใหญ่
“มึงจะเอาอะไรกับกูก็ว่ามา” หนึ่งชายผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางลมเย็นกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
พลั่ก!
และสิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือหมัดกระแทกเข้าที่โหนกแก้มแทนคำพูด กำปั้นใหญ่ๆนั่นมาจากนักเรียนหัวโจกที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายอารมณ์
วิถีคนถ่อย…
และใช่…เขาก็ไม่ได้ต่างจากพวกคนถ่อยนี่สักเท่าไหร่นักหรอก
พลั่ก!
เสียงกระดูกฝ่ามือกระแทกสวนกลับไอ้นักเรียนที่ทำตัวเหมือนมาเฟียโง่ๆ
ลิ่วล้อ 3 ชีวิตพากันทำหน้าเลิกลั่กเมื่อผู้นำกลุ่มล้มลงนอนคว่ำที่พื้นปูน
“มองอะไร!จัดการมันสิวะ!!” เสียงตวาดของหัวหน้ากลุ่มทำให้อีก 3 คนที่มองเหตุการณ์วิ่งกรูเข้ามารุมกระทืบชายหนุ่มผู้ห้าวหาญ
ทักษะด้านการต่อสู้อาจมีพอประมาณ ต้องขอบคุณเกมส์เพลย์ที่สอนให้เขารู้จักวิธีการเตะต่อยที่ถูกต้องและประสบการณ์ในอดีตสำหรับเรื่องชกต่อย
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะเก่งถึงขนาดป้องกันตัวจากไอ้พวกหมาหมู่ 3 ตัวนี้ได้
ซี่โครงขวาถูกหน้าแข้งเตะอย่างจังจนปวดร้าวไปหมด มุมปากแตกเนื่องด้วยไอ้หน้าปลาทองปล่อยหมัดกระแทก หน้าท้องจุกเสียดทันทีเมื่อใครไม่รู้ต่อยเข้าให้เต็มแรง
เขาพลาดท่า เข่าอ่อนเมื่อไม่อาจทนความปวดได้ ทรุดตัวลงด้วยแรงที่แทบไม่เหลือ
ไม่รอให้ใครสั่ง หัวโจกหน้าสก๊อยเดินเข้ามาเตะสีข้างแล้วกระทืบกลางหลังด้วยความสะใจ
“จำไว้นะไอ้ซินธ์ ว่าอย่ามาหาเรื่องพวกกูอีก!” คนถูกกระทำกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจและอาการเจ็บที่แล่นลามนั่นทำให้ต้องกัดปาก ข่มตาระงับทุกสิ่งอย่างที่ปะทุในใจ
“ไอ้พวก…หมาหมู่…” เค้นเสียงพูดให้ชัดๆ ไม่ว่าเปล่ายังถุยน้ำลายใส่พื้นเป็นขวัญตา
“ถุย…”
“มึง!” ฝ่าเท้ายกสูงเตรียมลงแรงที่กลางหลังซ้ำอีกรอบ ซินธ์ยิ้มเยาะทั้งที่กำลังจะโดนเหยียบ
“เฮ้ย!พ่อมึงมา!!”
ทุกคนชะงักงัน เสียงเล็กเหมือนเด็กพึ่งแตกสาวตะโกนมาจากไหนสักที่ นักเรียนชายหมาหมู่มองหน้ากันอย่างงุนงงไม่ต่างจากซินธ์ที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันมากนัก
“กูหมายถึงพ่อที่อยู่ในบ้านมึงอ่ะ!”
โครม!!
คนแปลกหน้ากล่าวแถลงไขความไม่เข้าใจด้วยการอธิบายพร้อมถีบเต็มแรงที่เอวนักเรียนชายหน้าสก๊อยจนฝ่ายนั้นกระเด็นล้มลงนอนราบกับพื้นปูนอีกรอบ
คนแปลกหน้าพยุงซินธ์ให้ลุกขึ้นและวิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ฟีโน่ ปากพร่ำถามว่าโอเคใช่มั้ย ทนหน่อยนะ ซ้ำไปมา
ถึงจะเจ็บและยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าเท่าไหร่ แต่สมองสั่งให้เขาออกแรงวิ่งไปพร้อมชายแปลกหน้าที่ตัวเล็กกว่าเขาเกือบครึ่ง
พยายามยกขาซ้อนท้ายเบาะ แรงแทบไม่เหลือให้ใช้ เจ็บก็เจ็บแต่ก็ต้องอดทน กลิ่นน้ำยาซักผ้าติดลมลอยเข้าโพรงจมูกยามเอนหัวพิงด้วยความเหนื่อย รู้สึกดีที่ได้กลิ่นน้ำหอมเคมีแทนที่กลิ่นเหล็กในปากและจมูก
เสียงก่นด่าไล่หลังมาติดๆ จังหวะที่พวกมันกำลังปารองเท้านักเรียนใส่เขา เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่มอเตอร์ไซค์ฟีโน่สตาร์ถออกจากที่จอดชั่วคราวในซอยแคบๆ
และเขาเห็น…คนแปลกหน้าชูนิ้วกลางใส่ไอ้พวกหมาหมู่นั่นอย่างไม่กลัวตาย
หลังจากนั้น…ทุกอย่างก็มืดไปหมดยามที่พลังงานขีดสุดท้ายในร่างกายไม่เพียงพอ
ลืมตาอีกที…ก็มาอยู่ที่ห้องสีขาวกลิ่นดอกไม้เคมียี่ห้อคอมฟอร์ท
“อะไร…วะ…”
“เป็นไงบ้าง” ผู้ชายหน้าตาประหลาดนั่งดูดนมกล่องรสช๊อกโกแลตอยู่ปลายเตียงมองหน้าเขา ตาแป๋วๆนั่นไม่ได้จ้องเหมือนคาดคั้นคำตอบ ก็แค่มอง มองมาที่เขาเหมือนคนปกติที่รอคำตอบที่ถาม…
แต่เขารู้สึกใจเต้นผิดสเต็ปไปหลายช่วง
“นายเป็นใคร?”
“คนมารยาทที่ดีไม่ถามสวนกลับมาหรอกนะ” ชายตาแป๋ว(ที่เขาตั้งโดยส่วนตัวตามสิ่งที่เห็น)สวนกลับและนั่นทำเอาซินธ์สะอึกไปพอควร
กวนประสาท
“ถ้าฉันมารยาทดีฉันจะไปต่อยกับไอ้พวกนั้น?”
“เราเรียกสิ่งที่เห็นว่าการป้องกันตัวน่ะนะ” ปากสีชมพูเล็กนุ่มนิ่มงับหลอดสีขาวพลางดูดของเหลวรสหวานสู่ลำคอ
“ฉันอยู่ที่ไหน” ซินธืถามต่อ เขาควรที่จะรู้ว่าเขาอยู่ส่วนไหนของโลก รู้ดีว่านี่ไม่ใช่บ้านเขาแน่นอนล่ะ ห้องนอนเขาไม่มีกรอบรูปที่บรรจุกระดาษสีขาวเปล่าๆไว้แปะพนังเล่นหรอกนะ
แปลกเหมือนหน้าตา
เรียวคิดขมวดเข้าหากันด้วยความขัดใจเมื่อเจ้าของตาแป๋วนั่นไม่ตอบคำถามซ้ำยังดูดนมในกล่องจนไม่เหลืออะไรให้ดูด
“ปวดเอวกับปากนิดหน่อย ทีนี้บอกฉันได้รึยังว่าตอนนี้ฉันอยู่ไหน นายเป็นใครและช่วยฉันทำไม”
“นายถามเยอะจังแฮะ…” ปากกระจับคายหลอดแล้วพึมพำงุ้งงิ้ง
“อย่างแรก เราจะแนะนำตัวก่อนนะ ถึงที่ไทยจะไม่ค่อยมีใครแนะนำตัวแบบทางการแล้วก็เถอะ เราชื่อกวาง ชั้นมัธมศึกษาปีที่ 5 อยู่โรงเรียนเดียวกับซินธ์”
“รู้จักฉัน?” เขาไม่คุ้นผู้ชายหน้าทอมตรงหน้าสักนิด อันที่จริง…นอกจากเพื่อนในกลุ่มแล้วเขาก็แทบไม่คุ้นใครเลยสักคน
“ไม่มีเพื่อนเยอะไม่ได้แปลว่าต้องไม่รู้จักเพื่อนในรุ่นนะ” ตอบตาใสแต่รู้สึกเหมือนโดนด่าอ้อมๆว่าไม่สนสังคมภายนอก
“อย่างที่สอง นี่ห้องเรา ห้องในหอที่ซินธ์อยู่นั่นแหละ”
“นายรู้?”
