ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) OH! YES SEKAI | 'The Doctors'

    ลำดับตอนที่ #7 : See'me ♣ | I APPRECIATE IT

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.17K
      8
      26 มิ.ย. 59

     

     


    จงอินหายหน้าหายตาไปซักพักหนึ่งแล้ว

    ทิ้งไว้เพียงโพสอิทสีเหลืองที่ปลิวพะเยิบพะยาบอยู่บนกระดานไวท์บอร์ด

    ไปหาสุนัขจรจัดมาอุปถัมภ์ ในฐานที่ฉันทำบุญคนไม่ขึ้น!’

     

    . . . . .

     

     

     

    “ลาก่อนลูกรัก”

     

    แม่พูดเช่นนั้นด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ความอบอุ่นของแม่ดึงดูดให้ คิม จงอิน ลื่นไถลลงสู่โลกใบเดิม โลกที่มีแต่เขากับแม่ เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา และร้อยพันความฝันถูกบรรจุอยู่ในโลกใบนั้นเอาไว้อย่างเงียบเชียบแต่งดงามไร้ที่ติ กระทั่งเสียงแผ่วเบาของล้อกระเป๋าเดินทางเสียดสีกับพื้นขัดมันดังขึ้น เสียงนั้นกระชากเขาอย่างแรง หากจะเปรียบคงราวกับว่ามีนักกล้ามสองคนจับแขนเขาไว้คนละข้าง ออกแรงดึงไปคนละทิศ แล้วกระชากฉีกจนทั้งร่างขาดดังแคว่ก ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มตะหนักได้ว่า...โลกของเขากับแม่จะไม่มีอีกต่อไป

     

     

    แม่เว้นจังหวะให้เขาได้เปิดเผยความรู้สึก แต่จงอินทำได้เพียงอึกอัก ประหม่าสั่น สุดท้ายเด็กหนุ่มเลือกที่จะยิ้มแล้วปล่อยให้แม่เป็นอิสระอย่างที่ใจแม่นึกต้องการมาโดยตลอด ร่างของแม่ผละออกไป ค่อยๆจางหายเหมือนภาพสีน้ำที่ถูกเจือจางด้วยน้ำในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีแม่ที่เคยเด่นชัดในความเป็นจริง ก็ทิ้งไว้ให้เห็นเพียงภาพขมุกขมัวในความทรงจำเท่านั้น คิมจงอินกำหมัดแน่นจนทั้งร่างสั่นไหว ความคิดติดอยู่ตรงกลางระหว่างความโกรธแค้นและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส สุดท้ายเขาตัดสินใจออกวิ่ง แม่ที่อยู่ไกลลิบหันมามองพอดีด้วยความบังเอิญ จึงเป็นโอกาสสำคัญและโอกาสสุดท้ายของเด็กชายผิวเข้ม

     

     

    “แม่!!! อย่าไปเลยนะ!” เด็กหนุ่มตะโกนสุดเสียง ดังเหลือเกินจนหูเขาอื้ออึงไปหมด แต่แม่กลับโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกจนสุดขั้วปอด ก่อนอ้าปากตะเบ็งเสียงดังกังวานอีกครั้ง

     

     

    “อยู่กับผมเถอะ!! ผมจะดูแลแม่เอง!!

     

     

    คนเป็นแม่ยิ้มกว้างส่งมาให้ โบกมือลาแล้วลากกระเป๋าขึ้นบันไดเลื่อน

     

     

    “ผมรักแม่กว่าใครในโลกนี้! เพราะฉะนั้น ...ให้ผมได้อยู่ใกล้ๆแม่เถอะนะ!

