คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : พาริม ♦ เป็น อยู่ คือ
OHYES SEKAI
OHSEHUN | KIMJONGIN
"เป็น อยู่ คือ"
เท่าที่เคยได้ยินมา หลายคนคิดว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว แต่สำหรับคิมจงอิน.. ความตาย – ไม่สิ ‘ตาย’ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
ลิฟท์เคลื่อนลงอย่างอืดอาด แต่ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ก็ไม่ได้มีอะไรน่าเบื่อ ห้องทำงานของผมอยู่ชั้นใต้ดินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเขตศูนย์ราชการใจกลางกรุงโซล ผมเคยคิดว่าการตั้งสถานที่สำคัญซึ่งเก็บหลักฐานทุกคดีใหญ่ๆ เอาไว้ในที่โล่งเป็นเรื่องโง่เง่า แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวเองต่างหากที่โง่คิดไปได้อย่างไร จะมีคนโง่หน้าไหนบุกเข้ามา
ติ๊ง
ผมเดินออกจากลิฟท์มาหยุดอยู่ที่หน้าเครื่องสแกนม่านตา ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ดีเยี่ยม บ่อยครั้งที่ไอ้เครื่องนี่จำม่านตาผมไม่ได้ ครั้งแรกก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อสัญญาณเตือนดังลั่นไปทั่วทั้งตึก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพุ่งตัวออกจากลิฟท์และผมก็ถูกจับตัวไว้ก่อนเจ้าหน้าที่ระดับคนหนึ่งจะช่วงไกล่เกลี่ยให้ นับว่าเป็นความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่เลย
ประตูเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติหลังจากสแกนเป็นรอบที่สาม เตียงเหล็กไร้ฟูกเรียงอยู่กลางห้อง ที่สุดโถงมีตู้เหล็กขนาดเมตรูณสองเมตรจับจองอยู่ตลอดแนวผนัง แสงไฟสลัวๆ ทำให้บรรยากาศดูน่าหดหู่กว่าที่ควรจะเป็น ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะยิ้มออกมา อย่างน้อยวันนี้ก็เริ่มต้นด้วยการไม่มี ‘ศพ’ ใหม่วางอยู่บนเตียง
ผมเดินเข้าไปในห้องทำงานซึ่งอยู่ทางปีกขวาของห้องโถง เพราะเป็นสถานที่อันไม่พึงประสงค์จึงไม่ค่อยมีคนลงมาเยี่ยมสักเท่าไหร่ ที่นี่เลยกลายเป็นอาณาจักรส่วนตัวไปโดยปริยาย
แฟ้มเอกสารสีน้ำตาลอัดแน่นไปด้วยประวัติของคนตายเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ ผมหยุดยืนมองมันชั่วครู่ ชั่งใจว่าจะทำอะไรก่อนดี ระหว่างเดินไปทักทายบุคคลที่นอนนิ่งอยู่ในตู้หรือจัดการเจ้าของเอกสารน่าเบื่อเหล่านี้ดี และสุดท้ายสำนึกรับผิดชอบก็ชนะ ผมนั่งลงบนเก้าอี้หมุนเก่าๆ เปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มทำงานหลังจากเลือกเพลงเมทัลในอัลบั้มเป็นเพื่อนในคืนนี้ แฟ้มสีน้ำตาลบนสุดถูกหยิบขึ้นมา เนื้อหาในนั้นไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไหร่สำหรับคนทั่วไป ไล่สายตาไปตามผลตรวจก่อนจะเซ็นลงบริเวณท้ายกระดาษแล้วโยนมันลงกับพื้น ถ้าไม่เหลวไหลจนเกินไปผมคงจัดการไอ้กองมหาศาลนี้ได้ก่อนเวลางานของวันนี้จะหมดลง
