ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกร้อยวันฉันจะเขียนนวนิยายให้จบ

    ลำดับตอนที่ #5 : วันที่๕ตกหลุมรักแค่แรกเห็นมีจริงหรือ?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 67
      0
      18 ต.ค. 49

    วันที่๕

    ตกหลุมรักแค่แรกเห็นมีจริงหรือ?

     

     

    01 : 35 :07 (ดูจากนาฬิกาดิจิตอล)

     

    นอนไม่หลับ ... เปล่า ! ไม่ใช่ฉัน โน่น ... เป็นยัยดารา แม่เพื่อนทูนหัวของฉัน

    ความจริงฉันกำลังจะนอน แต่มันเพิ่งจะกลับจากงานเลี้ยง ถึงบ้านแทนที่จะอาบน้ำนอน แต่สงสัยจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่ โทรมาหาฉันแบบไม่เกรงใจเลย

    “ ฉันเจอผู้ชายคนหนึ่ง พัด ”

    ฉันก็นึกว่าจะมีเรื่องอะไรสำคัญ ก็หมั่นไส้ เลยสิ คนจะหลับจะนอนนี่นา

    “ เออ แต่ฉันก็เจอหลายคนว่ะ ”

    “ ฉันว่า ฉันหลงรักเขา ”

    “ อ้าว ”

    “ จริงๆ นะ พัด แกก็รู้นี่ว่าฉันไม่เคยพูดเล่นเรื่องนี้ ” เสียงมันเหมือนกับตัวเองค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นแหละ มันก็ใช่ละนะ เพราะปกติยัยดาราพิสุทธิ์ ชอบทำตัวลอยละล่องฉายไปโฉบมา ควงหนุ่มๆ มากหน้าหลายตา แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่มันจะพูดถึงความรัก เอะไม่สิ มันเคยพูดว่า รักไม่เป็นโว้ย ! อยู่ครั้งหนึ่ง

    “ ใครล่ะ? ”

    “ ชื่อ มิสเตอร์ไมเคิล กงซัน

    “ เฮ้ย ! ” ฉันหลุดอุทาน ถามต่อเร็วปรื๋อเลยว่า “ ลูกครึ่งฮ่องกงอังกฤษสูงๆ หล่อ ๆ มีหนวดเรียวใช่ไหม? ”

    “ ทำไม? แกรู้จักเหรอ ” เสียงยัยดารามันย้อนแปลกใจเลยล่ะ

    “ ถ้าคนเป็นคนเดียวกันนะ ฉันก็เพิ่งเจอเมื่อกลางวันนี่เอง ”

    “ เหรอ แล้วแกไปเจอได้ยังไง เขาหล่อมากเลยใช่ไหม แค่ฉันมองตาเท่านั้นนะยัยพัด ฉันรู้สึกหวิว ๆ สัญชาตญาณมันบอกต้องเป็นคนที่ใช่แน่ ”

    ฟังยัยดาราพูดแล้วฉันไม่อยากบอกเล้ย ... แต่ทำไงได้

    “ ฉันเจอตอนไปกินกลางวันกับครอบครัวเฮียแกไงล่ะ? นายไมเคิลที่แกว่านั่นเป็นสามีเก่ายัยลินดา ”

    ข้อมูลจากฉันคงทำให้ยัยดาราอึ้งไป จนฉันต้องถามว่า

    “ เฮ้ย เป็นไรรึเปล่า ทำไมเงียบไป ”

    “ แกเล่าเรื่องกลางวันให้ฟังหน่อยสิ ไปเป็นแฟนพี่ชายฉันเจอใครบ้าง แล้วแกคิดว่า ... เขาเป็นไง ”

    “ เอาเฉพาะเรื่องมิสเตอร์กงซัน ก็แล้วกัน ก็เงียบสุภาพดี แต่ท่าทางไม่กินเส้นกับเฮียแกนะ แต่ยัยลินดานั่นหลีเฮียแกน่าดู ไม่รู้ว่าทำใส่สามีเก่าหรือเปล่า แต่ตามสายตาฉันนายไมเคิลนี่เขาไม่สนใจเเท่าไหร่หรอกนะ จากที่ฟังเหมือนกันจะมาคุยเรื่องสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกมากกว่า ”