“ถึงเราจะไม่อยากรู้แต่ก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆเพราะตอนทำแผลเราเห็นในกระเป๋ากางเกงด้านหลังตรงก้นซินธ์มีอะไรนูนๆแล้วมันเป็นกุญแจห้องหอเลยเอาออกให้ เดี๋ยวนอนไม่สบายตัว”
รู้สึกหน้าร้อนวูบเมื่อร่างกระจ้อยพูดคำว่าก้น
ทำไมไอ้คนตรงหน้าดูหน่อมแน้มจังวะ…ไม่หลุดหยาบสักคำแต่ทุกประโยคแซะเขาแทบทุกคำพูด
“ขอบใจ แต่ไม่จำเป็น”
“จำเป็นไม่จำเป็นแต่เราทำไปแล้ว ยังไงก็จะรับคำขอบคุณนะ” พูดจบแล้วฉีกยิ้มตาหยี
ครั้งที่ 9 ที่เขาหายใจกระตุกตั้งแต่ลืมตา
“ช่วยฉันทำไม?” ไม่อยากใส่ใจ บางทีเพราะเขาโดนทำร้ายร่างกายมาเลยเป็นผลเอฟเฟคตามมา ถ้าไปหาหมอเดี๋ยวก็คงหาย
“เพราะซินธ์โดนทำร้าย ใครจะยอมให้เพื่อนถูกทำร้ายกัน จริงไหม?”
ความรู้สึกประหลาดพุ่งขึ้น อุ่นไปทั้งหัวใจ รู้สึกแปลกๆรอบที่สิบตั้งแต่เจอกวางตาแป๋ว
ไม่เคยมีใครใช้คำว่าเพื่อนกับเขาทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันแบบนี้
เหมือนจะดีใจแต่ก็ใจเต้นด้วยความสุขที่ไม่เคยพานพบ
ได้แต่สงสัยพร้อมกดความรู้สึกนั่นให้ลึกลงไป
อา…ไอ้กวางตาใสนี่ถูกเลี้ยงมาแบบไหนนะถึงได้น่าขย้ำแบบนี้
“ฉันอยากกลับห้อง”
“อื้อ” ตอบรับและมองหน้าเขา
“อะไร?” กวางเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่นั่งพิงหัวเตียง
“นาย…ฉันลุกไม่ขึ้น”
“อ่าห้ะ”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเป็นปมใหญ่ๆ ใบหน้าร่างเล็กมีรอยยิ้ม เอียงองศาคอเล็กน้อยเหมือนรอคอยเขาให้ลุกจากเตียงสีครีม
เขาไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะเจอคนแบบนี้มาก่อน คนประเภทที่ไม่กลัวเขาและยังกวนประสาทได้หน้าซื่อตาใส
“ช่วยฉันหน่อย…ฉันลุกไม่ขึ้น” สุดท้ายแล้วก็ต้องพูด ถึงจะเจ็บใจแต่เพราะสังขารไม่เอื้อที่จะอวดเก่ง
รอยยิ้มหวานจับตาส่งมาให้เด็กผู้ชายตัวสูง ซินธ์รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยที่จะได้กลับห้อง
แต่ก็ไม่ คนรู้จักไม่แม้แต่จะกระดิกตัว
“นาย…”
“ใคร?ฉันเหรอ?”
“แล้วทั้งห้องมีกี่คนที่ฉันพูดด้วย” น้ำเสียงหงุดหงิดของหนุ่มผู้บาดเจ็บไม่ทำให้กวางหวั่นเกรง
“กวาง”
“อะไร?”
“เรามีชื่อ และกวางคือชื่อเรา”
“ฉันรู้”
“อือฮึ เพราะงั้นเราไม่ได้ชื่อนาย”
“นายกำลังกวนประสาทฉัน…”
“ไม่เลยคุณซินธ์ ในโลกนี้มีคนชื่อนายตั้งหลายคน พูดแบบนั้นเราไม่รู้หรอกนะว่าขอให้เราช่วย”
“กวนตีน…” ซินธ์คิดว่าเขาทนมามากพอแล้วกับการกวนประสาทของคนตรงหน้า เหยียดตัวตรงด้วยแรงทั้งหมดที่มีและนั่นทำเอาเขาต้องเบ้หน้าเพราะความจี๊ดที่แล่นขึ้นมาจากช่วงเอว
อาการเจ็บนั่นทำให้เขาเสียสมดุลในการยืน แรงทั้งหมดถ่ายเทไปด้านหลัง ร่างสูงหงายหลังเตรียมกระแทกลงเตียงที่พึ่งลุก
ปึก!
“เชี่ย…”ทำได้แค่สบถระบายความปวด
“ดื้อจริงๆเลย” กวางส่ายหน้าน้อยๆ เขาวางกล่องนมที่พื้น ก้าวเท้าประชิดร่างสูงที่ตัวงอเป็นกุ้งสุกเวลาต้ม
ดื้อแบบนี้นี่เองเลยต้องเจ็บตัว
“ไม่ต้องมายุ่ง…”
“อย่าเอาศักดิ์ศรีมาใช้ให้มากเลยนะ หนักเปล่าๆ” เพื่อนหน้าหวานเอ็ดเพื่อนตัวโตผู้ซึ่งพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ปากบอกไม่แต่มือยาวๆนั่นเกาะไหล่เขาแน่น
ปากแข็ง
คุณลักษณะเพื่อนใหม่ถูกบันทึกในหน่วยความจำ กวางไม่ปริปากพูดเมื่อซินธ์ไม่ตอบอะไรเขา
“นายอยู่ห้องไหน” กวางเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ
“9407” เสียงเรียบๆดังแผ่วข้างกกหู กวางขนลุกนิดหน่อยแต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าน้ำหนักของซินธ์ที่โถมใส่ตัวเขา
แต่เขาจะไม่บอกหรอกว่ามันหนักมาก
“โอ๊ะ จริงเหรอ” ตากวางขยายกว้างเหมือนนึกอะไรออก
“ทำไม นายอยู่ใกล้ห้องฉันเหรอไง?” ซินธ์กระตุกยิ้ม
“บอกให้เรียกชื่อไง”
“เรื่องมาก”
“เรื่องไม่มากหรอก แต่ซินธ์ต่างหากที่ไม่อยากทำ”
“รู้แล้วจะบังคับทำไม?”
“เพราะเราอยากให้ซินธ์เรียก”―เจ้าของชื่อถอนหายใจ ยอมแพ้ก็ได้ เห็นแก่ที่ช่วยเขาหรอกนะ
“กวางอยู่ใกล้ห้องฉัน?”
“สรรพนามห่างเหินจังอ่ะ”
ไอ้กวางเรื่องมาก!