“เดี๋ยวก็ได้ลุกมาเต้นกันทั้งแผงหรอกครับ คุณหมอคิม”
ผมเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มล่าสุดที่เพิ่งจะลงชื่อเสร็จ หันไปทางต้นเสียงก่อนจะส่ายหน้าหน่าย ๆ และกลับมาสนใจงานการของตัวเองต่อ เคยชินเสียแล้วกับการเห็นโอเซฮุนยืนกอดอกพิงขอบประตู เอียงหน้าเล็กน้อย แต้มยิ้มมุมปากและมองผมด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ย หมอนั่นชอบบอกว่านี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งซึ่งผมไม่เห็นด้วย ถึงเขาจะเป็นขวัญใจผู้หญิงผู้ชายครึ่งค่อนกรมฯ แต่หนึ่งในนั้นไม่มีผมรวมอยู่
“อะไรวะ เดี๋ยวนี้เลิกกลัวแล้วหรือไง”
“นายยังกลัวอยู่หรือเปล่าล่ะ” ผมพูดไปตามความจริงที่ควรจะเป็น ในเมื่อทำงานนี้มานาน หากมัวแต่กลัวมีหวังคงโดนเชิญออกตั้งแต่สามเดือนแรก แต่ใครจะไปคิดว่านายตำรวจหนุ่มรูปหล่อในชุดแจ็คเก็ตคนนี้แหละที่หลัว เซฮุนบอกว่าไม่ชอบบรรยากาศวังเวงแต่ก็ไม่ใช่ว่ากลัวผีอะไรแบบนั้น
เงาดำทาบทับลงบนเนื้องานทำเอาแทบจะโยนปากกาทิ้งแล้วเปลี่ยนไปหักคอเพื่อนร่วมงานแทนเสียแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ฝ่ามือหยาบกร้านเชยคางผมขึ้น ถ้าเป็นเมื่อสองปีก่อนคงน่าเขินอายไม่น้อยที่เราได้สบตากันอย่างนี้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นหมดไปตั้งแต่วันที่โอเซฮุนพาผมซิ่งหนีตายหลังจากตกลงคบกันได้ห้าวัน
ถึงจะเฉยชาแต่การจูบกันก็ไม่ได้น่าเบื่อ เซฮุนกวาดงานทุกอย่างบนโต๊ะลงไปไว้ที่พท้นแล้วยกตัวผมขึ้นนั่งแทนที่ แค่ไม่กี่วินาทีที่ริมฝีปากเราผละจากกัน ผู้ชายคนนี้สามารถใช้ขาตคัวเองดันขาผมออกและแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางได้ทันก่อนจะรู้ตัว
“เกินไปแล้วมั้ง”
“ทำอย่างกับว่าไม่เคยทำที่นี่” เซฮุนส่งสายตาเจ้าชู้
“หมายถึงงาน” ผมพยักเพยิดไปทางกองแฟ้มซึ่งลงกองปนกันมั่วอยู่บนพื้น โอเซฮุนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะเริ่มคุกคามกันอีกครั้ง “เดี๋ยว เฮ้ เซฮุน” สุดท้ายก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อฝ่ามือคู่นั้นสอดเข้าใต้เสื้อทำงาน “ฉันยังมีงานต้องทำ”
“ฉันก็มีเหมือนกัน”
ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงวะ ผมใช้มือยันหน้าของคนที่ซุกอยู่ตรงซอกคอออกแล้วกระโดดลงยืนบนพื้นพร้อมรีบเดินไปที่ประตู
“อย่าไล่กันอย่างนี้สิครับ คุณหมอคิม” น้ำเสียงยียวนกับใบหน้ากวนประสาทช่วยกระตุ้นความหงุดหงิดได้เป็นอย่างดี โอเซฮุนยืนกอดอกอิงสะโพกอยู่กับโต๊ะทำงานโดยไม่สนใจว่าห้องนี้ไม่ต้อนรับเจ้าตัว และผมรู้ว่าอะไรสามารถไล่เขาไปได้ ผมกดปุ่มเปิดประตูเหล็กและเริ่มนับถอยหลังในใจ
สิบ.. เก้า.. แปด.. เจ็ด.. หก..
“อย่าเล่นอย่างนี้สิวะ คิมจงอิน!”