    “ มีลูกด้วยเหรอ? ”

    “ เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักมากสามสี่ขวบได้มัง ”

    ยัยดาราเงียบไปอีก ก่อนจะถามฉันว่า

    “ แกว่าฉันเดินหน้าต่อดีไหม? ”

    “ แกจะเดินหน้าเรื่องอะไร? ” ฉันง่วงเลยตามไม่ทันคำถามของมัน

    “ รักมิสเตอร์ไมเคิล นี่นะสิ ”

    ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

    “ แกอย่าบ้ามาถามกระุ้นอารมณ์ฉันนะยัยดารา ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะตกหลุมรักแค่แรกเห็น จินตนาการอย่างนี้มันเหมาะสำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียนของฉันมากกว่า นักธุรกิจหญิงแกร่งอย่างแก ”

    ยัยดาราเงียบไปอีกก่อนจะพูดเหมือนโกรธว่า

    “ ฉันว่าแล้ว แกต้องไม่เชื่อ แถมหัวเราะเยาะฉัน เสียเวลาเปล่าจริงๆ มีเพื่อนอย่างแกนี่ ถ้าฉัน รู้ว่าแกจะ ... ” แล้วมันก็วางหูไปเสียเฉยๆ

    อ้าว พูดยังงี้ก็ยอมไม่ได้นะสิ ฉันกดหาเบอร์ยัยดาราโทรกลับไป รอตั้งนานมันปล่อยให้สายหลุดไปเลย แต่มีหรือที่ฉันจะยอม ฉันเรียกไปใหม่ เป็นไงเป็นกันสิ คราวนี้มันรับสาย

     

    “ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ฉันหา ! แกไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันอย่างนี้นะ และฉันก็ไม่ได้หัวเราะเยาะแกด้วย ทุเรศจริงๆ กะอีแค่ตกหลุมรักนายไมเคิลแล้วมาทำโกรธใส่ฉัน ”

     

    อะไร ? โทรมาดึกๆดื่นๆ เพราะทะเลาะกันเรื่องผู้ชายเหรอ? ”

    ฉันอึ้งหน้าร้อนวาบไปเลย เสียงพี่ชายยัยดารานี่หว่า มารับสายได้ยังไง

    “ ก็ยังดีี่นะ ที่ได้ยินแบบนี้ ตอนแรกยังนึกว่าเป็นเลสเบี้ยนกันเสียอีก ”

    “ นี่ ... ” ฉันพูดไม่ออก โกรธ !

    “ ไปหลับไปนอนซะ อย่าฟุ้งซ่านให้มากนัก ”   

    ฉันอึ้งมองโทรศัพท์ในมืองงๆ นี่ฉันโดนวางหูใสู่อีกแล้วหรือ กำลังคิดว่าจะโทรกลับไปฉะดีไหม แล้วเสียงโทรศัท์ก็ดังขึ้นอีก

    “ แกคุยกับใครยัยพัด ทำไมฉันโทรเข้าไม่ติด ” ยัยดาราแปร๋นมา

    “ ฉันก็โทรกลับไปหาแกนะสิ แต่เจอเอาเฮียแกเข้า ”

    “ อ๋อ ...เฮียเขายืมโทรศัพท์ของฉันไปใช้โทรหาเพื่อน เพราะของเขาแบตใกล้หมดเลยฝากฉันมาชาร์ท ก็ที่ฉันโทรหาแกมันหลุดไปเฉยๆ นี่แหละ ตอนนี้ฉันก็เสียบแบตคุยกับแกอยู่ ”

    “ ซวยเลย เพราะฉันใส่แกไปเลยว่าตกหลุมรักนายไมเคิลแล้วมาโกรธฉัน ”

