ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) OH! YES KAIHUN | Dusk Till Dawn

    ลำดับตอนที่ #4 : mstxxz △ | THE LOVEBRARY

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      4
      8 พ.ย. 57








    ทุกคนในโลกล้วนพยายามหาคำจำกัดความว่าความรักคืออะไร?

    หลายคนบอกว่ามันคือการที่เรายอมเอาขนมซ่อนไว้ใต้โต๊ะ ทั้งที่รู้ว่าเขาจะต้องมาแอบกิน
    หลายคนบอกว่ามันคือการที่ยอมรับในทุกๆ อย่างของคนคนหนึ่ง แม้ว่าเรื่องนั้นจะไม่ดีสักเท่าไร

     

    แต่ผมคิดว่าความรัก

    เหมือนหนังสือ

     

     







     

     

    The Lovebrary

    STORY BY MSTXXZ

     

     

     

     

     

                    ความเงียบ เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ได้ยินและไม่คิดจะหยุดฟัง

     

     

                แต่ช่วงเวลาแสนโปรดปรานของโอเซฮุน คือการนั่งแลกเปลี่ยนทัศนคติ ข้อคิดเห็นและความรู้สึกกับเพื่อนที่ชื่อว่าความเงียบ แม้ว่าจะฟังดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่นี่คือสิ่งที่เขาชอบจริงๆ

                รองลงมาอาจจะเป็นเสียงหน้ากระดาษที่ถูกพลิก เสียงหนังสือที่ถูกดึงออกมาจากชั้น เสียงรองเท้าที่กระทบเบาๆ ลงกับพื้นไม้ปาร์เก้สีครีมอ่อน หรือเสียงปลายดินสอและปากกาที่ตวัดฉวัดเฉวียนลงกับกระดาษ

                เขารักความเงียบสงบที่ทำให้ตัวเองได้ทำความรู้จักบางส่วนของความคิด ได้พูดคุยกับจิตใจ และปลอบประโลมจิตวิญญาณที่ขาดวิ่นให้สงบลง


     

                และจะมีสถานที่ใดที่ทำสามารถให้ทุกเสียงนั้นแก่เซฮุนได้ ถ้าไม่ใช่ห้องสมุด

     
     

                เด็กหนุ่มเกรดสิบสอง ดำรงตำแหน่งหัวหน้านักเรียนบรรณารักษ์และประธานชมรมหนังสือทำมือ ตั้งแต่เข้าเรียนชั้นมัธยมต้น จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคงทำงานทั้งสองตำแหน่งขะมักเขม้น กระตือรือร้น และเป็นจริงเป็นจัง

                ไม่มีหนังสือเล่มไหนในห้องสมุดที่โอเซฮุนไม่เคยสัมผัส ไม่มีเล่มไหนที่เขาไม่เคยเห็นชื่อ เพราะหนังสือทุกเล่มล้วนผ่านการเยียวยาและดูแลรักษาโดยเด็กชายตัวสูงคนนี้เสมอ

                ทุกเช้าเซฮุนจะมาเปิดห้องสมุดเป็นคนแรก แยกหนังสือที่ต้องซ่อมแซมออกจากหนังสือที่รอการเก็บขึ้นชั้น เช็คกล่องคืนหนังสือและนั่งอ่านมันเพื่อรอเวลาเข้าเรียนในตอนเช้าและรอเวลากลับบ้านในตอนเย็น

                ฟังดูเหมือนเป็นบุคคลที่มีโลกส่วนตัวสูง ไม่มีเพื่อนเท่าไรนัก และคุณก็คิดถูกแล้วละ เขาไม่ค่อยจะมีเพื่อนจริงๆ นั่นแหละ ถ้าจะมีใครสักคนที่สามารถเรียกได้แบบนั้นอย่างเต็มปากเต็มคำ ก็คงจะมีแต่แบคฮยอน เพื่อนร่วมห้องที่นิสัยตรงกันข้ามกับเขาแบบสุดขั้ว