สุดท้ายก็ทำได้แค่ถอนหายใจ ยกมือมาเคาะหัวทุยนั่นหนึ่งทีด้วยความหมั่นใส้ เพื่อนใหม่หัวเราะคิกคัก ไม่ยี่หระความเจ็บแปล๊บๆบนหัว
“กวางอยู่ใกล้ห้องเรา?” สาบานเลย…เขาไม่เคยใช้สรรพนามมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งแบบนี้กับเพื่อนผู้ชายตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย
กวางหันมายิ้มเผล่ พยุงเขาให้เดินหันหลังกลับไปทางเดิม
“พ่ามพาม!”
เรามาหยุดที่หน้าห้อง 9407 ซึ่งตรงข้ามกับหน้าห้อง 0794
ร่างสูงมองเลขห้องอย่างระอา เขาเหนื่อยที่ต้องเดินไปกลับ พลังงานที่แทบไม่มีหายไปมากกว่าครึ่ง หากเขาเป็นiphone ขีดแบตคงขึ้นสีแดง เปอร์เซ็นต์ที่โชว์ไม่น่ามากไปกว่า 20%
ใจจริงอยากจะกัดใบหูเล็กๆนี่ให้เลือดซิบโทษฐานทำให้ตนเหื่อยฟรีแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะร้องไห้จ้าเสียก่อน
คงตลกพิลึก
“สวัสดีคุณเพื่อนห้องตรงข้าม” ตบท้ายด้วยยิ้มหวานๆอีกรอบที่ทำให้ซินธ์ใจเต้นตุบตับไม่เป็นจังหวะ
และนั่นทำให้คนที่เข้าถึงยากที่สุดมีเพื่อนใหม่ที่โดยไม่ได้ตั้งใจ
ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือร้าย แต่เวลาไอ้หน้าหวานนี่อยู่ด้วยทีไรเหมือนโลกสดใสยิ่งกว่าตอนเดินห้างโซนตุ๊กตาบาร์บี้
Ł
“ตื่นสาย”
วันนี้ก็เหมือนวันเปิดเทอมทั่วไปของนักเรียนชั้นมัธนมศึกษาตอนปลายเช่นเขา
ตื่นเช้าอาบน้ำกินข้าวแล้วไปโรงเรียน
และการเปิดประตูห้อง 9407 เพื่อมาเจอหน้าคนอาศัยฝั่งตรงข้าม
“เมื่อคืนใครชวนกูดูบอลจนถึงตี 3 ไม่ทราบ” สรรพนามห้วนๆพัฒนาตามกาลเวลา
หนึ่งวัน
หนึ่งเดือน
หนึ่งปี
น่าแปลก จนถึงตอนนี้ทั้งเขาและกวางรู้จักกันมาเกือบปีแล้ว
ยิ่งอยู่ห้องตรงข้ามก็ยิ่งได้รู้จักกันมากขึ้น เวลาไปเรียนก็เจอมันยืนรอ เวลากลับก็เจอมันเดินข้ามถนน
ตอนแรกก็ทำเมิน แต่กวางข้างๆดันสายตาดี ตะโกนเรียกชื่อเขาดังลั่นถนน
เรียกครั้งเดียวเขาจะแกล้งทำเมินต่อ แต่เล่นเรียกจนทุกคนหันมามอง สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องเดินไปหาตัวแสบที่ยิ้มแก้มแตกอยู่อีกฝั่ง
Rrrrrrrrrr
“อ่า…ม๊าโทรมาแหะ”
“เปิดลำโพง” ซินธ์ขมวดคิ้ว ตวัดสายตามองหน้าคนเตี้ยกว่า จดจ้องหน้าจอมือถือสีแดงขึ้นตัวเลขดิจิตนับเวลา
“อื้อ ครับม๊า” รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าหวานยามรับสายผู้กำเนิด
แล้วรอยยิ้มหวานจับตากลับหุบฉับลงแทบไม่ทันเมื่อผู้มีพระคุณตอบกลับมา
(เมื่อไหร่แกจะกลับบ้าน จะให้พวกฉันต้องแก่ตายก่อนใช่มั้ยห้ะ!)เสียงแก่ๆตวาดออกมาจากลำโพง
ซินธ์พ่นลมหายใจ พิงขอบประตูรอด้วยความรู้สึกบีบคั้น
“ไม่ใช่นะครับ…ช่วงนี้งานเยอะมากผมเลย―” เสียงเว้าวอน เบาลงแทบกระซิบ ดัดลงให้หวานขึ้น ฟังดูเหมือนปลอบประโลม
(ตอแหล!!พรุ่งนี้กลับบ้านมาหาฉันด้วย!อ้อ แล้วช่วยพาไอ้พ่อเฮงซวยของแกไปหาหมอด้วยนะ!!ฉันรำคาญ―กรี๊ดดด!!!!)
เสียงตึงตังดังแทรกคำพูดมาพร้อมการกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ซินธ์หลับตาลง เอื้อมแขนไปบีบไหล่เล็กที่เริ่มสั่น
“ม๊า!!ม๊าครับ!!!”
(ไม่ต้องกลับมา!กลับมาก็มีแต่จะแย่ลง! แค่ฉันเห็นหน้าแม่แกฉันก็ปวดกบาลพอแล้ว จะไปไหนก็ไปแต่ไม่ต้องมาโผล่ที่นี่!)
เสียงแหบระโหยโรยแรงของผู้ชายอายุราว 40 กว่าตะโกนแทรกเข้ามา จบประโยคนั้นสายก็ถูกตัดไป
“มึง…” การสนทนาถูกตัดโดยสมบูรณ์ พร้อมกับหัวใจที่ปิดการรับรู้ลงของลูกคนเดียว
ปิดเปลือกตา พ่นลมหายใจ
ไม่…หัวใจไม่ได้ปิดตาย เพียงแค่กำลังปรับสภาพให้ทันกับการเต้นที่จะเพิ่มทวีความรุนแรง
รู้แค่ว่าต้องยิ้ม ฉีกยิ้มที่คิดว่าดีพอจะทำให้เพื่อนที่คิดมากกว่าเพื่อนรู้สึกสบายใจ
จะรู้มั้ยหนอ…ว่าเพียงแค่สัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือนั่นสามารถทำให้ความคิดและความรู้สึกที่มากมายในใจจางหายไปรวดเร็วยิ่งกว่าสายไหมหล่นลงน้ำ
“ไม่เป็นอะไรหรอก ที่ม๊าอยากให้เราไปหาก็เพราะคิดถึง ส่วนที่ป๊าไม่ให้ก็เพราะไม่อยากให้เราเป็นห่วงสุขภาพ แต่แค่พวกเขาปากหนักมากๆแค่นั้นเอง พรุ่งนี้ที่นัดกันไว้ว่าจะไปสยามก็คงต้องยกเลิกนะ ขอโทษด้วยน้า”
กวางกล่าวเสียงใส แววตากลมโตนั่นทอประกายเปี่ยมล้นด้วยความสุข
ซินธ์อยากตะโกนใส่หน้าว่าไอ้ที่เจอไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิด มึงเลิกสวยได้แล้วไอ้ซื่อบื้อ!!
แต่เขาก็ไม่อยากทำร้ายความสุขเล็กๆของเพื่อนสนิทให้มันดับสลายไปมากกว่านี้
Ł
พลั่ก!