     

     

    แม่หันหลังลากกระเป๋าเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ใบหน้าของจงอินนองน้ำตาจนแลเห็นเป็นระลอกเงา เด็กหนุ่มคู้ตัวลงอย่างเจ็บปวด มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยุ้มแผ่นอกด้านซ้ายราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วอาการเจ็บที่ใจจะบรรเทาลง แน่นอนว่ามือข้างเดียวไม่สามารถให้ผลลัพธ์แสนวิเศษปานนั้นได้ เขายังคงเจ็บปวดต่อไป แม้จะกลับบ้านแล้ว และอาบน้ำทำการบ้านส่งอาจารย์ในวันรุ่งขึ้น กระทั่งยืนหยัดใช้ชีวิตตามลำพังยาวนานมาจนถึงยี่สิบปี ทว่าทุกครั้งที่เขาใช้ฝ่ามือทาบลงตรงตำแหน่งหัวใจ ก้อนเนื้อในนั้นก็ยังคงตะโกนฟ้องว่ามันเจ็บปวดอย่างหาที่สุดไม่ได้

     

     

     

     

     

     

     

     

    จงอินตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะกระจก เจ้าแมวจรจัดตัวเดิมมักมาในเวลาเดิมๆเสมอ

     

    เขายันตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจจนกล้ามเนื้อแล่นเปรี๊ยะและซี่กระดูกพากันลั่นกรอบแกรบ กิจวัตรประจำวันที่เขาต้องทำในทุกเช้าหลังจากย้ายเข้ามาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้คือจ่ายค่าที่ให้กับเจ้าแมวคราวสีดำตัวใหญ่ ชายหนุ่มเทอาหารเม็ดใส่ชามก้นตื้น ก่อนจะเลื่อนเปิดประตูระเบียงที่ทำจากกระจกใสแล้ววางชามใบนั้นลงบนพื้น

     

     

    ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยนึกพิศวาสแมวเลย ไม่ว่าจะพันธุ์ที่ขนยาวปุกปุย หรือปราดเปรียวขนสั้น กระทั่งแมวดำตัวนี้เข้ามามีบทบาทในชีวิตอันเฉื่อยชาของเขา จงอินผูกพันกับมัน รับผิดชอบมัน เป็นผู้ปกครองของมัน แม้จะรู้ดีว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่เปิดใจเข้าไปผูกพันกับอีกฝ่าย จงอินไม่รู้จักนิสัยของแมวดีมากนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายาม แต่เพราะสัตว์ชนิดนี้เข้าใจยากและไม่เคยยินยอมให้เขาเข้าไปสำรวจหัวใจเลย

     

     

    “จงอิน ยาสีฟันหมดแล้วนะ! เสียงหนึ่งดังออกมาจากห้องน้ำเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าแมวดำฟาดมื้อเช้าหมดเกลี้ยงพอดี มันกระโดดผลุงขึ้นไปยืนบนราวระเบียงเหล็ก ก่อนโจนทะยานไปยังระเบียงห้องข้างๆ จงอินมองการเคลื่อนไหวอันน่าประทับใจกระทั่งแมวตัวนั้นหายลับไปจากสายตา

     

     

    เขากลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง และบังเอิญเหยียบเทปกาวสีขาวที่ใครคนหนึ่งแปะมันพาดยาวไว้กลางห้อง

     

     

    “ตอนเย็นฉันจะพาเพื่อนมาทำรายงานที่นี่ อย่าเพิ่งกลับห้องล่ะ” มือแปะเทปกาวออกจากห้องน้ำพอดี โอ เซฮุน มักจะพันผ้าขนหนูไว้ที่บั้นเอวเสมอและไม่เคยแยแสต่อเท้าเปียกแฉะของตัวเองที่สร้างรอยน้ำทิ้งไว้เป็นทาง ลำบากให้คนอายุมากกว่าต้องคอยตามเช็ดตามถู แต่คิมจงอินก็ไม่เคยบ่นอะไรอยู่แล้ว เพราะสำหรับเขา เด็กหนุ่มตรงหน้าคือแมวสีขาวอีกตัว แมวที่เขาผูกพันและจำเป็นต้องรับผิดชอบ

     

     