นั่นปะไร! ผมยิ้มอย่างผู้ชนะส่งให้คนที่วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องพร้อมทั้งกดลิฟท์และผายมือไปยังเจ้ากล่องเหล็กที่เปิดพอดีอย่างมีมารยาท เซฮุนมองผมด้วยสายตาโกระเคืองก่อนจะเดินเข้าไปอย่างจำยอม
“โชคดี” ผมบอกลาและกำลังจะเดินกลับเข้าไปทำงาน ถ้าไม่ติดที่..
“เดี๋ยวก่อน” เลิกคิ้วหันกลับไปมอง เซฮุนยังคงยืนอยู่ในลิฟท์ สายตาของเขาแฝงด้วยความเป็นห่วงซึ่งผมเข้าใจดีว่ามันหมายถึงเรื่องอะไร “ฉันจะมารับ รออยู่ที่นี่แล้วกัน”
“เออรู้แล้ว” รับคำอย่างขอไปที่ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องเดิมอีกครั้ง โอเซฮุนยังคงยืนอยู่ในลิฟท์จนแน่ใจว่าผมก้าวผ่านประตูเหล็กหนาหนักเข้ามาได้แล้วถึงยอมกลับขึ้นไปด้านบน
ถอนหายใจให้กับความเหนื่อยหน่ายนี้อีกครั้ง เสียงเพลงเมทัลยังคงดังชัดกับบรรยากาศวังเวงของห้องชันสูตร ผมเปลี่ยนเป้าหมายจากห้องทำงานเป็นโต๊ะเหล็กตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับตู้เก็บศพ หยิบแฟ้มสีน้ำตาลซึ่งผมแยกออกมาด้านนอกขึ้นมาถือ อยู่ๆ ก็รู้สึกหนักอึ้งเหมือนโดนค้อนกดทับบนหน้าอก ความกดดันที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
ในฐานะแพทย์ชันสูตรผมจำเป็นต้องขึ้นเป็นพยานในศาลมาหลายคดี แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ ผู้หญิงหลายสิบคนถูกฆาตกรรมและจัดท่าทางไว้อย่างเหี้ยมโหด เกือบครึ่งปีที่ผมได้แต่ทำความสะอาดร่างกายและหาทุกสิ่งจากร่างกายที่ไร้วิญญาณเพื่อให้ความยุติธรรมกับพวกเธอ ร่องรอยความทรมานปรากฏอยู่บนเนื้อหนังรวมถึงอวัยวะภายใน
ทุกอย่างสิ้นสุดลงเมื่อผมบ่งชี้ผู้ต้องหาจากดีเอ็นเอเดียวที่อยู่บนหินที่คนร้ายใช้ทุบหน้าอกของผู้หญิงคนสุดท้าย ซึ่งเธอข่วนฆาตกรจนได้เลือดก่อนจะถูกทุบที่อกอย่างแรงจนกระดูกซี่โครงหักไปทิ่มปอด เลือดออกภายในจนตาย
โชคร้ายที่ผู้ต้องหาเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพล แต่หน้าที่ของผมหมดลงแค่นั้นและโอเซฮุนเป็นคนรับช่วงต่อ ผมรูดซิปผิดถุงศพสุดท้ายก่อนจะนำร่างของเธอเข้าเก็บในตู้เย็นเพื่อรอให้ญาติมารับ ผมยังจำได้ดีว่าแม่ของเธอร้องไห้แทบขาดใจในวันที่พวกเขามารับศพลูกสาว แม่ของเธอจับมือของผมไว้พร้อมด้วยคำขอบคุณที่ทำให้ผมน้ำตาคลอ
“ขอบคุณ ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณที่ทำให้เธอไม่ต้องตายเปล่า”
ในวันที่เลือกเรียน ผมเคยคิดว่าความตายช่างน่ากลัว ในฐานะแพทย์ การรักษาชีวิตคนไว้ให้ดีที่สุดเป็นหน้าที่ที่หมอคนหนึ่งต้องทำเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อผมอยู่ตรงนี้ หน้าที่เดียวที่ทำได้คือใช้เศษซากที่เหลือจากความตายนำความยุติธรรมกลับมาให้คนที่จากไป
กลับไปทำงานต่อได้เสียที
โอเซฮุนเป็นคนตรงเวลาเสมอ – กับผีน่ะสิ! ผมก้มมองนาฬิกาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ นี่เลยเวลาเลิกงานมาสามชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของนายตำรวจหนุ่ม