                เพื่อนตัวเล็กที่มีส่วนสูงน้อยกว่าเกือบสองไม้บรรทัดต่อกันชอบบ่นเสมอเวลาที่เขาเอาเวลาว่างทั้งหมดจากการเรียน มาขลุกตัวอยู่แต่ที่ห้องสมุด ถ้าไม่อ่านหนังสือ ก็คอยทำหน้าที่ ยืม-คืนหนังสือ หรือไม่ก็ซ่อมแซมเล่มทีต้องการการเยียวยา ช่วยงานประหนึ่งเป็นคุณครูบรรณารักษ์อย่างไรอย่างนั้น


     

                แบคฮยอนบอกว่าเขาน่ะมีหนังสือเป็นคนรัก

                และเขาเองก็คิดเช่นนั้น

     

     

                เซฮุนไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหัวใจของเขาเต้นแรงทุกครั้งที่ห้องสมุดสั่งหนังสือใหม่เข้ามา และเขานั้นเป็นนักเรียนคนแรกทีได้สัมผัสแผ่นกระดาษเรียบลื่น สูดดมกลิ่นน้ำหมึกและสดับฟังเสียงยามที่ปลายนิ้วกรีดเปิดหน้าหนังสืออย่างรวดเร็วเพื่อตรวจว่าไม่มีกระดาษที่ถูกตัดไม่เรียบร้อย

                นักเรียนบรรณารักษ์ตัวสูงทอดสายตามองไปรอบๆ ห้องสมุดที่เขารักและใช้เวลามาด้วยตลอดหกปีในโรงเรียนนี้ ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างทีละบานเพื่อถ่ายเทกลิ่นอับ

                อากาศยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิพัดโชยเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดเอาไว้ต้อนรับสายลมเย็นให้เข้ามาอ่านและทักทายหนังสือ มันหอบเอากลิ่นหอมของต้นไม้ใบไม้หญ้าด้านหน้าตึกเข้ามาด้วย เซฮุนยิ้มขณะที่โน้มตัวลงดันรถเข็นไปตามทางเดินแคบๆ ระหว่างชั้นหนังสือเพื่อเก็บแต่ละเล่มเข้าที่เดิมของมัน

                เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นไม้เบาๆ สลับกับเสียงลากไปข้างๆ เมื่อพยายามมองหาว่ารหัสอักษรที่ติดอยู่ตรงสันหนังสือกับช่องบนชั้นตรงกันหรือไม่

     



     

                Norwegian Wood – Haruki Murakami

     



     

                อักษรภาษาอังกฤษอ่านง่ายบนกระดาษโน้ตสีเหลืองยื่นมาตรงหน้าเขาอย่างกะทันหันจนแทบจะแปะลงบนลูกตา เซฮุนหันไปมองที่มา สายตาไล่ไปตามข้อมือ ลากไล้ผ่านท่อนแขนและผิวกายสีแทน จนบรรจบที่ใบหน้าคมคายที่มีดวงตาไร้อารมณ์

                เขาหันกลับไปมองกระดาษโน้ต ดึงมันมาอ่านอีกครั้งแล้วเดินนำเด็กนักเรียนชายไป สองขายาวลัดเลาะผ่านชั้นหนังสือหลากหลายแขนงที่ทางโรงเรียนจัดหาเอาไว้ให้ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ล็อกหนังสืออ่านเล่นนอกเวลา หมวดนวนิยาย ที่มีคนใช้บริการมากที่สุด

                เด็กผู้ชายที่เดินตามหลังหยุดฝีเท้า ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เซฮุนที่ไล่กวาดสายตามองหาชื่อหนังสือที่เขียนอยู่บนกระดาษโน้ต ใช้เวลาไม่ถึงนาที มันก็ถูกดึงออกมา แล้วส่งให้กับคนที่ยืนรออย่างใจเย็นโดยไม่ปริปากพูดอะไร

                เซฮุนมองปลายนิ้วที่เล็บตัดสั้นอย่างเรียบร้อยสอดผ่านกระดาษสีน้ำตาลอ่อนอย่างแผ่วเบา สายลมของต้นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาอีกครั้ง หอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าและกลิ่นกายของผู้ใช้บริการห้องสมุดคนตรงหน้ามาพร้อมกันด้วย