    ขณะที่กำลังใช้ผ้าขี้ริ้วซับทำความสะอาดพื้นห้อง สมองส่วนที่ดื้อด้านที่สุดก็ดึงดันจะคิดถึงจุดกำเนิดเรื่องราวระหว่างเขากับเด็กหนุ่มผู้มีนิสัยเหมือนแมว มันคงเริ่มตั้งแต่ตอนที่แม่แต่งงานใหม่และตัดสินใจบินไปใช้ชีวิตอยู่กับสามีที่อเมริกา เขาจึงต้องตกอยู่ในความดูแล(แบบไม่เต็มใจนัก)ของป้าแท้ๆผู้มีฐานะปานกลางค่อนไปทางยากจน อาศัยอยู่ร่วมกันได้ไม่นานเขาก็ทนอึดอัดไม่ไหว จำต้องย้ายออกมาและเริ่มหางานทำตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบห้าดี เขาไม่ได้เรียนต่อ เรียกได้ว่าทิ้งการศึกษาไว้ข้างหลังอย่างน่าเสียดาย จะว่าไปแล้ว การทิ้งป้า ทิ้งโรงเรียน ทิ้งชมรมฟุตบอลก็เหมือนการซื้อตั๋วรถไฟเที่ยวเดียวไม่มีผิดเพี้ยน เขาจากเมืองเมืองเดิมมาอย่างไม่มีวันหวนกลับ การระลึกถึงความทรงจำครั้งนี้ก็เช่นกัน มันเจ็บปวด ตัวเขาเองรู้ดีถึงรสชาติอันไม่น่าพิสมัย แต่ดูเอาเถอะสมองของเขาดันทุรังยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก มันจัดการซื้อตั๋วขากลับแล้วพาเขาหวนคืนสู่อดีต รถไฟความทรงจำแล่นย้อนกลับไปยังสมัยที่เขาทำงานอยู่ในอู่รถ นั่นเป็นงานแรกของเขา จากนั้นล้อเหล็กบดรางไม้ไปจนถึงตอนที่เขาทำงานอยู่ที่โรงงานผลิตยางรถยนต์ เคยถูกคนงานที่นั่นกลั่นแกล้ง เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ร่างโปร่งเป็นอันต้องยกมือขึ้นลูบท้ายทอยที่มีแผลเป็นจากการถูกก้นบุหรี่จี้ทุกครั้งเสมือนว่ากลิ่นไหม้ยังคงตลบอบอวล กลิ่นเนื้อไหม้ๆ กลิ่นพลาสติกไหม้ๆ กลิ่นการเผายาง นั่นล่ะ...การคะนึงถึงเรื่องเก่าๆไม่เคยส่งผลดีอะไรนอกจากทำให้เจ็บปวดจนจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น รอยยิ้มสมเพชตัวเองถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากอิ่ม สมองส่วนขี้สงสารสั่งให้พอเสียที เขาควรเลิกนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาได้แล้ว ทว่าเมื่อโอเซฮุนเคี้ยวคอนเฟล็กซ์ดังกร๊วม ความทรงจำส่วนที่เลวร้ายที่สุดก็ผุดขึ้นเล่นงานเขาอย่างถึงพริกถึงขิง

     

     

    เขาเคยขับรถชนคนตาย

     

     

    ไม่ถูกนักหากจะใช้คำนั้น อันที่จริงต้องพูดว่าขับรถอยู่ดีๆก็มีคนวิ่งตัดหน้าเสียมากกว่า ตำรวจสรุปสำนวนคดีว่าผู้เสียชีวิตจงใจฆ่าตัวตายทั้งจากหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ว่าคุณโอป่วยด้วยโรคซึมเศร้าร่วมหลายเดือน ไหนจะภาพจากกล้องวงจรปิด คิมจงอินหลุดพ้นจากสถานะฆาตกร เขากลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ขับรถบรรทุกตระเวนส่งของทั่วจังหวัดทางตอนเหนือของประเทศ ยิ้มได้เหมือนอย่างที่เคยยิ้ม หัวเราะได้อย่างที่เคยหัวเราะ แต่ความรู้สึกผิดเป็นดั่งคลื่นใต้น้ำ ทั้งยังซ่อนตัวเก่งยิ่งกว่าลายพรางของชุดทหารกองกำลังรบ รู้ตัวอีกทีจงอินก็ถูกคลื่นใต้น้ำลูกนั้นซัดโถมจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ความรู้สึกผิดทั้งที่ตัวเองไม่ได้ผิดทำตัวเป็นหน่วยรบพิเศษ บุกเข้ายิงเขาในระยะประชิดจนพรุนละเอียดไปทั้งร่าง สุดท้ายจงอินตัดสินใจลาออกจากงาน ก่อนเดินทางไปพบครอบครัวของผู้เสียชีวิตและตัดสินใจอุปถัมภ์โอเซฮุน ลูกชายคนเดียวของคุณโอนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เดิมทีเขามีหน้าที่แค่ส่งค่าเลี้ยงดูให้เป็นรายเดือน กระทั่งเด็กชายคนนั้นสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงโซล จงอินจึงตัดสินใจลาออกจากงาน(เป็นครั้งที่สิบ)แล้วย้ายมาอยู่ด้วยกันในเมืองหลวง

