ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกร้อยวันฉันจะเขียนนวนิยายให้จบ

    ลำดับตอนที่ #4 : วันที่ ๔ เขียนอะไรสักอย่างซิ ..

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 51
      0
      18 ต.ค. 49

    วันที่ ๔
    เขียนอะไรสักอย่างซิ ..

    อยากเป็นนักเขียนต้องลงมือเขียน แล้วฉันก็เขียนลงไปว่า

    เมื่อเขียนอะไรไม่ออก
    ก็ให้เขียนอะไร
    สักอย่าง

    เมื่อคืนหลังจากสะดุ้งตื่นมาคิดเรื่องเหลวไหลฟุ้งซ่านแล้ว ฉันก็เพิ่งจะมาเคลิ้มหลับเอาตอนตีสี่ แต่ก็ยังรู้สึกตัวเอาตอนหกโมงกว่า ( ยังพอหยวนอยู่ในตารางเวลาที่เขียนเมื่อวาน )

    ฉันขยับข้อเท้า มันไม่ค่อยปวดแล้ว ก็เลยลุกจากเตียง เปิดม่าน ลากเอาเก้าอี้ มานั่งเหม่อมองดูทะเล แล้วก็มาเขียนบันทึกนี่แหละ เผื่อจะมีไอเดียบรรเจิดขึ้นบ้าง แต่เอาเข้าจริง นอกจากสามบรรทัด นั่นแล้วก็นึกอะไรไม่ออก สักอย่าง ก็เลยได้แต่นั่งมองทะเลเฉย ๆ

    จริงนะ ? ฉันมาถึงนี่เป็นวันที่สี่แล้ว หากไม่รวมวันแรกที่มา ฉันยังไม่ได้แม้แต่ไปเดินเล่นแตะผืนทราย หรือ ต้องน้ำทะเล อีกเลย

    หากเป็นไปตามหมายกำหนดการ เช้าฉันก็คงออกไปวิ่งแล้ว แต่ดันมาปวดข้อเท้าเสียนี่

    ขอภาวนาให้ทั้งวันมันดีขึ้นเรื่อย ๆเถอะ ตอนเย็นฉันจะได้ไปเดิน ดูพระอาทิตย์ตก แทนการมองฝ่ากระจกออกไปอย่างนี้

    แล้ววันนี้ฉันจะทำอะไรดีล่ะนี่ ? ...

    โต๊ะทำงาน .... เตรียมแล้ว

    อ่านหนังสือ เกี่ยวกับการเขียนดีไหม ?

    หรือว่าจะ เริ่มจดรายการ เรื่องที่สนใจก่อนดี

    ฉันอยากเป็นนักเขียน

    แต่ยังนึกเรื่องที่ตัวเองอยากเขียนจริง ๆ ไม่ออก

    เอาเป็นว่า เพราะฉันขาเจ็บ ( ข้อแก้ตัว )

    เลือกอ่านนวนิยายรักเล่มโปรดของฉันเป็นแรงบันดาลใจดีกว่า

    ฉันเงยหน้าจากการเขียนมองออกไปที่ทะเลอีกครั้ง ก็เจอ ชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินคู่กันมา ผู้ชายน่ะฉันจำได้ดีก็พี่ชายยัยดารานั่นแหละ ( ฉันยังไม่รู้จักชื่อเขาจนบัดนี้ ) ผู้หญิงที่เดินคู่มากับเขานี่สิ มองห่าง ๆ อย่างนี้ ฉันยังสรุปได้ว่า ต้องสวย ก็หุ่นอย่างนั้น ผมยาวอย่างนั้น เข้าสเปคฉันเลยล่ะ

    สองคนนี้คงจะออกไปวิ่งด้วยกันมา เพราะใส่เสื้อยืด และกางเกงวอร์มทั้งคู่ พูดคุยหัวเราะกันดี ท่าจะสนิทสนม เอ ... รึจะเป็นแฟนกัน ?

    เขาอาจจะทำอย่างนี้เป็นประจำก่อนที่ฉันจะมาแล้วก็ได้

    ซึ่งนั่นทำให้การมองทะเลของฉันชักจะน่าเบื่อขึ้นมา ฉันก็เลยลุกขึ้นเมื่อพวกเขาเดินใกล้บ้านเข้ามา การเคลื่อนไหวของฉันคงจะทำให้เขาเห็น เลยมองมา และ่ฉันก็มองผ่านกระจกสบตาเขาเฉย ๆ

    มันเรื่องอะไรที่ฉันจะหลบ ฉันไม่ได้แอบมองพวกเขาสักหน่อย ฉันมองทะเลของฉันอยู่ดี ๆ นี่นา

    แต่ให้ตาย ๆๆๆๆ ... ฉันยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลย มันโป๊เสียด้วยสิ โอย ...   