                นัยน์ตาเรียวฉายแววใคร่รู่และสงสัย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนถามหาหนังสือนิยายเล่มนี้ ไม่บ่อยนักที่จะมีนักเรียนชายเดินเข้าห้องสมุดมาเพื่อหาหนังสือนิยายอ่าน ปกติจะมีแต่เด็กนักเรียนหญิงมากกว่า

                ที่จริงแล้วเซฮุนควรจะเดินกลับออกไปเพื่อเก็บหนังสือเข้าชั้นก่อนที่จะถึงเวลาโฮมรูม แต่ด้วยอะไรสักอย่างมันทำให้เขาอยากทำความรู้จักกับคนตรงหน้าที่กำลังก้มหน้าก้มตาพลิกหน้ากระดาษอ่านเนื้อหาภายในอย่างคร่าวๆ

    เขาไล่มองจากปลายนิ้ว ไปจนถึงคางที่ได้รูป ริมฝีปากอิ่ม ตลอดจนแพขนตาที่หลุบลงเพื่ออ่านเนื้อหาภายในเล่ม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเซฮุนกำลังดีใจอย่างมากที่ได้เจอเด็กผู้ชายที่อ่านหนังสือนิยายเล่มที่เขาชอบที่สุดของคุณมุราคามิ เด็กหนุ่มตัวสูงจ้องมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง

     

     

    “ตอนเช้าแบบนี้ ยืมหนังสือได้รึยัง”

     

     

    ดวงตาของเด็กนักเรียนชายคนนั้นมองกลับมา มันเป็นสีน้ำตาลเข้มเฉดเดียวกับสีของชั้นหนังสือไม้

     

     

    “ได้สิ ขอบัตรนักเรียนด้วย”

     

     

                และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าตัวเองกำลังนอกใจหนังสือ

     








     

     








     

                คิม จงอิน
               
    3 – C

     

     

                นั่นคือข้อมูลที่เซฮุนจำได้แม่นรองจากใบหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาว่างเปล่าที่มองกลับมา ไม่มีรอยยิ้มแตะแต้มที่มุมปากยามที่เขาส่งยิ้มไปให้หลังจากแสกน ปั๊มวันคืนลงในบัตรและยื่นหนังสือที่พร้อมยืมให้อีกฝ่าย

                เด็กนักเรียนชายที่ตัวสูงไล่เลี่ยกันหันหลังเดินออกไปทั้งๆ อย่างนั้น ปล่อยให้เขายิ้มค้าง เป็นการกระทำที่โหดร้ายสิ้นดีในความคิดส่วนตัว แค่ยิ้มเองนะ กระตุกมุมปากขึ้นนิดเดียวก็เรียกว่ายิ้มแล้ว ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย

                มือเรียวตวัดปลายดินสอจดโน้ตลงกระดาษตามที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ที่หน้าห้องอย่างเบื่อหน่าย เขาอยากไปห้องสมุดแล้ว เมื่อไรจะเลิกชั้นเสียที เซฮุนขยับตัวขึ้นนั่งกอดอกแล้วเท้ามันลงกับโต๊ะ ผินใบหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง มองเด็กนักเรียนอีกห้องที่ยืนเป็นแถวหันหน้าเข้าหากันในวิชาพละ กำลังโยนลูกบาสสลับกันไปมา

     
     

                เด็กผู้ชายคนนั้นนี่

     

     

                เขาเห็นคิมจงอินในชุดเสื้อโปโลสีขาวกางเกงวอร์มสีกรมท่า มีแทบสีเหลืองมัสตาร์ดติดอยู่ด้านข้าง ทั้งยังไม่ได้ไปเข้าแถวเหมือนเพื่อนๆ ด้วย แต่กำลังวิ่งอยู่ในสนามบาส มือที่เคยมองว่ามันจับหนังสือได้อย่างทะนุถนอมกำลังเลี้ยงลูกบาสอย่างคล่องแคล่ว