    บอกไปแล้วฉันก็เงียบรอว่าเพื่อนฉันจะว่ายังไง เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ยัยดาราคงไม่อยากให้ใครรู้ ไม่รู้เป็นไงนะคนตระกูลนี้ อะไรๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่เรื่องคู่ครองนี่เป็นต้องเข้าบอร์ดของครอบครัวก่อน (จริงๆ ฉันไม่ได้แกล้งพูด เพราะอย่างนี้ไงพี่ชายมันแต่ละคนที่ฉันรู้จัก ถึงยังไม่มีใครแต่งงานเลย แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโสดนะ)

    “ แล้วเฮียฉันเขาว่าไง ”

    “ ก็คิดว่าเราทะเลาะกันเพราะผู้ชายคนเดียวนะสิ ” ฉันข้ามไม่บอกอีกอย่างไป กะจะเก็บความโกรธไว้คนเดียว คิดได้ยังไง ... หาว่าฉันเป็นแอลบี

     

    “ เป็นฉันรักหรือว่าแกรักล่ะ? ”

    “ คงคิดว่าฉันละมัง คงไม่คิดว่าจะเป็นแกหรอก ”

    ยัยดารามันเงียบไป แล้วก็บอกว่า

    “ ถ้างั้น ... แกก็ทำให้เฮียคิดอย่างนั้นไปก็แล้วกัน ถ้ารู้ว่าเป็นฉันมันจะเรื่องมาก ยิ่งเป็นสามีเก่าแม่นั่นด้วย จะให้ใครรู้ไม่ได้ อีกอย่าง ฉันก็เพิ่งรู้จักเขาเพราะมางานเลี้ยงพร้อมกับเฮียนี่เอง เดี๋ยวโดนยำเละ”

    จากคำพูดนี้ ทำให้ฉันชักจะวิตก นี่ยัยดารามันตกหลุมรักจริงๆ เหรอ?ก็อดไม่ได้ที่จะถามละว่า

    “ นี่ดารา ... แกรักเขาจริงๆ หรือทึกทักเอาวะนี่ ”

    “ พัดชา แกกับฉันคบกันมาตั้งเท่าไรแล้ว ”

    แค่คำพูดนี้ ฉันก็รู้แล้วว่ามันเอาจริง

    “ จะให้ช่วยอะไรบ้างล่ะ? ” ฉันเสนอตัวเป็นเพื่อนนางเอก

    “ เอาไว้ฉันคิดอะไรได้จะโทรมาคุยด้วย แค่นี้นะ ”

    เอากับมันสิ วางหูไปเฉยเลย แต่ฉันยังงงๆอยู่นะ ให้ตาย ... เป็นไปได้เหรอนี่ จู่ๆ ยัยดาราก็ตกหลุมรักขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    มิสเตอร์ไมเคิล น่ะ จะว่าไปก็ฉันก็สะดุดตาเหมือนกันตอนถูกแนะนำให้รู้จัก แต่ความสะดุดตาของฉันมันไปผูกกับความคิดที่ว่า นายคนนี้น่าจะเป็นพระเอกนวนิยายของฉันได้เลย ซึ่งความรู้สึกของฉันมันก็ไม่ต่างไปจากการมองดาราหล่อๆ แล้วอยากคัดเอาสักคน มาใส่ในหนังสือที่ฉันจะแต่งเท่านั้น

    ตอนกินข้าวฉันยังแอบมองเขาบ่อยๆ จนเกือบไม่ได้ยินแม่ของเฮียเขาถามเลยว่า

    “ ไปรักกันกับโทนี่ตอนไหนล่ะ? ”

    ฉันหันมาทำหน้างง ใคร ? โทนี่ ... อ๋อ สงสัยจะเป็นชื่อเฮียเขาแฮะ ยังไม่ตอบ ยัยลินดาก็พูดยิ้มๆ ขึ้นมาเลยว่า

    “ สงสัยจะมองหน้าไมเคิลเพลิน เลยไม่ได้ยินคำถาม ระวังนะโทนี่เขาขี้หึง ”

     

    “ ตอนไหนดีคะ? ” ฉันแกล้งย้อนไปถามเขา ก็ไม่เคย เตี๊ยม กันไว้ก่อนกะจะให้เขาช่วยบ้างสิ ประเดี๋ยวตอบไม่ตรงกัน ก็เสียเท่านั้น