     

     

    โอเซฮุนที่เขาเคยส่งเงินให้ใช้ทุกเดือน แตกต่างจากโอเซฮุนที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับเขาโดยเอ่อ..สิ้นเชิง เหมือนซ้ายกับขวา เหมือนขาวกับดำ เหมือนเป็นกับตาย จงอินรู้ เขาเป็นคนช่างจินตนาการแล้วก็ฝันไว้สูงมากว่าเด็กที่เขาอุปการะมาตั้งแต่ยังไม่รู้เดียงสาจะว่านอนสอนง่าย เป็นเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไปที่ใจดีและมีความ บ้านนอกแบบน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ในตัว แต่เปล่าเลย ชีวิตจริงโหดร้ายเสมอ โอเซฮุนโลกส่วนตัวสูง โมโหร้าย ชอบเอาชนะ บางทีถึงขั้นลงไม้ลงมือเพื่อให้ได้ดั่งใจ

     

     

    เด็กนั่นเป็นเหมือนแมว(แมวหง่าวที่ชอบขู่ฟ่อด้วย หาใช่แมวเหมียวไม่) เซฮุนมักทำให้จงอินเจ็บใจได้ทุกครั้งเวลาที่ทำผิดแล้วไม่ขอโทษ คำพูดไม่จำเป็นหรอก แต่การแสดงออกว่าสำนึกผิดนั้นสำคัญที่สุด ทว่าเซฮุนไม่เคยเลย ดวงตาขวางโลกมักจ้องเขาแบบสื่อนัยยะว่า แล้วจะทำไมรึ? ประหนึ่งแมวคราวหวงถิ่นที่ไม่รู้ว่าอยู่คู่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้มานานเท่าใดแล้ว มันชอบข่วนเสื้อที่เขาตากไว้จนขาดรุ่งริ่ง และเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง มันเคาะกระจกเรียกให้เขาเตรียมอาหารเช้าให้ไม่ต่างจากเช้าวันอื่นๆ

     

     

     

    “โอ้โห แน่ใจนะว่าพี่ยังเป็นคนอยู่?! พยอน แบคฮยอน รุ่นน้องในที่ทำงานอ้าปากตกตะลึงกับผลงานชิ้นล่าสุดของเขา โมเดลเรือโดยสารระดับห้าดาวที่ทางผู้ผลิตนิยามไว้ว่าเป็นของเล่นสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป ดูเอาเถอะ ลูกค้าร้อยละร้อยอยู่ในวัยทำงานแถมมีฐานะด้วยกันทั้งสิ้น

     

     

    จงอินยิ้มรับคำชม งานปัจจุบันของเขาใช้สกิลละเอียดอ่อนที่สุดเท่าที่เคยทำมาเพราะมันเล่นกับสเกลเล็กๆอย่างเช่นเชื่อมโลหะชิ้นส่วนขนาดจิ๋วเทียบเท่าปลายนิ้วก้อย พ่นสีเครื่องยนต์จำลอง ประกอบส่วนย่อยต่างๆให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างตามแบบที่ลูกค้าต้องการ

     

     

    “ให้ตายเถอะ นี่มันฝีมือระดับเทพชัดๆ จงอินอา พี่ต้องถูกหมั่นไส้อีกแหง” เด็กหนุ่มชมแล้วก็เอาแต่พูดเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนบ่นกับตัวเอง แววอิจฉาระยิบระยับอยู่ในม่านตาเรียวรี แบคฮยอนเองก็อิจฉาฝีมือจงอินอย่างที่คนอื่นอิจฉานั่นล่ะ แต่เขารู้ดีว่าอิจฉาไปก็ไม่มีทางทำอย่างที่คนอายุมากกว่าทำได้ ยังไงซะเป็นมิตรกับคนเก่งๆย่อมดีกว่าเป็นศัตรูอยู่แล้ว(ล่ะมั้ง)