     

     

                และรอยยิ้มนั่นก็สดใสยิ่งกว่าแสงแดด

     

     

                เซฮุนยกมือขึ้นเท้าคาง ขออนุญาตและขอโทษคิมจงอินในใจที่เสียมารยาทมานั่งจ้องมองโดยที่เจ้าตัวไม่รู้แบบนี้ เขาเห็นฝ่ายนั้นเดาะลูกบาสผ่านเด็กนักเรียนหญิงสามสี่คนแล้วชู้ตลงห่วงพอดิบพอดีเหมือนจับวางพร้อมกับรอยยิ้มที่ขยับกว้างขึ้นไปอีกจนดวงตาโค้งเป็นเส้น

     

     

                “ฮุน โอเซฮุน!
                “ครับ
    !

     

     

                ทั้งห้องหัวเราะรวนที่เด็กหนุ่มตัวสูงขานรับเสียงดังแถมยังลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกต่างหาก

     

     

                “มองสาวอยู่นั่นแหละ ไหนออกมาทำโจทย์ข้อนี้ซิ”

     

     

                เขาขานรับเสียงอ่อยแล้วยอมเดินออกไปทำโจทย์ตามคำสั่งของคุณครูอย่างขัดไม่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ยากอะไร แต่ว่าการโดนเรียกชื่อเสียงดังขนาดนั้นน่ะ มันก็น่าอายไม่ใช่น้อยเลยนี่นา

                สิบห้านาทีถัดมาเสียงกริ่งเตือนว่าหมดเวลาเรียนก็ดังขึ้น แสงแดดตอนบ่ายสามร้อนแรงจนแทบจะแผดเผาทุกอย่างในระยะของมันให้ระเหิดระเหยหายไป แถมมันส่องทะลุผ่านกระจกหน้าต่างห้องเรียนเข้ามานอนเล่นบนพื้นห้องอย่างน่าหมั่นไส้

                “เฮ้ย วันนี้เป็นเวรห้องสมุดเปล่า” แบคฮยอนกระโดดโหยงเหยงเข้ามาหาทันทีที่เห็นคุณครูเดินออกไปจากห้อง วันนี้เพื่อนต่างไซส์ก็ยังสดใสเหมือนเดิม รอยยิ้มแบบที่เขาอิจฉาว่าอยากมีมาตลอดเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้า “ถ้าตอบว่ามี ฉันจะโป้งเลยนะ เดือนนี้นายเบี้ยวนัดมาสามรอบแล้วนะว้อย”

                นัดที่ว่าคือไปนั่งเป็นเพื่อนแบคฮยอนที่ซุ่มดูชานยอล เด็กนักเรียนห้องพิเศษตัวสูงชะลูดที่เก่งไปเสียทุกอย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกีฬาหรือแม้แต่ดนตรีก็เก่ง อ่อ เขาไม่ได้สนใจหรอก แต่โดนแบคฮยอนพูดกรอกหูทุกวันจนจำได้ขึ้นใจเลยละ

     

     

                “บอกมาเลยว่าอยากให้ง้อด้วยอะไร เพราะวันนี้ฉันเป็นเวรห้องสมุด”
                “เวรบ้าเวรบออะไร ไม่มีคนอื่นทำเลยหรอ อาทิตย์นี้นายทำคนเดียวมาสามวันละนะ”
                “ก็ว่าจะเข้าชมรมไปหาน้องๆ ด้วย นายละ ไม่เข้าชมรมหรอ”
                “จะเข้าอะไรทุกวันเล่า ไม่รู้ละ วันนี้นายต้องไปกับฉัน”
                “ก็บอกว่าเป็นเวรไง”

                

       

     

     

    ปรี้ด.