     

    อาบน้ำเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ออกจากห้องไปไหน ก็มันไม่ค่อยจะหิว อาหารเช้าของฉันมันไม่ค่อยจะสำคัญสักเท่าไร ? ก็กะจะรอให้ทั้งเจ้าของบ้านและแขก ออกไปนั่นแหละ อย่างน้อย เขาก็น่าจะเดินกลับไปส่งผู้หญิงคนนั้น ฉันก็เลยเลือกที่จะนอนอ่านหนังสือ ฟังเพลงในห้องเล่น

     

    เรื่องที่ฉันอ่านเป็นเรื่องแปลโรแมนติก ตามพล็อตนางเอกเป็นคนรวยอายุยังไม่ถึงสิบแปด รู้จักกับพระเอกที่ยากจนแต่หยิ่งชะมัด นางเอกท้องจึงต้องแต่งงานกับพระเอก พ่อนางเอกเกลียดพระเอกมาก พระเอกต้องไปทำงานต่างประเทศเพื่ออนาคตนางเอกจะตามไปทีหลังแต่ดันมีปัญหาการตั้งครรภ์ นางเอกแท้งลูกท่ามกลางความเข้าผิดว่าต่างฝ่ายต่างทอดทิ้งตัวเอง พ่อนางเอกจัดการให้ทั้งคู่หย่ากันอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นเป็นสิบปี พระเอกกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จ นางเอกหมั้นกับเพื่อนเก่าที่เคยเป็นผู้ชายในฝันของเธอ ทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้งในฐานะคู่แข่งทางธุรกิจ แต่ประเด็นก็คือ การหย่าร้างที่พ่อเธอให้ทนายทำให้อย่างลับ ๆ นั้นมันไม่ถูกต้องเพราะจ้างทนายปลอม ทั้งคู่ยังมีสถานะเป็นสามีภรรยากันอยู่ .... พล็อตเรื่องนั่นก็ไม่เท่าไหร่หรอกแต่ที่ฉันชอบก็คือบุคลิกของพระเอกนางเอกมากกว่า จึงอ่านบ่อย ๆ เพื่อศึกษาวิธีนำเสนอพระเอกนางเอกของนักเขียน

     

    นวนิยายโรแมนติก ที่ประสพความสำเร็จนั้นจะต้องทำให้ คนอ่านร่วมเดินทางไปกับตัวละครด้วย ไม่ว่าตัวละคร จะคิด จะพูด จะทำ จะแก้ปัญหาใด ๆ คนอ่านจะอยู่ในนั้นเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง ( หรือคิดว่าตัวเองเป็นพระเอก นางเอก ไปเสียเลย ) ดังนั้นการสร้างตัวละครให้คนอ่านเข้าถึงจึงมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว

     

    สร้างพระเอกที่ทำให้ทุกคนหลงรัก

    สร้างนางเอกที่ทุกคนอยากเป็น

    ( หรือกลับกัน )

     

    ตอนนี้ฉันตัดสินใจได้แล้วล่ะว่า ฉันจะเขียนนวนิยายโรแมนติก

     

    กริ๊ง ๆๆๆๆ

    ฉันสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นมา พอรับสายเสียงเจ้าของบ้านก็สั่งมาเลยว่า

    “ ออกมาข้างนอกซิ ”

    พูดแค่นั้นก็วางสายฉับเลย

    ฉันเกลียดน้ำเสียง ออกคำสั่งแบบนี้

    มันจะเป็นไงนะ ถ้าฉันไม่ออกไป

    แต่พอมองนาฬิกา โห ... สิบเอ็ดโมงแล้วเหรอนี่ ฉันอ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาจริง ๆ

    ชักหิวขึ้นมาเหมือนกัน ก็ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้านี่นา ...   

     

    ออกมาจากห้อง ก็เห็นเขานั่งหน้าเฉยอยู่ที่โซฟานั่นแหละ

    “ ปิดมือถือเหรอ ยัยดาถึงเรียกเข้าไม่ได้ ”   

    “ ไม่ได้ปิด แต่ไม่ได้ยิน ” ฉันตอบ แล้วเดินไปที่มุมครัว กะจะชงกาแฟกิน

    “ ไม่ต้องหาอะไรกินหรอก เราได้รับเชิญไปกินข้างนอก ”

    “ เรา ? ” ฉันย้อน

    ท่าทางเขาหงุดหงิดชอบกล เดินมายื่นโทรศัพท์ของเขาให้ฉันบอกว่า

    “ โทรกลับไปคุยกับยัยดา ”