ไหล่เล็กกระแทกอย่างจังกับกำแพงสีหม่น นักเรียนชายตัวสูงใหญ่ผลักร่างกวางติดกำแพงเต็มแรงด้วยความรำคาญที่ถูกเปรียบเทียบเรื่องคะแนนกับไอ้เตี้ยนี่ตลอดเวลา
แรงอัดแรกพุ่งตรงสู่หน้าท้อง แรงอัดที่สองพุ่งอัดซ้ำที่เดิมติดๆ
จุกจนพูดไม่ออก
เป็นการรุมต่อยที่เงียบเชียบ ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงเสียงหายใจฟึดฟัดด้วยความพอใจของฝ่ายลงมือ
“เฮ้ยมึง!” ซินธ์วิ่งถักๆมาหากวางที่ทรุดกับพื้น ตัวคุดคู้ ฝ่ามือกุมท้อง น้ำหูน้ำตาไหล
เขาบอกเพื่อนตัวเล็กให้รอหน้าห้องน้ำ เขาจะเข้าไปล้างมือที่เปื้อนสีน้ำแล้วค่อยกลับพร้อมกัน พอออกมากลับไม่พบเพื่อนหน้าหวาน
ก้มลงเช็คสภาพเพื่อนที่นั่งแหมะ เอื้อมมือหมายจะจับที่ท้องแต่ต้องชักมือกลับลูบหัวไหล่แทน
“เป็นอะไร?” กวางส่ายหน้า กลั้นหายใจยามปลายจมูกโด่งเคลื่อนเข้ามาดูใบหน้าที่ก้มต่ำของตน
“โรคสำออยไง แตะนิดแตะหน่อยทำเป็นทรุด เหอะ” ถ้าการที่แตะนิดแตะหน่อยของไอ้โจ้ทำเขา มันก็คงเป็นอะไรที่นิดหน่อยจริงๆ
แต่ไม่ใช่…นี่คือกวาง เด็กผู้ชายที่รูปร่างบอบบางและเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เขาเชื่อใจมากที่สุด
หรือไม่…ความรู้สึกนั้นก็เกินมากไปกว่าคำจำกัดความในกรอบพวกนี้
“ไอ้เหี้ยโจ้!” ซินธ์ผุดลุกขึ้นทันใด ความโมโหครอบงำจิตใจรวดเร็วยิ่งกว่าสาดน้ำมันใส่ ไม่ต้องถาม แค่เห็นหยดน้ำตาไหลลงปลายคางนั่นก็มีเหตุผลมากพอที่เขาจะกระทืบมันโดยไม่รู้สึกผิด
โจ้ตั้งการ์ดพร้อมโต้กลับ ซินธ์รู้สึกถึงความร้อนภายใต้ผิวหนังกำพร้า ขาซ้ายกำลังส่งแรงเหวี่ยงไปสงเคราะห์ข้อพับไอ้เวรนี่ แต่มือป้อมๆดึงชายกางเกงไว้แน่นไม่ให้ยกขา
ก้มลงมองด้วยความขัดใจ พบเจอเด็กน้อยอายุเท่าเขาแหงนมอง แสดงสีหน้ามู่ทู่เหมือนไม้ถูบ้านหลังจุ่มน้ำแล้วบิด ดวงตาใสพราวด้วยหยดน้ำ ปากเล็กเม้มแน่นอย่างสุดจะกลั้น
“ไม่ชอบ…” ประโยคเดียวตัดทุกอารมณ์โกรธาให้หายปลิวไปตามสายลม ชั่ววินาทีทุกอย่างเงียบกริบ
ซินธ์ไม่พูดอะไร ใบหน้าบึ้งตึง ข่มใจไว้ให้ลึกที่สุด ย่อตัวคุกเข่ากับพื้น ทำการแบกร่างเพื่อนสนิทขึ้นหลัง เสียงสูดขี้มูกนั่นยิ่งกระตุ้นอารมณ์เดือดให้โหมมากขึ้นอีกเท่าตัว
โจ้ทำหน้ามึนงงกับสถานการณ์ ท่าเตรียมสู้ดูจะทำเก้อเลยลดมือลงแล้วต้องชักขึ้นใหม่เมื่อซินธ์หันหน้ามามองเขา
ดวงตาคมดุดันจ้องเขาราวกับจะฆ่าให้ตายภายในหนึ่งหมัด
“อย่าให้เห็นว่ามึงยุ่งกับคนของกูอีก วันหลังมึงไม่ได้หายใจและตั้งท่าโง่ๆแบบนี้แน่”
เสียงแหบกดต่ำตามอารมณ์ที่เดือดดั่งน้ำอุณหภูมิ 100 องศา มันเยือกเย็น นิ่งสงบชนิดที่คนฟังยังขนลุก
ซินธ์เป็นตัวอันตราย…เขารู้ดี ไม่ใช่แค่เขา ทั้งโรงเรียนต่างก็ทราบดี
ใบหน้าเฉื่อยชาไม่รับแขก ส่วนสูง189 เซนติเมตร ไหล่กว้างกับตำแหน่งนักกีฬาบาสของโรงเรียนยิ่งทำให้คนนี้ดูน่าเกรงขามจนแทบไม่กล้าเข้าใกล้ ไหนเลยจะเรื่องที่ว่าบิดาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนและมารดาเป็นผู้ดีเก่าแก่มีเงินในคลังมหาศาล
ซินธ์เป็นเด็กนักเรียนรุ่นเดียวกับเขา ชื่อเสียงมันกระฉ่อนใช่ย่อยเรื่องเตะต่อยและสารพัดความดำมืดที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ภายในและนอกโรงเรียน
มันเข้าออกห้องปกครองบ่อยกว่าห้องเรียนด้วยซ้ำ
แต่เมื่อปีก่อน ได้ข่าวหนาหูว่าซินธ์ปลีกวิเวก เลิกราเรื่องที่คนดีๆเข้าไม่ทำ ไม่ต่อยตีกับใคร ทั้งยังตั้งใจเรียนและผันตัวมาเป็นนักกีฬาโรงเรียนเต็มรูปแบบจากที่ปกติมาแค่ตอนแข่ง สร้างความอัศจรรย์ใจให้คณะจารย์และห้องปกครองรวมถึงผู้ปกครองของมัน
บ้างก็ว่ามันมีแฟน บ้างก็ว่ามันป่วยหนัก บ้างก็ว่ามันเบื่อ
แต่ไม่คิด…ว่าที่มันยอมเลิกทุกอย่างเพื่อผู้ชายตัวเล็กแสนฉลาดนั่น
สำนวนที่ว่า ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุท่าจะจริง
เห็นไอ้ซินธ์ทำราวกับจะฆ่าเขาให้ตายทั้งๆที่คนโดนคือกวางเหมือนถูกกระตุ้นโดยมือที่มองไม่เห็นว่าให้ทำซ้ำอีกรอบ
และยิ่งเป็นเขาที่เกลียดไอ้กวางจนต้องบอกว่ารังเกียจยิ่งทำให้อยากรู้ว่าถ้าเกิดแตะต้องแรงขึ้นจะเป็นยังไง
Ł
“เกลียดมึงชิบหาย” ปากบอกว่าเกลียดแต่มือหนาเท่าใบลานลูบหัวเขาเล่นเหมือนลูกแมว
เขาจะไม่ตอบ รู้หรอก ปากบอกเกลียดแต่ในใจคงจ๋อยสนิท
ปากแข็งเหมือนสันหนังสือพจนานุกรมบัณฑิตยสถานที่เคยทำตกกระแทกหน้าผากตอนสมัยประถม
“ทีงี้ล่ะหุบปาก ทำไม กลัวกูจะขี่มอไซค์ไปกระทืบมันที่บ้านเหรอไง?”
“ถ้าซินธ์ทำ เราจะไปอยู่กับคิน” ช้อนตากวางสบประสานนัยน์ตาสีนิลที่จ้องมองทุกคืน
“ล้อเล่นขามๆเน้อ” ซินธ์ก้มลงงับจมูกรั้นอย่างนึกหมั่นเขี้ยว
“เจ็บบบบ” งอหน้า ย่นจมูก เคี้ยวคู่คมแทงจึกที่ปีกจมูกนั่นทำเอากวางสะดุ้ง
ไม่พอใจนะ ไม่พอใจ มันเจ็บนะ ถ้าจมูกขาดล่ะ!