    “ จำไม่ได้ ” เขาตอบแบบมะนาวไม่มีน้ำเลย

    เอาไงดี ... สายตาจับผิดมองมาตั้งสองคู่ แต่ฉันรังเกียจสายตาเย้ยๆ ของยัยลินดาเป็นพิเศษ

    พี่ชายยัยดาราไม่ได้ช่วยอะไรเล้ย ! ต้องเล่นบทนี้เสียแล้ว

     

    “ ก็อย่างนี้ทุกที ” ฉันแกล้งพูดแบบโกรธนิดๆ “ พบกันครั้งแรกก็จำไม่ได้ วันเกิดก็จำไม่ได้ ครบรอบสองเดือนก็จำไม่ได้ อะไรๆ ก็จำไม่ได้ สงสัยคงจะจำไม่ได้ด้วยสิว่ารักฉันตรงไหน ”

    เป็นไงล่ะ? คำพูดฉันฟังเหมือนผู้หญิงแสนงอนไหม? คู่รักกำลังจะทะเลาะกันล่ะ?

     

    คราวนี้ทุกคนหันมามองหน้าฉันกับเขาสลับกันไปเลยล่ะ รวมแม้กระทั่งอังเคิล ที่ตอนแรกดูจะไม่สนใจอะไรกับฉันเลย เพราะมีแต่คุยๆๆๆ กับเฮียเขาและไมเคิลเท่านั้น

    แล้วฉันก็เห็นเฮียเขาแกล้งถอนใจดังๆ ทำหน้ายิ้มๆหยิบกุ้งเผามาวางที่จานฉันพูดเหมือนง้อว่า

    “ เอาน่า ... อย่างน้อยผมก็ยังจำได้ว่าคุณชอบกินกุ้งเผา ”

    เอะ ... เล่นได้ไม่เลวแฮะ แต่ยังก่อน ... ฉันหยิบกุ้งตัวนั้นไปคืนที่จานเขาพูดเสียงงอนๆว่า

    “ ต้องจำได้ด้วยว่า ฉันชอบให้คุณแกะให้ ”

    พูดไปแล้วฉันก็ต้องกัดลิ้นตัวเอง กลัวจะหัวเราะออกมา เพราะเขาทำหน้าเหมือนจะค้อนแต่ก็แกะกุ้งตัวนั้นให้ฉันแต่โดยดี อ้อ ... มีตัวต่อมาทยอยมาเรื่อยๆ เสียด้วยสิ

     

     

    ยัยลินดา หน้าบึ้งเชียวล่ะ? ไอ้คำถามว่ารู้จักกันตอนไหน ไม่จำเป็นต้องตอบแล้ว

    “ จะแต่งงานกัน เมื่อไหร่? ” แม่ของเขาถามฉันหลังจากเงียบไปตั้งนาน งานนี้เล่นเอาฉันอึ้ง เพราะไม่รู้จะตอบยังไง มันเป็นคำถามที่ตรงเกินไป ฉันโกหกไม่ทัน

    “ ไม่เกินปีนี้ครับ ” เขาตอบแทนฉัน
    เออ ...แล้วเขาจะแต่งกับใคร

    แต่ก็ยังดีนะที่ตอบ ก็นึกว่าจะสนใจแต่คุยกับอังเคิลเท่านั้น แสดงว่าก็ฟังอยู่เหมือนกัน

     

    “ เอาเวลาที่แน่นอนหน่อยสิ ได้ข่าวว่ามาอยู่ด้วยกันแล้วไม่ใช่เหรอ?ท้องขึ้นมาจะทำไง ”

     

    ฉันหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดโต้งๆ ของแม่เขาเลยล่ะ

     

    “ ก็ดีสิครับ ลูกผมจะได้อยู่ในงานแต่งงานพ่อแม่เขาด้วย ”

     

    “ อย่ามาพูดเล่น แม่กับอังเคิลรอฟังอยู่ ”

