คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : มลินค่ะ △ | HIDE AND SEEK
คุณเคยมีแฟนไหมครับ?
แล้วปัจจุบันยังคบกันอยู่หรือเปล่า...ถ้ายังรักกันหวานชื่นผมก็ดีใจด้วย
แต่ถ้าเลิกกันแล้วผมก็มีคำถามสักข้อว่าคุณกับเขาน่ะจบกันด้วยดีหรือเปล่า?
โดยส่วนตัวผมคิดว่าแม่งจะจบกันด้วยดีได้ไงในเมื่อต้องมีคนนึงต้องเสียใจ นี่มันเรื่องตอแหลชัด ๆ แล้วอะไรคือการไปอวยพรให้มันเจอคนที่ดีกว่า บะบะบ้าไปแล้ว...มีแต่พวกขี้แพ้ที่หวังว่าไอ้หอกนั่นจะรีเทิร์นกลับมาเพราะความสงสารเท่านั้นแหละที่จะพูดอย่างนั้นน่ะ
เพราะงั้นไอ้เรื่องจบลงด้วยดีหรือจะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้นี่มันโคตรเลอะเทอะสิ้นดี
สิ่งที่ผมมองเห็นในตอนนี้มีเพียงแค่ซากกลีบดอกไม้บนโต๊ะที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่กิ่งก้านใบกำลังปลิวไหวไปกับแรงลม มือของเพื่อนสนิทอย่างปาร์คชานยอลกำลังรัวกดเกมหอกอะไรสักอย่างอย่างบ้าคลั่ง และเกมเส็งเคร็งนั่นมันทำให้ผมตาลายทุกครั้งที่ชะโงกหน้าไปดู
เสียงถอนหายใจของตัวเองเป็นเสียงเดียวที่ผมได้ยินในตอนนี้ถ้าไม่รวมเสียงบทสนทนาของนักเรียนที่เดินผ่านมาในเวลาพักเที่ยงและคงจะเป็นแบบนี้ไปจนถึงบ่ายสองเพราะช่วงบ่ายเป็นคาบกิจกรรม
และนั่นคือเหตุผลที่ผมมานั่งทำหน้าเหมือนหมาพิการอยู่ตรงนี้ทั้งที่จิตใจไม่สงบ กี่นาทีแล้วก็ไม่รู้ที่ผมนั่งพลิกซ้ายพลิกขวา หักข้อนิ้วเล่น เสยผม ยกมือถือขึ้นมาเปิดแอพกล้องเพื่อส่องดูเบ้าหน้าตัวเองว่ายังหล่อดีอยู่ไหม หรือออะไรก็ตามบนโลกใบนี้ที่สามารถทำได้โดยการนั่งอยู่กับที่โดยไม่ขยับดากไปไหน แน่นอนว่าผมทำแล้วทั้งหมด
“เดี๋ยวกูไปก่อนนะ จะบ่ายแล้ว”
“ไปพ่อง...อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนดิ” ผมคว้าแขนเพื่อนรักไว้แล้วส่ายหน้าพรืดพร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ซึ่งไอ้เพื่อนตัวดีก็ไม่ได้แสดงออกให้ชื่นใจเลยว่ามันจะอยู่เพราะประโยคขอร้องนี้ ไอ้ชานยอลมองด้วยหางตาก่อนจะแกะมือผมออกแถมปิดท้ายด้วยการจงใจถอนหายใจแรง ๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่พอใจอีกด้วย
“ช่วยไม่ได้เซฮุน มึงทำตัวเอง”
“ตอนนั้นมันหน้ามืดอ่ะ กูรู้สึกเหมือนถูกผีผลักเลย” ผมเอื้อมมือไปสุดขอบโต๊ะฝั่งตรงข้ามเพื่อกระตุกแขนเสื้อเพื่อน แต่ไอ้ชานยอลเสือกง้างมือขึ้นทำท่าจะโบกกบาลผมซะอย่างนั้น
“มึงจะให้กูนั่งอยู่ตรงนี้เพื่อรอแฟนเก่ามึงมาทั้ง ๆ ที่มึงก็รู้อยู่เต็มอกว่ากูคิดยังไงกับมึงน่ะเหรอ”
“อย่าซีเรียสดิ กูกับมันจบกันไปนานแล้วป่ะวะ นี่ก็แค่มาโคเรื่องงานกีฬาสี” ผมยังคงส่งสายตาขอความเห็นใจจากเพื่อนซี้ แต่ถึงอย่างนั้นประโยคก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ไอ้ชานยอลสบายใจขึ้นมาเลย
“ปากมึงบอกว่าจบ แต่พอไอ้จุนมยอนบอกว่าตัวแทนห้องบีที่จะมาโคงานด้วยคือคิมจงอินมึงก็เสนอหน้ายกมือขึ้นทันทีนี่คือ?”