    ความจริงฉันอยากแกล้งทำเฉย ชงกาแฟกินเสียก่อน ค่อยโทรกลับ เพราะถ้าเป็นเรื่องสำคัญแล้วละก็ ยัยดารามันมักจะโทรมาหาอย่างกระชั้นชิดเองนั่นแหละ แต่จากสีหน้าเขาแล้ว ฉันก็ไม่เข้าใจว่าจะหงุดหงิดอะไรนักหนา ก็เห็นกะหนุงกะหนิงกับแฟนดีอยู่นี่นาตอนเช้า

    และก็เป็นอย่างที่คิด ไม่ถึงอึดใจเสียงโทรศัพท์ในมือฉันก็ดังขึ้น พอกดรับสาย เสียงยัยดาราแปร๋นมาทันทีเลยว่า

    “ โทรศัพท์แกเป็นอะไร ทำไมฉันโทรไปไม่รับ ”

    “ ช่างโทรศัพท์ฉันเถอะ มีธุระอะไรเหรอ ”

    “ แกเห็นผู้หญิงที่มากับพี่ชายฉันเมื่อเช้าใช่ไหม ? ”

    “ เออ ... สวยดี ”

    “ แกดูยังไงว่าสวย ” เสียงยัยดาราเหยียดมาทีเดียว ... มันดูถูกสายตาฉัน

    “ เขาเป็นหลานสาวของพ่อเลี้ยงเฮียฉันชื่อ ลินดา ”

    “ เออ ” ฉันเริ่มลำดับญาติในใจ

    “ พ่อเลี้ยงฉันเขาอยากให้เฮียแต่งงานกับหลานสาวเขา ”

    “ เออ แล้วไง ? ” ฉันถามแต่พยายามคิดว่าเรื่องมันจะโยงมาหาฉันยังไง

    “ เมื่อก่อนยัยลินดากับเฮียก็ชอบพอกันอยู่หรอก แต่ตั้งแต่เกิดเรื่อง ยัยนี่ก็ทิ้งเฮียฉันไปแต่งงานเพิ่งหย่ากับสามีมาหมาด ๆ แต่พอรู้ว่าเฮียฉันจะได้รับมรดกทั้งหมดก็เลยกะจะหันมาหาเฮียฉันใหม่ และทั้งพ่อเลี้ยงและแม่ของเฮียก็สนับสนุน แต่เฮียฉันไม่ชอบ แกตามทันไหม ? ”   

    “ เออ ... ทัน ยกเว้นไอ้ที่พูดว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเฮีย มันเรื่องอะไร ”

    ยัยดาราเงียบไปแล้วถามกลับว่า

    “ ก็ไหน เฮียบอกว่าแกรู้แล้ว แต่เออ ... ช่างเถอะ ไม่ใช่ประเด็น มาเข้าเรื่องเลยนะ ”

    “ เออ ” ฉันรับคำอย่างไม่ใส่ใจเหมือนกัน

    “ ฟังฉันพูดดี ๆ นะพัดชา ”

    เวลายัยดาราพิสุทธิ์มันจะเอาจริงเอาจัง มักจะเรียกชื่อฉันเต็มยศทุกที ทำให้ฉันต้องตั้งใจฟังมันพูด

    “ เฮียเป็นพี่ชายที่ฉันรักมาก ฉันไม่ชอบยัยลินดา ส่วนแกเป็นเพื่อนรักของฉัน ฉันไม่เคยขอร้องให้แกทำอะไร ที่คิดว่าแกทำไม่ได้ ฉันมั่นใจในตัวแกเสมอ ดังนั้นฉันจึงอยากให้แก ... ”

    “ เดี๋ยว ” ฉันรีบขัดขึ้นอย่างรู้ทัน “ แกอย่ามาตีขลุมเยินยอแล้วใช้งานฉัน แบบมัดมือชก ฉันสติยังดีอยู่ ”

    “ ฉันไม่มัดมือชก แต่ฉันอยากให้แกช่วยฉันในสิ่งที่ฉันมั่นใจว่าแกทำได้ และต้องเต็มใจด้วย เพราะฉันขี้เกียจขุดเรื่องที่ฉันช่วยเหลือแกมาทวงบุญคุณเข้าใจไหม ? ”

    “ เออ ” ฉันกระแทกกลับ

    นี่แหละ คือวิธีพูดที่เพื่อนซี้ของฉันจะใช้เสมอ เมื่อต้องการให้ฉันทำอะไรให้

    มันไม่ทวงบุญคุณเลยนะเนี่ย ...