“ทีโดนต่อยล่ะไม่ร้องแบบนี้”
“ก็มันจุก”
“เหอะ หัดสู้ซะบ้างสิวะ ตัวก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้น สูงจนหมาเลียตูดไม่ถึงยังจะนั่งร้องไห้เป็นเด็ก”
“ก็เราไม่อยากสู้”
“ถ้าสู้แล้วเขาต้องเจ็บ เราก็ไม่อยากสู้หรอก”
“เขาเจ็บ เราเจ็บ แล้วสุดท้ายเราได้อะไรล่ะ?ความสะใจ?พอใจ?การรู้สึกชนะ?”
“…”
“ซินธ์ก็รู้ว่าเรื่องพวกนี้เราไม่ชอบ…” เอ่ยเสียงแผ่ว ซินธ์นั่งนิ่ง มือหน้าเกลี่ยปอยผมให้เข้าที่เข้าทาง
เราต่างตระหนักดี การอยู่ร่วมกันต้องมีการเสียสละและแลกเปลี่ยนแบ่งปันเพื่อการอยู่ด้วยความสันติสุข
“กูจะพยายามมากกว่านี้”
“แค่เป็นในแบบที่เป็นในตอนนี้เราว่ามันก็ดีที่สุดแล้วซินธ์ ขอบคุณนะที่ไม่มีเรื่องเพราะเห็นแก่เรา”
“มั่วเถอะ กูไม่มีเรื่องกับใครเพราะเบื่อเวลามึงบ่น” ซินธ์เบนหน้าหนี ทำเสียงแข็งกลบเกลื่อนเสียงตึกตักภายในอกซ้ายที่ทำงานเกินหน้าที่
กวางยิ้มตาหยีเหมือนเด็กได้ขนมจากพี่ชายใจดี
Rrrrrrrrrrrr ―เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มันสั่นสะเทือนที่ท้องกวาง กวางหลับตาลง ไม่ได้กดรับ เพียงหยัดตัวขึ้นจากตักหนา หยิบสมาร์ทโฟนที่สั่น มองชื่อบุคคลที่โทรเข้า
‘Dad DT’
“อา…” ครางฮึมฮัมในลำคอ ขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปหยิบกระเป๋าตังค์ แล้วเดินเข้าห้องนอนเปลี่ยนเสื้อผ้า
ซินธ์จับจ้องเจ้าของห้องเดินไปมา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เขามีคำถามแต่เขาจะไม่ถาม เขาไม่ใช่บุคคลที่จะต้องมาถามเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว
“เดี๋ยวมานะ” กวางเดินออกมาจากห้อง กลิ่นโคโลญจน์หอมฟุ้ง เสื้อผ้าชุดใหม่สุภาพเรียบร้อยกว่าเก่ามากโข ผมหวีเรียบไม่ยุ่งเหยิง
“จะไปไหน?” ซินธ์ก้าวขายาวๆไปหยุดยืนค้ำหัวเพื่อนที่นั่งผูกเชือกรองเท้าคอนเวิรส์สีขาว กวางเงยหน้า ขยับยิ้มละไม
บางสถานการณ์ก็บังคับให้เขาต้องถาม ยิ่งกับคนที่ตัวติดแทบจะ 24 ชั่วโมงอย่างกวางเขายิ่งต้องถาม ตัดพวกกฎที่ตั้งไว้ในสมอง กับคนที่ใส่ใจ ต่อให้ต้องถามมากกว่านี้เขาก็จะถาม
“ไปซื้อดอกไม้ไหว้พระ พรุ่งนี้วันพระแล้วเรายังไม่ได้ซื้อพวงมาลัยเลยอ่ะ” ไปซื้อดอกไม้บ้านมึงใส่เสื้อเชิ๊ต
ซินธ์ไม่ได้หลุดปากพูด ไม่อยากให้อีกฝ่ายหน้าเสีย
“ให้ไปด้วยมั้ย?” เขาถาม กวางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าจนแก้มยุ้ยสั่นตาม
“อยากกินมาม่าชีส ต้มให้กินหน่อยนะ” กระจับปากสีชมพูแย้มยิ้มน่ารัก ลุกขึ้นยืนแล้วมองหน้าเขา กวางมองเห็นความไม่พอใจในแววตา คำถามมากมาย และความเป็นห่วงที่ท่วมล้น
มือเล็กๆยกขึ้นเขี่ยเส้นผมหน้าม้าที่ไม่เป็นทรง จัดแต่งให้เข้าที่เข้าทาง การกระทำเอาใจใส่นั่นทำเอาซินธ์หยุดคิดเรื่องเมื่อครู่ไปหนึ่งจังหวะ
เขาไม่ชอบมันก็เพราะแบบนี้ ขี้อ้อนและรู้วิธีเอาใจสารพัด
“ก็ได้ ระวังตัวด้วย” สุดท้ายก็ต้องยอมมันอยู่ดี
“อื้อ!”
กวางจะรู้มั้ย…ว่าตัวเองเป็นคนที่โกหกได้แย่ที่สุดในสายตาคนตัวสูง
พรุ่งนี้ไม่ใช่วันพระ ถึงเขาจะไม่ได้นับถือพุทธแต่เขาจดไว้ในปฎิทินที่ห้องพัก
ยังไงซะ…เขาก็ต้องลงไปซื้อมาม่าชีสให้กวางเลี้ยงแกะอยู่แล้ว
ไม่ได้เรียกว่าตามไปหรอก
Ł
กวางเดินไปตามทางเดินฟุตบาท
ผ่านบ้านสองชั้น ผ่านร้านค้าโชว์ห่วย ผ่านไปอีกสองซอยเจอ7-11 ซึ่งระยะทางที่เดินมาเรียกได้ว่าไกลจากหอพักชายพอสมควร จวบจนถึงถนนเส้นเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านกาแฟเก่า อยู่มาตั้งแต่สมัยรุ่นย่าเจ้าของร้าน อาแปะแกว่าอย่างนั้นนะ
กวางมองซ้ายมองขวา สืบเท้าข้ามถนนเมื่อทางโล่งพอจะให้เดินไปพบเป้าหมายที่นัดไว้ได้ รถฮอนด้าสีขาวจอดชะลอให้เขาเดินผ่าน กวางผงกหัวขอบคุณน้ำใจที่ในวันนี้เขาได้รับเพิ่ม 1 ครั้งจากคนในเมือง
ไม่มีประตูเข้าร้าน ไม่มีกระดิ่ง เป็นร้านกาแฟเปิดโล่ง มีเจ้าของร้านเป็นอาแปะอายุ 65 ชงกาแฟด้วยความคล่องแคล่ว พนักงานบริษัทนั่งกันตามโต๊ะ กรอบสายตาหวานมองหาบุคคลใส่แว่นตัวสูงชะลูดที่นัดเจอ