“บอกแล้วว่าผีผลัก” ผมปั้นหน้ามึน
พูดก็พูดเถอะว่ะ ร่างกายผมเหมือนมีระบบอัตโนมัติทันทีที่ได้ยินชื่อไอ้เปรตนั่น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่ม.ต้นปีหนึ่ง แต่ดันมาสปาร์คกันตอนม.ต้นปีสองเพราะรู้สึกว่าที่เป็นอยู่มันมากกว่าเพื่อน แต่ผมขอไม่เล่าแล้วกันว่าสมัยนั้นความรักของเด็กหนุ่มวัยขบเผาะมันสมถุยแค่ไหน เพราะยังไงสุดท้ายผมกับมันก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี เลยจบแห่ตั้งแต่ตอนม.ต้นปีสาม เข้าหน้ากันไม่ติดอีก และแน่นอนว่าผมไม่ได้เป็นคนบอกเลิก
“ยังชอบมันอยู่ก็บอกมา”
“ไม่เว้ย! กูตอบได้เต็มปากที่มีแต่เหล็กนี่เลยว่าไม่สักนิด!” ผมรีบโพล่งออกไปพร้อมชี้เหล็กดัดฟันให้ดู ซึ่งไอ้ชานยอลก็นิ่งไปแป๊บนึง สุดท้ายมันก็เอื้อมมือมายีหัวผมอย่างเอ็นดูเหมือนที่มันชอบทำ
“ถ้าไม่ชอบก็ยอมเป็นแฟนกูสักทีสิ”
“หึ กูไม่เป็น” ผมหรี่ตาแล้วส่ายหน้า นี่กล้าปฏิเสธแบบชั่ว ๆ เลยว่ายังไงผมก็ไม่เอามันทำแฟนเด็ดขาด ไม่ใช่ว่าชานยอลมันไม่ดีนะ มันเป็นคนหล่อ สูง เท่ ดูดี แถมยังชอบทำตัวป๋าให้ผมรู้สึกว่าเป็นเด็กเสี่ยอยู่ตลอดอีกด้วย
“ขอเหตุผลที่ทำให้กูอยากตัดใจจากมึงภายในครั้งเดียวหน่อยซิ” คนตัวสูงหันกลับมานั่งมองผมอย่างจริงจัง
“กูจะไม่จับเพื่อนทำแฟนอีกแล้ว ถ้ามึงไม่อยากมีจุดจบเหมือนคิมจงอินก็อย่าเสือกพูดแบบนี้อีก” ผมชี้หน้าไอ้ชานยอลและส่งสายตาไปเป็นเชิงบอกว่ากูจริงจังมาก
ปกติมันน่าจะพูดอะไรออกมาแล้วเช่นการยกเหตุผลทั้งโลกมาให้ผมได้รู้สึกผิดที่ไม่ยอมตกลงเป็นแฟนกับมัน แต่นี่ไอ้เพื่อนตัวดีเสือกแค่มองหน้าผม...ก่อนจะเลื่อนระดับสายตาขึ้นไปอีกนิดนึง
“จบแบบไหนวะ?”