     

     

    เซฮุนนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับแบคฮยอนข้างสนามบาสเก็ตบอลในร่มของโรงเรียน เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงนกหวีดจากกรรมการที่เป่าบอกว่าการแข่งขันนัดกระชับมิตรอะไรสักอย่างที่ชื่อยาวจนเขาเองก็ขี้เกียจจะจำนั้นจบลงแล้ว

    แม้ว่าจะดูแทบไม่รู้เรื่องว่าชู้ตตรงไหนถึงจะได้สามแต้ม ตรงไหนถึงจะได้สองแต้ม แล้วกติกาคืออะไรบ้าง แต่มันก็ไม่ได้น่าเบื่อเท่าไรนัก ในเมื่อคิมจงอินเองก็ลงแข่งเช่นกัน

    เขานึกสีหน้าตัวเองแทบไม่ออกตอนที่เดินเข้ามาในโรงยิมของทางโรงเรียน แล้วเห็นเด็กผู้ชายผิวสีแทนในชุดนักบาสที่คว้านแขนลึกจนเห็นแทบทุกอย่าง กำลังเทน้ำหวานลงกับพื้นแล้วเหยียบเล่น

    แบคฮยอนบอกว่าทำแบบนั้นแล้วพื้นรองเท้าจะเหนียว เวลาวิ่งจะได้ไม่ลื่นล้ม แต่นั่นมันเป็นแค่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสำหรับพวกนักกีฬาที่เขาไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด

     

     

    ที่เขาอยากรู้คือ คิมจงอินเป็นใคร

     

     

                นักเรียนชายน้อยคนนักในโรงเรียนที่จะเข้ามาใช้บริการห้องสมุด และในน้อยคนนั้นโอเซฮุนก็จำหน้าได้ทุกคน ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่กริยาท่าทางเรียบร้อยตามแบบฉบับเด็กนักเรียนดีเด่นที่เข้ามาหาหนังสือเพื่อเอาไปทำงาน

                และนิสัยของเด็กพวกนั้นก็ไม่ใช่จะเข้าหาได้ง่ายเลย เพราะทุกคนต่างก็โลกส่วนตัวสูง เงียบขรึม และไม่ค่อยพูดค่อยจา อันที่จริงแล้วก็ไม่ต่างก็อะไรกับตัวเขาเท่าไรนัก เพราะปกติใช้ชีวิตอยู่กับแต่หนังสือ จนลืมวิธีการเข้าหาผู้คนอย่างถูกต้อง

                เขาพยักหน้าส่งๆ เมื่อได้ยินแบคฮยอนบอกว่าเดี๋ยวกลับมาภายในสิบนาที เพื่อนตัวเล็กลุกจากที่นั่งพร้อมถุงกระดาษสีน้ำตาลเรียบๆ ปั๊มตราร้านขนมหวานขึ้นชื่อที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนก่อนถึงโรงเรียน

                แบคฮยอนวิ่งลงจากอัฒจันทร์อย่างรวดเร็วจนเขานึกภาพเพื่อนตัวเองล้มหน้าคำมะ กลิ้งลงไปจนถึงขั้นสุดท้าย นอนแน่นิ่งและเลือดท่วมร่าง แต่สุดท้ายปลายเท้านั่นก็แตะลงกับพื้น โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับบาดเจ็บ แถมยังหันกลับมายิ้มและชูสองนิ้วให้ดูอีกต่างหาก

                เซฮุนละสายตาจากเพื่อนตัวเองที่ยืนรออยู่รอบนอกวงหญิงสาวนับสิบที่พยายามกรูเอาของเข้าไปให้ชานยอล ไปมองจงอินที่ไม่มีใคร ไม่มีใครเลยสักคนที่เอาของเข้าไปให้

                บ้าน่า ทั้งที่ดูเป็นหนุ่มฮอตขนาดนั้น ทำไมกลับไม่มีใครเอาของไปให้เลยละ แม้แต่ผู้หญิงสักคนที่จะเดินเข้าไปทักก็ไม่มี เขาขมวดคิ้วมองแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อคนในสายตาเงยหน้าขึ้นมามองกลับ

     

     

                “

     

     

    พร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มอยู่ตรงมุมปาก

     

     

     

     

    และมันทำให้เขาใจเต้นเหมือนตอนเห็นมุมของหนังสือถูกพับเอาไว้

     