โต๊ะตัวในสุดถูกจับจอง มนุษย์ผิวขาวนั่งดูดโกโก้ปั่น ใครอีกคนที่นั่งข้างกันดูดกาแฟเย็น
กวางไม่ลังเล เดินเข้าไปหาแล้วยกมือไหว้คนทั้งสองทันที
แปลกใจนิดหน่อยที่คนใส่แว่นไม่ได้มาแค่คนเดียวตามที่นัดกันไว้ แต่คนที่มาด้วยก็เป็นคนรู้จักเช่นกันเลยไม่มีปัญหาอะไร
“หมอสั่งนมเย็นปั่นให้เราแล้วนะ”
“ขอบคุณครับหมอมารุต”
“หมอมีเวลาไม่มาก เข้าเรื่องเลยแล้วกัน” บรรยากาศตึงเครียดไปถนัดตา แต่คนหน้าหวานที่นั่งถัดจากหมอมารุตยังคงดูดกาแฟมองหน้าเขา
“ครับ” ออกจะประหม่านิดหน่อยที่ถูกมองโต้งๆแบบนี้ แต่พยายามข่มใจตั้งใจฟังคุณหมอตรงหน้า
“อาการของคุณพ่อตอนนี้ถือว่าดีขึ้นมากครับ สามารถควบคุมอารมณ์ได้แล้วในระดับหนึ่ง กับสังคมภายนอก เขาสามารถออกไปทำงานหรือใช้ชีวิตได้ตามปกติตามเดิมได้แล้ว อันนี้หมอต้องแขอแสดงความยินดีด้วย แต่ที่หมอยังเห็นว่าส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออาการดูจะเป็นกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเท่านั้นครับ”
กวางเม้มปาก หัวใจบีบรัดเสียจนปวดหนึบ พยักหน้ารับรู้
มารุตถอนหายใจ เขาเป็นหมอประจำตัวคุณพ่อของกวาง รักษามา 3 ปี พบกับเจ้าเด็กนี่ตั้งแต่ที่เอาแต่ใจ หยิ่งผยองและแสน…จะว่าอย่างไรล่ะ…ต้องบอกว่าเห็นแก่ตัวกระมัง
จากตอนแรกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง พอผ่านไปนานวัน เป็นเขาที่อยู่ในวัฐจักรการดำรงชีวิตเจ้าเด็กตรงหน้าซะงั้น
เวลาเปลี่ยน ทุกสิ่งอย่างย่อมต้องเดินไปข้างหน้าและปรับเปลี่ยนเพื่อให้อยู่รอดในสังคม
“ตอนนี้หมอแนะนำให้กวางอยู่ที่หอพักจนกว่าจะจบม.6 ดีกว่านะครับ ไว้ให้คุณพ่อคุณแม่เราหายดีก่อนเนอะ” มารุตส่งยิ้มใจดีให้ กวางมองหน้าและยิ้มบาง
“ขอบคุณครับหมอมารุต” อาแปะเดินมาวางแก้วนมเย็นสีชมพูบนโต๊ะ ทักทายนักเรียนขาประจำร้านแล้วเดินจากไปเมื่อมีลูกค้ามารอสั่งน้ำที่หน้าร้าน
มารุตผินหน้ามองคนข้างๆ พยักพเยิดให้พูดอะไรสักอย่างกับกวาง ร่างบางแยกเขี้ยวใส่หมอแว่นที่กวนเวลาเขาดูดกาแฟอึกสุดท้าย
“ตอนนี้คุณแม่ดีขึ้นจนเรียกได้ว่าเกือบเต็มร้อย แต่หากมีสิ่งที่เร้าท่านมาก ท่านก็จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน พี่แนะนำให้แยกกันอยู่กับพ่อเราก่อน แต่ดูเหมือนท่านจะดื้อเกินไปเลยไม่ยอม ยิ่งเป็นแบบนี้บ่อยๆหมอคิดว่าอาการจะยิ่งแย่ลง”
หมอหน้าหวานมองเขา น้ำเสียงจริงจัง แววตากลมนั่นจริงจังและมั่นคงทุกครั้งที่กล่าวทุกถ้อยคำ
กวางรับรู้ ในสมองประมวลผล พยักหน้าหงึกหงักให้คุณหมอตัวบาง
“ขอบคุณที่ดูแลคุณแม่อย่างดีเลยนะครับ…ขอบคุณทั้งหมอมารุตกับหมออรุณเลยนะครับ” ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกไป จากแต่ก่อนที่เคยมีมากล้นเกินร้อย หล่นลงมาจากยอดเหลือเพียงติดลบ
ต้องขอบคุณหมอสองคนข้างหน้า ขอบคุณอย่างที่ไม่อาจจะหาอะไรมาตอบแทนได้แล้วจริงๆ
เป็นผู้มีพระคุณ…เป็นผู้ที่สอนให้เข้าใจชีวิต
จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนสำคัญ
พวกเขาพูดคุยสัพเพเหระกันสักพักตามประสาคนรู้จัก กระทั่งหมออรุณยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา สะกิดไหล่กว้างคนข้างๆแล้วกระซิบกระซาบกันสองคน
ดวงตาคมเบิกกว้าง สีหน้าตื่นตระหนกผิดกับหมออรุณที่ทำหน้าเบื่อหนาย
“หมอต้องไปแล้วล่ะกวาง ดูแลตัวเองดีๆนะครับ” หมอมารุตลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ตั้งใจเรียนนะครับ มีอะไรไม่เข้าใจถามพี่ได้” หมออรุณลุกตามติดๆ หยิบกุญแจรถแล้วเดินไปพร้อมกับอีกคน
กวางโบกมือบ๊ายบาย ฉีกยิ้มกว้าง เมื่อแผ่นหลังต่างขนาดพ้นสายตา มือเล็กลดลงแนบลำตัว เหม่อมองท้องถนนที่ตอนนี้ยังไม่มืดเท่าไหร่นัก ดูดนมเย็นอึกสุดท้ายแล้วลุกขึ้นยืน เตรียมเดินออกจากร้านไปซื้อพวงมาลัยไหว้พระปากซอยทางเข้าหอ
หมับ!