ถ้าผมไม่เทพจนอ่านความคิดของไอ้ชานยอลได้ งั้นแสดงว่าเสียงนี้คงมาจากคนอื่นที่ไม่ใช่คนตัวสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพราะปากมันไม่ได้ขยับเลยสักนิดเดียว
พอปล่อยให้สมองได้ทบทวนทุกอย่างจู่ ๆ ขนแขนก็ลุกซู่ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด จะว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้มันค่อนข้างที่จะคุ้นหูคุ้นตีนอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ถึงมันจะทุ้มต่างไปจากเดิมหน่อยก็เถอะ...เดี๋ยวนะ
“เชี่ย!!!” ผมแทบตกจากเก้าอี้ทันทีที่หันไปเห็นผู้ชายผิวสีแทนในสภาพชุดนักเรียนฤดูร้อนกำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างหลัง และแน่นอนว่ามันคือซากมนุษย์หายใจได้ที่ผมเพิ่งนินทาไปเมื่อกี้นี้
“ไงเหยิน ไม่ได้เจอกันนาน ลองไทม์โนซีสบายดีนะ?”
“เหยินพ่อนายดิครับ”
“แหน่ะ ยังปากดีเหมือนเดิม ว่าแต่ใครล่ะที่จะมาคุยเรื่องกีฬาสี...มึงเหรอปาร์คชานยอล?” ไอ้จงอินมองข้ามหัวผมไปหาอีกคน นี่มึงจะเกินไปแล้วนะ ตอนยังคบกันมึงก็ชอบทำอะไรข้ามหัวกูตลอด นี่ขนาดเลิกกันไปเป็นปี ๆ แล้วก็ยังเหมือนเดิม
“เปล่า กูไปนะเซฮุน” ประโยคแรกตอบไอ้จงอินก่อนจะหันมามองผมด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ ซึ่งคงมีแต่คนมาใหม่อย่างไอ้เส็งเคร็งคิมจงอินเท่านั้นแหละที่จะยืนงงเพราะไม่เข้าใจว่าใครไปเอาไฟแช็คลนขนหน้าแข้งไอ้ชานยอลหรือเปล่ามันถึงได้ทำหน้าหงิกแบบนั้น
“สรุปคือมึงเหรอ”
“เออ ถ้ารู้ว่าตัวแทนห้องบีคือมึงนี่กูจะไม่มาเด็ดขาด” ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแบบว่าคนหน้าดีคนหนึ่งจะมองเหยียดแฟนเก่า ได้ ซึ่งไอ้จงอินก็แค่ไหวไหล่ก่อนจะอ้อมไปทางเก้าอี้ตัวที่ไอ้ชานยอลนั่งก่อนหน้านี้
“บุพเพชัด ๆ ที่ทำให้เราได้รีเทิร์นกลับมาเจอกันอีก” มันพูดเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ไอ้ชั่วคิมจงอินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอาสมาร์ทโฟนเคสสีดำขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้วมองหน้าผม
“กูว่าเวรกรรม”
“ฟังแล้วชื่นใจ” ผมเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มมองคนตรงหน้า คงมีแค่มันนั่นแหละที่เอาแต่ยิ้มล่อส้นตีนไปจูบปากในขณะที่ผมเดือดไปหมดแล้ว