“รู้งี้กลับเองแต่แรกซะก็ดี”
บ่นพึมพำกับตัวเองแล้วตัดสินใจคว้าข้าวของซึ่งมีอยู่น้อยชิ้นตรงขึ้นลิฟท์ไปยังลานจอดรถ ผมไม่คิดว่าการรอใครนานๆ จะทำให้อารมณ์ดีนัก ความจริงนอกจากงานแล้วก็ไม่คิดว่ามีอะไรทำให้ใจเย็นได้อีกเลย
ผมหยุดอยู่หน้าลิฟท์ชั่วครู่ มึนงงนิดหน่อยเพราะมองออกไปเห็นต่ลานโล่ง ๆ ใจหายวาบเมื่อคิดว่ารถตัวเองถูกขโมยก่อนจะตั้งสติได้ว่าจอดเอาไว้ตรงไหน ความว่างเปล่าช่วยตอกย้ำความผิดของโอเซฮุนและเพิ่มความหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
ขวับ
ความรู้สึกเหมือนโดนใครสักคนจับตามองอยู่เล่นเอาเสียวสันหลังวูบจนต้องหันกลับไปดู ลานจอดรถยังคงว่างเปล่า สงสัยกังวลมากไป บอกตัวเองอย่างนั้นทั้งที่วันนี้มันไม่มีอะไรปกติมาตั้งแต่ช่วงเข้า คืนก่อนวันพิจารณาคดีมักเป็นอย่างนี้เสมอ ผมกำลังจะยัดตัวเองเข้าไปในรถ
พรึ่บ!!
อะไรสักอย่างครอบลงมาบนหัว ผมดิ้นรนพยายามใช้วิชาป้องกันตัวที่ร่ำเรียนมาน้อยนิดปัดมือผู้ชาย – เดาว่าอย่างนั้นเพราะคงมีผู้หญิงไม่กี่คนที่สามารถทำกับผู้ชายสูงร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร แถมยังเป็นวัยทำงานอย่างนี้ได้ ผมร่วงลงไปกองกับพื้น หลังจากหนึ่งในนั้นซัดเข้าเต็มๆ ที่ท้อง ความรู้สึกจุกมาเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นผมก็รับรู้ได้เพียงอย่างเดียวว่าร่างกายกำลังบอบช้ำอย่างหนัก บอกตามตรงว่านับไม่ทันว่ากี่ตีน
“อย่าให้ถึงตาย” เสียงของคนที่ควรจะเป็นหัวหน้าสั่งอย่างนั้น ชั่ววูบหนึ่งผมดีใจที่อย่างน้อยตัวเองก็ไม่ต้องตาย แต่ด้วยวิชาชีพที่เรียนมาเกือบสิบปี ผมก็รู้ดีว่าอวัยวะของผมกำลังบอบช้ำ ไม่อยากให้ตายก็เบาตีนกันหน่อยสิวะ ผมได้แค่คิดพยายามงอตัวป้องกันช่วงอกและลำตัวไว้ให้มากที่สุด อย่างน้อยผมก็ยังหายใจสะดวก เกือบจะหมดสติตอนถูกเตะเสยคางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนพวกมันจะพากันหลบออกไปจากตึก
ไหนใครบอกมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะบุกเข้ากรมตำรวจ แล้วไอ้ที่โดนซ้อมอยู่นี่มันอะไรกันวะ!
หัวเสียไม่น้อยกับสิ่งที่ตัวเองต้องพบเจอ ผมพลิกตัวนอนแผ่ ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทุกส่วนของร่างกาย ผมพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ถ้าโชคดีมันคงยังไม่พัง อา แล้ววันนี้ผมก็ยังมีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง แน่นอนคนที่ผมโทรหาคือคนที่บอกให้ผมรอแล้วผิดนัดมาหลายชั่วโมง
(อีกแป๊บเดียวจงอิน ฉันกำลังจะเคลียร์งานหมดแล้ว) เสียงของหมอนั่นดูกระวนกระวาย ถ้าเป็นปกติก็อยากจะบอกว่าได้อยู่หรอกนะ
“ครั้งนี้แป๊บไม่ได้แล้ว” ผมรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายพูดออกไป หวังว่าคราวนี้โอเซฮุนจะรีบมา
(นายอยู่ที่ไหน!)