ความอุ่นแทรกที่แขน แรงบีบรัดจากกระดูกหุ้มด้วยผิวหนังสากส่งผ่านอุณหภูมิมาสู่ผิวหนัง กวางยืนนิ่ง หันหน้าไปมองคนกระทำอุกอาจที่จับแขนเขาเอาไว้
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ตากลมโตเบิกกว้าง ความตกใจพุ่งขึ้นสูงเมื่อเห็นใบหน้าคนพูด
หมวกแก๊ปสีดำถูกถอดออก มือกว้างดึงแมสปิดปากลงไว้ใต้คางแหลม แววตาคมเข้มดุดัน ไม่ได้ฉายแววตาว่างเปล่า มันถูกเติมเต็มด้วยความใคร่รู้ ความโกรธ ความหงุดหงิดงุ่นง่านปะปนกันไปเหมือนอาหารที่ถูกปรุงแต่ง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิมในแววตาคมคู่นี้
ความเป็นห่วงและความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกใจสั่นอยู่ร่ำไปยามสบตา
Ł
“ซินธ์…”
เขาไม่ได้คาดหวังว่าเดินตามตูดไอ้กวางมาแล้วจะเจอมันซื้อพวงมาลัยจากป้าปากชมพูบานเย็นแล้วเดินกลับเข้ามาที่ตึก เขาพอจะดูออกตั้งแต่ต้นว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ แต่มันนัดใครสักคนเอาไว้ ใครสักคนที่ไม่อยากให้เขารู้
เป็นความลับ…ที่ซินธ์ไม่อยากให้เป็นความลับ
อาจมีกับทุกคนรอบตัว สังคมน้อยใหญ่
แต่ไม่อยากให้มีกับเขา
เป็นกับเพื่อนสนิทที่คิดเกินเพื่อนอย่างเขา
จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่คนขี้เสือก ไม่ใช่คนจุ้นจ้านชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่…แต่ว่า…
กับกวาง…กับไอ้เตี้ยตาแป๋วนี่
เป็นข้อยกเว้น ข้อยกเว้นเพียงสิ่งเดียวในใจที่ทำเพียงกระพริบตาใส่เขาก็เปิดประตูให้มันเดินผ่านกำแพงมาแสนง่ายดาย
ไม่ได้ผิดหวัง เขาสามารถตอบได้เต็มปากว่าไม่ผิดหวังสักนิดที่เพื่อนโกหกเขา
ไม่สิ มันอาจจะไม่ได้โกหก
มันแค่ไม่ตั้งใจบอกว่าจะมาเจอใครหรือทำธุระอะไรเสียมากกว่า
ซินธ์อยากรู้จากปากของกวางเอง ไม่ว่าจะรอนานเท่าใดก็อยากจะรู้จากปากของมัน
เขาเชื่อใจ แต่เป็นห่วง เป็นห่วงว่ามันจะโดนดักทำร้าย
ซินธ์รู้จักไอ้โจ้ดีพอว่ามันเป็นพวกหัวดื้อ ปากเก่ง เอาแต่ใจ วุฒิการตัดสินใจหรือการคิดวิเคราะห์ต่ำเกินที่คนอายุเท่ามันพึงจะมี พอๆกับการใช้เหตุผลในชีวิตที่แทบไม่มีนอกจากใช้อารมณ์เป็นบรรทัดฐาน
ไม่ได้ตั้งใจฟังกวางพูดคุยกับผู้ชาย 2 คน เขาทำตัวปกติ เดินเข้ามาทำทีสั่งโกโก้ 1 แก้วแล้วนั่งหันหลังมองถนนข้างนอก วางมือถือบนโต๊ะ เตรียมพร้อมโทรให้เพื่อนเข้ามาสมทบทุกเมื่อ
ความเงียบของร้านหลังจากกลุ่มพนักงานเดินจากไปทำให้เขาได้ยินประโยคบอกเล่าอาการพ่อแม่กวางโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาเงียบ จากที่ไม่ได้สนใจกลายเป็นว่าสมาธิพุ่งไปยังประโยคโต๊ะข้างหลังเขาแทน ก้มหน้าดูดของเหลวรสหวาน เงี่ยหูฟัง
ตั้งใจฟังจนไม่ได้สนใจโจ้ที่ยืนคุยโทรศัพท์ฝั่งตรงข้ามร้าน
Ł
อากาศตอนเย็นในกรุงเทพใช่ว่าไม่ดี แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกเย็นเยียบไปหมดทั้งร่างกาย
เราเดินไปตามทาง หมายถึง…ผมกับซินธ์ กำลังเดินกลับ ผ่านสิ่งก่อสร้างเดิมๆแต่อยู่ตรงข้ามกับเส้นทางที่เดินมา
ร้านค้ากลางคืนเริ่มเปิดกันเต็มทาง คนเลิกงานค่ำก็เริ่มมาหาอาหารทานและเดินเล่นกันประปราย
เราที่เป็นนักเรียนก็ต้องเดินกลับที่พัก แต่บรรยากาศมันน่าอึดอัดไปหมด
ซินธ์ไม่ได้เดินห่างผมไกลสุดเอื้อม กลับกัน เขาอยู่แค่เอื้อมผมเท่านั้นเอง น้อยกว่าด้วยซ้ำไป
มีเพียงผมที่พยายามตีตัวออกห่างจากเขา และก็เป็นเขาที่เขยิบเข้ามาใกล้ทุกครั้ง
เราเดินเงียบท่ามกลางเสียงพูดคุย
เราต่างมองผ่านสีสันข้างทาง ทำเพียงจดจ้องทางตรงหน้าและอยู่ในความคิดที่วนเวียนซ้ำกัน
ผมอึดอัด อยากพูด อยากแก้ไข อยากอธิบาย ไม่ใช่เงียบกันทั้งสองฝ่าย
สุดท้าย…ผมทนไม่ไหว จู่ๆก็รู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากเดิน อากาศที่หายใจมากมันไม่เพียงพอความต้องการของปอดที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนถ่ายจากออกซิเจนเป็นคาร์บอนไดออกไซด์
ความจริงมันเพียงพอ แต่ผมหายใจไม่ออกเพราะน้ำมูกใสมันตันในจมูก
ผมไม่อยากสูดเสียงดัง กลัวซินธ์จะรู้ว่าผมร้องไห้
ไม่อยากให้รู้เพราะความน่าอึดอัดครั้งนี้ผมเป็นนำพามันเข้ามาสู่ตัวเราสองคน
ผมยอมแพ้ ผมตายแน่ๆถ้าผมต้องกลั้นหายใจเกิน 3 นาที
ความเหนื่อยของหัวใจเพิ่มขึ้น 50% จากการที่ไม่ได้หายใจ
อีก 50%มาจากการที่หัวใจเต้นช้าเพราะมัน…
มันเต้นช้า…
ช้าก็เพราะเขา
เขาที่ตัวสูง เขาที่ยืนมองหน้าผม มองด้วยแววตารู้สึกผิด เขาที่เกลี่ยน้ำตาบนใบหน้า ปาดเม็ดน้ำตาซึ่งปริ่มอยู่หางตาผม
“ขอโทษ…” ผมเอ่ยออกไป ไม่ได้ฟูมฟายขนาดหนักขนาดที่จะสะอึกสะอื้น แต่ผมแน่ใจว่าปากผมเบะหน้าตาเริ่มยับย่นจนคนเดินผ่านเริ่มมอง
ซินธ์ถอนหายใจ หยิกแก้มทั้งสองข้าง หน้าตาดูก็รู้ว่าไม่พอใจแค่ไหน แต่เพื่อนตัวสูงทำแค่หยิกแก้มผมแรงๆเท่านั้น
เจ็บ…แต่ก็เพราะเจ็บน้อยกว่าถ้าเราจะไม่คุยกันตลอดทาง
ผมก้มหน้า ซินธ์จูงมือผมเดินต่อ เราไม่ได้เดินกลางฟุตบาท เดินริมในสุดเพื่อไม่ให้ขวางทางใครและนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าอยากทำบางสิ่งเพื่อให้คนตรงหน้าพูดอะไรกับผม
ผมปล่อยมือซินธ์ แม้ว่าซินธ์จะไม่ปล่อยแต่ผมก็บิดมือออก ซินธ์หันมามองผม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันกว่าเก่า
หมับ!