     

    มีอะไรบางอย่างที่ฉันรู้สึกว่า เขาไม่พอใจ

     

    แต่ดูเหมือนแม่ของเฮียเขาจะไม่สนเพราะหันมาคาดคั้นเอาที่ฉันว่า

     

    “ จะแต่งงานกันเมื่อไหร่? ”

     

    ฉันหันไปทางเขา ก็เห็นทำหน้าเฉย ไม่พูด ให้ฉันเล่นเองอีกล่ะซิ ก็เอามันตรงๆ ก็แล้วกัน

     

    “ มันสำคัญนักเหรอคะกับการแต่งไม่แต่ง ในเมื่อตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันแล้วในสังคมไทยดูเหมือนผู้หญิงต่างหากเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่นี่ดิฉันก็ยังสุขสบายดีไม่เข้าใจว่าคนอื่นจะมายุ่งทำไม อีกอย่างเชื่อเถอะค่ะว่า ลูกชายคุณไม่ได้พรากผู้เยาว์หรอก ”

     

    เงียบไปทั้งโต๊ะเลย
    ตาย
    ! ฉันทำพังหรือเปล่านะ?

    แล้วเขาก็ลุกขึ้น บอกกับฉันว่า

    “ กลับเถอะ ”

     

    ความจริงจากบ้าน มาโรงแรมที่ครอบครัวเขาพักอยู่ สามารถขับรถมาได้นะ แต่เขาเลือกที่จะขับเรือ ถ้าตอนขามาเขาก็ไม่พูดอะไรแล้ว ตอนขากลับก็ยิ่งกว่านั้นเพราะหน้าขรึมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ด้วย เล่นเอาฉันพลอยเงียบรู้สึกแย่หน่อยๆไปด้วย พอเขาขับมาถึงจอดเรือแล้ว ฉันเลยพูดกับเขาว่า

    “ ขอโทษนะ ถ้าทำพัง ”

    แต่เขาสั่นหน้าบอกว่า

    “ ไม่มีอะไรพัง ”

    “ ก็แล้วทำไมหน้าบึ้ง เงียบนักล่ะ? ” ฉันใส่ให้เลย มันเรื่องอะไรปล่อยให้เราเป็นกังวลอยู่ได้

    “ จะทวงคำขอบคุณเหรอ? ” เขาย้อน กระโดดลงเรือไปก่อนฉัน

    “ ฉันไม่เอาของคุณหรอก คำนั้นน่ะ ” ฉันพูดแล้วนั่งที่กราบเรือเตรียมจะลงบ้าง

    “ เดี๋ยวจะเข้ากรุงเทพฯ อยู่คนเดียวได้ไหม? ”

    “ ทำไมจะไม่ได้ ”

    “ อยากได้อะไรไหม? ”

    “ ไม่ ”

    ฉันกระโดดลง แต่ไม่ทันที่เท้าจะถึงน้ำเขาก็ช้อนฉันไว้ในอ้อมแขน ไม่สนใจอาการแข็งขืนของฉันอุ้มเดินมาส่งที่ทรายแห้งๆ

    “ ถือว่าแทนคำขอบคุณแล้วกัน พรุ่งนี้เจอกัน ”

     

    เฮ้อ ! อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ฉันจะนอนหลับไหมเนี่ย?

     

    12 : 37 น.

     

    ดีจัง ฝนตก ฟ้ามืด ไม่เห็นดวงอาทิตย์ตั้งแต่เช้า ถ้าไม่ดูนาฬิกาฉันก็คงคิดว่าฉันนอนข้ามวันข้ามคืนไปเลยนะนี่ (ฉันเคยทำจริงๆ เรื่องนอนแบบนี้)

    ตื่นมาชงกาแฟกิน แล้วก็นั่งซุกที่โซฟามองฟ้ามองฝนไปเรื่อย ๆ

    ๑. จะเกิดอะไรขึ้นนะ ถ้าจู่ๆ ฟ้าผ่าโครมลงมา แล้วเกิดมีใครสักคนเดินทางข้ามมิติมายืนอยู่ตรงหน้าฉัน (เขียนในนวนิยายรักแนวเดินทางข้ามเวลา บวกกับ แฟนตาซีหน่อยๆ ใส่อารมณ์ขันเข้าไปด้วย)