     

     








     

                “คืน”

                   

     

                เสียงทุ้มนั่นเหมือนกระดิ่งที่ดังเรียกให้เซฮุนเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดการบ้านที่กำลังทำอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ห้องสมุด ใบหน้าได้รูปเงยขึ้นมองผู้มาคืนแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ที่ใช้เวลาแค่เพียงสี่วันเท่านั้นในการอ่านนิยายของมุราคามิเล่มนี้

                เขาลุกขึ้นยืน หยิบเอาหนังสือมาแสกนแล้วเปิดเช็คว่าภายในเล่มมีหน้ากระดาษหลุด มีรอยขีดเขียนหรือมีเศษกระดาษอะไรสอดเอาไว้หรือเปล่าตามกฎที่คุณครูบรรณารักษ์บอกให้ทำทุกครั้งเวลาที่ตรวจหนังสือคืน

     

     

                “ชื่ออะไรครับ”

     

     

                เขาถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคนตรงหน้ามีชื่อเสียงเรียงนามอะไร ก่อนจะโน้มตัวลงไปเปิดลิ้นชัก หยิบเอาตะกร้าพลาสติกสีเหลืองขุ่นออกมาวางแล้วใช้ปลายนิ้วไล่หาชื่อเจ้าของบัตรนักเรียนเพื่อคืน แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา

     



     

              The Little Prince - Antoine de Saint-Exupéry

     



     

                นอกเสียจากกระดาษโน้ตสีเหลืองที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษแสนเป็นระเบียบวางแปะลงบนเคาน์เตอร์ไม้ เขาหยิบมันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แล้วเดินออกมาจากเขตที่กั้นเอาไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ห้องสมุด

                เรียวขายาวเดินผ่านชั้นหนังสือวิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนาและอื่นๆ อีกมาก ก่อนจะหยุดลงที่ใต้ป้ายภาษาอังกฤษบอกว่าหมวดนี้เป็น หนังสืออ่านเล่นนอกเวลา หมวดวรรณกรรมเยาวชน

                เขาเดินเข้าไปกวาดสายตามองตั้งแต่ชั้นบนสุด ถ้าจำไม่ผิด หนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยมีคนเอามาคืนตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้วและมันยังไม่ถูกยืมไปอีกเลย ที่จำได้เพราะเซฮุนเพิ่งจะจัดชั้นหนังสือหมวดนี้ไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง

                และเมื่อเขายื่นมืออกไปเพื่อหยิบมันออกมา ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่จงอินเองก็เจอและกำลังจะหยิบมันออกมาเช่นกัน เด็กนักเรียนชายสองคนสะดุ้งเหมือนโดนไฟช็อต ทั้งคู่รีบหดแขนกลับ ต่างคนต่างหันหน้าหนีกันเพราะทำตัวไม่ถูกจากสถานการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้น

     

     

                “จะห้าโมงเย็นแล้ว ยังยืมได้อยู่ใช่ไหม”

     

     

                เป็นจงอินที่ทำลายความเงียบแสนอึดอัดนี่ทิ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ไร้อารมณ์ เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากพยักหน้าแล้วเดินนำออกจากซอกชั้นหนังสือ ผ่านโต๊ะสำหรับนั่งอ่านที่ผู้คนเริ่มบางตาเพราะใกล้เวลาห้องสมุดปิดเต็มที

                เซฮุนผลักบานไม้ที่มีป้ายติดว่าสำหรับเจ้าที่เท่านั้นให้เปิดออกเพื่อเดินเข้าไปที่หน้าคอมพิวเตอร์ซึ่งตั้งอยู่ในเคาน์เตอร์สำหรับยืม-คืน

     

     

                “ชื่ออะไรครับ”

     

     

                หากเขาเป็นพิน็อคคิโอ ตอนนี้จมูกคงยาวจนแทบจะทิ่มหน้าจงอินได้อยู่แล้ว คนตรงหน้าวางหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยลง พร้อมกับบอกชื่อตัวเองและชั้นปี ใช้เวลาไม่นานนักก็เจอบัตรนักเรียนของคนตรงหน้า