     

     

    เขาใช้แหนบคีบโยกย้ายองค์ประกอบใต้ท้องเรือไปจนเวลาเลิกงานเดินทางมาถึง วัฒนธรรมองค์กรของที่นี่ออกจะประหลาดอยู่ซักหน่อย เวลาเลิกงานตามสัญญาจ้างจริงๆคือสี่โมงเย็น แต่พนักงานจะนั่งแช่จนกว่าเข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาจะคืบคลานไปแตะเลขห้า นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือบ้างล่ะ นั่งจับกลุ่มคุยกันบ้างล่ะ ใดๆก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานโดยสิ้นเชิง

     

     

    แบคฮยอนยังคงทำตัวเป็นลูกกะจ๊อกที่ดี เห็นได้ชัดว่านอกจากคอยเอาอกเอาใจแล้ว อีกฝ่ายยังพยายามเจริญรอยตามเขาทุกฝีก้าว ไม่เว้นแม้กระทั่งท่าจับแหนบ องศาการขมวดคิ้วและวิธีการเลาะเอาชิ้นส่วนใต้ท้องเรือออก จงอินวางเครื่องมือลงบนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ เปลี่ยนมาจดจ้องรุ่นน้องผู้มีความพยายามสูง(เกินเหตุ)ของเขาแทน เพิ่งสังเกตว่าคนตัวเล็กเลียนแบบเขากระทั่งการใช้นิ้วโป้งข้างที่ไม่ได้จับอุปกรณ์คลึงตรงหว่างคิ้วเพื่อลดความตึงเครียดไปพร้อมๆกับการกลืนน้ำลาย เขาจับผิดแกมเอ็นดูอยู่นานกว่าแบคฮยอนจะรู้สึกตัว รายนั้นหูตาตื่นอยู่ได้ซักพักตอนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาพอดี ทว่าไม่นานก็ยิ้มร่า ยอมรับอย่างไม่มีความอายว่า “พี่ไม่รู้อะไร copy แปลว่าคัดลอก right แปลว่าถูกต้อง ฉะนั้นก้อปปี้ไม่ผิดนะพี่ ฮ่าๆๆ”

     

     

    จงอินไม่ตอบ ซึ่งก็เป็นปกติของเขาอยู่แล้ว มันเกินกว่าคำว่านิสัย เอาเป็นว่าแบคฮยอนรู้ก็แล้วกันว่าสายตาแบบนั้นของรุ่นพี่อ่านได้ว่า เอาที่นายสบายใจเถอะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ใช่ว่าคิมจงอินลืมคำพูดของพ่อแมวสีขาวในความรับผิดชอบของตัวเองเสียเมื่อไหร่ เพียงแต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆที่ทำให้เขาต้องรีบกลับห้องทันทีหลังจากที่สายฝนกระหน่ำเทลงมาจากฟากฟ้า ข้อแรกเลยก็คือ ชุดนักศึกษาของเซฮุนยังตากอยู่ที่ระเบียงด้านนอก ส่วนข้อสองก็คือ เจ้าของชุดไม่มีทางเก็บมันด้วยตัวเองแน่ๆ

     

     