    “ เมื่อเช้ายัยลินดาเขารู้ว่าเฮียอยู่บ้านกับผู้หญิงตามลำพังสองคน ”

    “ เออ ”

    “ เขาก็สงสัย ถามเฮียว่าแกเป็นใคร ? ”

    “ เออ ”

    “ เฮียก็เลยบอกว่าเป็นแฟน ”

    “ เออ ... อ้าว ! ฉิบหาย ” ฉันเผลอสบถ หันขวับไปมองเขาที่นั่งกอดอก ฟังฉันพูดโทรศัพท์อยู่ที่เดิม

    “ ถ้าแกอยากรู้เหตุผล ทำไมเฮียบอกอย่างนั้น แกก็ถามเอาเองแล้วกัน เพราะประเด็นสำคัญที่ฉันจะพูดกับแกก็คือ ยัยลินดาไปคุยให้อังเคิลซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของเฮียฟัง เขาเลยอยากเจอตัวแกว่ะ หน้าที่ของแกก็แค่ไปกินข้าวเที่ยงกับครอบครัวเฮียเขาหน่อยเท่านั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงแกหรอกฉันรู้ ”

    “ ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก แต่ไม่ชอบเรื่องโกหก ” ฉันบอกตรง ๆ

    “ เออ ฉันรู้ ถ้าแกไม่ชอบโกหก ก็ทำให้เป็นเรื่องจริงเสียสิ แค่พี่ชายฉันไม่คณามือแกหรอก ถ้าเอาจริง ” ยัยดาราพูดแล้วก็หัวเราะออกมา

    “ บ้าสิแก ” ฉันพูดแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้

    มันก็เป็นคำพูดที่ฉันชอบโวบ่อย ๆ เวลาเจอผู้ชายหล่อ ๆ แล้วอยากได้เป็นแฟนนั่นแหละ แต่นั่นเป็นคำพูดสนุก ๆ ล้อเล่นเท่านั้น ยัยดารามันก็รู้ดี เลยแหย่ฉันเรื่องนี้

    “ ตกลงแกช่วยเฮียหน่อยนะ เพราะฉันบอกไปแล้วไม่ต้องห่วง แกไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ”

    ยัยดาราสรุป

    “ ทำไมเฮียแกไม่พูดกับฉันเอง ”

    “ เฮียว่าแกกวนว่ะ กลัวทะเลาะกับแกเสียก่อนจะรู้เรื่อง เลยสั่งให้ฉันคุยแทนง่ายกว่า ”

    “ ไอ้ที่กวนน่ะ มันเฮียแก ” ฉันย้อนทันทีแต่ไม่กล้าพูดเสียงดังนักเพราะกลัวเจ้าตัวเขาได้ยิน ยัยดาราหัวเราะร่วน ทีเดียวก่อนจะพูดว่า

    “ เออ ใครจะกวนใครฉันไม่สนหรอก อยู่ด้วยกันดี ๆ ล่ะ ? แค่นี้ ... ”

    “ เดี๋ยว งานนี้ฉันจดบัญชีเข้าที่แกนะ เพราะถือว่าฉันช่วยแกไม่ใช่เฮียแก เข้าใจ๋ ? ” ฉันรืบพูดเร็วปรื๋อก่อนที่ยัยดาราจะวางหู

    “ ได้เลย ” ยัยดารารับคำ

     

    ฉันเอาโทรศัพท์ไปยื่นคืนให้เขาแล้วถามว่า

    “ นัดไว้กี่โมงคะ ”

    “ เที่ยง ”

    “ ที่ไหน ”

    “ โรงแรม ด้านโน้น ”

    ด้านโน้น ด้านไหน ฉันก็ไม่รู้หรอก เพราะตั้งแต่มานี่ก็ยังไม่ได้ออกไปไหน เลย

    “ คิดว่าดิฉันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม ? ” ฉันถามเขาเล่น ๆ กะจะสร้างความเป็นกันเองหน่อยเท่านั้น ก็จะเล่นเป็นแฟนกันนี่นา

    “ ถ้ามีดีกว่านี้ก็เอาสิ ”

    ฉันกัดลิ้นกับคำตอบนี้ แต่อารมณ์ขันที่แทรกเข้ามาทำให้อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะพูดกับเขาว่า

    “ เป็นแฟนกันตอบแบบนี้ คงไปได้สวยล่ะ เฮีย ! ”  

    ๒๓.๐๕ น .

    เรียกว่า Enforced Intimacy ใช่ไหมนี่ ?

    พล็อตยอดฮิตของนวนิยายโรแมนติก เลยล่ะ

    Pretend marriage or relationship เสแสร้งว่าแต่งงาน หรือ มีความสัมพันธ์กัน

    แต่ ... ยัยพัดเอ้ย ... เรื่องจริงของแกไม่เหมือนในนวนิยายเลยว่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×