“โชคดีที่วันนี้นายฉลาด” ผมแค่นหัวเราะและพบว่ามันทำให้เจ็บซี่โครงน่าดู “ลานจอดรถชั้นสาม ฝั่งตะวันออก โทรเรียกรถพยาบาลให้ฉันด้วย” ทีนี้โอเซฮุนคงเข้าใจความหงุดหงิดของผมเสียที ได้ยินปลายสายสบถคำหยาบคายออกมามากมาย สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยลอดมากับเสียงแหกปากดังลั่นว่าอย่าหลับ ร่างกายประท้วงขนาดนี้จะไม่ให้หลับได้ยังไงกันวะ
ในเมื่อความตายไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
ผมถึงไม่ค่อยตื่นเต้นที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายล่ะมั้ง
ผมยังไม่ตาย
ที่มั่นใจว่าอย่างนั้นเพราะตอนนี้ความเจ็บมันพุ่งเข้าจู่โจมทันทีที่รู้สึกตัว แค่รู้สึกตัวยังไม่ทันได้ลืมตาเลยด้วยซ้ำ ผมคิดว่านี่มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ อย่างน้อยก่อนจะให้ผมเจ็บก็ให้ผมลืมตาสักหน่อย
“พี่ฟื้นแล้ว!”
ผมขมวดคิ้ว เสียงใคร? พยายามลืมตาและพบว่าทัศนียภาพตรงหน้าของตัวเองคือความว่างเปล่า ผงกหัวขึ้นแล้วก็ทิ้งลงหาหมอนนอนหลับตาเหมือนเดิมเมื่อพบว่ามันหนักจนเกินกว่าจะยกไหว ตอนนี้จะเป็นใครก็ช่างมันก่อน ผมอยากพบใครสักคนที่สามารถตอบคำถามอาการของผมได้ในตอนนี้
“เจ็บมากไหม” เสียงใครสักคนดังขึ้นเหนือหัว “เด็กคนนั้นรอคุณตื่นมานาน คงดีใจจนวิ่งออกไปบอกคนอื่น ถ้าได้ยินพวกเราก็ช่วยตอบกลับสักนิดเถอะครับ” ผมขมวดคิ้วกับประโยคประหลาดๆ ก่อนจะทำมือโอเคทั้งที่ยังนอนหลับตา ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างไร ประสาทสัมผัสของผมยังคงทำงานครบถ้วน แต่สิ่งเดียวที่เด่นชัดตอนนี้คือ เจ็บชิบหายเลย
ผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้มีบทสนทนาอะไรอื่นๆ อีก กว่าจะลืมตาขึ้นมามองและเห็นว่าผู้ชายที่พูดคุยกับผมคนนี้เป็นใครก็กินเวลาหลายนาที เขาเป็นคนที่จะเรียกว่ายังไงดี ถ้าให้นิยามแบบที่ผู้ชายอย่างผมยังจั๊กจี้คงต้องบอกว่าเขาหล่อเหมือนหลุดมาจากการเป็นพระเอกซีรีส์สักเรื่อง รูปร่างสูงใหญ่ ดวงตากลมโต สันจมูกโด่งและริมฝีปากก็เคลือบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งเหมาะสำหรับการผูกมิตร
“คุณ—“
“จงอิน!!” ผมหันไปตามเสียงเรียก และเห็นว่าโอเซฮุนพุ่งตรงมาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทำท่าจะจับนู่นจับนี่แต่ก็ไม่กล้า ท่าทางตลกพิลึก นานๆทีจะเห็นนายตำรวจมาดหลุด
“ฉันไม่เป็นไร” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ตามหมอให้ที” โอเซฮุนยังคงทำท่าเหมือนคนสติแตกกว่าจะเข้าใจว่าควรทำอะไรก็กินเวลาไปหลายนาที
“เขาดูเป็นห่วงคุณมากนะครับ” ผมหันไปทางผู้ชายคนนั้น เขามองตามโอเซฮุนที่เพิ่งออกไปด้วยสายตาซึ่งตีความหมายได้หลายอย่าง