มันก็จริงอยู่ที่โอเซฮุนเสนอหหน้ามาเอง ถึงปากจะอ้างว่าผีผลักหรืออะไรก็ตาม แต่ความจริงแล้วมันเป็นผมเองนั่นแหละที่อยากมาเจอมันเองเลยใช้จังหวะนี้สร้างเรื่องบังเอิญขึ้นมา แน่นอนว่าผมไม่ได้อยากสร้างความประทับใจอีกครั้งเพื่อให้มันกลับมารักผมเหมือนสามปีที่แล้ว เพราะตอนนี้แค่มองหน้ากันทั้งมือและตีนก็คันไปหมด
และเหตุผลที่โอเซฮุนมาอยู่ตรงนี้ ก็เพราะอยากให้ไอ้เวรคิมจงอินรู้สึกเสียดายที่ทิ้งผมไป
“จัดฟันนานแล้วเหรอ”
“เสือกแล้ว”
“หมอให้ถอดเหล็กออกตอนไหน”
“อีกแปดเดือน...เอ๊ะ กูบอกว่าเสือกไง”
“ไม่เสือกก็ได้ นี่ตัดผมครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ กูว่าตอนมึงเอาผมลงดูดีกว่านะ” สายตาจับจ้องอยู่ที่หัวของผมที่เซ็ทมาเป็นอย่างดี ส่วนมือมันก็เขี่ย ๆ หัวตัวเองเป็นท่าประกอบ
“จริงดิ แต่มีคนบอกว่ากูทำผมตั้งแล้วหล่อนะ”
“โดนดักควายแล้ว มึงทำทรงไหนก็ไม่หล่อทั้งนั้นแหละ” พูดจบมันก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เล่นเอาหน้าผมแห้งไปตามอากาศวันนี้ไปโดยปริยาย
“นี่เล่นกวนตีนไม่เลิกถ้าไม่ติดว่าเคยเป็นเพื่อนกันกูคงลุกไปต่อยหน้ามึงแล้ว” นี่เลยครับ โชว์โหดจริงจังใส่มันสักดอก ต่อให้เป็นคนกวนตีนแค่ไหนก็ต้องรู้สึกผิดบ้างแหละที่สาระแนพูดเล่นกับแฟนเก่าอย่างกับเป็นเรื่องตลก ฟั้ค
“ถ้าบอกว่าแค่เพื่อน การคุยกันแบบนี้มันก็ไม่แปลกป่ะวะ?” ไอ้จงอินพูดหน้าตาย ผมเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะประโยคนี้เหมือนจะบีบให้ผมพูดขึ้นมาว่า ‘ก็ได้ เราเคยเป็นแฟนกัน’ ยังไงอย่างนั้น
“มึงควรจะอึดอัดตอนเจอหน้ากู ไม่ใช่อยากพูดอะไรก็พูด อารมณ์ดีมากป่ะห่าแดกขายหัวเราะมาไง?”
“คนที่ต้องอึดอัดคือมึงต่างหาก ไม่เหนื่อยเหรอ”
“ทำไมกูต้องเหนื่อย”
“ที่พยายามกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งที่ตัวมึงเองก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น กูว่าตอนมึงฟันเหยินยังน่ารักกว่านี้อีก”
“กูไม่จำเป็นต้องฟันเหยินเพราะแฟนเก่าบอกว่าน่ารักหรอกว่ะ”
“อ้าวเหรอ เห็นเมื่อก่อนเคยบอกว่าคำพูดของกูมีผลต่อมึงเสมอ” ไอ้จงอินหัวเราะอีกแล้ว แต่คราวนี้มันไม่ได้หัวเราะเยาะเหมือนประโยคก่อนหน้านี้ ซึ่งมันแย่มาก ๆ ที่ผมรู้สึกใจวูบขึ้นมาเพราะมันจำคำพูดของผมเมื่อนานมาแล้วได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่ได้...ผมต้องทำให้มันรู้สึกว่าพลาดแล้วที่ทิ้งผมไป!!!