     

     

                “เรียบร้อยแล้วครับ”

     

     

                จงอินที่กำลังเหม่อมองอะไรสักอย่างที่อยู่ด้านหลังเขาสะดุ้งน้อยๆ แล้วรับหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยไปถือไว้ ดวงตาที่ดูเหมือนคนง่วงนอนเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อยก่อนจะแปรโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวพร้อมรอยยิ้มที่วาดกว้างเต็มใบหน้า

                เด็กชายรูปร่างสูงโปร่งกล่าวขอบคุณและหันหลังเดินออกไปจากห้องสมุด ทิ้งให้เขายืนนิ่งอย่างตกใจกับรอยยิ้มระยะประชิดนั้นอยู่เกือบนาที สติถูกดึงกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาในโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้เพื่อกดกริ่งเตือนปิดห้องสมุด

                หลังจากนักเรียนคนสุดท้ายเดินออกไปจากห้องสมุด เขาก็เดินไปปิดหน้าต่างทีละบาน ท้องฟ้าตอนห้าโมงเย็นมึดครึ้มจนน่าแปลกใจ ทั้งที่เพิ่งจะเข้าฤดูใบไม้ผลิมาได้แค่ไม่กี่วัน ฝนก็ทำท่าจะตกเสียแล้ว

                เมื่อจัดการสับสวิชต์ปิดไฟและปิดเครื่องปรับอากาศภายในห้องเรียบร้อย หยาดฝนก็โปรยปรายลงมาให้เขาดูผ่านหน้าต่างทันที

                เซฮุนถอนหายใจ วันนี้ไม่ได้เอาร่มมาด้วย สงสัยคงจะต้องรีบวิ่งไปหน้าโรงเรียนให้เร็วที่สุด จะได้หลบฝนตรงป้ายรถเมล์ เขากวาดสายตามองรอบห้องสมุดอีกครั้ง แล้วดึงประตูกระจกปิดพร้อมทั้งหมุนตัวล็อกให้เข้าตำแหน่ง

                เดินออกมาจนถึงบริเวณล็อกเกอร์ฝากของหน้าห้องสมุดแล้วก็ต้องแปลกใจที่มีร่มคันใหญ่มากสีดำสนิทวางทิ้งเอาไว้กลางทางเดิน มันเด่นสะดุดตามากๆ จนอดไม่ได้ที่หยิบขึ้นมาดู

                เด็กคนไหนมาลืมเอาไว้ สงสัยได้ตัวเปียกกลับบ้านแน่ๆ เขาเอามันไปวางพิงกับข้างตู้ล็อกเกอร์แล้วเดินตรงออกไปจนถึงบันได ดวงตาเรียวมองสายฝนที่ดูหนาตาขึ้นกว่าเดิมแล้วถอยหลังกลับเข้าไปในตัวอาคาร

     

     

                รอให้มันซาเสียหน่อยละกัน

                หรือเขาจะเอาร่มสีดำคันนั้นมาใช้ก่อนดีนะ?

     

     

                สุดท้ายเซฮุนก็ขออนุญาตเจ้าของร่มในใจ หยิบเอามันออกมากางแล้วเดินออกจากอาคารตรงไปยังหน้าโรงเรียนเพื่อรอรถเมล์ที่ป้าย โดยทุกการกระทำอยู่ในสายตาของเด็กนักเรียนชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างมุมตึกใต้ร่มคันเดียวกัน

     

     

                “พระเอกมากไอ้เหี้ย”

     

    ชานยอลที่ยืนทำหน้าซังกะตาย แถมไหล่หนึ่งข้างยังเปียกเพราะต้องแบ่งร่มอีกครึ่งให้คนข้างๆ เอ่ยพูดเสียงเรียบ ก่อนหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมทีมบาสเก็ตบอลที่ยืนยิ้มอย่างกับคนบ้า

     

     