    ๒. เอ ... หรือว่ามีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูที่หน้าบ้านขอ เข้ามาหลบฝน แต่ถึงตอนเช้าเขาต้องตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าเจ้าของบ้านสาวแสนสวยตาย ( ลึกลับ ) หรือพบว่าตัวเองมานอนอยู่ในบ้านร้างได้อย่างไร? ( ผี ! )

    ๓. ก็ถ้าเป็นแบบ หลังฝนตกนางเอกของเราไปเดินเล่น ไปเจอชายคนหนึ่งเข้า นอนฟุบอยู่ เธอพาเขามาอยู่ในบ้าน เขาฟื้นขึ้นมาจำตัวเองไม่ได้ว่าเป็นใคร? ( นวนิยายรัก บวกพล็อต ความจำเสื่อม ถ้านางเอกของเราเป็นตำรวจสาว ก็ต้องเพิ่มพล็อตบอดี้การ์ดเข้าไปด้วย )

    ๔. พระเอกนางเอกติดอยู่เกาะด้วยกัน เพราะเกิดพายุ กลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ จึงต้องแต่งงานกัน เพื่อรักษาภาพพจน์ หรือ อื่นๆ

    ๕. Enforced Intimacy จากที่เคยเห็น

    • แต่งงานเพราะความสะดวกสบาย แก้ปัญหาด้านการเงิน เพื่อเอาตัวรอด ฯลฯ
    • เป็นบอดี้การ์ด
    • ถูกจับให้แต่งแบบคลุมถุงชน หรือ ถูกบีบบังคับด้วยวิธีที่อื่น จากผู้มีอำนาจหรือผู้ที่เคารพรัก
    • ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากด้วยกัน
    • แกล้งแต่งงาน หรือเป็นแฟนกัน เพื่อจุดประสงค์สักอย่าง แล้วก็หลงรักกันจริงๆ จะสนุกโดยมากก็เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างปกปิดความในใจของตัวเอง ( รับรองไม่เหมือนเรื่องของฉัน เพราะฉันเป็นคนที่เปิดเผย ม้ากมาก ...)
    • ถูกชักนำจากพ่อสื่อแม่สื่อ คนรอบข้างเชียร์ และสร้างสถานการณ์ให้ด้วย
    • ต้องใช้สถานที่ร่วมกัน ที่ทำงานเดียวกัน หรือ อยู่ห้องพัก บ้าน เดียวกัน

    ๖. จะเริ่มที่ตัวละครหรือว่าพล็อต?

    ความจริงคิดอันไหนได้ก่อน ก็เขียนลงไปก่อน เพราะมันจะเสริมกันและกัน แต่ ...

     

    ๗. ว่ากันว่าพล็อตที่ธรรมดาหากมีตัวละครที่น่าสนใจสร้างได้ดี จะทำให้คนอ่านสนใจ มากกว่า พล็อตที่คิดว่าดี แต่สร้างตัวละครได้ธรรมดาไม่มีความน่าสนใจ

     

    ๘. ในนวนิยายรัก คนอ่านมีแนวโน้มจะอ่านเพราะอยากรู้ว่า ตัวละครที่เขาเอาใจช่วย คิดอะไร จะทำอะไร จะตัดสินใจยังไง จะทำวิธีไหน เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา และจะทำได้สำเร็จไหม? (ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าแฮะ แต่ฉันเคยอ่านเจออย่างนี้ ถ้าวัดจากตัวเองมันก็น่าจะใช่)

     

    ๙.ในนวนิยายรัก ความขัดแย้งระหว่างพระเอกนางเอก มักจะเป็นความขัดแย้งภายในมากกว่าความขัดแย้งภายนอก ความขัดแย้งภายในเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกอันลึกซึ้ง ซึ่งจะแสดงออกทางความคิดและการตัดสินใจของตัวละคร ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้ คนอ่านเข้าใจพวกเขามากขึ้น (จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ?)