“โว้ว กูเคยพูดแบบนั้นด้วย?” ผมแกล้งทำตาโตปั้นหน้าเกินจริง “ไม่เห็นจะจำได้เลย”
“นอกจากจะพยายามเกินตัวแล้วยังแสดงละครไม่เก่งอีกต่างหาก”
“ใคร๊ใครจะไปแสดงละครเก่งเหมือนมึงล่ะครับ นี่แทบจะเอาแดซังให้” ผมแค่นหัวเราะ
“กูเนี่ยนะ ไหนบอกมาซิว่ากูทำอะไร”
“ขอไม่พูดถึง” ผมทำมือปัด ๆ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น แสดงออกให้เห็นไปเลยว่าผมไม่ได้แฮปปี้เลยสักนิดกับการคุยเรื่องในอดีตของเรา ซึ่งความจริงแล้วผมคิดถึงช่วงเวลาเก่า ๆ มาตลอด
“หน่อยน่า เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าจะหมดคาบกิจกรรม” ไอ้จงอินหัวเราะ
“ทุกอย่างที่มึงทำกับกูนั่นแหละคือการแสดง” สุดท้ายผมก็หลุดปากพูดออกมาจนได้ นี่ผมเพิ่งเชื่อคำพูดไอ้จงอินเมื่อสามปีก่อนก็ตอนนี้แหละว่ามนุษย์ที่ชื่อโอเซฮุนแม่งความอดทนน้อยจริง ๆ
“เช่น”
“กูไม่เล่า”
“สปอยล์ให้อยากรู้แล้วก็อุดปากเงียบเหรอเหยินซี่”
“ไรมึง กูแค่ไม่อยากเสียเวลาคุยกับมึงหรอกครับคิมจงอิน” ผมมองคาดโทษคนตรงหน้าที่เอามือเท้าแก้มมองผมยิ้ม ๆ
เวรเอ้ย...ผมอยากมองหน้ามันนาน ๆ บ้างจัง แต่กลัวมันรู้ว่าผมไม่ได้เก่งเหมือนปากที่เอาแต่พูดเรื่องไม่ดีออกไป
“ตอนนี้มึงสูงเท่าไหร่”
“เลิกเสือกสักทีดิ๊ รำ” ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิดถึงจะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น กลับกันแล้วตอนนี้ผมยังใจเต้นแรงเพราะสายตาของมันที่มองมาอีกด้วย
“มึงคบกับไอ้ชานยอลเหรอ”
“ไม่ได้คบ ถามทำไมวะ ผีสางตนไหนล้างสมองมึงให้สนใจเรื่องกูขึ้นมา?” ผมเลิกคิ้วถาม ซึ่งไอ้จงอินก็เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือมาเขี่ยปลายจมูกผมเบา ๆ จนต้องหยีตาลงเล็กน้อย
“ก็แค่อยากรู้เรื่องของคนเคย ๆ กัน ถ้ามึงรู้สึกว่ากำลังเสียเปรียบจะถามคืนบ้างก็ได้นะ” มันพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ พร้อมหยิบมือถือผมไปกดเล่นหน้าตาเฉยต่างจากผมที่กำลังเกร็งแม่งทั้งทางคำพูดและการกระทำอย่างกับพวกไก่อ่อน
“กูจะอยากรู้เรื่องมึงไปทำซอกเล็บให้รกสมองทำไมวะจงอิน” ผมแค่นหัวเราะพลางส่ายหน้าระอา
“มึงไม่ได้ล็อกหน้าจอมือถือเหรอ”
“ไม่ล็อก เสียเวลา”
“งี้เวลามือถือหายทำไง มึงถ่ายรูปเปลือยหน้ากระจกห้องน้ำเก็บไว้ป่ะเนี่ย” ผมเอื้อมไปผลักหัวมันแรง ๆ ทีนึงกับความจังไรที่คนธรรมดาไม่น่าจะคิดได้ ซึ่งไอ้จงอินก็แค่หัวเราะทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากมือถือผม
“ใครจะไปถ่ายรูปแบบนั้นกัน ปัญญาอ่อน” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้าแต่มันก็ไม่ยอมตอบคำถาม “หรือว่ามึงถ่าย?”