“แน่นอน ในเมื่อฉันจำเป็นสำหรับเขา” หลีกเลี่ยงคำว่าพยานหรือคดีอย่างน้อยการไม่พูดถึงงานกับคนแปลกหน้านับว่าเป็นเรื่องดีที่สุด
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อโอเซฮุนก็กลับมาพร้อมหมอและหลังจากนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นทันที เข้าใจว่าเป็นขั้นตอนทางการแพทย์ แต่ถึงอย่างนั้นยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันมากไปในบางที
ผมปล่อยให้หมอตรวจร่างกายตามใจชอบก่อนโดยมีสายตาจากโอเซฮุนและผู้ชายที่ไม่รู้จักชื่อคอยมองอยู่ห่างๆ ถึงไม่ต้องผ่าผมก็รู้ว่าตัวเองคงนอนง่อยๆ อยู่ที่นี่อีกสักพัก แทบสลบไปอีกรอบเมื่อเพื่อนร่วมงานหวังดีระบุเวลาสักพักของผมหนึ่งเดือนเต็ม
“นายนอนพักอยู่นี่แหละ ฉันสั่งให้จัดคนมาเฝ้าแล้ว”
“ขอบคุณ” ถึงจะไม่พอใจแต่ผมก็รู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น โอเซฮุนพูดพล่ามอะไรสักอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบหุนหันออกไปเมื่อเขาได้รับโทรศัพท์ หลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบแม้ว่าจะมีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ที่ปลายเตียง
“ผมยังไม่ได้ถามชื่อคุณเลย”
“ปาร์คชานยอลครับ” สั้น ง่าย ได้ใจความ ถึงจะน่าหงุดหงิดแต่ผมยังไม่หมดคำถาม
“ผมคิดว่าเราไม่เคยรู้จักกัน” พูดกับคนตายมากเข้า พอต้องสนทนากับคนเป็นผมก็หนักใจเหมือนกันว่าจะพูดยังไงให้เข้าหูคนฟัง “ แล้วคุณมาอยู่ที่นี่ทำไมครับ”
“เด็กคนนั้นพาผมมาหาคุณ”
งงหนักเข้าไปใหญ่ “เด็กคนนั้น? คนที่เพิ่งวิ่งออกมาเมื่อกี๊นี้น่ะเหรอ”
เขาพยักหน้ารับ ผมจำได้ว่าไม่เคยรู้จักปาร์คชานยอลหรือเด็กคนนั้นเลยแม้แต่น้อย แล้วอยู่ดีๆ ทั้งสองคนจะมาหาผมด้วยเรื่องอะไร
“เขาบอกว่าคุณช่วยผมได้”
“สภาพแบบนี้ผมคงช่วยใครไม่ได้หรอกครับ” สาบานได้เลยว่าตั้งใจกวนตีน แต่ปาร์คชานยอลไม่ได้มีเค้าความโกรธให้เห็นเลยสักนิด เขายังคงยิ้มและผมคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้พอๆ กับโอเซฮุนเลยทีเดีp;
ผมมองไปรอบๆ ห้องพักผู้ป่วยที่คงต้องอาศัยไปอีกอย่างน้อยสองอาทิตย์ ต้องเป็นสองอาทิตย์ที่น่าเบื่อมากแน่ๆ ปาร์คชานยอลยังคงยืนอยู่ในกรอบสายตา และผมก็คิดได้ว่ายังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ
เรื่องอะไรสักอย่างที่ผมลืม
กราบสวัสดีมิตรรักแฟนเดิม พาริมคนเดิม เพิ่มเติมคือเปลี่ยนหมอ
ยินดีต้อนรับสู่หมอชันสูตรของพาริมน้า แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ะ
เราเพิ่งเขียนแนวนี้เป็นครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
ติชมกันได้ที่ #OHYESSEKAI น้า กราบขออภัยมิตรรักแฟนเพลงด้วยจ้าที่เปลี่ยนเรื่อง
ความคิดเห็น