     

    ๑๐. นวนิยายรัก เป็นนวนิยายประเภทเดียว ที่แม้คนอ่านจะรู้ตอนจบต้องแฮปปี้ แต่ก็ยังอยากอ่าน เป็นนวนิยายที่แม้จะมีพล็อตซ้ำๆ ซากๆ ก็ยังมีคนติดตามอ่าน (อ่านไป ด่าไปก็มี) ยกตัวอย่างที่เห็นบ่อยที่สุด คือพล็อตในนิทานเรื่องซิลเดอเรลลา และ ??????? เพียบแตตอนนี้่ยังคิดไม่ออก

     

     

    เป็นไง?

    ฉันว่าเวลาฝนตกนี่ทำให้ฉัน คิดอะไรๆ ได้ดีกว่าเวลาอื่นนะเนี่ย ... ตั้งสิบข้อแน่ะ

    ฉันลองเขียนรายการ ที่คิดขึ้นได้เอาไว้ เพื่อทำความคิดของตัวเองให้ชัดเจนเสียก่อนที่จะลงมือทำอะไร ก็ตั้งใจจะเขียนอย่างนี้ทุกวันอย่างน้อยก็ ๕-๑๐ ความคิดต่อวันนั่นแหละ จะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ ก็ถือเสียว่าเป็นการฝึกเขียนแบบอุ่นเครื่องของฉันก่อนจะตกผลึกทางความคิดลงมือเขียนเรื่องจริงๆ

    อย่างน้อยก็ได้เขียนอะไรสักอย่างในวันหนึ่งๆ ล่ะ?

    จะเป็นนักเขียนก็ต้องเขียนนี่นา แม้แต่คำๆ เดียวก็ต้องเขียนลงไป อย่างเช่น

     

    ศพ !

     

    เอ ... ลองคิดเรื่องห้อมล้อมมันดีไหม?สร้างเรื่องแบบใช้สูตร ดับเบิ้ลยูไฟว์เอชวันน่ะ W5 H1

    (ไม่ใช่ H5N1 นะ ความจริงเรื่องไข้หวัดนกนี่น่าจะเอามาพล็อตเป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ได้สักเรื่องเลยนะ )

    การสร้างเรื่องด้วยวิธี W5H1 ก็ไม่น่าจะยาก แค่ตอบคำถามเหล่านี้ได้ ก็นำไปเป็นไอเดียสร้างเรื่องหรือสร้างฉากเหตุการณ์ได้เหมือนกันนา

     

    Who ใคร

    นางสาวพัดชา แสนสวย ... (ฉันหมายถึงหน้าตา ไม่ใช่นามสกุล )

     

    What ทำอะไร

    มาสืบหาความจริง

     

    Where ที่ไหน

    คฤหาสน์ร้างที่ร่ำลือกันว่ามีผีสิง มีฆาตกร มีคำสาป มีศพซ่อนอยู่ ฯลฯ

     

    When เมื่อไหร่

    ในบ่ายวันฝนตก

     

    Why ทำไม

    ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นนะสิ ... ขยาย Who อีกหน่อย เอาเป็นว่ายัยนี่เป็นนักข่าวก็ได้เอ้า ! เอะ รึว่าเป็นนักเขียนนวนิยายลึกลับดี หรือ ... เออช่างมันเหอะ

     

    How อย่างไร

    ลอบเข้ามาในบ้านหลังนี้ในตอนเจ้าของบ้านเขาไม่อยู่ แล้วดันถูกขังอยู่ในบ้านออกไปไม่ได้ บรื๋อว์ ... มันน่าสงสาร เอะ หรือน่าสมน้ำหน้ากันล่ะ?

     

    เอ ... ฉันนี่ก็ไม่ย่อยเหมือนกันนา คิดเป็นตุเป็นตะไปได้ สงสัยแววนักเขียนจะโผล่แฮะ

    ออดๆๆๆ

    ฉันวางปากกา

     

    ใครมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านละนั่น?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×