ทันทีที่พูดจบไอ้คนจังไรก็มองหน้าผมก่อนจะทำตาหวานซึ้งกัดปากล่าง เห็นงั้นเลยง้างมือขึ้นทำท่าจะโบ้หัวมันอีกครั้ง ฟายเอ้ย เรื่องอัปปรีย์นี่ขอให้บอกมันเถอะ ตอนคบกันผมยังจำได้ดีว่าในโน๊ตบุ้คและพีซีของมันน่ะเต็มไปด้วยหนังโป๊ ถึงจะไม่เคยมีอะไรกันแต่ผมก็เห็นมันทำท่าเหมือนจะล่อผมอยู่หลายหน จนกระทั่งเราเลิกกันไปนั่นแหละ
ผมหลุดออกจากความคิดเพราะอีกคนดีดนิ้วตรงระดับใบหน้า ยังไม่ทันงงว่าเกิดอะไรขึ้นมันก็ยัดโทรศัพท์คืนใส่มือผมก่อนจะลุกขึ้นยืน ตอนนี้คงมีแค่ไอ้ชั่วจงอินเท่านั้นที่เห็นว่าผมกำลังทำหน้าแบบไหน แล้วก็คงไม่พ้นหน้างง ๆ แบบที่มันชอบด่าผมบ่อย ๆ ว่าซื่อบื้อเหมือนอีมงกูหมาที่บ้านมัน
“ถ้าคุยแบบต่อหน้าแล้วเขินงั้นก็ไลน์เอาละกัน” เสียงสิ่งแวดล้อมระแวกนี้ทำให้เสียงของคนตรงหน้าผมเบาลงไปเลย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้ยินชัดเจนดี “ไม่รู้ว่ามึงยังใช้เบอร์เดิมอยู่ไหม ถ้าใช่ไว้กูจะโทรไปถ้าเกิดมึงกวนตีนไม่ยอมตอบไลน์กู”
“...”
“กูยังใช้เบอร์เดิม คิดว่ามึงคงยังไม่ลบ แล้วก็ไม่กล้าลบด้วย”
“...”
“กูเป็นพวกเปลี่ยนชื่อเฮดไลน์บ่อย เพราะงั้นเลยเปลี่ยนชื่อให้เรียบร้อยแล้ว ลองเช็คดูนะว่าถูกใจไหม”
ไอ้คนชั่วยิ้มปิดท้ายก่อนจะเดินถอยหลังไปทีละก้าว แหม่ไอ้ฟายหล่อตายห่าแหละมึงกูหน้าแดงไปหมดแล้ว นี่ไม่รู้ว่าเพราะโมโหหรือเขินกันแน่ มั่นหน้ามากไหมเรื่องเบอร์โทรศัพท์เนี่ย มึงเข้ามาอ่านความคิดกูเหรอหรือยังไง
ผมหรี่ตามองผู้ชายคนนั้นที่ห่างออกไปทุกที ๆ ก่อนจะชูนิ้วกลางให้เมื่ออีกฝ่ายส่งจูบกลับมา เกือบสองนาทีเลยที่เราสบตากัน ถึงจะไม่ได้มาจากแรงพิศวาสก็เถอะ แต่ผมก็คิดว่ามันนานมากพอจะทำให้รู้สึกถึงวันเก่า ๆ ที่ผมไม่เคยลืม
ผมก้มลงดูมือถือพร้อมสไลด์จอ กดเข้าไปดูในไลน์แล้วก็เห็นรายชื่อเพื่อนใหม่อยู่แถบบนรองจากชื่อตัวเอง สิ่งแรกที่ผมมองเห็นคือรูปอีมงกูที่ใช้เป็นดิสเพล์ก่อนจะหันไปเห็นชื่อเฮดไลน์ที่มันเปลี่ยนให้ก่อนส่งคืนให้ผม...
‘คิดถึงนะ’
30%
ความคิดเห็น