    “เอาร่มให้เขาแล้วมึงก็มาเบียดเบียนกูเนี้ยนะ”
    “น้ำใจอะมีมั้ยชานยอล เพื่อนกันเขาดูตรงนี้แหละ”

     

     

    “ดูที่ตีนสิ เป็นกูไม่มายืนเบียดเพื่อนงี้หรอก” คนตัวสูงพูดแล้วเดาะลิ้น หันไปมองหน้าคนข้างๆ ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “สู้แอ๊บวิ่งตัวเปียกนิดๆ หน่อยๆ แล้วขอติดร่มไปด้วย จะได้เดินด้วยกันจนถึงหน้าโรงเรียนเลยดีกว่า”

                จงอินหันไปมองเพื่อนด้วยตาที่โตที่สุดเท่าที่จะเบิกได้ ตบมือแล้วชี้หน้าชานยอลแบบว่า ใช่เลย เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแต่ก็เพิ่งจะเคยได้ยินความคิดอะไรฉลาดๆ แบบนี้นี่แหละ เด็กหนุ่มยกกำปั้นขึ้นต่อยกับอีกฝ่ายแล้ววิ่งฝ่าฝนตามหลังนักเรียนบรรณารักษ์ไปติดๆ

                ขายาววิ่งย่ำแอ่งน้ำอย่างรวดเร็วจนขากางเกงชื้นแฉะ เขาเห็นร่มสีดำคันโตที่ตัวเองทิ้งเอาไว้ให้เซฮุน แล้วก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกจนตามอีกฝ่ายทัน แต่เมื่อเข้าใกล้ก็ชะลอความเร็วลงเป็นแค่การเดินเร็วๆ เท่านั้น

                เด็กหนุ่มปลดกระเป๋าเป้มากอดไว้ เพราะกลัวหนังสือและของข้างในจะเปียก เดินเลียบมาจากทางด้านหลังของเซฮุนที่หันมามองอย่างตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนเดินโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง

    เซฮุนเห็นไหล่กว้างนั่นเปียกน้ำฝนจนเสื้อนักเรียนสีขาวมันแนบเนื้อ เส้นผมสีดำมีละอองน้ำเกาะและบางส่วนก็ลู่ไปกับใบหน้า ดวงตาเรียวตกใจนิดหน่อยเพราะเพิ่งเห็นชัดๆ ว่าคนที่เดินเปียกฝนอยู่คือใคร

     

     

    “นาย” เซฮุนเอ่ยเรียก ใบหน้าไร้อารมณ์เงยจากกระเป๋าขึ้นมามอง
                “
    ” และดวงตาที่มองมาก็เฉยชาเหมือนสีหน้าไม่มีผิด
                “เอ่อ
    ร่มไหม”
                “

     

     

    จงอินไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวเข้ามาหา แถมยังทำท่าจะเร่งฝีเท้าเดินหนีไปอีก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนซื่อบื้อที่รีบสาวเท้าตามอีกฝ่ายไปและถือร่มให้อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

    ระยะทางจากอาคารหอสมุดจนถึงป้ายรถโดยสารประจำทางหน้าประตูโรงเรียนไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไรนัก แต่เด็กหนุ่มสองคนที่เดินคู่กันอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันกลับรู้สึกว่ามันเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกินกว่าจะเดินไปถึงจุดรอรถ

    ผิวกายสีแทนที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนและเย็นเฉียบเพราะอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ จากสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดกระทบกับแขนของคนที่ถือร่มให้เบาๆ ตามจังหวะการก้าวเดิน

     

     

    และนี่เป็นครั้งแรก ที่เซฮุนนึกข้อเสียของหนังสือออก

    มันเดินไปพร้อมกับเขาไม่ได้นี่เอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ________________________

     

    THE LOVEBRARY

    TRAILER

     

     

     

     




     

     

    _________________________________________

     

    Seeing someone reading a book you love
    is seeing a book recommending a person.

    ชอบหรือไม่อย่างไร ช่วยคอมเม้นหรือติดแท็กบอกด้วยนะคะ

     

     

     

    #ohyeskaihun


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×