    โชคดีที่เซฮุนยังไม่กลับห้อง จงอินรีบรวบเอาเสื้อผ้าชุ่มน้ำฝนเข้ามาตากพัดลมทันที เขาเช็ดตัวลวกๆ ก่อนจะทำความสะอาดรอยเท้าของตัวเองที่ปะพรมไปทั่วพื้นห้อง จงอินเคยคิดว่าบางทีเขาอาจเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง แพนิคหรือ? อาจจะใช่ แต่ก็นั่นล่ะ ความจริงอันน่าตกใจของโลกใบนี้ก็คือ คนทุกคนล้วนเป็นโรคจิตกันอย่างน้อยหนึ่งชนิดอยู่แล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังกลายเป็นระฆังยักษ์ที่ถูกตีอย่างแรงจนสะท้านกึกก้องไปทั้งเนื้อทั้งตัว ปากคอสั่น หัวใจเต้นแรงกว่าภาวะปกติอย่างเฉียบพลัน มันไม่ได้ทรมานนักหากจะว่ากันด้วยเรื่องของกายภาพ แต่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสในแง่ของความรู้สึกหรือจิตใจ มือเรียวจิกเกร็งลงไปในเนื้อผ้า เป็นอย่างนี้ทุกทีเวลาที่เขาพยายามจะทำบางสิ่งให้แห้ง ไม่ว่าจะเช็ดตัว เช็ดพื้น หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดความชื้นแฉะออกไป หัวใจของเขาจะหวิวโหวง รู้สึกเศร้าขึ้นมากะทันหัน พาลให้คิดถึงอดีตที่ดีบ้างไม่ดีมาก(ส่วนมากจะค่อนไปทางอย่างหลัง) แต่จงอินมักควบคุมมันได้เมื่ออาการเดินทางมาถึงจุดๆหนึ่ง เพียงแค่เขาหายใจเข้าลึก หลับตา ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โรคจิตวิปโยคนี้ก็มักจะลามือไปเอง สงสัยพวกมันคงชอบเสียงร้องโหยหวนล่ะมั้ง แน่นอนเขาไม่มีให้หรอก ...เป็นข้อดีอีกหนึ่งอย่างที่ความเจ็บปวดทำอะไรเขาไม่ค่อยได้ ...ข้อดี? ...ใช่ คิมจงอินนับเรื่องนี้เป็นข้อดีของเขา

     

     

    โอ้ แต่นี่มันบ้าบอคอแตกชัดๆ จงอินไม่ได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน อย่างเช่นว่า โอเซฮุนเปิดประตูผัวะเข้ามาพอดีตอนที่เขากำลังรับมืออยู่กับอาการโรคประสาทลงหัวใจ เสียงหัวเราะของร่างสูงกับพรรคพวกดังก้องอพาร์ทเม้นท์ก่อนสะบั้นขาดทันทีที่สายตาคมกริบสบเข้ากับดวงตาหม่นแสงของเขา โอเซฮุนยืนนิ่ง แผ่นหลังผอมแต่แข็งแรงโดนเพื่อนที่เดินตามมาทีหลังกระแทกเบาๆ ทว่าชายหนุ่มหาได้กระทบกระเทือนไม่

     

     

    จงอินเลือกที่จะยิ้ม ความเปียกชื้นทำให้เทปกาวที่แปะไว้กลางห้องเผยอขึ้นมาเล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนอายุน้อยกว่าไม่พอใจ ตัวเขาเองต่างหากล่ะที่เป็นคำตอบของใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้บึ้งตึงไม่ต่างจากปีศาจร้าย(จะว่าไปแล้วก็เหมือนเซ็ทโชมารุตัวโกงในเรื่องอินุยาฉะไม่หยอก) ร่างโปร่งค่อยๆลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เขาทำมือบุ้ยใบ้ไปยังประตูเป็นเชิงว่ากำลังจะออกไปอยู่พอดี ทว่าจังหวะที่เดินสวนกัน เซฮุนกลับฉวยข้อมือเขาไว้ ดึงกระชากอย่างไม่อุกอาจแต่เฉียบขาดและหนักแน่น  มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าโอเซฮุนมีพละกำลังมหาศาลปานใด

     

     

    “ก็เห็นอยู่ว่าฝนมันตก จะออกไปทำไม”

     

     

    เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสมทบประโยคก่อนหน้าของเด็กหนุ่ม เซฮุนตัวสูงกว่าเขาเกือบคืบ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากเรียบตึง ไหนจะเส้นคิ้วสีเข้มที่พอเหมาะพอเจาะดวงตาคมคาย

     

     

    “หรืออยากเป็นหวัดอีก? คราวที่แล้วนอนซมทั้งอาทิตย์ ไม่เข็ดรึไง” เจ้าเด็กเมื่อวานซืนร่ายยาวด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่คนอายุมากกว่ากลับยิ้มทั้งที่ใบหน้ายังพยักไม่หยุด

     

     

    แมวหง่าวสีขาวของเขาเริ่มเชื่องขึ้นมาบ้างแล้ว คิมจงอินคิดในใจ อันเป็นความคิดเข้าข้างตัวเองอย่างหาที่สุดไม่ได้ น่าสมเพช และไม่สมควรได้รับการให้อภัย(แม้จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ไม่สมควร)