ร่างเล็กกอดร่างสูงเต็มรัก ซินธ์เซถอยหลังเล็กน้อย ตกใจกับการกอดที่ไม่ได้เตรียมใจแบบนี้
ก้อนเนื้อขยับขึ้นลงพองตัวด้วยความเร็วชนิดที่กวางได้ยิน
แรงกอดกระชับแน่นขึ้น ใบหน้าน่ารักซุกเข้ากับแผ่นอกจนแนบแน่น การกระทำนั่นยิ่งทำให้ซินธ์ใจเต้นถี่รัวกว่าเดิม
สุดท้าย…เขาก็แพ้มันอีกจนได้ แม้จะไม่ได้ตั้งใจเงียบหรือมึนตึงใส่ แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ
วงแขนกว้างกอดร่างแน่งน้อย ลูบหัวทุยอย่างที่ชอบทำ ไม่สนใจสายตาคนรอบข้างที่มองพวกเขา
“ขอโทษ…ขอโทษ เราขอโทษ ขอโทษที่โกหก” กวางเงยหน้ามองสันกรามเพื่อนตัวสูง ผละออกจากอก แต่ไม่วายจับที่ข้อมืออีกฝ่าย
ซินธ์พยักหน้า ลูบแก้มนุ่มนิ่มที่ขึ้นรอยแดงจากการหยิกของตัวเอง
“ถึงหอแล้วค่อยคุยกัน”
“แต่”
“เอาไว้คุยที่หอ ตอนนี้อยู่ข้างนอก เสียงดัง กูไม่ชอบ”
กวางจำใจพยักหน้า แม้จะอยากแถลงไขความผิดตัวเองแค่ไหนก็ตาม แต่ร่างน้อยก็วางใจว่าเพื่อนสนิทไม่ได้โกรธตนแล้วเพราะมือของเราที่จับกันไว้
กวางก้มหน้าอมยิ้ม ไม่ต่างจากซินธ์ที่บนใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มประดับอยู่
พวกเราเดินจับมือจนถึงทางม้าลายที่ข้ามไปฟุตบาทฝั่งทางเข้าหอ
ไฟเขียวพึ่งหมดไปตอนเราหยุดเดิน อีกฟากถนนเป็นแม่ลูกคู่หนึ่ง เหมือนคุณแม่สาวจะยุ่งอยู่กับการคุยโทรศัพท์จนไม่ได้สนใจลูกน้อยที่ทำท่าจะเดินข้ามมาอีกฝั่ง
ซินธ์ก้มลงหยิบมือถือในมือเมื่อมันสั่นอย่างหนัก หน้าจอปรากฏเบอร์ประหลาด ก้มหน้ามองหน้าจอ สไลด์แล้วรับสาย เป็นใครสักคนที่เหมือนจะโทรผิด เขาเริ่มหัวเสียเมื่อปลายสายกวนมากเข้า แต่เขาไม่ได้ปล่อยมือกวาง ยังคงจับเอาไว้แต่มันง่ายเหลือเกินสำหรับการที่จะสลัดออก
รู้สึกถึงแรงเหวี่ยงของมือนิ่มที่จับกันมา เหวี่ยงออกและหายไป ซินธ์เงยหน้ามองคนข้างกายผู้ซึ่งวิ่งฝ่ารถยนต์ไม่สนใจสิ่งใด แม้กระทั่งตัวเอง
ปริ๊นนนนน!!!!
โครม!!!!
Ł
ผมเกลียดความใจดีของเขา
เสียงแตรรถดังสนั่น ร่างเด็กน้อยตัวเท่าเข่ายืนกลางถนน รถเก๋งพุ่งตรงมาด้วยแรงขับเคลื่อนที่ไม่สามารถชะลอลงได้ทันเสี้ยววิ
ความแรงของพาหนะพุ่งตรงกระแทกร่างกายมนุษย์กระเด็นไปตามถนนยางมะตอย
เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่ว
แม้แต่เสียงเด็กผู้หญิงที่ร้องไห้จ้าเมื่อตนถูกผลักกระแทกขอบฟุตบาท
ร่างเปื้อนฝุ่นที่นอนนิ่งอยู่ในสายตาเป็นคนเดียวกับที่เขาเกลียดมันมากที่สุด
เร็ว…เร็วเกินไป…
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาสั้นๆ
“กวาง!!!!!!” เสียงของผมมักออกไปก่อนความคิดเสมอ
ในสมองคิดเอาไว้ว่าเกลียดมัน
แต่ในก้นบึ้งรู้แน่ชัดว่ามันเป็นเพียงคนเดียวที่สำคัญที่สุดในวงจรชีวิต ณ ตอนนี้
มันเป็นคนดีที่เติบโตมาในสังคมที่โคตรบัดซบ
ผมรำคาญมันในบางครั้งเมื่อมันยิ้มให้กับเรื่องร้ายๆ
รำคาญเมื่อมันพูดจาให้กำลังใจในวันที่โลกมืดแปดด้าน
ไม่ชอบใจเวลามันกอดในวันที่ผมรู้สึกเดียวดายและดำดิ่งกับความเหงาจับจิต
เบื่อเมื่อมันให้อภัยเมื่อใครสักคนทำผิดมหันต์
แม้จะผิด…จนไม่น่าให้อภัย…มันก็มักจะหาเหตุผลล้านแปดมาใช้อธิบายเหตุผลที่ควรให้อภัย
แต่ไม่รู้ทำไม…คนแบบมันถึงได้ดวงซวยมาเจอสิ่งเหล่านี้
ดวงซวยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกับผม
ซวยทุกครั้งอยู่ร่ำไป…
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ทั้งๆที่คนแบบมันควรจะมีความสุขและชีวิตที่ดีกว่านี้
ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนที่แสนดี ชีวิตที่สงบสุข
บางทีผมก็เกลียดตัวเองที่พูดจาทำร้ายมันไม่เว้นวัน
แต่ก็เกลียดมันที่เลือกผมเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่มันเปิดรับและได้อยู่ด้วยกัน
“ถ้ามึงตาย…กูจะตามไปจองล้างจองพลาญมึงในนรกเลยไอ้เหี้ยกวาง…”
“ลืมตาสิ…ลืมสิวะ…”
“กูบอกให้มึงลืมตาไง!!!” เสียงตะโกนดังก้อง
“ไหนมึงบอกจะไปคุยกับกูที่หอไง…กวาง…ฮึก…กวาง…มึงลืมตาสิวะ…” ซินธ์ไม่เคยฟูมฟาย ครั้งสุดท้ายที่เขาร้องไห้คือตอนที่เขาโดนมารดาต่อว่าและยึดตุ๊กตากันดั้ม
ตะกรองกอดเพื่อนตัวเล็ก รับรู้ได้ถึงของเหลวอุ่นที่ผ่านมือ ไหลหยดลงพื้น แทรกง่ามนิ้วและไรผม ร่างอีกคนอ่อนปวกเปียกเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นโดนน้ำสาด
แนบหน้าผากกับหน้าผากเข้าหากัน กลั้นก้อนสะอื้นและเงยหน้ามองบุรุษพยาบาลต่างวิ่งลงมาจารถพยาบาล
ซินธ์วิ่งตามและขึ้นรถเดินทางไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
โลกไม่เคยเอียง…และมันก็ไม่เคยยุติธรรม
ถึงตอนนี้หน้าห้องICUก็มีแค่ผมที่นั่งรอมัน
ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติ ไม่มีใครสักคนมายืนรอมันเพื่อลมหายใจที่กำลังถูกยื้อ
ไม่มี…
มีแค่ผม…
แค่ผมคนเดียว…
แค่ผมคนเดียว…ในโลกกลมๆของมัน
SPOIL
“มันผิดอะไร…ผิดอะไร…ตอบผมหน่อย…”
“ในฐานะที่พวกคุณเป็นพ่อแม่มัน ช่วยตอบได้มั้ยว่าอะไรที่ทำให้ชีวิตมันต้องมาเจอเรื่องบัดซบพวกนี้ด้วย?”
“คุณรู้อะไรมั้ย”
“แม้แต่ช่วงเวลาที่มันหายใจเฮือกสุดท้าย คนที่ควรจะยืนอยู่ตรงนี้ควรเป็นพวกคุณทั้งสองคน ไม่ใช่ผม”
“คนที่ควรจะพูดว่ารักและปลอบใจมันควรเป็นคุณ…พ่อที่แสนเสียสละและแม่ที่แสนน่ารักของมัน…”
Writer talkative
กวางดนดี ทำไมชีวิตต้องมาเจอคนแบบซินธ์ หาคุณไคดีกว่า(อุปส์)
มาต่อแล้ววว โอย ลากเลือดเวอร์ อย่าพึ่งเบื่อดราม่าเด้อ เอาจริงๆตอนนี้ยาวมาก ยาวชิบหาย ถ้ามีคำผิดแจ้งได้นะคะ เม้นติชมได้ซัมเหมอที่รักส์
Sad Blue Tone
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

9 ความคิดเห็น
-
#9 PPSnook (จากตอนที่ 7)วันที่ 15 กันยายน 2560 / 01:26เฮ้ยยยเกิดอะไรขึ้นกับกวางอะ รอเลย#90