     

     

    เทปกาวกลางห้องมีขึ้นเพื่อแบ่งแยกพื้นที่ของเขาออกจากเขตแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของโอเซฮุน รายนั้นเป็นคนติดมันตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ โดยให้เหตุผลว่า เราต่างคนต่างก็โตพอจะมี พื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเองแล้ว ความไม่ยุติธรรมก็คือ เขาห้ามข้ามเส้นเทปกาวโดยเด็ดขาด แต่เซฮุนทำได้ เด็กหนุ่มมักจะเดินร่อนไปทั่วโดยพลการ และกรีดเสียงร้องระงมทุกครั้งเวลาที่เขาเผลอทำเช่นนั้นบ้าง

     

     

    ครั้งนี้ก็เช่นกันที่จงอินรับรู้ถึงความอยุติธรรมอันเข้มข้น เขาขดตัวอยู่บนเตียงในฝั่งของตัวเอง ในขณะที่โอเซฮุนและผองเพื่อนนั่งล้อมวงกันอยู่กลางห้อง เนื้อตัวที่เปียกฝนของพวกเขาสร้างรอยน้ำไว้เป็นด่างดวง จงอินหงุดหงิดจนเลิกหงุดหงิด ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มสังเกตเพื่อนๆของเซฮุนอย่างจริงจัง ใช่ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยทำ แต่ทุกครั้งที่ถามถึงสังคมมหาวิทยาลัย เซฮุนก็จะมองตาขวาง ถามย้อนกลับมาว่า แล้วมันธุระกงการอะไรของนายเรอะนั่นล่ะ น่าโมโหเสียจนเขาเลิกซักไซ้ไล่เรียงไปเอง

     

     

    กลุ่มรายงานของไอ้เด็กนิสัยเสียมีสี่คน(ไม่นับรวมเจ้าตัว) ผู้ชายสาม ผู้หญิงหนึ่ง ทุกคนล้วนหน้าตาดี แต่งตัวดูดี ใช้ข้าวของอย่างดี ก็คงเป็นสังคมที่ดีมั้ง จงอินแอบมองเงียบๆ แล้วหายนะก็มาถึงตอนที่เขาบังเอิญสบตาเขากับเด็กสาวคนเดียวในกลุ่ม เธอคราง โอ๊ะโอ...แบบไม่ออกเสียง จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้น จังหวะที่เจ้าหล่อนเหยียบเส้นแบ่งพรมแดนอันศักดิ์สิทธิ์ คิมจงอินถึงกับลืมหายใจ เรื่องไม่ดีจะต้องเกิดขึ้นแน่...เขานึกสังหรณ์ แต่ไม่ทันจะได้แกล้งหลับ สาวเจ้าก็เข้าประชิดตัวเขาเสียแล้ว

     

     

    “นี่พี่คะ” เธอเกริ่นด้วยท่าทางฉอเลาะแบบเด็กๆ ก็น่ารักดีและ เอ่อ สวยด้วย เขาพยายามยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนที่เธอจะพูดต่อ “พี่ว่าไอเดียของใครดีที่สุด” แล้วกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้ มันเป็นโปรเจ็คของคณะบริหารธุรกิจ พวกเขาจะต้องแบ่งกลุ่มกันขายของอะไรซักอย่างเพื่อแข่งขันกันทางด้านกลยุทธ์และอะไรอีกมายมายหลายแง่ที่คนลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุยังน้อยไม่เข้าใจ เขาเห็นว่าชานยอลเสนอการขายกระแสตัวเลข วงเล็บเอาไว้ด้วยลายมือชุ่ยๆว่า ลอตเตอร์รี่ออนไลน์เซฮุนเขียนไว้สามอย่างคืออาหารฟาสต์ฟู้ด, อาหารเพื่อสุขภาพ, เบเกอร์รี่ จงอินไม่รู้เหตุผลของการเสนอขายแต่รายการอาหาร แต่เขาก็เลิกที่จะไล่สายตาอ่านไอเดียคนอื่นแล้วจิ้มลงไปบนอาหารฟาสต์ฟู้ดส์

     

     

    “โห่ ลำเอียงชัดๆ” เด็กสาวบ่นกระปอดกระแปด เธอตวัดสายตามองเขาอย่างแง่งอน และถามเซ้าซี้อย่างคนไม่ยอมรับว่าแพ้ “ขอเหตุผลด้วยสิคะ”

     

     

    จงอินมองไปยังเจ้าแมวตัวโตเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งเซฮุนก็จับนัยยะของเขาได้ทันที “พูดมากน่าโซยอน น้ำใจนักกีฬาหน่อย”

     

     

    “ได้ไงล่ะ! ก็ฉันอยากได้ความเห็นนี่ ว่าไงคะ ทำไมถึงเลือกอาหารฟาสต์ฟู้ดล่ะ ตุ๊กตาทำมือของหนูไม่ดีตรงไหน” ปากบางเบะคว่ำ โซยอนเซ้าซี้เหมือนลูกแมวอีกตัว ซึ่งจงอินดวงไม่สมพงศ์กับสัตว์ประเภทนี้เอาซะเลย เขาหน้าเจื่อน หัวเราะแห้งๆแล้วชี้ไปที่ไอเดียของเด็กสาวแทน แต่เธอไม่ได้ดีใจกับการกลับลำกะทันหันของเขา โซยอนตะปบมือลงบนต้นแขนแล้วออกแรงชักเย่อ “น้าๆ บอกหน่อยน้าว่าน้องชายพี่ดีกว่าหนูตรงไหน”

     

     

    “ก็หมอนี่เป็นที่หนึ่งของเซค ในขณะที่เธอบ๊วยไง” ชายหนุ่มอีกคนที่ผมหยิกหยองช่วยตอบแทนให้พลางหัวเราะร่วน คนที่เหลือพากันหัวเราะกับท่าทางเง้างอดที่แสนน่าเอ็นดูของหญิงสาว เธอโกรธไม่จริงจังอะไรแถมยังหลุดขำออกมาในท้ายที่สุด “ช่างหัวความคิดพวกนายเถอะ! ฉันอยากฟังจากปากพี่คนนี้”

     

     

    “ไม่เอาน่าโซยอน” เซฮุนปรามนิ่งๆ เด็กหนุ่มไม่ได้หัวเราะไปกับเพื่อนคนอื่น กลับกัน ดวงตาคู่คมเย็นชาราวกับวัสดุเคลือบด้าน “กลับมานั่งที่ของเธอได้แล้ว”

     

     

    จงอินไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแมวตัวผู้สีขาวผู้ปราดเปรียวแต่ช่างดุราวกับเสือป่า กับแม่แมวเจ้าปัญหาแต่น่ารักที่ชื่อโซยอน แต่สาบานว่าเขาได้กลิ่นทะแม่งๆ

     

     

    “นายดุฉันหรอ!

     

     

    “เฮ้ ไม่เอาน่าจะชวนทะเลาะทำไม”

     

     

    ความอยากรู้อยากเห็นและความอยากเอาชนะ หักเหกลายเป็นอารณ์บูดบึ้งอันตึงเครียดในที่สุด “อะไรกันเล่า! ก็แค่พูดออกมาเอง พี่นายเป็นใบ้หรือไงห๊ะ!

     

     

    ความเงียบโรยตัวลงมาเหมือนผงเกลือที่โรยบนลงอาหาร มันสาดซัดสีขาวอันน่าอึดอัดเข้าแทรกแซงบรรยากาศจนชวนขนลุก

     

     

    คิมจงอินไม่เคยเก็บความลับข้อนี้ได้เลย

     

     

    ณ ความดันเสียงที่ 200 พาสคาล สามารถทำให้มนุษย์สูญเสียการได้ยินได้อย่างถาวร

    เขาเคยคิดว่าตอนตะโกนเรียกแม่ นั่นเป็นเสียงที่ดังที่สุดที่หลุดออกจากปากเขาแล้ว บางทีหากใช้เครื่องมือวัด มันคงมีค่าราวๆ 200 pa นั่นล่ะ

     

     

    แต่เปล่าเลย ...เขาเป็นใบ้

    คิมจงอินเป็นผู้ชายใบ้ที่ชอบการเลี้ยงแมว เคยขับรถชนคนตาย และรักลูกชายของผู้เคราะห์ร้ายรายนั้น

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×